วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลงรักเพลงลำ ตอนที่ 3


บัวผ่องสะใจเป็นบ้าเมื่อรู้ว่ารถเกี่ยวข้าวของกำนันฝอยพังยับเยินต้องเสียเงินเป็นล้านถ้าจะซ่อมจนใช้งานได้อีก

อาการสะใจของบัวผ่องทำให้บัวเผื่อนเดือดร้อน เพราะแกเล่นบ้วนน้ำหมากผ่านหน้าลูกชายกระเส็นกระสายเลอะเทอะ

“สมน้ำหน้ามัน ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวมันจนได้ ไอ้กำนันฝอย ไอ้ฝาจีบ นังฝาจุก”

“แม่...บ้วนเบาๆหน่อยแม่ หมากนี่เขาเลิกกันไปหมดแล้วตั้งแต่สมัยท่านผู้นำแล้วยังจะกินอยู่อีกแน่ะ”

“เรื่องของข้า เอ็งอย่ายุ่ง ทีเด็กรุ่นใหม่ยังเคี้ยวหมากฝรั่งได้ ทำไมข้าจะเคี้ยวหมากบ้างไม่ได้วะ มันเป็นเอกลักษณ์ของแม่บัวผัน แม่บัวผ่อง แม่...”

บัวผ่องลำดับญาติโกโหติกายังไม่เสร็จ บัวสายก็แทรกขึ้นอย่างกังวลว่า

“แม่...แม่ว่าไอ้เพลงลำเล่นแรงไปมั้ย”

“หลานแม่บัวผ่องเล่นค่อยๆได้ยังไง ถ้ากำนันฝอยยังไม่เลิกเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านอีกล่ะก็...ไอ้เพลงลำเล่นหนักแน่!”

เวลาเดียวกันนั้น เพลงลำทำหน้าที่ผู้ช่วยช่างอยู่ที่อู่ซ่อมรถ เฝ้ามองพวกฝาจีบปรึกษาหารือเรื่องรถเกี่ยวข้าวกันอย่างเคร่งเครียด สักครู่ฝาจีบเดินย้อนกลับมาเจรจากับเพลงลำ

“เอายังงี้นะไอ้เพลงลำ พวกข้าปรึกษากันแล้ว เอาเป็นว่าวินิจฉัยหรือเดาของเอ็งพอฟังได้ ข้าจะซ่อมรถที่นี่ไม่เอาไปซ่อมที่ปั๊ม...คิดเท่าไหร่”

เพลงลำเลิกคิ้ว สบสายตาฝาจีบก่อนหันไปขยับแข้งจะเตะรถ ฝาจีบตกใจร้องห้ามเสียงหลง

“เฮ้ย...อย่า! อย่าเตะ”

“ไม่ได้...ไม่เตะไม่ได้ นี่เป็นวิธีการคำนวณ

ค่าใช้จ่ายสำหรับการซ่อม ต้องมีทั้งเคาะอะไหล่ มีทั้งค่าแรง และค่าน้ำร้อนน้ำชาว่ะ”

“ค่าซ่อมกับค่าแรงพอเข้าใจ แต่ค่าน้ำร้อนน้ำชานี่มาจากไหนวะ”

“มันเป็นค่าธรรมเนียมนอกระบบอีกประเภท ค่าธรรมเนียมประเภทนี้มีประกันแบบ...แบบคุ้มครองครอบคลุมไปถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุเสียหาย”

“งงโว้ย!” สมุนของฝาจีบตะโกนลั่น เพลงลำส่ายหน้าเดินไปมา ก่อนยกเท้าขึ้นเตะชิ้นส่วนรถเกี่ยวข้าวแล้วว่าไม่น่างง จากนั้นตั้งราคาซ่อมเป็นล้านหลากหลายรายการตามอาการจนฝาจีบหน้ามืดแทบเป็นลมต้องร้องเรียกสมุนให้เข้ามาประคอง

ooooooo

ปกรณ์พลใช้วิธีไล่งามไฉไลทางอ้อมด้วยการเอาแต่นอนหลับพักผ่อน หญิงสาวเลยงอนกลับไปด้วยความน้อยใจ แต่ยังไงก็ไม่ละความพยายามที่จะเอาชนะใจชายหนุ่ม เธอวนเวียนมาดูแลเขาทุกวัน จนเป็นที่เอือมระอาของแม่บ้านดาหวันและสาวใช้อีกคน

ด้านกำนันฝอยถึงกับเป็นลมชักกระตุกหลังรู้ราคาค่าซ่อมรถเกี่ยวข้าวจากลูกชายลูกสาวว่าเป็นล้าน ฝาจีบตัวการเอารถไปแอบเกี่ยวข้าวนานางสำอางญาติของบัวสายแล้วรถพังเสียหายไม่มีชิ้นดีก็รีบวิ่งแจ้นหนีแข้งพ่อที่โกรธมากจะเตะมันสักป้าบสองป้าบ หรือไม่ก็เอาเลือดหัวมันออกโทษฐานไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี

ฝาจีบคิดแต่จะตัดกำลังพวกเพลงลำที่กำลังออกหาเสียงให้เจิดซึ่งลงสมัครผู้ใหญ่บ้านแข่งกับตน ขณะที่บัวเผื่อนพอรู้ว่าเพลงลำแก้เผ็ดเอาคืนพวกฝาจีบแรงเกินไปก็ติติงหลานสาวพร้อมตักเตือนให้ระวังตัว กำนันฝอยมีเงินและอิทธิพลจะเอาชนะพวกมันไม่ใช่เรื่องง่าย

“เพราะกำนันฝอยมีทั้งเงินทั้งอิทธิพลน่ะสิ เราถึงต้องทำให้กำนันฝอยรู้ว่าเรามีสมอง”

“แล้วได้ข่าวคุณปกรณ์พลเขาหรือยังล่ะ”

“เขาคงจะ...”

“คงจะกลับบางลำเร็วๆนี้แหละ ไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้หรอก เหมือนที่ไม่มีใครเปลี่ยนใจเอ็งได้ยังไงล่ะ ไอ้เพลงลำ”

เพลงลำฟังแล้วอึ้ง...เข้าใจดีว่าน้าบัวเผื่อนหมายถึงเรื่องที่ตนไม่ยอมเป็นลำตัดตามที่บัวสายเคี่ยวเข็ญ

แน่นอนว่าปกรณ์พลคิดถึงเพลงลำหญิงสาวจิตใจดี แต่เขายังไม่รู้จะปลีกตัวหลีกหนีสายตางามไฉไลไปได้อย่างไร เธอเล่นมาเฝ้าเช้าสายบ่ายเย็น และแทบจะย้ายมานอนค้างหากโฉมตรูอนุญาต

ไม่เพียงแต่ดูแลเขาอย่างดี เธอยังเอาใจด้วยการสรรหาของอร่อยมาบำรุงบำเรอเพื่อให้เขาแข็งแรงเร็วๆ จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกกันเสียที แต่ชายหนุ่มไม่ยอมกิน แถมยังบ่นเพลียขอตัวนอนพักผ่อนลูกเดียว

ไข่กาเห็นเพลงลำเหม่อลอยก็คอยแซวอย่างรู้ใจว่าเธอคิดถึงปกรณ์พล เพลงลำปากแข็งแต่แววตาอ่อนลงเมื่อนึกถึงชายหนุ่ม เพราะเธอเองก็มีใจให้เขาเหมือนกัน

พวกกำนันฝอยเพิ่งคิดได้ว่าที่รถเกี่ยวข้าวพังยับเยินอาจเป็นฝีมือเพลงลำที่ย้อนเกล็ดพวกเขาที่ไปแอบเกี่ยวข้าวในนานางสำอางญาติของบัวสาย กำนันโกรธแค้นมาก ต้องหาโอกาสจัดการเพลงลำให้จงได้

ส่วนทองน้ำงามครูสาวที่กำนันฝอยหมายหัวเอามาเป็นลูกสะใภ้ แต่เธอรักใคร่เจิดจึงปฏิเสธเมื่อโดนแม่บังคับ แม่ของเธอเลยด่ากราดว่าเธอเป็นลูกเนรคุณ แถมทำท่าชิงชังเจิดทั้งที่เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับทองน้ำงาม

ooooooo

วันรุ่งขึ้น งามไฉไลมาที่บ้านอรรถแต่เช้าตรู่ เพื่อมาดูแลปกรณ์พลเหมือนเช่นทุกวัน เธอกรีดเสียงบ่นดาหวันกับสาวใช้โดยที่ไม่รู้ว่าปกรณ์พลไม่อยู่ เขาออกจากบ้านไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

เมื่อรู้ว่ามาเสียเที่ยว งามไฉไลโกรธกระฟัดกระเฟียด บ่นกับโฉมตรูอย่างน้อยใจว่าไม่อยากเชื่อเลยพี่กรณ์จะหนีตนไปบางลำอีก กว่าจะเอาตัวเขามาจากที่นั่นได้ตนต้องใช้ความสามารถรอบด้าน โฉมตรูปลอบใจงามไฉไล และว่าที่ลูกชายตนกลับไปเพราะยังทำงานไม่เสร็จ เขาห่วงวิทยานิพนธ์

งามไฉไลไม่เชื่อ หาว่าปกรณ์พลสนใจสาวบ้านนอก เตือนโฉมตรูว่าระวังจะได้สะใภ้จนๆ โฉมตรูฟังแล้วแปร่งหูพิกล อยากไปเห็นกับตา จึงตกลงจะเดินทางไปบางลำกับงามไฉไล

ปกรณ์พลมาถึงบางลำก็ตรงไปหาเพลงลำเป็นคนแรก หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา เผลอเรียกเขาว่า “คุณไก่อ่อน”

“ผมคงเป็นไก่อ่อนในสายตาเพลงลำจริงๆ แค่ตากแดดตากลมไม่กี่วันก็ถึงกับล้มป่วย”

“คุณเป็นยังไงบ้าง หายหรือยัง”

“ผมสบายดีแล้วครับ”

“แล้วนี่มายังไง ก็ไหนคู่รักของคุณบอกว่าคุณจะไม่กลับมาอีกแล้วยังไงล่ะ”

“งามไฉไลไม่ใช่...”

“ท่าทางหวงคุณเหมือนหมาหวงก้าง แต่คุณกับคุณงามไฉไลจะเป็นอะไรกันมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันหรอก ว่าแต่คุณกลับมาที่นี่อีกทำไม คุณก็รู้ว่าแม่ไม่ต้อนรับคุณ บางลำไม่เหมาะกับไก่อ่อนอย่างคุณ”

“ผมกลับมาก็เพราะเพลงลำไงครับ เพลงลำทำให้ผมต้องกลับมา”

ชายหนุ่มดึงมือเธอมากุมไว้ ทันใดได้ยินเสียงบัวสายร้องถามบนระเบียงว่าใครมา เพลงลำรีบผละออกห่างจากเขาโดยเร็ว

“ฉันถามว่าใครอยู่ที่นั่น มีเรื่องอะไรกัน”

“คือ...คุณคนนี้เขากลับมาแล้วล่ะแม่ เขามานั่งรอแม่ที่ท่าน้ำนี่ตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้น เขาเพิ่งมาจากกรุงเทพฯ”

บัวสายเดินลงมามองปกรณ์พลด้วยแววตาไม่เป็นมิตร เต็มไปด้วยความสงสัย พอชายหนุ่มยกมือไหว้ เธอรับไหว้อย่างเสียไม่ได้แล้วถามว่า

“กลับมาทำไมอีก ก็น่าจะรู้ว่าคุณไม่เหมาะกับที่นี่ งานหนักทำเอาคุณเกือบตาย คุณไม่ผ่านการทดสอบของฉัน”

“ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะครับ ผมจะทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อพิสูจน์ให้แม่บัวสายเห็นว่าผมมีคุณสมบัติที่จะเป็นลำตัดจริงๆ”

“คนหน้าตาดีๆ ท่าทางเป็นคนมีสกุลรุนชาติอย่างคุณ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลำตัดได้ แต่เอาเถอะ อุตส่าห์กลับมาอีกครั้งก็จะรับไว้”

ไข่กาได้ยินเต็มสองหู ยินดีกับปกรณ์พลที่ได้มาอยู่ร่วมคณะลำตัดของบัวสาย แต่หวังว่าญาติของเขาจะไม่ตามมารังควานพวกเราชาวลำตัด เพราะถ้าการกลับมาของเขาทำแต่เรื่องยุ่งให้แม่ แม่คงไล่เขาออกจากคณะอย่างแน่นอน

ooooooo

ปกรณ์พลมีความสุขมากที่ได้อยู่ร่วมชายคากับเพลงลำ และมุ่งมั่นจะเรียนรู้เรื่องลำตัดให้มากที่สุดเพื่อนำไปเขียนวิทยานิพนธ์ตามที่ตั้งใจ

เจิดไม่แสดงออกใดๆทั้งที่รู้เห็นว่าปกรณ์พลเหมือนมีใจให้เพลงลำ เขาคุยกับปกรณ์พลสองต่อสองอย่างเป็นมิตร

“คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พวกเราทุกคนเป็นห่วงกลัวคุณจะเป็นอะไรมาก แต่คุณหายดีแล้วจริงหรือ”

“ผมไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ พอค่อยยังชั่วขึ้นผมก็รีบกลับมาจะได้ช่วยเจิดหาเสียง เห็นว่าเจิดจะลงสมัครผู้ใหญ่บ้าน”

“คุณกลับมาทำวิทยานิพนธ์ต่อเถอะ เอาเรื่องของคุณให้เสร็จแล้วกลับ เรื่องของผมน่ะเพลงลำเป็นคน

วางแผนหาเสียง ระหว่างที่คุณไม่อยู่มีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะแยะ ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเรื่องหาเสียงทั้งนั้น”

“ถ้าเจิดต้องการความช่วยเหลือเรื่องกำลัง...ผมหมายถึงกำลังทรัพย์ ผมช่วยได้นะครับ”

“ไม่ต้องหรอกคุณ ผมรู้ว่าคุณเป็นคนมีเงิน เก็บเงินของคุณไว้ดีกว่า เราไม่มีนโยบายซื้อสิทธิ์ขายเสียง”

“เจิด...นี่แหละที่ผมต้องการได้ยิน การเมืองของคนรุ่นใหม่ต้องไม่สกปรกเพราะการซื้อเสียง ผมดีใจด้วย”

ปกรณ์พลยื่นมือให้เจิดจับ...สองหนุ่มกระชับมือกันด้วยความรู้สึกที่ดี

นอกจากไข่กาที่ดูออกว่าเพลงลำกับปกรณ์พลมีใจให้กันแล้วยังมีบัวผ่องอีกคนที่จับสังเกตและคอยปรามฝ่ายชายให้ยำเกรง

ooooooo

อรรถทราบเรื่องโฉมตรูจะไปบางลำกับงามไฉไล เขาเห็นด้วยอย่างยิ่งให้ตามตัวปกรณ์พลกลับมา ไม่อยากให้ลูกชายไปยุ่งกับพวกลำตัด โฉมตรูรู้สึกแปลกใจ แต่ไม่ได้ซักไซ้เอาความอะไรมากกว่านั้น...

ปกรณ์พลเพลิดเพลินมากกับการซ้อมลำตัดของคณะบัวสายกลางทุ่งนา เขาจดข้อมูลทุกอย่างพลางลอบมองเพลงลำเป็นระยะ

ขณะเดียวกันที่เถียงนาอีกด้าน ฝาจีบและสมุนจับกลุ่มกันสงบเงียบห่างไกลจากสายตากำนันฝอยและฝาจุก ฝาจีบยังเข้าหน้าพ่อไม่ติดที่เป็นต้นเหตุให้รถเกี่ยวข้าวราคาแพงพังเสียหาย

สมุนคนหนึ่งของฝาจุกแอบไปเห็นปกรณ์พลในกลุ่มของเพลงลำ เขารีบกลับมารายงานลูกพี่ด้วยความตื่นเต้น

“ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯนั่นกลับมาแล้ว มันคงจะรวยเอาการ เมื่อตอนที่มันป่วยไอ้เพลงลำหามส่งโรงพยาบาล มีแมงปอ...”

“เฮลิคอปเตอร์โว้ย...เขาเรียกว่าเครื่องบินเฮลิคอปสะเตอร์ เป็นเครื่องที่ลงจอดในที่แคบๆได้” ฝาจีบอวดรู้

“ไอ้เครื่องนั่นแหละพี่ ไม่มีเงินมีได้เสียที่ไหน นี่แสดงว่าไอ้หมอนี่มันเป็นลูกเศรษฐี”

“แล้วมันมาเป็นพวกลำตัดน้าบัวสายทำไม”

“เห็นว่ามาหาข้อมูลไปเขียนอะไร แต่มันชักจะยังไงเสียแล้วล่ะ”

“ยังไงวะ”

“เพราะฉันสงสัยว่ามันจะมาติดพันไอ้เพลงลำน่ะสิพี่ฝาจีบ ได้ข่าวว่าน้าบัวสายไม่ยินดีต้อนรับ ก็ตามประสาน้าบัวสายแกเกลียดผู้ชายเลยไม่อยากให้ไอ้เพลงลำมีผัว แต่ไอ้หมอนี่มันเข้าทางน้าบัวเผื่อน ยายบัวผ่อง แล้วไหนจะเข้าพวกกับไอ้เจิดอีกต่างหาก เป็นไปได้ไหมพี่ที่มันจะทำตัวเป็นนายทุนให้ไอ้เจิดลงแข่งกับพี่”

“เอ...ไอ้หมอนี่มันรวยสักเท่าไหร่วะ”

“ใครจะไปรู้ ลงว่าเจ็บป่วยแล้วมีเครื่องบินมารับตัวกลับกรุงเทพฯ ฉันก็ว่ามันรวยพอตัวเชียวล่ะ”

ฝาจีบนิ่วหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นฝาจุกขับ มอเตอร์ไซค์ตรงมา เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดมองเห็นแต่ไกล ส่งเสียงโหวกเหวกอารมณ์เสีย

“มาสุมหัวกันอยู่นี่เอง มิน่า...ให้คนออกไปตามถึงไม่เจอ พี่ฝาจีบ พ่อเรียกพี่ไปกระทืบเรื่องเงินค่าซ่อมรถเกี่ยวข้าว ยังไงพ่อก็ต้องเสียเงิน ไหนจะเสียภาพพจน์เรื่องที่ชาวบ้านเริ่มสงสัยว่าใครขโมยเกี่ยวข้าวแล้ว...ไปให้พ่อกระทืบซะดีๆ”

“เรื่องอะไรจะไป ไปให้เจ็บตัวทำไมวะ เอ็งคงจะสาระแนฟ้องพ่อให้กระทืบข้าน่ะสิ”

“ตามใจ พูดไม่รู้เรื่องไว้ให้เจอพ่อเองก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ”

“เออ ขับรถดีๆนะโว้ย ระวังชนควาย” ฝาจีบตะโกนกระเซ้าน้องสาว

ฝาจุกหมั่นไส้แต่ไม่ใส่ใจพี่ชาย ขับรถต่อไปตามคันนาขึ้นสู่ถนนที่มีหลุมมีบ่อ แล้วเกือบชนปกรณ์พลที่แบกไซดักปลา เธอหักรถหลบจนถลาลงไปในท้องนาโคลนเปรอะทั่วใบหน้าแต่ยังมองเห็นความหล่อของ

ชายหนุ่ม ถึงกับตะลึงอยู่หลายวินาที ก่อนจะแกล้งร้องโอดโอยว่าเจ็บไปทั้งตัว ไม่รู้กระดูกหักหรือเปล่า

ปกรณ์พลตกใจเดินเข้ามาดูใกล้ๆ “ไม่น่าเชื่อว่าจะกระดูกหัก โคลนนี่เป็นโคลนนิ่มๆ แน่ใจนะครับว่าเจ็บที่ขานี่”

“อุ้มขึ้นไปที ฉันเดินไม่ไหว”

“ผมขอโทษที่ไม่ทันเห็นคุณ แต่คุณก็ไม่ควร

ขับรถเร็วบนทางแคบๆแบบนี้ อันตรายครับ”

“ก็ใครจะไปรู้...โอย...เจ็บจังเลย”

“ผมว่าไปหาหมอดีกว่า” เขาพยุงเธอขึ้นจากโคลน

“ไม่ต้อง คุณต้องพาฉันไปส่งที่บ้าน อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักหรอก ฉันเป็นลูกสาวกำนันฝอย”

“ลูกสาวกำนันฝอย...ฝาจีบ?”

“พี่ฝาจีบเป็นพี่ชายของฉันเอง คุณชื่ออะไรนะ ไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม”

“ผมชื่อปกรณ์พล มาจากกรุงเทพฯครับ”

“ผู้ชายกรุงเทพฯ มิน่าล่ะท่าทางคุณถึงได้ไม่เหมือนคนแถวนี้ ไปส่งฉันที่บ้านนะ จะได้ทำความรู้จักกับพ่อ”

หญิงสาวคะยั้นคะยอ ปกรณ์พลท่าทางลำบากใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน

ooooooo

เพลงลำกับไข่กาอยู่ในท้องนาชะเง้อมองหาปกรณ์พลที่อาสาไปจับปลานานสองนานไม่กลับมาเสียที เพลงลำกลัวเขาเป็นอะไรไปอีก ไข่กาเลยสบโอกาสแซวว่าสงสารเขาใช่ไหม เพลงลำปฏิเสธ อ้างว่ากลัวเขาจะตายแล้วญาติโกโหติกาของเขาจะมาแหกอกเอา

เวลานั้นปกรณ์พลอยู่ที่บ้านกำนันฝอย กำนันมองเขาหัวจดเท้าแล้วถามลูกสาวว่าไอ้หมอนี่เป็นใคร ฝาจีบกับสมุนกลับมาดูลาดเลาเห็นหนุ่มเมืองกรุงก็สาระแนเข้ามาตอบเสียเอง

“ก็จะใครเสียอีก พวกไอ้เพลงลำกับไอ้เจิด เฮ้ย! จับตัวมันไว้ ใช้สหบาทากับมันก่อนส่งตำรวจข้อหาบุกรุก”

ฝาจุกไม่พอใจ รีบกางแขนกั้นกลุ่มของพี่ชาย “อย่านะพี่ฝาจีบ ฉันเป็นคนขอให้คุณคนนี้เขาพาฉันมาส่งบ้าน”

“นังฝาจุก...นี่เอ็งขอให้มันมาส่งถึงบ้าน กลับบ้านไม่ถูกหรือยังไง รู้มั้ยว่าไอ้ปกรณ์พลนี่แหละศัตรูอันดับหนึ่งเลย”

ปกรณ์พลเห็นท่าไม่ดีไม่อยากมีเรื่อง เอ่ยปากบอกฝาจุกว่าตนขอตัวกลับก่อน

“ยัง! ยังกลับไม่ได้ค่ะ คุณต้องยอมให้ฝาจุกเลี้ยงดูปูเสื่อ เพื่อตอบแทนความมีน้ำใจที่คุณอุตส่าห์ประคองฝาจุกกลับมาส่งถึงบ้าน”

“หา! นี่ถูกเนื้อต้องตัวกันมาตลอดทางเลยเหรอ ยังงี้ยิ่งเอาไว้ไม่ได้”

“อย่านะพี่ฝาจีบ...พ่อเอาพี่ฝาจีบไปเก็บในกรงเสียทีเถอะ คนอะไรก็ไม่รู้พูดไม่รู้เรื่อง ฉันบอกแล้วไงว่าคุณปกรณ์พลเขาเป็นแขกของฉัน ฉันต้องเลี้ยงรับรองเขาก่อน”

กำนันฝอยงงงัน มองหน้าฝาจีบสลับกับฝาจุกไปมา

“พ่อต้องให้ฉันกระทืบมัน!”

“มาสิ มากระทืบฉันก่อน ฉันจะได้ฟ้องพ่อว่าพี่รังแกน้อง”

“เอ้อ...ผมว่าผมกลับไปก่อนดีกว่าครับ จะได้ทะเลาะกันให้เสร็จ เอาไว้โอกาสหน้าผมจะกลับมารับเลี้ยงของฝาจุกดีไหมครับ”

“จริงๆนะคะ คุณปกรณ์พลต้องยอมให้ฝาจุกเลี้ยงขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณ คุณอยู่ที่ไหนฝาจุกจะให้คนงานเอารถอีแต๋นไปส่ง”

“มันอยู่ที่บ้านไอ้เพลงลำ” ฝาจีบโพล่งขึ้นมาจนฝาจุกชะงักไปอย่างงุนงงสงสัย

ooooooo

พวกเพลงลำตามหาปกรณ์พลไม่เจอ แต่มาเจอไซดักปลาหล่นอยู่ในแอ่งโคลนกับรถเครื่องรุ่นใหม่ของฝาจุกที่ทุกคนจำได้ดี

“ใครใช้เขาไปจับปลา” เจิดถามขึ้น

“ไม่มีใครใช้เขาหรอก แต่คุณปกรณ์พลเป็นคนไม่นิ่งดูดาย เห็นเราทำอะไรเขาก็อยากช่วย เขาก็เลยตามมาด้วย คงไม่มีอะไรหรอก เขาคงอยู่แถวนี้แหละ”

ขาดคำของเพลงลำ ปกรณ์พลเดินตรงมาในสภาพเนื้อตัวเปื้อนโคลน ไข่กาเห็นก่อนร้องบอกทุกคนว่านั่นไง

“โอย...เกือบไป เกือบไม่รอดจากบ้านกำนันฝอย”

ได้ยินปกรณ์พลบ่น เพลงลำสงสัยถามทันทีว่าเขาไปทำอะไรที่นั่น

“ผมไปส่งฝาจุก เกิดอุบัติเหตุน่ะเพลงลำ รถของฝาจุกหักหลบผมเลยพุ่งลงไปในโคลน เห็นว่าฝาจุกขาเจ็บผมก็เลย...”

“ทำหน้าที่สุภาพบุรุษ” พูดแล้วเพลงลำเผลอตัวค้อนขวับ

“ไปส่งนังฝาจุก ดีนะคุณยังหลุดออกมาจากดงเสือได้ รู้หรือเปล่าคุณเข้าไปในเขตหวงห้ามของไอ้ฝาจีบ”

“ผมก็บอกแล้วไง เกือบไม่รอด ดีนะที่...”

“นังฝาจุกมันคงจะปกป้องคุณไว้ล่ะสิ นังนี่น่ะมันเห็นคนหล่อได้เสียที่ไหนล่ะ ทีหลังระวังตัวไว้บ้างนะ เดี๋ยวจะหาทางออกมาจากดงตำแยไม่ได้” ไข่กาจีบปากอย่างออกรส

“เอาล่ะๆ พอที ไหนๆคุณปกรณ์พลก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว กลับบ้านเถอะ” เจิดตัดบท แต่เพลงลำยังคุกรุ่นในใจ กล่าวโทษว่าไม่ได้ไปลงไซดักปลาเพราะปกรณ์พลคนเดียว

ตกเย็น ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าว ยกเว้นบัวผ่องกับบัวสายที่ไปช่วยงานเพื่อนบ้านและไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่ เพลงลำชำเลืองมองปกรณ์พลก่อนอธิบายอาหารในสำรับตรงหน้าว่า

“นี่น้ำพริกกับผักบุ้งต้ม จะเป็นคนบางลำคุณต้องรู้จักน้ำพริกผัก ต้องกินอยู่ให้เหมือนกับพวกเรา”

“อร่อยครับ...ไข่กาเป็นแม่ครัวฝีมือดีจริงๆ อร่อยทุกมื้อไม่เคยเบื่อเลยครับ”

“ปลูกต้นยอเก่งนะ” ไข่กาแซว เจิดอมยิ้มเสริมขึ้นว่า

“มาอยู่ไม่เท่าไหร่แถวๆนี้ต้นยองอกงามดกดื่นนะ”

“ก็จริงๆนี่ครับ นอกจากไข่กาจะเก่งแล้วยัง...สวยด้วย”

ไข่กายิ้มเอียงอาย แต่ปกรณ์พลมองสบสายตาเพลงลำ ต่างยิ้มให้กัน เจิดจับสังเกตอย่างหวาดระแวง

ooooooo

โฉมตรูกับดาหวันเดินทางไปบางลำพร้อมงามไฉไลที่เป็นตัวตั้งตัวตี หญิงสาวจอดรถหน้ารั้วบ้านบัวสายแล้วพากันลงไปยืนชะเง้อมองเข้าไปในบ้าน ก่อนจะตะโกนเรียกเพราะเชื่อว่าชนบทแบบนี้ไม่มีกริ่งหรือออดอย่างแน่นอน

งามไฉไลทั้งตะโกนทั้งเขย่าประตูรั้วจนหมาเห่าเกรียวกราว ต้องถอยห่างออกมาด้วยความกลัว

“ระวังนะหนูงาม บ้านนอกส่วนใหญ่เขาเลี้ยงหมาไว้เป็นฝูง เจ้าพวกนี้มันดุ”

หมาเห่าไม่หยุด งามไฉไลไม่กล้าแหยม พอดีบัวผ่องกับบัวสายกลับจากทำบุญเดินมาทักถามทั้งสามคนว่ามาหาใคร หรือว่ามาหางาน

โฉมตรูกับดาหวันนิ่วหน้าไม่เข้าใจคำถามนั้น แต่งามไฉไลหัวไวร้องขึ้น

“อ๋อ...งามเข้าใจแล้ว ที่นี่เป็นบ้านลำตัด ยายคนนี้คงจะคิดว่าเรามาหาลำตัดไปเล่นน่ะค่ะ”

“ใช่ บ้านนี้เป็นบ้านลำตัด ไม่มาหาลำตัดไปเล่นจะมาหาเรื่องเรอะ” บัวผ่องวางท่าเข้ม บัวสายเรียกแม่เบาๆ เป็นการปราม...โฉมตรูยิ้มเจื่อนๆ เอ่ยอย่างสุภาพว่า

“ไม่ได้มาหาลำตัดหรอกค่ะ ฉันมาตามลูกชายของฉันกลับบ้าน”

“ลูกชายของคุณ...ใครกัน”

“ก็พี่กรณ์น่ะสิ คุณปกรณ์พลเป็นลูกชายของคุณโฉมตรูคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแก” งามไฉไลกรีดเสียง

ท่าทางยโสจนโฉมตรูต้องสะกิดปรามให้ใจเย็น คงไม่มีใครขังปกรณ์พลไว้ได้ถ้าเขาไม่อยากอยู่ ค่อยพูดจากันดีกว่า

“ใช่ค่ะ เราเป็นคนแปลกถิ่น ค่อยเจรจากันดีกว่า ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรสักหน่อย” ดาหวันเสริม สีหน้าไม่พอใจงามไฉไล

“ใครบอกว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย พี่กรณ์ทั้งคนปล่อยให้หลุดออกมาอยู่กับใครก็ไม่รู้ รับรอง

ความปลอดภัยได้หรือว่าพี่กรณ์จะไม่เสียหาย”

“คุณพูดถึงหมาหรือพูดถึงคุณปกรณ์พลกันแน่” บัวสายสวนขึ้นมา

งามไฉไลเต้นเร่าๆไม่พอใจ จีบปากฟ้องโฉมตรูว่าคนพวกนี้หาว่าปกรณ์พลเป็นหมา บัวสายเลยตอกหน้าให้อีกว่า

“ที่นี่ไม่ใช่คอก ไม่มีที่ขังสุนัข เราเป็นคณะลำตัดที่ทำมาหากินสุจริต ถ้าคุณจะมาตามคนกลับก็เข้ามาข้างใน”

บัวสายเปิดประตูรั้วเดินนำหน้า โฉมตรูสังเกตบริเวณโดยรอบบอกว่าบ้านร่มรื่นและสะอาดสะอ้านมีระเบียบแสดงว่าเจ้าของบ้านเป็นคนมีวินัย แต่งามไฉไลไม่สนใจสภาพแวดล้อมเอาแต่จ้องจะเจอปกรณ์พลเพียงอย่างเดียว ถามแล้วถามอีกว่าเขาอยู่ไหน

“คุณนั่งรอที่นี่ ฉันจะให้เด็กหาน้ำมาให้”

งามไฉไลปฏิเสธไม่ดื่มน้ำ เธอกับโฉมตรูต้องการพบปกรณ์พล ย้ำว่าโฉมตรูเป็นแม่ของพี่กรณ์ บัวผ่องตวัดสายตามองทั้งคู่หัวจดเท้าแล้วเอ่ยว่า

“เป็นคุณแม่เรอะ ท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุลเหมือนลูกชายนะ แต่ว่า...แม่คนนี้กิริยาเหมือนม้าดีด!”

งามไฉไลโกรธแทบกรี๊ด บัวสายรำคาญชิงตัดบทว่าตนจะให้คนไปตามปกรณ์พลเดี๋ยวนี้ ว่าแล้วร้องเรียกไข่กา ไม่ช้าเด็กสาวก็วิ่งถลาออกมารับคำสั่ง “ไปตามนายไก่อ่อน บอกเขาว่าแม่มารับกลับบ้าน”

“กลับไปกินนมด่วน เดี๋ยวนมหมดอายุ” บัวผ่องเยาะยิ้มๆ งามไฉไลแผดเสียงไม่พอใจที่บัวสายตั้งฉายาปกรณ์พลว่าไก่อ่อน แถมบัวผ่องยังแขวะโฉมตรูด้วย บัวสายรำคาญเต็มที เร่งไข่การีบไปตามเขามาจะได้ไปให้พ้นๆ จากที่นี่เสียที

ไข่การับคำแล้ววิ่งแจ้นกลับไปข้างใน โฉมตรูยิ้มให้สองแม่ลูกลำตัดอย่างเป็นมิตร แนะนำตัวเองเป็นแม่ปกรณ์พล เขาเพิ่งหายป่วยแล้วหายออกมาจากบ้านตนเลยเป็นห่วง ต้องขอบคุณที่กรุณาลูกของตน

งามไฉไลยิ้มเหยียดก่อนท้วงโฉมตรูว่าขอบคุณคนพวกนี้ทำไม เขาไม่หวังดีกับเราทั้งนั้น เห็นพี่กรณ์เป็นคนมีฐานะมีเงิน มีหรือจะไม่จับไว้พึ่งพา ลำตัดสมัยนี้มีใครอยากดู คนหันไปดูหนังดูละครกันหมด ไม่มีงานเขาก็ไม่มีเงิน ใครหลงเข้ามาถึงได้กลายเป็นเหยื่อชิ้นใหญ่อย่างพี่กรณ์บัวผ่องกับบัวสายโกรธมากตอบโต้งามไฉไลอย่างไม่ไว้หน้า

“พวกเราลำตัดนี่น่ะหรือเห็นพ่อไก่อ่อนสอนบินเป็นเหยื่อ”

“คุณนี่เสียแรงเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ดีมีเงิน แต่กิริยามารยาทส่อสกุลเหมือนถูกพ่อแม่ไปขุดมาจากกองขยะ”

งามไฉไลร้องกรี๊ด กระทืบเท้าเอาแต่ใจ ดาหวันทนไม่ไหวหันไปดุเสียงเข้ม

“อยู่นิ่งๆเป็นมั้ยคุณน่ะ เรื่องคุณปกรณ์พลปล่อยผู้ใหญ่ท่านเจรจากันเอง คุณจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะ” ตำหนิงามไฉไลแล้วดาหวันหันมาขอโทษบัวสาย บัวสายเลยอยากรู้ว่าเธอคนนี้เป็นใคร

“ฉันเป็นว่าที่เจ้าสาวของพี่กรณ์” คำตอบชัดถ้อย ชัดคำของงามไฉไลเล่นโฉมตรูกับดาหวันมองหน้ากันแปลกใจ

เวลาเดียวกัน ไข่กาวิ่งมาตามปกรณ์พลที่กำลังสนุกกับการดำน้ำงมหอยขมอยู่กับเพลงลำ บอกว่ามีผู้หญิงจากกรุงเทพฯ มาตามเขา ยกโขยงมาน่ากลัวมาก แม่กับยายกำลังรับเละ

ปกรณ์พลออกไปในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน งามไฉไลปราดเข้ามาคล้องแขนแสดงความเป็นเจ้าของก่อนมองพิจารณาแล้วร้องยี้ว่าเหม็นกลิ่นโคลนหึ่งเลย

“คุณกรณ์ นี่ไปลงน้ำมาหรือคะ ตัวเปียกโชกเชียว” ดาหวันบ่นอย่างห่วงใย

“พี่กรณ์เพิ่งหายไข้ไม่ควรลงน้ำ เดี๋ยวไข้กลับแล้วใครจะรับผิดชอบ งามพาคุณแม่มารับพี่กรณ์กลับบ้านค่ะ ไม่ต้องทำแล้วล่ะวิทยานิพนธ์อะไรนี่น่ะ”

ปกรณ์พลปลดมืองามไฉไลออกจากแขนแล้วจับมือโฉมตรู “คุณแม่รู้จักแม่บัวสายกับยายบัวผ่องหรือยังครับ แม่บัวสายเป็นลำตัดชื่อดังของบางลำ แม่บัวสายรับผมไว้เป็นศิษย์ ผมก็เลยต้องอยู่เพื่อศึกษาเรื่องลำตัดที่เรือนนี่... แม่บัวสายจะสอนกลอนลำให้กับลูกคณะ เราเรียนกันที่ชานเรือนข้างบนครับ”

โฉมตรูไม่ทันว่ากระไร งามไฉไลก็รบเร้าปกรณ์พลให้กลับบ้าน แต่เขาไม่ยอม บอกเหตุผลกับแม่ว่าตนเพิ่งเริ่ม พอโฉมตรูอึกอักพูดไม่ออก งามไฉไลก็แทรกขึ้นอีก ดาหวันเลยต้องปรามเธอควรนิ่งเสียบ้าง ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาคุยกันเองดีกว่า

งามไฉไลกลัวซะที่ไหน เถียงดาหวันคอเป็นเอ็น โฉมตรูเริ่มไม่ชอบใจ ให้ลูกชายตัดสินใจเองว่าจะกลับหรือไม่ แม่แค่มาบอกว่าพ่อสั่งให้กลับ

“คุณพ่อหรือครับ ร้อยวันพันปีคุณพ่อไม่เคยยุ่งเรื่องของผม”

“แม่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เขาถึงได้ปึงปังเรื่องลูก เมื่อคืนนี้คุณพ่อไม่ได้นอนทั้งคืน”

จะอะไรล่ะคะ คุณลุงกลัวจะมีสะใภ้เป็นพวกลำตัดน่ะสิ”

“อ้าวเฮ้ย! งานเข้าหลานข้าแล้วมั้ยล่ะ” บัวผ่องแผดเสียง ขณะที่บัวสายชักสีหน้าท่าทางเอาเรื่อง

“นี่คุณ อย่ามาพูดจาดูถูกเหมือนคนลำตัดไม่มีศักดิ์ศรีนะ ออกไปจากเรือนของฉัน เอาตัวลูกชายของคุณไปด้วย อย่ากลับมาเหยียบที่เรือนฉันอีก ไม่ยังงั้นฉันจะ...”

งามไฉไลไม่สลด บัวสายสุดทนตะโกนสั่งไข่กาไปเอาปืนมา เท่านั้นเองสาวชาวกรุงถึงกับตาลีตาเหลือกมาหลบหลังโฉมตรู ชวนกลับยิกๆ แต่ต้องเอาปกรณ์พลกลับด้วย...

ที่ท่าน้ำ เพลงลำนั่งเหงาหงอย เจิดเดินมาทักว่าทำไมไม่ขึ้นเรือน เธอไม่ตอบแต่ถามว่าปกรณ์พลกลับไปกับแม่ของเขาแล้วใช่ไหม

“เพลงลำรักเขาเหรอ”

“ทำไมพี่เจิดต้องถามอย่างนี้”

“รักเขาใช่ไหม? ที่พี่ถามเพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ความรักมันเป็นเรื่องของธรรมชาติมนุษย์ที่ต้องรักกัน มันไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย มันเกิดขึ้นได้”

“เพลงลำไม่อยากเป็นอย่างนี้เลยพี่เจิด ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหวั่นไหวไปกับคนที่เพิ่งรู้จัก”

“เพราะมันเป็นความมหัศจรรย์ไง มันถึงมีคุณสมบัติพิเศษอย่างที่อะไรในโลกมีไม่เหมือน มันต้องการพลัง เพราะเมื่อไม่มีพลังมันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนความฝันไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ ถ้าเพลงลำจะรักคุณปกรณ์พล คงต้องใช้แรงขับเคลื่อนเยอะนะ”

“พี่เจิดคงจะหมายถึง...”

“พี่จะไม่ขอให้เพลงลำลืมเขา เพราะพี่รู้ว่าเพลงลำทำไม่ได้ และไม่มีวันทำ...ขึ้นบ้านเถอะ”

เจิดโอบไหล่เพลงลำอย่างปลอบโยน แต่ตัวเองลอบถอนใจอย่างเศร้าหมอง...ในเวลาเดียวกัน รถยนต์คันหรูเคลื่อนออกจากหน้าบ้านบัวสายโดยโฉมตรู งามไฉไลร้องไห้ฟูมฟายอยู่เบาะข้าง ดาหวันนั่งเบาะหลังส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย

“ต้องเป็นเพราะนังเพลงลำแน่ๆ นังเพลงลำมันหว่านเสน่ห์พี่กรณ์จนอยู่หมัดไปไหนไม่ได้ ระวังเถอะพี่กรณ์จะพาสะใภ้ลำตัดมานั่งแท่นท้าวแขนเป็นผู้ดีกำมะลอ”

โฉมตรูไม่มีสมาธิขับรถ ขอร้องงามไฉไลอย่าโวยวาย แทนที่หล่อนจะหยุด กลับฟาดงวงฟาดงาต่อว่าโฉมตรูไม่เอาตัวปกรณ์พลกลับ ยอมแพ้ไอ้อีพวกลำตัดทำไม

“เราไม่ได้ทำสงครามนะคะคุณงามไฉไล เราแค่...”

“อย่ามายุ่งกับฉัน! นี่มันเรื่องของฉันกับพี่กรณ์” งามไฉไลตวาดแว้ดจนดาหวันหยุดชะงัก จากนั้นหล่อนก็ลั่นวาจากับโฉมตรูว่ายังไงตนก็ไม่ยอม ตนจะเอาตัวพี่กรณ์กลับบ้านให้ได้!

ooooooo

ด้วยความสงสัยว่าทำไมหนุ่มกรุงเทพฯอย่างปกรณ์พลต้องมาอาศัยบ้านเพลงลำอยู่ ฝาจุกจึงไปด้อมๆมองๆใกล้บ้านแล้วได้เจอไข่กา สองสาวมีปากเสียงกันครู่หนึ่งก่อนที่ฝาจุกจะกลับออกมาพร้อมคำตอบว่าปกรณ์พลมาอยู่ที่นี่เพื่อเก็บข้อมูลลำตัดไปเขียนวิทยานิพนธ์

ฝ่ายอรรถเมื่อรู้เห็นว่าโฉมตรูเอาตัวปกรณ์พลกลับมาไม่ได้ก็แสดงความไม่พอใจถึงกับประกาศว่าตนจะไปลากตัวลูกกลับมาเองในวันพรุ่งนี้

โฉมตรูกับดาหวันแปลกใจไม่เคยเห็นอรรถหัวเสียอย่างนี้มาก่อน ทำไมเขาต้องเป็นเดือดเป็นร้อนที่ปกรณ์พลไปอยู่บ้านคณะลำตัดแม่บัวสาย แล้วดาหวันก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาบัวสายเหลือเกิน

ด้านงามไฉไลพอกลับไปถึงบ้านก็เอาแต่ร้องไห้น้อยใจปกรณ์พลที่ไม่เห็นความสำคัญของเธอเลยสักนิด โพยมยงปลอบโยนจนอ่อนใจ บอกลูกสาวให้หยุดร้องเสียที ร้องไปก็เท่านั้นปกรณ์พลเขาไม่ได้รับรู้อะไรด้วยสักหน่อย

“นั่นก็พิลึก ช่างไม่เห็นความหวังดีของแม่กับหนูเลยนะ เพิ่งจะเอาเฮลิคอปเตอร์ไปรับตัวมาจากบางลำ ค่อยยังชั่วแล้วแทนที่จะมาขอบอกขอบใจแม่กับหนู ดันกลับไปที่นั่นอีก”

“ต้องเป็นเพราะนังเพลงลำแน่ๆค่ะคุณแม่ งามเจ็บใจที่ไปคราวนี้ไม่เจอมัน มันคงจะหลบหน้า”

“ถ้ามันหลบหน้าก็หมายความว่ามันส่อพิรุธ”

“หรือไม่ก็กลัวเจ็บ นังแม่นังยายทำยโสกับคุณป้า แทนที่คุณป้าจะโกรธคุณป้ากลับยอม คุณป้าโฉมตรูนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ”

“งาม...ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคุณโฉมตรูเป็นผู้ดี ไอ้ที่จะเอะอะโวยวายคงไม่ทำหรอก ตระกูลนี้เก่าแก่มาจนถึงชั้นลูกหลานว่านเครือ ไม่เหมือนแม่”

“นี่คุณแม่หาว่ากิริยาของงามเหมือนคนข้างถนนยังงั้นสิคะ”

“ไม่ใช่ยังงั้น แต่เราเป็นแม่ค้า ถึงจะค้าเพชรพลอยส่งออก แต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นแม่ค้า แม่ถึงอยากจะให้ลูกแต่งงานกับลูกหลานว่านเครือของผู้ดี จะได้เอื้ออวยกันเรื่องค้าๆขายๆ เพราะคุณอรรถเองเป็นเจ้าของสถาบันการเงิน”

“แล้วนี่งามจะทำยังไงดีคะคุณแม่”

“แม่กำลังคิดอยู่ เราต้องทำใจเย็นไว้ จะหักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ ถึงยังไงก็ยังไม่มีการหมั้น”

“จริงสิ งามกับพี่กรณ์ยังไม่มีอะไรผูกพันกันถึงขั้นอ้างได้ว่าเป็นเจ้าของเขา แล้วทำยังไงจะให้มีการหมั้นล่ะคะ”

“แม่จะหาทางรวบรัดคุณโฉมตรู เพราะถึงยังไงเราก็เป็นครอบครัวใกล้ชิด ตีตราจองปกรณ์พลไว้เป็นเขย เอาเถอะ พรุ่งนี้แม่จะไปหาคุณโฉมตรู”

ฟังคำแม่แล้วงามไฉไลปาดน้ำตา หยุดสะอื้นอย่างพอใจ

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น