วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลงรักเพลงลำ ตอนที่ 10


กลับจากบางลำได้แค่ข้ามคืนอรรถก็หายตัวไปตอนเช้ามืดของวันใหม่ ปกรณ์พลเข้าใจความรู้สึกของเขา บอกกับแม่ว่าบางทีพ่ออาจต้องการเวลาอยู่คนเดียว

“ใช่...แม่ก็ไม่อยากพบเขา เราไม่รู้จะพูดอะไรกันแล้ว” โฉมตรูพูดอย่างอัดอั้น ดาหวันพยายามจะปลอบแต่เธอขัดขึ้นอย่างเจ็บช้ำว่า “สิ่งดีๆมันผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่มันเคยผ่านไป...กรณ์ แม่เสียใจ แม่จำเป็นต้องแต่งงานกับคุณอรรถเพราะแม่ท้อง คุณดัสกรเป็นแค่นักดนตรี เขาช่วยพยุงฐานะของแม่ไม่ได้ แม่จำเป็นจริงๆ ลูก”

“ผมเข้าใจครับคุณแม่ คุณแม่อย่าร้องไห้เลยครับ ถึงใครจะทิ้งคุณแม่ไป แต่คุณแม่ก็ยังมีผมอยู่ ผมรักคุณแม่ครับ”

“กรณ์...” โฉมตรูสะอื้นไห้ในอ้อมแขนของลูกชาย

เวลาเดียวกันนั้น โพยมยงกำลังดูถูกเหยียดหยามโฉมตรูต่อหน้างามไฉไลที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ทำตัวเป็นผู้ดีมีสกุล ที่ไหนได้ กลับมีเบื้องหลังสกปรก คุณโฉมตรูธิดาท่านผู้หญิงตลับไปเรียนเมืองนอก ท้องโตกับนักดนตรีต๊อกต๋อย ต้องกลับมาแต่งงานกับคุณอรรถเพื่อพยุงเกียรติของตระกูล โฮ้ย! ถึงใครบอกแม่ว่าในเงาน้ำครำยังมีแสงจันทร์ แม่ก็ไม่เชื่อหรอก...งาม นี่ฟังแม่อยู่หรือเปล่า”

งามไฉไลสะดุ้ง ทำหน้าตาเหมือนรับฟัง แต่แล้วเอ้ออ้าเมื่อแม่ถามว่าไม่แปลกใจเลยหรือที่ความจริงแดงแจ๋ออกมาว่าโฉมตรูเป็นพวกลวงโลก แม่จึงสั่งให้คิดใหม่เรื่องปกรณ์พล

“เรื่องพี่กรณ์ ยังไงคะ”

“คุณอรรถรู้แล้วว่าปกรณ์พลไม่ใช่ลูกของเขา แล้วเขาจะยังยกมรดกให้ปกรณ์พลไหมล่ะ”

“คุณแม่คะ เรื่องเพิ่งเกิดคงไม่มีใครคิดทันหรอกค่ะว่าจะทำยังไง”

“แต่เราต้องคิดล่วงหน้า ว่าเราจะทำยังไง”

“งามยังไม่ทำอะไรหรอกค่ะ งามยังไม่ได้พบพี่กรณ์เลย ตอนนี้พี่กรณ์คงกำลังลำบาก ดูท่าทีเขาก่อนดีไหมคะ”

“ได้...ดูท่าทีเขาก่อนก็ดี ยังไงเราก็ยังมีเวลากลับตัว ถ้าปกรณ์พลถูกตัดออกจากกองมรดก” โพยมยงเข่นเขี้ยวด้วยความงก

ooooooo

อรรถขับรถใจลอยไปถึงบางลำแล้วเกือบเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์ของเพลงลำที่มีไข่กาซ้อนท้าย อารามตกใจเขาหักหลบรถของสองสาวจนรถตัวเองไถลลงข้างทาง ศีรษะเขากระแทกพวงมาลัยสลบแน่นิ่ง

สองสาวตกใจรีบพาเขาส่งโรงพยาบาลก่อน โทร.บอกกุชงค์หมายให้เขาสื่อสารถึงปกรณ์พล ผ่านไปไม่นานสองหนุ่มก็เดินทางมาที่โรงพยาบาลพร้อมกัน

ด้านโฉมตรูที่เป็นห่วงดัสกร พอเขา โทร.หาเธอก็รีบชวนดาหวันไปโรงแรมแล้วพาเขาไปโรงพยาบาลเพราะอาการเขาทรุดลง ดัสกรอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต มะเร็งทำให้เขาเจ็บปวดทรมานมาหลายปี โฉมตรูร้องไห้น้ำตาไหลพราก ดาหวันเวทนาบอกโฉมตรูว่าตนจะโทร.หาปกรณ์พลให้มาดูใจพ่อแท้ๆ

เวลานั้นปกรณ์พลอยู่ดูอาการอรรถที่โรงพยาบาลบางลำ อรรถปลอดภัยไม่มีอะไรน่าห่วง เมื่อปกรณ์พลทราบจากดาหวันว่าดัสกรกำลังจะตายจึงรีบไป โดยฝากกุชงค์เป็นธุระพาอรรถกลับกรุงเทพฯ

ปกรณ์พลมาทันดูใจดัสกร สองพ่อลูกพูดคุยกันไม่นานดัสกรก็สิ้นใจไปอย่างสงบ

ooooooo
โพยมยงเริ่มสงสัยในตัวลูกสาวหลังจากวันนี้ได้ยินเสียงเธออาเจียนรุนแรง นึกว่ากินอะไรผิดสำแดงแต่ลูกสาวก็ไม่ตอบ วิ่งไปโก่งคออาเจียนอีกครั้งในห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกมาด้วยสีหน้าร่วงโรยซีดเซียว

พอแม่คาดคั้น เธอบอกว่าไม่ค่อยสบายเวียนหัวมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่ยอมไปหาหมอตามที่แม่คะยั้นคะยอ แล้วยังทำหน้าตาตกใจเมื่อแม่พูดทำนองว่าจะไม่ให้เธอคบปกรณ์พลถ้าเขาถูกตัดออกจากกองมรดกของอรรถ

“ไม่ได้นะคะ คุณแม่จะตัดพี่กรณ์ออกไปจากชีวิตงามไม่ได้ งามอยากแต่งงานกับพี่กรณ์เร็วๆ ไม่ยังงั้นงามคงตายแน่ค่ะ”

“ถึงตายเชียวหรือ”

“ค่ะ ตายแน่ๆ” งามไฉไลสีหน้าท่าทีร้อนใจ โพยมยงนิ่วหน้าด้วยความสงสัย

แล้วสองแม่ลูกก็เดินทางไปบ้านอรรถแต่ไม่พบใครนอกจากสาวใช้ที่บอกว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้านายไปไหน ทราบแต่ว่าทุกคนกำลังยุ่ง สองแม่ลูกเดาตรงกันทันทีว่าอรรถน่าจะไปบางลำ...

อรรถรักษาตัวที่โรงพยาบาลบางลำ ทองน้ำงามแสดงน้ำใจมาช่วยประสานงานเรื่องย้ายอรรถไปรักษาต่อที่กรุงเทพฯ ไม่นานนักเธอก็กลับมาบอกกุชงค์ว่า

“ฉันติดต่อคุณหมอเรียบร้อยแล้วละค่ะ ถ้าคุณจะย้ายคุณอรรถไปโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ทางนี้จะทำเอกสารให้คุณค่ะ”

“ผมขอบคุณครูทองน้ำงามนะครับที่ช่วยเป็นธุระ ผม โทร.ให้โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ส่งรถพยาบาลมารับ คงจะมาถึงนี่บ่ายๆ”

“คุณปกรณ์พลรีบร้อนกลับกรุงเทพฯ เขามีเรื่องอะไรคะ”

“ผมก็ยังติดต่อเขาไม่ได้เลยครับ ว่าแต่เพลงลำ...

ตอนนี้เราทุกคนก็รู้แล้วว่าทำไมเพลงลำกับนายกรณ์ถึงได้ถูกขัดขวางเรื่องความรัก”

“เพลงลำเป็นคนเข้มแข็ง ถูกเลี้ยงมาให้รักเกียรติ ถ้าน้าบัวสายยังถือทิฐิอยู่ ความรักของคนคู่นี้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้”

“ถึงแม้ว่านายกรณ์กับเพลงลำจะไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันแล้วน่ะหรือครับ”

“น้าบัวสายมีแผลเจ็บ เพลงลำคงไม่ทำอะไรที่ฝืนต่อความรู้สึกของแม่ แม้แต่เรื่องของพ่อ”

ฟังมาถึงตรงนี้ กุชงค์หน้าเคร่งเครียดหนักใจแทนปกรณ์พล

ooooooo

เพลงลำเองก็เครียดไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งเรื่องพ่อบังเกิดเกล้าที่รักษาอยู่โรงพยาบาลและเรื่องความรักระหว่างตนกับปกรณ์พล

เธอมาที่ค่ายมวยของน้าบัวเผื่อน เตะกระสอบทรายระบายความเครียด โดยมีบัวเผื่อนกับเจิดยืนมองอยู่ไกลๆ อย่างเข้าใจความรู้สึก

“เพลงลำจะไม่ไปเยี่ยมเขาจริงๆ หรือน้าบัวเผื่อน ยังไงคุณอรรถก็เป็นพ่อ”

“เอ็งจะให้ข้าทำยังไงวะไอ้เจิด ข้าก็ยุ่งด้วยได้เป็นบางเรื่องโว้ย เอ็งอยู่กับพี่บัวสายมาตั้งนานไม่รู้นิสัยของแม่เอ็งหรือไง อะไรไม่ก็คือไม่ อะไรได้ก็คือได้”

“แต่เพลงลำกำลังจะเสียโอกาส”

“เจ้าตัวเท่านั้นแหละโว้ยที่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับตัวเอง ข้าก็นึกแล้วตั้งแต่ครั้งโน้นว่ามันจะเกิดเรื่องยุ่งๆ คนลำตัดเป็นคนเต้นกินรำกิน ถึงคนจะเสพศิลปะเพื่อความสุขสนุกสนาน แต่คนก็ถูกแบ่งชั้นแบ่งเชื้อแถว พวกลูกผู้ลาก

มากดีเขารังเกียจคนเดินดินกินฝุ่นอย่างพวกลำตัด”

“น้าบัวเผื่อน...” เจิดคราง พลางมองหน้าบัวเผื่อนด้วยความแปลกใจ

“นี่ถ้าข้าจับสองคนนั่นแยกกันเสียตั้งแต่วันนั้น เรื่องวันนี้มันคงจะไม่เกิดขึ้น บัวสายพี่สาวของข้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างคนลำตัด ไอ้เพลงลำมันก็คงจะไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ แล้วก็ไม่ต้องมาทำเป็นฝืนใจจงเกลียดจงชังพ่อของตัวเองให้มันทุกข์ทรมานสาหัสยังงี้ ข้าสงสารหลานข้า”

บัวเผื่อนมองไปยังหลานสาว ส่ายหน้าอย่างสังเวช

ooooooo

อรรถกลับเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกุชงค์แต่ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ให้ชายหนุ่มมาส่งที่บ้านแล้วย้ำว่าตนไม่ได้เป็นอะไร ขอบใจมากที่มาส่ง...กุชงค์เลิกเซ้าซี้ หันไปถามสาวใช้ว่าปกรณ์พลกลับมาหรือยัง

“ยังค่ะ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย คุณผู้หญิง คุณแม่บ้าน หรือแม้แต่คุณกรณ์ ไม่มีเลยค่ะ”

“เอาล่ะ ฝากดูแลคุณพ่อด้วย เดี๋ยวฉันจะพยายามติดต่อกรณ์เอง”

“คงติดต่อไม่ได้หรอกค่ะ เพราะว่าถ้าติดต่อได้ป่านนี้คุณนายโพยมยงคงติดต่อไปแล้วล่ะค่ะ นี่คุณนายกับคุณงามไฉไลรออยู่ข้างในค่ะ”

กุชงค์ตกใจ มองเข้าไปในบ้านแต่ไม่กล้าก้าวขาเข้าไป

อรรถเดินผ่านสองแม่ลูกขึ้นชั้นบนโดยไม่สนใจเสียงเรียกของพวกเธอ โพยมยงฟันธงทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ดี สงสัยว่าโฉมตรูและปกรณ์พลไปไหน ดาหวันก็ไม่อยู่ หรือว่าจะบ้านแตกสาแหรกขาดจริงๆ

บุคคลทั้งสามที่โพยมยงกล่าวถึง เวลานี้อยู่ที่โรงพยาบาลกำลังดำเนินการนำศพดัสกรไปบำเพ็ญกุศลที่วัดอย่างเรียบง่าย เมื่อกุชงค์โทร.มาส่งข่าวดาหวันว่าอรรถกลับถึงบ้านแล้ว ปกรณ์พลจึงให้โฉมตรูกลับบ้านก่อน ตนกับป้าดาหวันจะจัดการเรื่องศพเอง

เมื่อโฉมตรูกลับมาถึงบ้าน ปรากฏว่าโพยมยงกับงามไฉไลยังปักหลักไม่ไปไหน สองแม่ลูกพยายามไขข้อข้องใจของพวกตน โดยเฉพาะงามไฉไลที่อยากรู้ว่าปกรณ์พลยังอยู่บางลำใช่ไหม แต่โฉมตรูไม่ตอบอะไรทั้งนั้น นอกจากขอตัวไปดูอรรถก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง

สองแม่ลูกเห็นเต็มตาว่าโฉมตรูตาแดงก่ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก โพยมยงคิดอยู่เรื่องเดียวว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับปกรณ์พล หรือว่าเขาถูกตัดออกจากกองมรดกเสียแล้ว...

ที่โรงพยาบาลบางลำ ไข่กากับเพลงลำมาเก้อไม่เจออรรถที่กลับกรุงเทพฯไปแล้ว ไข่กาบ่นเพลงลำชักช้ากว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะมาหาหรือไม่มาก็เลยไม่ทัน

“ช่างเถอะไข่กา คุณอรรถเขาปลอดภัยแล้ว เพลงลำก็ดีใจด้วย”

“แม่นี่ใจแข็งเหมือนหินเลยนะ ขนาดคุณอรรถจะเป็นจะตายแม่ยังไม่เหลียวแลเลย แม่คงจะเจ็บ แม่ถึงได้จำมาจนป่านนี้”

“ใช่ เพลงลำอยากเป็นเหมือนแม่จัง เจ็บแล้วจำ จะได้ไม่เจ็บแล้วเจ็บอีก”

“จิตใจน่ะเจ็บแค่ไหนมันก็ทนได้ ไม่มีใครเจ็บจนตายหรอก แล้วนี่เพลงลำจะทำยังไง”

“ไม่รู้...สงสารคุณปกรณ์พลนะ เขาคงจะสับสน ทำอะไรไม่ถูก ยามนี้มันเหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ขอให้คุณปกรณ์พลผ่านพ้นไปด้วยดีเถอะ”

แน่นอนว่าเวลานี้ปกรณ์พลกำลังทำหน้าที่ของลูกที่ดี เขานำศพดัสกรมาที่วัดเตรียมสวดอภิธรรมโดยไม่ได้เชิญใคร มีเพียงตัวเขาเอง ดาหวัน และกุชงค์อีกคนที่ตามมาสมทบ ส่วนโฉมตรูยังอยู่กับอรรถที่บ้าน อรรถทุกข์ระทมแสนสาหัสกับเรื่องราวในอดีต กล่าวกับโฉมตรูเสียงสั่นเครือว่า

“ผมเสียใจ...ที่ผมไม่เคยกล้าจะพูดความจริงกับคุณ เพลงลำเป็นลูกของผม เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่ได้พบคุณ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าบัวสายตั้งท้องตอนที่กลับบางลำ นี่ถ้าผมมีความกล้าเหมือนอย่างที่บัวสายมี ผมคงจะไม่ต้องสูญเสียลูกไปตลอดกาล ผมเป็นพ่อที่เลว พ่อที่ทำร้ายชีวิตของลูก แล้วยังต้องทำลายความสุขของลูกอีก ผมเป็นพ่อที่เลวจริงๆ”

“คุณทำถูกแล้วล่ะค่ะ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็ต้องทำอย่างที่คุณทำ”

“คุณต่างหากที่กล้าหาญกว่าผม”

“ถ้าฉันไม่พูดความจริงมันก็จะไม่จบ ฉันจะปลดแอกบาปให้เขากับลูกไม่ได้ ตอนที่ฉันจากเขามา ฉันไม่กล้าพูดความจริงว่าทำไมฉันต้องแต่งงานกับคุณ ดัสกรกลับมาเพื่อจะตาย เขาไม่ได้กลับมาทวงถามสิ่งที่เป็นของเขา...ตอนนี้เขาตายแล้ว เขาตายตรงหน้าลูก เขาได้กลับมาเพื่อที่จะตายกับลูกของเขา เขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย”

โฉมตรูพรั่งพรูความอัดอั้นและเสียใจทั้งน้ำตานองหน้า อรรถได้ฟังถึงกับนิ่งงันไป

ที่ชั้นล่าง โพยมยงกับงามไฉไลยังไม่ไปไหน อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามสาวใช้ก็ไม่ได้คำตอบ โพยมยงนึกถึงกุชงค์ขึ้นมาได้ รีบโทร.หา พอรู้ว่าเขาอยู่วัดกับปกรณ์พล เธอก็ร้อนรนเดาเรื่องราวเอาเองเป็นตุเป็นตะว่าปกรณ์พลเสียใจที่เพลงลำแต่งงานกับคนลำตัดเลยออกบวช งามไฉไลได้ยินตกใจร้องเสียงหลง

“ไม่ได้นะคะคุณแม่ ให้พี่กรณ์บวชตอนนี้ไม่ได้”

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ”

“ตามไปวัดเลยค่ะคุณแม่ ไปค้านไว้ไม่ให้พี่กรณ์บวช ถ้าพี่กรณ์บวชแล้วใครจะเป็นพ่อลูกในท้องของหนูล่ะ”

งามไฉไลหลุดปาก โพยมยงตะลึงงัน ถามลูกสาวว่าพูดอะไรออกมา

“งามท้องค่ะคุณแม่ อย่าถามงามเลยค่ะว่าใครเป็นพ่อของลูกในท้องงาม งามกำลังจะจับพี่กรณ์มาเป็นพ่อของลูกอยู่นี่ไงคะ เร็วๆสิคะคุณแม่ รีบไปที่วัดกันเถอะค่ะ จะได้ค้านไม่ให้พี่กรณ์บวช”

“เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อนงาม บอกแม่มาตรงๆ ลูกท้องกับใคร เมื่อไหร่ ที่ไหน ทำไมแม่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยล่ะ ก็เราสองแม่ลูกอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แล้วหนูไปทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง โธ่ๆๆ ลูกแม่ ตอบแม่มาเดี๋ยวนี้”

“งามไม่อยากตอบ จับพี่กรณ์แต่งงาน เรื่องของงามก็จบ เร็วๆค่ะคุณแม่ เราต้องรีบไปขัดขวางไม่ให้พี่กรณ์บวช”

งามไฉไลรุนหลังโพยมยงไปขึ้นรถจนได้ พอถึงวัดก็ตรงดิ่งไปที่ศาลา คัดค้านปกรณ์พลที่กำลังสนทนากับพระว่าไม่ให้เขาบวช งามไฉไลพูดอย่างไม่อายว่าตนกำลังท้อง พูดไปร้องไห้ไป ท่ามกลางความตกใจของปกรณ์พล กุชงค์ และดาหวัน

“งามท้องค่ะ แต่งงานกับงามเถอะนะคะ นึกว่าเห็นแก่ลูกในท้องของงาม งามกับคุณแม่ยอมทุกอย่างแม้แต่ตายไปแล้วตกนรก หรือเป็นเปรต แต่งามขอค้าน”

“ฉันด้วย ฉันยอมเป็นผีทุกประเภทเพื่อลูกสาวของฉัน”

“คุณโยมทั้งสองโปรดสงบใจให้นิ่งๆด้วยเถิด ที่นี่วัดนะไม่ใช่โรงละคร เป็นเขตอภัยทาน ห้ามทำบาป”

“ไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ นี่มันเรื่องทางโลก ไม่เกี่ยวกับพระ”

“อ้าว แล้วกัน...ไม่ฟังแล้วจะรู้เรื่องกันหรือ อาตมาว่ามันแปลกๆอยู่นะ”

“ใช่ครับ ผมไม่ได้มาบวชหรอกครับ”

สองแม่ลูกชะงัก แล้วพากันตะลึงเมื่อดาหวันบอกว่าเรามาจองศาลาเพื่อจัดงานศพ โพยมยงถามเร็วจี๋ว่าใครตาย

“คุณพ่อของคุณปกรณ์พลเพิ่งจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง คุณพ่อของคุณปกรณ์พลคือคุณดัสกร ฉันกับคุณปกรณ์พลต้องจัดการเรื่องตั้งศพ เราถึงได้มาจองศาลากับนิมนต์พระท่านไว้จะรดน้ำศพเย็นนี้แหละค่ะ”

สองแม่ลูกอึ้งหนัก สบสายตากันด้วยสีหน้าซีดเจื่อน

ooooooo

เจิดยังคงเหม่อลอยเศร้าหมองเพราะรักเพลงลำ ทองน้ำงามทราบดี และเข้าใจดีด้วยว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะเธอเองก็แอบรักเจิดมานาน แม้รู้ว่าแทบไม่มีโอกาสลงเอยกันได้

บัวผ่องสงสารเพลงลำที่ไม่สมหวังในรักกับปกรณ์พล แต่ตอนนี้รู้ความจริงแล้วว่าปกรณ์พลไม่ใช่ลูกแท้ๆของอรรถ บัวผ่องจึงตัดสินใจมาถามบัวสายว่าไม่คิดจะทำอะไรเพื่อลูกบ้างเลยหรือ

“แม่จะให้ฉันทำยังไง เรื่องมันล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้ว ถึงงานแต่งงานของเพลงลำกับเจิดมันจะยังไม่เสร็จ แต่ฉันก็ตั้งใจให้ลูกแต่งงานกับคนที่ฉันเลือกว่าเหมาะสมแล้ว”

“แล้วคิดถึงความสุขของเพลงลำบ้างหรือเปล่า มันทำหน้าที่ลูกที่ดี คิดถึงจิตใจของมันบ้างว่ามันต้องเจ็บปวดแค่ไหน มันต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายที่มันไม่ได้รัก”

“แต่เพลงลำสัญญากับฉันว่าจะรักเจิดให้ได้”

“สัญญานั่นมันมาจากความรักที่ลูกมีต่อเอ็ง เลี้ยงลูกน่ะเราเลี้ยงเขาได้แต่ตัว แต่หัวใจของเขาเราเลี้ยงไม่ได้ เอ็งมีแผลมาจากอดีต แต่เยียวยามันไม่เสร็จ แล้วจะให้ลูกทำยังไง”

“แม่...ฉันไม่อยากฟัง”

“ก็ตามใจเอ็ง ข้าก็แค่อยากให้เอ็งคิดดูเสียใหม่ คุณปกรณ์พลน่ะเขาเป็นคนดีนะ ที่ชีวิตของเขารุ่งริ่งก็เพราะผู้ใหญ่ทำ เหมือนอย่างไอ้เพลงลำหลานข้ามันกำลังถูกกระทำอยู่ยังไงล่ะ”

บัวผ่องกระแทกเสียงประชด ก่อนเปิดประตูเรือนออกไป ทิ้งให้บัวสายน้ำตาร่วงพรู บัวผ่องเห็นเพลงลำกับไข่กาตั้งสำรับเตรียมกินข้าวก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“แม่ล่ะยายจ๋า ทำไมแม่ไม่ออกมากินข้าว”

“อ๋อ...นังบัวสายมันอิ่มทิพย์ ไม่ต้องเอาข้าวปลาอาหารไปประเคนให้มันหรอกลูก ถ้ามันไม่ออกมาก็ปล่อยให้มันอดตายยังงั้นแหละ ดี!”

เพลงลำกับไข่กาหันมาสบสายตากันอย่างกังวล...

พอบัวผ่องพ้นไป สองสาวก็ซุบซิบบางอย่างกันก่อนที่ไข่กาจะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปหาบัวสายในห้อง พูดละล่ำละลักว่า

“เพลงลำเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่กิน ไม่นอน เอาแต่นั่งกอดเข่าเหมือนแม่นี่แหละ เอาข้าวเข้าไปให้ก็บอกว่าไม่หิว ไม่กิน ไม่นอน เอาแต่อยู่คนเดียวเหมือนคนตายทั้งเป็น แม่จะปล่อยให้เพลงลำเป็นยังงี้ไม่ได้นะ ตายแน่ เพลงลำต้องตายแน่ๆ”

ไข่กาเปล่งเสียงร้องไห้โฮ พอเห็นบัวสายผลุนผลันออกไป ไข่กาก็ยิ้มร่าเดินตามหลังบัวสายมาติดๆ เพลงลำดีใจที่แม่มาร่วมวง บัวเผื่อนกับเจิดก็มา ทุกคนล้อมวงกินอาหารพื้นบ้านกันอย่างเอร็ดอร่อย

อรรถรับรู้การตายของดัสกรด้วยความเสียใจและตั้งใจจะไปงานศพที่ปกรณ์พลบอกว่าสวดเจ็ดคืน สองพ่อลูกที่เคยรักกันมาก ถึงตอนนี้ความรู้สึกของพวกเขาก็ไม่แปรเปลี่ยน ความเป็นพ่อลูกยังคงอยู่เหมือนเดิม

เพลงลำทราบข่าวดัสกรพ่อของปกรณ์พลเสียชีวิตจากกุชงค์ที่โทร.มาบอกทองน้ำงาม เธอเห็นใจปกรณ์พลที่อยู่ในภาวะสูญเสีย จึงตัดสินใจจะไปงานศพดัสกร โดยมีน้าบัวเผื่อน ไข่กา เจิด และทองน้ำงามร่วมเดินทางไปด้วย

ด้านโพยมยงที่โกรธเคืองโฉมตรูที่คอยขัดขวางการหมั้นของงามไฉไลกับปกรณ์พลเรื่อยมา วันนี้ถึงเวลาที่เธอจะเอาคืนให้สาแก่ใจ เธอวางแผนเป็นเจ้าภาพงานศพดัสกรแล้วเชิญแขกเหรื่อในวงสังคมมาเพื่อฉีกหน้าโฉมตรูให้ได้อายที่เป็นถึงลูกผู้ดีมีสกุลแต่ทำตัวแย่ท้องกับดัสกรก่อนมาแต่งงานกับอรรถเพื่อพยุงฐานะของครอบครัว

โฉมตรูกับปกรณ์พลได้แต่ทำใจและอดทนในความร้ายกาจของโพยมยง ขณะที่งามไฉไลไม่ค่อยเห็นด้วยนักเพราะเธอยังต้องการปกรณ์พลเป็นพ่อของลูกในท้อง แต่ดูเหมือนโพยมยงจะไม่สนใจไยดีผู้ชายที่มีแต่ตัว บอกลูกสาวว่าไม่ต้องห่วงเรื่องลูก แม่มีวิธีทำให้หนูกลับมาเป็นคนใหม่ได้ด้วยการทำแท้ง!

“ไม่! ไม่นะคะ งามกลัว”

“จะต้องกลัวอะไร มันมีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกหรือ ปกรณ์พลน่ะเลิกหวังได้แล้ว เรื่องมันถาโถมเขาเสียจนเขาไม่มีจิตใจที่จะช่วยใครอีกแล้ว เขายังรักนังเพลงลำ เขายังตัดใจจากมันไม่ได้ ยื้อเขาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้คงไม่มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าเรื่องพ่อตัวจริงของเขาตายหรอก อีกอย่าง...พอความจริงปรากฏว่าปกรณ์พลไม่ใช่ลูกของคุณอรรถ เขาจะมีอะไร สมบัติฝ่ายคุณโฉมตรู แม่ก็ไม่เห็นว่าจะทำให้หนูสบายได้ เขามีแต่ตัวเปล่าๆ สมบัติมีค่าสักชิ้นก็ไม่มี เพราะเขาสิ้นสภาพทายาทของคุณอรรถ”

ฟังแม่แล้วงามไฉไลนิ่งเงียบไปอย่างลังเล

ooooooo

อรรถไปฟังสวดศพดัสกรในคืนสุดท้าย แล้วก็ต้องทนฟังถ้อยคำติฉินนินทาของบรรดาแขกที่โพยม-ยงเชิญมา ส่วนพวกเพลงลำที่มาในคืนนี้เช่นกัน แต่ทุกคนไม่ได้เข้าไปทักทายอรรถ

ปกรณ์พลต้อนรับพวกเขาด้วยความยินดี ฝ่ายโพยมยงกับงามไฉไลที่เพิ่งมาถึง พอเห็นพวกเพลงลำก็เป็นเดือดเป็นแค้น โดยเฉพาะงามไฉไลที่กลัวเพลงลำจะมาแย่งปกรณ์พลไป

โฉมตรูรู้สึกแย่ที่ทำให้ลูกชายต้องอับอาย เธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนปกรณ์พลต้องขอร้องถ้าแม่ไม่ไหวก็ควรกลับบ้านไปพักผ่อน

“สวดอีกคืนเดียวก็จะเผาแล้ว แม่อยากส่งคุณดัสกรให้ถึงที่ อยากทำให้ดีที่สุดตอนที่เขาตาย เพราะตอนที่เขาอยู่ แม่แทบจะไม่ได้ทำอะไรให้เขาเลย”

“อย่าคิดมากเลยครับคุณแม่ สิ่งที่คุณแม่ทำอยู่ก็ดีที่สุดสำหรับคุณพ่อแล้ว”

“กรณ์...แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกต้องอับอาย”

“ผมไม่อายที่จะยอมรับความจริง เราต้องอยู่ในโลกของความจริงไม่ใช่หรือครับ ความตายของคุณพ่อทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น ผมรู้แล้วล่ะครับว่าผมต้องเป็นเจ้าของชีวิตของผมเอง”

ปกรณ์พลเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง เขาแยกตัวจากแม่เดินไปนั่งข้างเพลงลำ ขอบคุณเธอที่อุตส่าห์มา แล้วถามถึงแม่บัวสายว่าเป็นยังไงบ้าง

“แม่ให้พวกเรามาแทน เราแค่มาแสดงความเสียใจน่ะค่ะ”

“แค่นี้ผมก็ซาบซึ้งในความกรุณาของแม่บัวสายกับน้าบัวเผื่อนแล้วล่ะครับ เรื่องต่างๆมันเกิดขึ้นกับเรา

เร็วจนผมเกือบจะรับไม่ได้ ผมเองก็เพิ่งรู้ความจริงในวันนั้นว่าผมเป็นลูกของคุณดัสกรไม่ใช่ลูกคุณพ่อ ถ้าผมจะเสียใจ ผมก็เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณของพ่อ ทั้งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพลงลำล่ะ จะทำยังไงต่อไป”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องที่เพลงลำเป็นลูกของเขา”

“ฉันไม่ต้องการมีพ่อร่ำรวยเป็นเจ้าของธนาคาร ฉันกับแม่...เรามีชีวิตอยู่ได้อย่างคนลำตัด ถ้าเขาจะเสียคุณให้กับความจริงที่ว่าคุณไม่ใช่ลูกในไส้ของเขา เขาก็ไม่ควรเอาฉันไปทดแทน เพราะยังไงฉันก็ไม่เคยขาดแม่”

ทันใดนั้น งามไฉไลเดินตรงมาส่งเสียงดังเรียกเพลงลำราวกับมีเรื่องแค้นเคืองกันมาเป็นชาติ ความต้องการแย่งชิงปกรณ์พลพลุ่งพล่านจนไม่อายสายตาใคร

“นังเพลงลำ แกมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้ประกาศให้รู้ว่าฉันจะแต่งงานกับพี่กรณ์”

“งาม...จบเสียทีเถอะ พี่ไม่มีวันแต่งงานกับเธอหรอก”

“แล้วลูกในท้องของงามล่ะคะ พี่กรณ์ไม่แต่งงานกับงาม แล้วลูกในท้องของงามล่ะ”

โฉมตรูเดินมาได้ยินส่งเสียงอุทานอย่างตื่นตระหนก “ลูก!” ขณะที่ผู้คนใกล้เคียงต่างมองมาด้วยความแปลกใจ แต่งามไฉไลไม่ได้สนใจ ลืมตัวประจานตัวเองหน้าตาเฉย

“งามท้อง...ลูกในท้องของงามเป็นลูกของพี่กรณ์ คุณป้าจะไม่รับผิดชอบร่วมกับพี่กรณ์หรือคะ คุณป้าเป็นแม่เขา ถ้าคุณป้าปฏิเสธ คนที่อยู่ในที่นี้จะคิดยังไง”

โพยมยงเริ่มอายกระตุกแขนลูกสาวแต่ไม่เป็นผล งามไฉไลยังคงกรีดเสียงด่าทอเพลงลำ

“นังเพลงลำมันควรจะรู้ว่ามันกำลังทำให้พ่อแม่ลูกต้องพลัดพรากจากกัน หรือว่ามันสนุกที่ได้แก้แค้น ก็แน่ล่ะ แม่ของมันก็เคยถูกกินไข่แดงจนต้องอุ้มท้องมันกลับบางลำ มันมีฐานะเป็นลูกไม่มีพ่อ มันก็เลยต้องการให้ลูกของงามไม่มีพ่อ”

“เหลวไหล นี่มันเรื่องโหก” ปกรณ์พลตวาดเสียงเข้ม สั่นสะท้านไปด้วยความโกรธกุชงค์ก้าวเข้ามารั้งแขนเพื่อนไว้ เตือนให้ใจเย็นๆ

“ฉันทนมามากแล้ว นี่งามเห็นฉันเป็นหมาหรือแมวหรือเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทไหน ถึงได้ทำกับฉันยังงี้ งาม...พี่ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเลวยังงี้ สิ่งที่เธอทำกับพี่กับเพลงลำยังพอให้อภัยได้ แต่การที่เธอลามไปถึงแม่บัวสาย พี่ทนไม่ได้”

“งั้นก็แต่งงานกับงามสิคะ งามจะได้เลิกอคติเรื่องที่นังเพลงลำมันมีแม่ใจง่าย”

เพลงลำสุดทนที่จะฟังวาจาแย่ๆของงามไฉไล เธอคว้าแขนน้าบัวเผื่อน ชวนกลับบางลำ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ฟังเรื่องไร้สาระ

“ไร้สาระงั้นหรือ การที่ฉันท้องกับพี่กรณ์ แกคิดว่าฉันโกหกใช่ไหม พี่กรณ์เขารักฉัน อย่างน้อยก็ก่อนที่เขาจะพบกับแก แกใช้เจ้าเล่ห์มารยาของคนเต้นกินรำกินยั่วยวนเขา เขาถึงได้เปลี่ยนไป”

ปกรณ์พลกระชากแขนงามไฉไลที่ปรี่เข้าไปจะเอาเรื่องเพลงลำ ตวาดเสียงแข็งว่า

“งาม! เลิกพูดเรื่องเหลวไหลนี่เสียที”

บัวเผื่อนหมดความอดทนกับทุกคน กล่าวเสียงดังหนักแน่นว่า

“พวกเรากลับ...รู้ยังงี้ข้าไม่พาหลานสาวของข้ามาให้คนกรุงเทพฯมันหยามเกียรติอีก ไป...ไอ้เจิด ครูทองน้ำงาม นังไข่กา พาเพลงลำกลับบ้าน”

ทั้งกลุ่มพากันออกไป อรรถเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอด มองตามเพลงลำลูกสาวแท้ๆด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

ooooooo

บัวเผื่อนดึงมือเพลงลำเดินนำหน้าออกมาจากศาลาด้วยความโกรธ เจิด ทองน้ำงาม และไข่การีบตามออกมา แต่ละคนสีหน้าไม่สู้ดี

“ไปกลับ เราไม่ควรมาเลย กรุงเทพฯมันไม่ใช่ที่ที่เราควรจะมา”

“ไม่ใช่เพราะกรุงเทพฯหรอกน้าบัวเผื่อน แต่เป็นเพราะว่า...”

เพลงลำชะงักไม่อยากพูด เจิดขยับเข้ามาใกล้ปลอบโยนเธออย่างเข้าใจความรู้สึก

“เพลงลำ...ฟังหูไว้หูนะ มันแปลกๆ”

“มันแปลกยังไงวะ ไม่เห็นจะแปลก ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ใกล้กันมันก็มีเหตุท้องก่อนแต่งเหมือน...”

“น้าบัวเผื่อน” เพลงลำขัดขึ้น บัวเผื่อนเลยชะงักไปนิด

“เหมือนใครน่ะข้าไม่อยากพูดหรอก มันกระทบสีข้างกันเปล่าๆ ไป...กลับ!”

กุชงค์เดินแกมวิ่งตามออกมาด้วยท่าทีร้อนใจ ขอร้องเพลงลำให้ฟังตนก่อน

“ไม่ต้องมาพูดอะไรกับหลานข้า ต่อไปนี้ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีกแล้ว บอกคุณปกรณ์พลด้วยว่าเขากับเพลงลำขาดกัน!”

บัวเผื่อนดึงแขนเพลงลำออกไป พวกเจิดก้าวตาม ยกเว้นกุชงค์ที่ยืนหน้าซีดหน้าเสียอยู่ตรงนั้น พึมพำอย่างจนปัญญา

“ทำไมมันถึงได้ยุ่งอย่างนี้วะ”

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น