วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลงรักเพลงลำ ตอนที่ 9


ปกรณ์พลและกุชงค์สงสัยฝาจีบว่าจะอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของงามไฉไล พวกเขาไปรับบัวเผื่อนให้ไปตามฝาจีบด้วยกัน บัวเผื่อนนึกรู้ว่าฝาจีบต้องไปที่กระท่อมร้างกลางนาแน่ๆ ที่นาแห่งนี้กำนันฝอยยึดมาจากลูกหนี้คนหนึ่ง

เมื่อไปถึงกระท่อมร้าง ทั้งสามคนแปลกใจที่ไม่พบหญิงสาวที่นั่น มีเพียงฝาจีบกับลูกน้องเท่านั้น ทว่าระหว่างทางที่ย้อนกลับไป ทั้งสามคนก็พบงามไฉไลนอนสิ้นสติอยู่ริมถนน สภาพของเธอบอกได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น

ปกรณ์พลรีบพาเธอส่งโรงพยาบาล เขาบอกกุชงค์ว่าที่ช่วยงามไฉไลเพราะคิดว่าเธอเป็นน้องสาว งามไฉไลรักษาตัวอยู่หลายวันโดยไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เธออ้างอย่างเดียวว่าปวดหัวจำอะไรไม่ได้ ทั้งที่ความจริงเธอเสียตัวให้ฝาจีบไปแล้ว

โพยมยงสงสัยนักหนาว่าใครคือคนร้าย แล้วทำไมมันถึงไม่เอาเครื่องเพชรที่งามไฉไลประโคมใส่เต็มตัว คิดไปคิดมาทึกทักว่าเป็นพวกคณะลำตัดที่อาจจะแก้แค้นเอาคืนที่เธอกับลูกสาวจ้างมาเล่นเพื่อประจานความต้อยต่ำ

ตำรวจมาจับฝาจีบหลังจากพวกปกรณ์พลไปแจ้ง ความว่าเขาคือโจรลักพาตัวงามไฉไล แต่ไม่นานกำนันก็หอบเงินมาประกันตัวลูกชายกับสมุน ฝาจีบกลับถึงบ้านเอาแต่ร้องไห้เสียใจและเสียดายงามไฉไล เขาร้องจนกำนันฝอยปวดหัวเดินหนีไป ทิ้งให้ฝาจุกปลอบพี่ชายให้เงียบเสียที

“นี่พี่ฝาจีบ พี่จะร้องให้มันได้อะไรขึ้นมา แทนที่จะคิดแก้แค้นโยนความผิดให้ไอ้เพลงลำ เพราะมันกับคุณงามไฉไลแย่งผู้ชายคนเดียวกัน พี่พลาดหลายอย่างนะ”

“ใช่...พลาด พลาดหลายอย่าง แม้แต่...”

“ไม่มีคำว่าแม้แต่ พี่ทำแผนผิดพลาดฉันเลยชวดคุณปกรณ์พล พ่อชวดคุณนายโพยมยง แล้วพี่ก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัย นี่ถ้าคุณงามไฉไลให้การว่าพี่เป็นคนจับตัวไป พี่จะทำยังไง”

ฝาจีบทราบดีว่าต้องติดคุกแน่ ฝาจุกเลยบ่นยกใหญ่ว่าทำอะไรหัดใช้สมองเยอะๆ เขาทำอย่างนี้ตนเลยไม่ได้แอ้มปกรณ์พล...ว่าแล้วเธอก็ร้องไห้โฮเสียงดังกว่าพี่ชายเป็นสิบเท่า

ooooooo

เพลงลำรู้จากบัวเผื่อนว่างามไฉไลปลอดภัยก็หายห่วง ถึงจะไม่ชอบหน้าแต่ด้วยความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน โดนลักพาตัวไปเป็นเรื่องที่น่ากลัว

โฉมตรูก็โล่งใจเช่นกันเมื่อทราบจากปกรณ์พลว่างามไฉไลกลับมาอย่างปลอดภัย เรื่องคดีตำรวจจะตั้งข้อสังเกตใคร ก็เป็นหน้าที่ที่เขาต้องจับโจรลักพาตัว แต่เรื่องหมั้นของลูกชายที่ยังไม่เกิดขึ้น เธอบอกตรงๆว่าดีใจ

“ครับ...ผมก็โล่งอก อย่างน้อยก็สักพัก”

“เรื่องนี้มันคงจะหยุดหนูงามไฉไลกับคุณโพยมยงไม่ได้หรอก เตรียมงานหมั้นหมดไปหลายล้าน คนพูดถึงกันทั้งเมืองเพราะเหตุวุ่นวาย ดีนะที่ไม่เป็นข่าว ไม่ยังงั้นเราคงอับอายขายหน้า เออ แล้วเพลงลำล่ะเป็นยังไงบ้าง”

“ป่านนี้เพลงลำคงรู้แล้วล่ะครับว่างามไฉไลปลอดภัย”

“แม่เห็นใจเพลงลำอยู่มาก เด็กคนนี้เพียบพร้อมทั้งกิริยามารยาท ทั้งหน้าตาผิวพรรณ แต่แม่ก็ไม่เข้าใจเลยว่า...”

“ทำไมคุณพ่อถึงได้ห้ามไม่ให้เรารักกัน” ปกรณ์พลแทรกขึ้น...โฉมตรูหน้าเศร้าหมอง ปลอบลูกทั้งที่หัวใจตัวเองก็เจ็บปวด

“คุณพ่อรักลูกนะ เขาคงจะมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ คนทุกคนก็มีเหตุผลบางเหตุผลที่ต้องเก็บไว้รู้คนเดียว แม้แต่...” เสียงนั้นแผ่วเบาแล้วขาดหายไปด้วยความสะเทือนใจ

แล้วสองแม่ลูกก็แยกย้ายเมื่อดาหวันมาบอกโฉมตรูว่ามีคนมาหา ปกรณ์พลเดาว่าเป็นเพื่อนเก่าของแม่ที่มาเมื่อวันก่อน โฉมตรูรีบลงไปพบเขาตามลำพัง เห็นสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมของดัสกรแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้

“คุณเปลี่ยนไป...ไม่ดีขึ้นเลยหรือคะ”

“ผมเสียใจด้วยเรื่องงานหมั้นของปกรณ์พล”

“เราก็เสียใจค่ะ ตั้งแต่งานหมั้นแล้วกรณ์ก็เก็บตัวเงียบๆ ไม่ติดต่อกับใครเลย ทำไมคุณไม่รักษาตัวอยู่อเมริกา ที่นั่นมีหมอเก่งที่อาจจะเอาชนะโรคนี้ได้”

“มะเร็ง...สู้กันก็มีแพ้มีชนะ ส่วนใหญ่เราจะเป็นฝ่ายแพ้ ผมเลิกคิดเรื่องนั้นแล้ว”

“คุณจะปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ไม่ได้ คุณเคยเป็นคนที่เห็นคุณค่าของชีวิต”

“ความตั้งใจจริงของผม ผมทำไม่ได้ทั้งหมด ผมต้องกลับมาตายเมืองไทยเพราะที่นี่เป็นบ้าน”

“แต่ชีวิตของคุณแทบจะไม่มีใครเลยนะ”

“แค่ได้รู้สึกว่าผมมีคุณกับเขา แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับผม ผมไม่ต้องการอะไรอีก ผมขอแค่ฝากสิ่งที่เหลือไว้ให้ลูก” เขาหยิบกีตาร์ส่งให้เธอพร้อมพูดจากใจว่า “ไม่ต้องบอกเขาว่าผมเป็นใคร แค่ขอให้เขาเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ แค่นั้นผมก็พอใจแล้ว ผมจะไม่มาพบคุณอีก นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมรบกวนคุณ เราจะได้ลากันจริงๆ”

“คุณดัสกร...”

“ตอนที่เราจากกัน ผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งคุณกลับ เห็นชีวิตคุณมีความสุขแล้วผมก็สบายใจ ได้เห็นเขาเติบโตงดงาม ผมก็เชื่อว่า...ไม่ว่าปกรณ์พลจะมีปัญหาอะไร เขาก็ยังมีแม่ที่อยู่เคียงข้าง แม่ที่เข้าใจเขาเสมอผมต้องไปแล้ว”

“คุณพักอยู่ที่ไหน บ้าน อพาร์ตเมนต์หรือโรงพยาบาล หรือสถานพักฟื้น คุณเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายนะ”

“คุณถามทำไม”

“ฉัน...” โฉมตรูพูดได้แค่นั้นก็ชะงักเพราะเหลือบเห็นอรรถเดินตรงมา

หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว อรรถเชิญเพื่อนเก่าของภรรยากินอาหารกลางวัน ดัสกรตอบรับด้วยความยินดีแต่โฉมตรูมีแววกังวล รวมทั้งดาหวันที่นำอาหารมาขึ้นโต๊ะแล้วเห็นทุกคนนั่งพร้อมหน้า

อรรถชวนดัสกรคุยอย่างกันเอง ขณะที่ปกรณ์พลก็สนใจเรื่องดนตรีคุยได้ไม่เบื่อ กระทั่งสมควรแก่เวลาดัสกรขอตัวกลับ ปกรณ์พลถูกชะตาถึงกับอาสาขับรถไปส่งเขายังที่พัก

เมื่อรถจอดหน้าโรงแรม ดัสกรบอกปกรณ์พลว่าตนไม่มีบ้าน ใช้ชีวิตส่วนใหญ่เหมือนคนจะไม่กลับเมืองไทย เลยไม่ได้เตรียมการอะไรให้ชีวิตบั้นปลาย ตนไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ดูเหมือนคนโดดเดี่ยวแต่ก็ยังรู้สึกดีกับตัวเอง อย่างนั้นการที่คุณลุงกลับเมืองไทยก็คงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง”

“คุณไม่ต้องรู้หรอก...ขอบคุณที่มาส่งผมถึงโรงแรม”

“คุณลุงครับ แวะไปเยี่ยมคุณแม่บ่อยๆสิครับ เพื่อนเก่ามีค่าสำหรับคุณแม่ผม”

ดัสกรยิ้มบางๆแทนคำตอบ แล้วรับไหว้ปกรณ์พลก่อนลงจากรถ...ยืนมองรถจนลับตาพร้อมกับรำพึงชื่อลูกชายอย่างสุขใจ

ooooooo

เพลงลำแปลกใจทำไมจนป่านนี้แล้วงามไฉไลไม่มาชี้ตัวฝาจีบทั้งที่เธอเป็นผู้เสียหาย แต่ไข่กาสงสัยกว่าว่าที่ไม่กล้าเพราะมีเรื่องน่าอายเกิดขึ้น!

อรรถเดินทางมาบางลำอีกครั้งเพื่อพบบัวสายกับเพลงลำ แต่บัวสายพยายามกีดกันไม่ให้เขาเจอลูก เธอให้เพลงลำขึ้นเรือนไปพร้อมบัวผ่อง ก่อนหันมาถามอรรถด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่ามาที่นี่ทำไมอีก

“ผมรู้ว่าไม่ควรมา แต่คุณจะไม่ให้ผมมาขอโทษลูกเลยหรือบัวสาย”

“ลูก? เพลงลำไม่ใช่ลูกของคุณ ไม่เคยเป็นลูกของคุณ อย่าเอาเรื่องเดือดร้อนมาให้เราอีก แค่จ้างลำตัดไปเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเล่นยังไม่สาแก่ใจอีกหรือ หัวใจของพวกคุณทำด้วยอะไร ทำไมมันถึงได้โหดร้ายป่าเถื่อนแบบนี้”

“บัวสาย...ผมเสียใจ”

“เสียใจแล้วช่วยอะไรได้ ไม่ต้องมาตอกย้ำว่าคนลำตัดต่ำต้อยแค่ไหน ยังไงฉันก็ไม่ให้ลูกของฉันตกเป็นเหยื่อของพวกคุณอีก กลับไปเสียเถอะ”

“แต่เพลงลำเป็นลูกของผมนะ”

“เมียคุณทำอะไรอยู่นะ ถึงได้ปล่อยให้คุณเที่ยวมาตู่ว่าคนอื่นเป็นลูก ฉันบอกแล้วไงว่าเพลงลำเป็นลูกของฉัน ไม่เคยเป็นลูกของคุณเลย”

“ผมขอโทษที่คราวนั้นผมอ่อนแอ ไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องคุณได้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตอนที่เราจากกันคุณท้อง”

“ไปเสียเถอะ ถ้าเห็นแก่เพลงลำก็อย่าเอาเรื่องเดือดร้อนมาให้พวกเราอีก เราอยู่กันคนละโลก มีโลกคนละใบ ต่างคนต่างอยู่...ไปซะ”

“บัวสาย...” อรรถหน้าสลด แววตาหม่นหมอง หอบความผิดหวังกลับบ้าน...

ความผิดหวังและทุกข์ใจของอรรถปิดไม่มิดจนดาหวันสังเกตเห็น เธอมาบ่นกับโฉมตรูว่าอรรถเป็นอะไร พักหลังมานี่หน้าดำคล้ำ ไม่ค่อยพูดค่อยจา แก่ลงในพริบตา

“ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร รู้แต่ว่าเขาไม่มีความสุขเลย เขาแปลกไปเป็นคนละคน”

“หรือว่าคุณอรรถจะรู้เรื่องนั้น”

“เขารู้งั้นหรือ”

“อิฉันไม่กล้าเดาหรอกค่ะ ไม่สังเกตหรือคะว่าระยะหลังๆนี่คุณงามไฉไลไม่ได้เข้ามาวุ่นวาย คุณกรณ์ก็เอาแต่เหินห่างกับคุณพ่อ แล้วไปหาคุณดัสกรที่โรงแรมนั่น”

“ฉันก็ไม่รู้จะห้ามกรณ์ยังไง ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามเขาไม่ให้เขาไปพบคุณดัสกร”

“คุณกรณ์คงจะหลบหน้าคุณพ่อ เพราะต้องถือคำสั่งคุณพ่อเคร่งครัดเรื่องไปบางลำ แต่ถ้าคุณยังยอมให้คุณกรณ์ไปใกล้ชิดกับคุณดัสกร สักวันหนึ่งความลับจะไม่เป็นความลับ”

ดาหวันพูดเสียจนโฉมตรูหวั่นกลัว...ด้านงามไฉไลที่ปิดประตูขังตัวเองอยู่ในห้องนานเป็นสัปดาห์ เธอเพิ่งจะออกมาเจอมารดาด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้น แต่พอถูกซักถามเรื่องลักพาตัว เธอหน้าบึ้งตึงบอกว่าไม่อยากพูดถึง

“แต่แม่ต้องตอบคำถามของสังคมนะ นี่แม่ยังงง ไม่หายว่าลูกรอดกลับมายังไง เครื่องเพชรก็ได้คืนมาครบชุด มันเกิดอะไรขึ้นกับหนู”

“ช่างเถอะค่ะ หนูลืมมันไปหมดแล้ว”

“งาม...แต่คนอื่นเขาไม่ลืมนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกปากหอยปากปู”

“คุณแม่ก็อย่าไปสนใจสิคะว่าใครจะพูดยังไง งามจะไปหาพี่กรณ์”

เธอตัดบทเดินพรวดพราดออกไป พอถึงบ้านอรรถไม่เจอใครนอกจากแม่บ้านและสาวใช้ แต่งามไฉไลไม่ถอย รอคอยจนเจอปกรณ์พลที่กลับจากไปหาดัสกร

“พี่กรณ์...งามมารออยู่ตั้งหลายชั่วโมงแล้วค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าพี่กรณ์ไปไหน”

“สบายดีแล้วหรืองาม”

“งามก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ”

“ไม่ได้เป็นอะไรก็ดีแล้ว พี่จะพางามไปให้ปากคำเอาเรื่องกับพวกนายฝาจีบ”

“ไม่ค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว แล้วงามก็ไม่ได้เป็นอะไร”

“นายฝาจีบเป็นคนจับตัวงามไปใช่ไหม แล้วงามจะปล่อยให้เขาลอยนวลได้ยังไง สิ่งที่เขาทำมันผิดกฎหมายนะ แล้วก็มีแต่งามคนเดียวที่จะกล่าวโทษเขาได้”

“งามไม่ได้เป็นอะไร แล้วงามก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องเลวร้ายนั่นอีก งามหนีออกมาได้เพราะพวกนายฝาจีบน่ะมันมีแต่คนโง่ๆ”

“แต่งามก็คบหาคนพวกนี้เป็นมิตร”

“พี่กรณ์ขา...ก็ตอนนั้นงามไม่มีใคร งามต้องหาพวกเป็นกำลังสู้กับนังเพลงลำ งามทนไม่ได้หรอกค่ะที่จะให้มันแย่งพี่กรณ์ไปจากงาม พี่กรณ์ต้องเข้าใจงามนะ ที่งามทำไปก็เพราะงามรักพี่กรณ์”

“พี่ไม่ได้รักงามอย่างที่ผู้ชายรักผู้หญิง พี่รักงามเพราะพี่เห็นงามเป็นน้อง”

“แต่พี่กรณ์ก็เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยงามนะคะ พี่กรณ์ อาจจะยังไม่เข้าใจตัวเองก็ได้ว่า...”

“พี่ทำยังงั้นเพราะพี่ห่วง มันเป็นความผิดของพี่เอง ที่พี่สื่อสารกับงามไม่ถูกมาตั้งแต่ต้น”

งามไฉไลหมดปัญญาหาเหตุผล แกล้งสะอื้นอ้อนวอนขอความสงสาร “พี่กรณ์ไม่สงสารงามหรือคะ งานหมั้นถึงจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่คนทั่วไปก็รู้ว่าเป็นงานหมั้นของเรา พี่กรณ์จะยกเลิกการหมั้นเพราะเรื่องวุ่นวายนั่นหรือคะ งามรักพี่กรณ์ ถ้าพี่กรณ์เป็นสุภาพบุรุษ พี่กรณ์ต้องแต่งงานกับงาม งามยอมทุกอย่าง ขอแค่...”

“แต่พี่ไม่ได้รักงามเลยนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ แต่งงานแล้วงามจะทำให้พี่กรณ์รักงามให้ได้”

งามไฉไลแววตามุ่งมั่น ท่าทีเด็ดเดี่ยว จนชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยใจคร้านที่จะพูดต่อไป

ooooooo

เพลงลำขอร้องบัวสายให้จัดงานแต่งงานระหว่างเธอกับเจิดเพื่อยุติความยุ่งยากวุ่นวาย บัวสายหนักใจเพราะทราบดีว่าลูกไม่ได้รักเจิดแบบชู้สาว แต่เพลงลำรบเร้าเหลือเกินเพราะอยากลืมปกรณ์พลให้ได้ บัวสายจึงเรียกเจิดมาถามความสมัครใจก่อนตอบตกลง

ทองน้ำงามเสียใจเมื่อรู้ว่าเจิดจะแต่งงานกับเพลงลำ แต่ยังไงเธอก็ยังไม่ยอมตกปากรับคำแม่ที่บังคับเธอตกร่องปล่องชิ้นกับฝาจีบลูกชายกำนันฝอย และแน่นอนว่าฝาจีบก็ไม่สนใจทองน้ำงาม เวลานี้เขาได้งาม-ไฉไลเป็นเมียสมใจ แต่ยังมีอุปสรรคขวางกั้นเพราะเธอไม่ได้เต็มใจ

เมื่อฝาจีบกับฝาจุกรู้ว่าเพลงลำจะแต่งงานกับเจิด สองพี่น้องร้อนใจเป็นที่สุด

“เพลงลำแต่งงานไปแล้วคุณปกรณ์พลเขาคงจะเลิกรักมัน แต่นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้คุณงามไฉไลคว้าพุงมันๆของคุณปกรณ์พลไปกิน...พี่ฝาจีบ ฉันจะทำยังไงดีล่ะ มีไอ้เพลงลำเป็นตัวกันคุณงามไฉไลยังดีกว่าไม่มีนะ ให้คุณงามไฉไลไปหึงไอ้เพลงลำ ฉันอยู่ทางนี้จะได้กินตับของคุณปกรณ์พล”

“พูดยังกับเอ็งเป็นปอบ”

“ฉันรักคุณปกรณ์พล แม้แต่ตับไตไส้พุงของเขาฉันก็ไม่ยอมให้ใครได้ไป ทำยังไงดีล่ะพี่ฝาจีบ ไม่มี

ไอ้เพลงลำเป็นไม้กันหมาแล้วคุณปกรณ์พลกับคุณ

งามไฉไลต้องแต่งงานกันแน่ๆเลย”

“ไม่ได้...ข้ายอมไม่ได้!” ฝาจีบคำรามดุดัน แววตาวาวโรจน์

ไม่ทันข้ามวัน ฝาจีบก็นำสมุนไปบ้านบัวสาย สอบถามข้อเท็จจริงเรื่องเพลงลำกับเจิดจะแต่งงานกัน ไข่กาออกมารับหน้าตอบรับว่าเป็นเรื่องจริง อีกไม่ช้าจะเอาการ์ดไปเชิญกำนันฝอย เพลงลำได้ยินเสียงเอะอะตามออกมาอีกคน เห็นฝาจีบก็พูดเรื่องลักพาตัวงามไฉไลเรียกค่าไถ่ แต่เขาทำไก๋แกล้งยียวนกลบเกลื่อนไป

ooooooo

อารมณ์ไม่ดีกลับจากบ้านปกรณ์พลแล้วโดนโพยมยงคาดคั้นเรื่องเดิมอีก งามไฉไลถึงกับหงุดหงิดหัวเสียยิ่งขึ้นไปอีก

“คุณแม่...ก็หนูบอกแล้วไงว่าหนูไม่เอาเรื่อง หนูไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”

“แต่แม่เจ็บใจ มันทำลายพิธีหมั้นของหนูนะ นายฝาจีบ นังฝาจุก อีตากำนันฝอย เราเรียกร้องค่าเสียหายได้นี่ แค่ลูกไปให้ปากคำ แล้วกล่าวหานายฝาจีบเป็นคนจับตัวหนูไป ตำรวจเขาก็พร้อมจะไปลากคอนายฝาจีบเข้าคุก จากนั้นกำนันฝอยคงจะวิ่งเต้นจนร้องเท้าพลิก ดิ้นรนมาเจรจารอมชอม ถึงตอนนั้นก็เป็นทีของเราจะเรียกร้องค่าเสียหาย ถือว่านายฝาจีบเป็นคนทำลายพิธีหมั้น”

“คุณแม่คะ งามปวดหัวค่ะ”

“ปวดหัว? ปวดกะทันหันเลยหรือลูก”

“ก็งามเครียดนี่คะ ทีหลังอย่าเอาเรื่องเครียดๆ

มาพูดกับงามอีกนะคะ งามจะแต่งงานกับพี่กรณ์ ไม่อยากฟังเรื่องเครียดๆของใครค่ะ”

งามไฉไลเดินปึงปังขึ้นข้างบน โพยมยงหันรีหันขวางบ่นไล่หลังอย่างขัดใจ

“แล้วฉันล่ะ ฉันไม่เครียดหรือไง จ่ายค่าจัดงานหมั้นไปตั้งหลายล้าน โอ๊ย! เครียดๆๆ”

ooooooo

ผ่านไปไม่กี่วัน ปกรณ์พลได้รับการ์ดงานแต่งระหว่างเพลงลำกับเจิด ชายหนุ่มทำใจไม่ได้ โทร.ตามกุชงค์มาพบที่บ้านเป็นการด่วน

“กุชงค์...แกต้องไปกับฉัน ฉันรู้ว่าแกมีปืนอยู่ในรถ”

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน นี่แกจะไปไหน ทำอะไร ทำไมแกถึงได้ร้อนเป็นไฟแบบนี้”

“ไปบางลำ”

“ไปทำไมที่นั่น ตั้งแต่เกิดเรื่องคุณงาม ฉันก็ไม่กล้า เอาหัวไปให้คนบางลำยิงเป็นเป้าหรอก กลัวสมองกระจายว่ะ”

“เราต้องไป ฉันต้องการความช่วยเหลือจากแก”

“แกยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าแกจะไปบางลำทำไม”

“เพลงลำจะแต่งงาน”

“แกรู้ได้ยังไง”

“เพลงลำส่งการ์ดมาให้ฉัน ฉันไม่สนใจแล้วว่าใครจะเป็นยังไงหรืออะไรจะเกิดขึ้น เราต้องหาทางชิงตัวเพลงลำไม่ให้มีการแต่งงาน”

“อะไรนะ! แกบ้าไปแล้วหรือยังไง นั่นน่ะเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเชียวนะ”

ดาหวันแอบฟัง ตัดสินใจก้าวเข้ามาห้ามปรามด้วยความเป็นห่วง กุชงค์ก็ช่วยรั้ง แต่ปกรณ์พลดึงดันอย่างเด็ดเดี่ยวว่า

“ถ้าไม่ได้ตัวเพลงลำฉันก็พร้อมจะตาย ฉันรักเพลงลำ ฉันยอมเสียเธอไปไม่ได้”

ooooooo

ด้วยใจที่ยังมีเยื่อใยและเป็นห่วงอดีตคนรัก ยิ่งเมื่อทราบว่าเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย โฉมตรูต้องการให้กำลังใจและแนะนำให้เขาหาทางรักษา วันนี้เธอ หาทางแยกตัวจากอรรถแอบไปพบดัสกรที่โรงแรม

ดัสกรซึ้งใจในความห่วงใยของโฉมตรูแต่ไม่ยอมรักษาเพราะรู้ว่าโรคของตนหมดหนทางเยียวยา ตนต่อสู้กับมะเร็งมาหลายปี โฉมตรูเสียใจ สารภาพความจริงว่าเธอไม่เคยรักอรรถ เราอยู่ร่วมกันเพราะหน้าที่ ดัสกรชื่นชมอรรถเป็นคนดี ปกรณ์พลโชคดีที่มีพ่ออย่างเขา

“ผมมอบร่างกายของผมให้นักศึกษาแพทย์ ทรัพย์สินมรดกที่ยังเหลืออยู่ให้องค์กรการกุศลเข้ามาจัดการ ผมไม่ทิ้งภาระอะไรไว้ให้คนข้างหลัง”

โฉมตรูน้ำตาร่วงพรู พลันเสียงมือถือดังขึ้น ดัสกรเร่งให้เธอรับเผื่อจะเป็นอรรถ...ปรากฏว่าเป็นดาหวันโทร.มาบอกอย่างร้อนรนว่าปกรณ์พลไปบางลำหลังได้รับการ์ดแต่งงานของเพลงลำ อรรถกลับมาได้ยินพอดี ซักถามดาหวันเป็นการใหญ่ก่อนจะขึ้นรถออกจากบ้านพร้อมดาหวัน ฝ่ายโฉมตรูก็รีบเร่งไปเหมือนกันโดยมีดัสกรไปด้วย

ปกรณ์พลร้อนใจเร่งกุชงค์ให้เพิ่มความเร็วรถ กลัวไปไม่ทันเพราะวันนี้เป็นวันแต่งงานของเพลงลำกับเจิด เขาต้องฉุดเจ้าสาวออกจากงานให้ได้!

เมื่อมาถึงบ้านบัวสายที่ผู้คนกำลังสาละวนเตรียมงาน ปกรณ์พลไม่รีรอ เขาใช้ปืนบุกขึ้นไปชิงตัวเพลงลำท่ามกลางความตกใจของทุกคน บัวสายแค้นใจวิ่งไปหยิบปืนยาวตามลงมา จังหวะนั้นอรรถกับดาหวันมาถึงพอดี ตามด้วยโฉมตรูกับดัสกร ความจริงทุกอย่างจึงเปิดเผยเพราะผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องการให้เรื่องราวบานปลาย

อรรถบอกเหตุผลกับปกรณ์พลว่าเขาแต่งงานกับเพลงลำไม่ได้เพราะเธอเป็นลูกของตน ขณะที่โฉมตรูก็พูดความจริงว่าปกรณ์พลไม่ใช่ลูกของอรรถแต่เป็นลูกของดัสกรที่ติดท้องเธอมาก่อนที่เธอจะแต่งงานกับอรรถ

ความจริงทำให้อรรถช็อกไปชั่วขณะ เขาไม่เคยระแคะระคายเลยว่าปกรณ์พลไม่ใช่ลูก แต่สำหรับปกรณ์–พลรู้เช่นนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน ลึกๆก็ดีใจที่เขากับเพลงลำไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน

บัวสายเสียใจและแค้นใจไล่ทุกคนที่สร้างความเดือดร้อนให้พวกตนกลับไป ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเขาอีก และอรรถอย่าได้คิดแม้แต่จะแย่งเพลงลำไปจากตน เพลงลำรักและสงสารแม่ เธอบอกแม่ว่าเราจะอยู่กันตามประสาแม่ลูกเหมือนเดิม ไม่ต้องมีพ่อก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกขาดอะไรตั้งแต่เด็ก

ในที่สุดปกรณ์พลก็ต้องปล่อยเพลงลำเป็นอิสระ เพราะเธอยืนยันว่าไม่ได้รักเขาแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกใครก็ไม่เกี่ยวกับเธอ เธอไม่มีวันทิ้งแม่ไปกับใครอย่างเด็ดขาด เธอขอเป็นคนลำตัดและจะรักษาสิ่งที่แม่กับยายรักเป็นชีวิตจิตใจนี้ไว้ตราบนานเท่านาน

ooooooo

หลังเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายผ่านไป เพลงลำตามหาเจิดไม่เจอ ถามไข่กาก็สั่นหน้าว่าไม่รู้ แต่พูดอย่างเห็นใจเจิดว่า

“ให้พี่เจิดหลบไปทำใจก่อนเถอะ จัดงานแต่งงานเสียใหญ่โตแต่พิธีถูกล้มเหมือนงานหมั้นของคุณปกรณ์–พลเลย”

“ช่างเถอะไข่กา อย่าไปพูดถึงใครเลย”

“แบบนี้ถือว่าพี่เพลงลำยังไม่ได้แต่งงาน แล้วก็ถือว่าคุณปกรณ์พลยังไม่ได้หมั้นนะ ตอนนี้คนเขาก็รู้กันทั้งบางแล้วว่าคุณปกรณ์พลไม่ใช่ลูกของคุณอรรถ ยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่นะ”

“ไม่...เพลงลำแต่งงานกับพี่เจิดแล้ว”

“ยัง! พิธีเพิ่งจะเริ่ม ก็เหมือนงานหมั้นของคุณงามไฉไล ยังไม่ทันได้สวมแหวนหมั้นเลย”

เวลาเดียวกันนั้น โพยมยงรับโทรศัพท์จากใครบางคนแล้วมีท่าทีตื่นตระหนก ทั้งเรื่องงานแต่งงานของเพลงลำที่ล้มเลิก และเรื่องที่ปกรณ์พลไม่ใช่ลูกของอรรถ พองามไฉไลรู้จากแม่ก็ตกอยู่ในอาการเดียวกันไม่มีผิด...

ปกรณ์พลยังไม่กลับกรุงเทพฯ เขาสับสนว้าวุ่นใจกับความจริงที่เพิ่งเปิดเผย บ่นกับกุชงค์ว่าตนไม่อยากไปไหน ไม่อยากขยับตัว ตนไปต่อไม่ถูก

“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับแก สำหรับคุณแม่ แล้วก็สำหรับคุณพ่อ มันยากสำหรับทุกคน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว”

“ฉันควรจะทำยังไงดี”

“ฉันก็ไม่รู้ คุณพ่อก็ไม่รู้ คุณแม่...หรือคุณดัสกร ทุกคนก็คงจะไม่รู้”

“ฉันยังไม่ได้เสียเพลงลำไป แต่ฉันกำลังจะเสียคนหลายๆคนรอบตัวฉันไป”

“กรณ์...ถ้ามันคือความจริง แกก็ต้องกลับไปเผชิญกับมันนะ”

ปกรณ์พลเงียบงัน แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและกังวล นึกถึงดัสกรพ่อบังเกิดเกล้าที่กำลังจะจากไป ยิ่งเศร้าสะเทือนใจ...

ด้านเจิดที่หายตัวไป...ค่ำนั้นเขากลับมาที่บ้านบัวเผื่อนในสภาพเศร้าหมอง ยอมรับว่างานแต่งยัง

ไม่สมบูรณ์ ตนยังไม่ได้แต่งงานกับเพลงลำ และตนก็เลิกโกหกตัวเองแล้วว่าเพลงลำรักตน ความจริงแล้วเธอยังรักปกรณ์พล ยิ่งเขาไม่ได้เป็นลูกของอรรถ เขาก็ไม่ได้เป็นพี่น้องท้องเดียวกับเพลงลำ ทำไมเขาสองคนจะรักกันไม่ได้

“เฮ้อ...เอ็งคิดว่ามันง่ายนักหรือ เอ็งคิดว่าพอ ความจริงปรากฏขึ้นแล้วมันจะง่ายหรือไง เรื่องของ คุณปกรณ์– พลกับเพลงลำอาจจะจบ แต่เรื่องพ่อแม่เขากำลังเริ่มต้น” พูดแล้วบัวเผื่อนก็ส่ายหน้า หนักใจแทนทุกฝ่ายจริงๆ

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น