วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เรื่องย่อ คนละโลก


ทิเบต หนุ่มแสนซื่อ จากบ้านที่ต่างจังหวัด เพราะทะเลาะ พ่อเลี้ยง มาหางานทำที่กรุงเทพกับ รัญจวน (แม่) และ บุษย์ (น้องสาวต่างพ่อ)ไม่มีเงินทิเบตมาทำงานเป็นพนักงานขนกระเป๋าที่โรงแรมวันแรกของการทำงาน ทิเบตก็ก่อเรื่องเข้า เมื่อถูก คลเมขลา ศักการะ ผู้จัดการฝ่ายพีอาร์ทางโรงแรมเข้าใจว่าทิเบตเป็นขโมย ผิดกับทิเบตที่หลงรักคลเมขลาตั้งแต่แรกเห็น ทิเบตถูกไล่ออกทันทีตั้งแต่วันแรก แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด เธอเข้าใจผิด จึงรีบไปขอโทษ และให้กลับมาทำงานตามเดิม ทิเบตรู้สึกประทับใจในตัวคลเมขลา แต่เมื่อคิดว่าเธอเป็นถึงหลานเจ้าของโรงแรมก็ทำให้ทิเบตเจียมตัวว่าเธอกับเขาเสมือนอยู่คนละโลก

รัญจวนกับบุษย์กำลังจะเข็นรถข้าวแกงไปขายแต่ก็โดนเจ้าหนี้ของพ่อเลี้ยงมาตามทวงหนี้ ทำลายข้าวของพร้อมทั้งให้เวลาสามวันในการหาเงินมาคืน ทิเบตจำใจต้องไปทำงานพิเศษเป็นเด็กนั่งดริ้ง

คลเมขลาเจอทิเบตก็จำได้ เธอเสียความรู้สึกกับทิเบตมาก เข้าใจว่าทิเบตเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน เพื่อนคลเมขลาเห็นทิเบตก็ถูกใจเลยบอกให้ทิเบตมาเต้นให้เพื่อนเธอที่เกิดวันนี้ ทิเบตมาเต้นโดยไม่เห็นว่าเป็นคลเมขลา แต่สุดท้ายก็เห็นจนได้ คลเมขลารู้สึกแย่มากจึงเอาเงินฟาดหัวทิเบตก้อนหนึ่ง พร้อมกับสั่งไม่ให้ทิเบตกลับไปทำงานอีก ทิเบตมีเงินไปใช้หนี้ แต่กลับตกงาน

ทิเบตได้พบกับมิสเตอร์ซาซูเกะนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นขณะถูกลอบทำร้าย มิสเตอร์ซาซูเกะถูกยิงแต่ทิเบตได้ช่วยเหลือดูแลจนเขาหายดี มิสเตอร์ซาซูเกะประทับใจในตัวทิเบตมากจึงได้ให้นามบัตรเอาไว้หากต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ให้ติดต่อมาได้เสมอ

บุษย์มาทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรมของคลเมขลา บุษย์เจอเข้ากับกานนญาติของคลเมขลา กานนถูกใจและพยายามลวนลามบุษย์หลายครั้ง บุษย์พยายามจะหนีแต่ไม่สำเร็จ เธอถูกกานนขืนใจอย่างไม่ปราณีและทิ้งเธอไว้ คลเมขลารู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็คิดว่าบุษย์คงมีนิสัยไม่ต่างจากทิเบตพี่ชายที่ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน บุษย์พยายามฆ่าตัวตายทิเบตพอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็โกรธมากแจ้งความจับกานนจนเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ คลเมคลาจะให้เงินบุษย์เพื่อให้จบข่าวทิเบตไม่พอใจที่คลเมคลาใช้เงินแก้ปัญหา ชัชชัยตำรวจหนุ่มที่บุษย์แอบชอบ สงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้นจึงไปโน้มนาวจนบุษย์ยอมเล่าทุกอย่าง ชัชชัยบอกให้คลเมคลาเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น คลเมคลารู้สึกผิดกับบุษย์มาก ทางด้านกานนโมโหที่โดนกักบริเวณไม่ให้ไปเที่ยวไหนจึงสั่งให้คนไปลอบยิงทิเบตบาดเจ็บหนักเจ้าหน้าพาส่งโรงพยาบาลพบกับนามบัตรของซาซูเกะจึงโทรแจ้ง ซาซูเกะดูแลรักษาจนหายดีและยังปลดหนี้ทั้งหมดให้ทิเบตอีก ซาซูเกะพาทิเบตไปทำงานด้วยที่ญี่ปุ่น

ที่ญี่ปุ่น....ซาซูเกะรับทิเบตเป็นลูกบุญธรรม ส่งเสียให้เรียนหนังสือจนจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ นอกจากนั้นทิเบตยังได้เรียนศิลปะป้องกันตัว ความเป็นคนหัวดีทำให้เขาเรียนรู้ได้เร็วทั้งวิชาการและการต่อสู้ ครั้งหนึ่งซาซูเกะถูกลอบทำร้าย แล้วทิเบตเอาตัวเข้าช่วยจนบาดเจ็บแต่ก็จับตัวคนร้ายได้ ทำให้ซาซูเกะยิ่งรักทิเบต และยกกิจการทุกอย่างให้ทิเบตดูแล

ตลอดเวลา 3 ปี ทิเบตเฝ้าอดทน เพียรพยายามจนเปลี่ยนตัวเองได้สำเร็จ แล้วในที่สุดก็ถึงเวลาที่ทิเบตจะได้กลับมาแก้แค้น ซาซูเกะรู้ความต้องการข้อนี้ของทิเบตดี ซ้ำยังสนับสนุนให้ทิเบตจัดการคนที่ทำร้ายเค้าแล้วโชคก็เข้าข้างเมื่อทิเบตรู้ข่าวว่าคลเมขลาเพิ่งแต่งงานกับปุราณ และจะมาฮันนีมูนที่ญี่ปุ่น เค้าแอบเจ็บเพราะลึกๆเค้ายังชอบคลเมขลาอยู่ แต่ทิเบตก็ต้องย้ำกับตัวเองว่าครอบครัวของคลเมขลาทำอะไรเอาไว้กับเค้าบ้าง สิ่งที่เค้าต้องทำคือ “แก้แค้น” เท่านั้น

ทิเบตตีสนิทจนคลเมคลาและปุราณเชื่อใจทิเบตหาทางให้ทั้งสองแยกกันโดยให้ปุราณไปเล่นการพนันที่บ่อนของทิเบต ลูกน้องดูแลปุราณให้มือขึ้นเล่นได้เงินเยอะแยะปุราณติดลมไม่ยอมพาคลเมคลาออกไปเที่ยวไป ทิเบตอาสาพาไปเที่ยวชนบทในญี่ปุ่น คลเมขลามีความสุขมากจนลืมไปว่าไม่พอใจปุราณอยู่ ทิวทัศน์ธรรมชาติทำให้คลเมขลาเพลิดเพลิน ทิเบตดำเนินแผนการต่อไป โดยแกล้งทำเป็นรถเสีย กลับเข้าเมืองไม่ได้ จำต้องค้างคืนที่นี่ ทิเบตกับคลเมขลาไปเปิดโรงแรมแบบเรียวกัง (โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นอยู่) โรงแรมนั้นเป็นของซาซูเกะ ทิเบตจึงวางแผนบอกว่ามีห้องพักเหลือห้องเดียว สองคนจำต้องนอนห้องเดียวกัน แต่ทิเบตแสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดยการออกไปนอกห้อง ทำให้คลเมขลาประทับใจมาก และเริ่มรู้สึกว่าเธอน่าจะเจอทิเบตก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ลาจากกัน คลเมขลารู้สึกเศร้า แต่ทิเบตกลับสะใจที่ทำให้คลเมขลามีใจให้กับเค้าได้สำเร็จ ทิเบตมาดูแลธุรกิจใหม่ของซาซูเกะที่ประเทศไทย นั่นคือการเปิดตัวคอนโดริมแม่น้ำ ทิเบตเลือกโรงแรมของคลเมขลาในการเปิดตัว ในฐานะนักธุรกิจใหญ่ ไม่มีใครจำทิเบตได้ ทิเบตกลับไปเยี่ยมแม่กับบุษย์ที่บ้าน ตอนนี้ น้องเสือ ลูกชายของบุษย์ที่เกิดจากบุษย์กับกานนโตได้สามขวบแล้ว ทิเบตรักหลานคนนี้มากถึงแม้จะเกลียดพ่อของเสือ

ปุราณกลับมาที่ไทยก็ยังเล่นพนันแต่ไม่ได้มือขึ้นเหมือนตอนอยูที่ญี่ปุ่นและยังกู้เงินทิเบตไปลงทุนธุรกิจจนขาดทุนเป็นหนี้หลายสิบล้านและทิเบตยังซื้อหุ้นของโรงแรมคลเมคลาจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แผนการแก้แค้นของทิเบตกลับทำให้ทิเบตถลำลึกรักคลเมขลามากขึ้น จนรู้สึกขาดเธอไม่ได้ ซาซูเกะเห็นสายตาที่ทิเบตมองคลเมขลาก็รู้ทันทีว่าทิเบตพ่ายแพ้แล้ว แต่ทิเบตปากแข็งยืนยันว่าเค้าไม่ได้ชอบคลเมขลา เค้าจะทำให้เธอและครอบครัวเจ็บปวด ทิเบต บีบให้ปุราณหาเงินมาใช้คืน จึงขอคลเมขลาแลกกับการยกหนี้ทั้งหมด ทิเบตเตรียมแถลงข่าวเรื่องงานแต่งเจ้าสาวไม่ใช่คลเมขลา แต่เป็นนิลปัทม คลเมขลาเสียใจมาก ชัชชัยเล่าให้ทิเบตฟังว่าคลเมขลาเป็นคนให้เค้ามาคอยดูแลบุษย์กับลูก ซ้ำยังช่วยออกค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูบุษย์กับลูกทุกอย่าง ที่คลเมขลาไม่มาด้วยตัวเอง เพราะละอายใจไม่กล้าสู้หน้าบุษย์ที่โดนกานนทำร้าย คำพูดของชัชชัยทำเอาทิเบตอึ้งที่เข้าใจคลเมขลาผิด

ซาซูเกะมีคำสั่งใหม่ให้ฆ่าคู่ค้าที่อเมริกาซึ่งทิเบตกำลังจะไปส่งของ เพราะรู้ว่าคู่ค้าทรยศ ทิเบตหนักใจเป็นครั้งแรก ทิเบตตามมาง้อคลเมขลา และได้รู้ว่าคลเมขลาท้อง เธอให้เขาเลือกระหว่างเธอกับลูก หรืองาน คลเมขลารู้ว่าธุรกิจที่ทิเบตทำเป็นงานผิดกฎหมายเขาทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่โลกคนรวยเหมือนเธอแต่เธอกลับปฏิเสธ คลเมขลาย้ำว่าสิ่งที่เขาทำตอนนี้ต่างหากที่ทำให้เราอยู่คนละโลกกัน ทิเบตบินไปหามิสเตอร์ซาซูเกะเพื่อขอเลิกงานทั้งหมด มิสเตอร์ซาซูเกะผิดหวัง แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามกฎนั่นคือ คนทรยศสมควรตาย ลมหายใจสุดท้ายของทิเบตถูกปลิดออกจากร่าง เป็นเวลาเดียวกับที่คลเมขลาอ่านอีเมล์จากทิเบตที่บอกว่าเค้าเลือกเธอกับลูก และกำลังจะกลับมาหาเธอเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอจึงรอคอยเขาอย่างมีความหวัง...


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 16 ตอนอวสาน


เช้านี้...ที่บ้านเช่าของธาดา ดวงดาวทำอาหารเช้าเอง เพราะไม่เห็นปรารภเอาอาหารเช้ามาให้เหมือนทุกวัน คาดว่าเขาคงติดธุระสำคัญกระมัง

มุกรินบอกว่าเขานัดคุยกับทีมจัดงานแต่งงานและอยากเซอร์ไพรส์ตน เลยไม่ยอมให้รู้ก่อนว่างานจะเป็นอย่างไร

ดวงดาวทักว่าดูเธอไม่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานเท่าไร มุกรินตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า ตนไม่ใช่เด็กๆ ผ่านอะไรๆมาขนาดนี้แล้ว แต่ก็เชื่อว่าปรารภน่าจะดีที่สุดสำหรับตน ดวงดาวถามทันทีว่า

“รู้ได้ยังไงว่าดีที่สุด ฉันยอมรับได้ว่านายปรารภเป็นคนดี แต่ไม่ใช่ว่าเห็นใครดีแล้วเราต้องรีบแต่งงานกับเขานะ”

เห็นมุกรินถอนหายใจ ดวงดาวสะกิดให้คิดว่า ตนไม่ได้บอกให้เธอกลับไปคืนดีกับคิมหันต์ แต่การที่เราเกลียดใครสักคนก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแต่งงานกับอีกคนเพื่อให้คนที่เราเกลียดเสียใจ ทำอย่างนั้น ความเสียใจก็จะตกอยู่กับเรา เหมือนที่คิมหันต์ทำกับพักตรา แต่ก็เปิดทางให้คิดว่า

“คิดให้ดีก็แล้วกัน คิดเท่าที่ยังมีเวลาให้คิด ฉันอาจจะเด็กกว่าเธอก็จริง แต่ถ้าเธอยังเชื่อใจฉัน เชื่อประสบการณ์ของฉันอยู่ ขอให้รู้นะว่า การตัดสินใจอะไรง่ายๆ เร็วๆ และใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล มีโอกาสสูงที่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิด”

ooooooo

ที่บ้านพักชายป่า...คิมหันต์ให้เวลาแก่พักตราทั้งหมดดูแลเธออย่างใกล้ชิด จนวันนี้เธอกลับมาหัวเราะร่าเริงได้อีกครั้ง...

ฝ่ายมุกรินกำลังมีกิจกรรมที่ต้องทำตามที่ปรารภจัดเตรียมงานแต่งงาน เมื่อดวงดาวเห็นรูปที่ปรารภคุกเข่าต่อหน้ามุกริน เธอถามว่าคุกเข่าขอความรักหรือ มุกรินบอกว่าคุกเข่าขอแต่งงาน เพราะการแต่งงานครั้งนี้ ตนเป็นคนตัดสินใจเอง เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง จึงอยากทำย้อนหลังให้ถูกต้อง อย่างรูปที่เธอเห็นนี่แหละ ดวงดาวดูรูปแล้วอุทานทึ่งว่า

“โอ้โอ...จอมสร้างภาพอีกคนแล้ว...ฉันไม่ได้ว่าเขาไม่ดีหรอกนะ มันเป็นอาชีพของเขานี่ แต่ก็ขอให้ภาพที่เขาสร้างขึ้นครั้งนี้ จะทำให้เธอมีความสุขจริงๆ สมกับที่เธอเอาชีวิตลงไปเสี่ยงด้วย”

“เธอไม่เห็นด้วยที่ฉันแต่งงานใช่ไหม”

“ฉันไม่อยากให้ความเห็นของฉันไปกระทบการตัดสินใจของเธอ...แต่ถ้าเธอถาม คำตอบก็คือ ใช่”

ดวงดาวเข้าไปนั่งข้างๆมุกรินพูดต่อเมื่อเห็นเธอฟังแล้วอึ้งๆว่า

“โลกนี้ไม่ได้มีผู้ชายแค่สองคนนะ...ไม่คิมหันต์ก็ปรารภ แค่นั้นเหรอ...ไม่ใช่...หรือถ้าโลกนี้จะไม่มีผู้ชายเลยสักคน เธอจะตายไหม... ก็ไม่...แต่ถ้าในระหว่าง

ชีวิตของเรา เราต้องไม่ทำอะไรที่มันไม่ใช่ความต้องการจากหัวใจของเราจริงๆ ฉันว่า...นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความทุกข์”

ดวงดาวเห็นมุกรินนิ่ง และคิด เธอย้ำ

“รีบๆลืมคิมหันต์ให้สนิทใจก่อนเถอะ แล้วค่อยฟูมฟักรักครั้งใหม่ให้แข็งแรงขึ้น ฉันว่าตาปรารภยินดีรอ”

“ฉันมีเวลาอีกเดือนนึง ก่อนงานแต่งงาน”

“เธอว่าพอไหมล่ะ?” เป็นคำถามที่ทำให้มุกรินนิ่งไป ถอนใจก่อนบอกว่า

“ถ้าฉันปฏิเสธพี่รภตอนนี้ เขาคงเสียหน้าแย่”

“เสียหน้า กับเสียใจ อันไหนหนักกว่ากัน?” ดวงดาวสะกิดให้ชั่งใจ

ooooooo

ฝ่ายชุมสายที่ติดตามข่าวในสังคมตลอดเวลา โทร.หาคิมหันต์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่กับพักตราที่บ้านพักชายป่าถามว่าคุยได้ไหม คิมหันต์บอกได้ แต่ตนไม่มีธุระอะไรให้เขาทำอีกแล้ว

ชุมสายเล่าบางเรื่องให้ฟัง บอกว่าฟังเล่นๆ เผื่อเขาจะได้วัดใจตัวเองดูว่าตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือเปล่า

ชุมสายเล่าเรื่องราวในโลกออนไลน์ให้ฟังว่า ปรารภโพสต์รูปสวยๆหลายรูป มีคนกดไลค์กันเยอะเลย มันเป็นรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวสุดแสนโรแมนติก คิมหันต์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงถามว่าแต่งงานกันแล้วหรือ ชุมสายบอกว่ายัง แค่ลองชุด แต่งานแต่งคงประมาณเดือนหน้า

“แกบอกฉันทำไม เขาให้แกมาหยามฉันเหรอ”

“เปล่า...แต่เพราะแกเป็นเพื่อนฉัน...ฉันรู้ว่าแกยังมีอะไรค้างคาใจอยู่อีกเยอะ โอกาสสุดท้ายของแกเหลืออีกไม่มากแล้วนะเพื่อน แต่ถ้าแกทำใจได้แล้ว ปล่อยวางไปแล้ว ฉันก็ดีใจด้วย แต่ถ้าแกอยากจะชำระล้างสิ่งที่ติดค้างนั้นออกให้หมด หรืออยากจะวัดดวงอีกสักครั้งก็บอกมา มีอะไรที่ฉันช่วยได้ ฉันยินดีเหมือนที่ผ่านมาเสมอ”

คิมหันต์ขอบใจ แต่พอตัดสายจากชุมสาย พยาบาลพิเศษก็มาบอกเขาว่า “ท่านเชิญทานข้าวค่ะ”

แต่พอเขาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร อรรถถามอย่างรู้การเคลื่อนไหวของเขาทุกอิริยาบถว่ามีธุระสำคัญอะไรที่ยังทำไม่เสร็จหรือเปล่า เห็นเดินคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียด คิมหันต์ถามว่า “ท่านยังจับตาดูผมอยู่ตลอดเวลา?”

“เพราะเธอเลือกอย่างนั้น” อรรถพูดอย่างเป็นต่อ ย้ำว่าที่จริงตนตัดเขาออกจากวงจรชีวิตไปแล้ว แต่เขาเป็นคนเสนอตัวเข้ามาช่วยบำบัดพักตราเอง ย้ำว่า “ก็เท่ากับว่าเธอเสนอตัวมาเป็นลูกชายฉันเหมือนเดิม แล้วจะให้ฉันมีท่าทีที่ต่างไปจากเดิมได้ยังไง”

อรรถบอกว่าอาการของพักตราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตนปรึกษาหมอ หมอบอกว่าถ้าคงสภาพนี้ไว้จะเป็นผลดีต่อการบำบัดฟื้นฟูมากทีเดียว แต่ในทางกลับกัน ถ้าบรรยากาศดีๆเหล่านี้ เกิดเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน การตีกลับทางอารมณ์ก็เกิดขึ้นและอาจจะรุนแรงมากกว่าเดิม

“ท่านกำลังส่งสัญญาณเตือนผม” คิมหันต์รับรู้เจตนาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา อรรถตอบทันทีอย่างจริงจังว่า

“ใช่...ฉันทำอย่างนั้น เพื่อพักตรา” เห็นคิมหันต์ก้มหน้านิ่ง อรรถบอกว่า “เดี๋ยวพักตราจะลงมากินข้าวด้วย เธอลองสังเกตดูดีๆสิว่า พักตรากลับมาน่ารักเหมือนเดิมหรือยัง ฉันว่ามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” แล้วอรรถก็โน้มหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆคิมหันต์ พูดเบาๆแต่เสียงเข้ม “อย่าทำให้เราต้องผิดหวังอีกนะ ไอ้ลูกชาย”

ครู่หนึ่งพักตราลงมาที่โต๊ะอาหาร เธอเข้าไปนั่งข้างคิมหันต์ ทักทายอย่างอ่อนหวานนิ่มนวล

“คิม...ตื่นเช้าก็ไม่ปลุกพักตร์ด้วย” เขาบอกว่าอยากให้เธอพักผ่อน พักตราเล่าด้วยสีหน้าแจ่มใสว่า พักตร์มีข่าวดีจะบอกคิม บอกพ่อด้วยค่ะ...”

“ข่าวอะไรเหรอลูก” อรรถถามประคับประคองอารมณ์เธออย่างอ่อนโยน

“พักตร์เพิ่งพูดโทรศัพท์กับหมอ”

“หมอ?...” อรรถทวนคำฉงน

“หมอสูติ ที่เคยดูแลพักตร์ไงคะ หมอบอกว่า พักตร์น่าจะแข็งแรงพอที่จะตั้งครรภ์ได้แล้ว แผลผ่าตัดก็หายดีแล้ว...คิมคะ...น่าจะถึงเวลาที่เราจะมีลูกของเราได้แล้วนะคะ... คืนนี้ เราสร้างบรรยากาศมื้อเย็นดีๆ เพื่อลูกของเรานะคะ”

คิมหันต์ได้แต่ยิ้มบางๆอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อถูกอรรถใช้ไม้เดิมอย่างมีอำนาจและพักตราที่ต้องประคับประคองจิตใจและอารมณ์ของเธอให้ดี...

ooooooo

ที่ร้านอาหารสวย บรรยากาศดี ปรารภพามุกรินมานั่งทานอาหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานระหว่างรออาหาร ปรารภเอ่ยขอว่าก่อนแต่งงานถ้าเธอเห็นตนมีข้อเสียอะไรหรือเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบให้บอกได้เลย พูดเสียตั้งแต่วันนี้เพื่อวันข้างหน้าระหว่างเราจะได้ไม่มีอะไรอึดอัดในใจ ปรารภบอกว่าตนผิดหวังกับชีวิตแต่งงานสามครั้งที่ผ่านมาจนไม่อยากผิดหวังอีกแล้วและไม่อยากให้เธอผิดหวังด้วย

แต่มุกรินก็ไม่ได้พูดอะไร ปรารภเล่าแผนงานว่า

“อาทิตย์หน้าเราถ่ายรูปพรีเวดดิ้งสวยๆกันนะ ถ้าวันนึงมุกทิ้งพี่ไป พี่จะได้มีรูปสวยๆเอาไว้ปลอบใจตัวเองทีหลัง พี่สั่งทีมงานให้เขาหาโลเกชั่นที่สวยที่สุด โรแมนติกที่สุดสำหรับเรา รวมทั้งช่างภาพต้องฝีมือดีที่สุดและต้องไม่ใช่ชื่อ คิมหันต์ สุริยะศักดิ์”

ฝ่ายพักตราก็เฝ้าเอาอกเอาใจคิมหันต์ เธอวางแผนจะมีลูกกับเขาคืนนี้เพื่อลูกจะได้คลอดออกมาในเดือนเมษายน ถามว่าราศีเมษเขาชอบไหม

พอคิมหันต์ตอบรับ พักตราบอกว่าตนง่วงแล้วจะไปนอนรอเขาที่ห้อง ให้รีบตามไป

เมื่อพักตราขึ้นห้องนอนแล้ว อรรถจึงบอกคิมหันต์ว่า หมอสั่งโซลอฟให้เธอกิน กินแล้วทำให้ง่วง หมอต้องการให้เธอพักผ่อนมากๆ ให้คลายเครียด ทำให้พักตราต้องนอนเร็วอย่างนี้ทุกคืน แล้วถามหยั่งเชิงว่าเขากังวลเรื่องการเป็นพ่อคนไหม

“ไม่ครับ...แค่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมกับบทบาทนี้”

“เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะมันจะไม่มีวันเกิด เรื่องนึงที่พักตรายังไม่รู้เพราะหมอมีความเห็นว่าไม่ควรบอกเธอ นั่นคือเธอจะไม่มีโอกาสท้อง” อรรถเล่าว่า

เพื่อรักษาชีวิตคนไข้ หมอจำเป็นต้องตัดมดลูกเธอออกไป พูดอย่างอดกังวลไม่ได้ว่า “ฉันนึกไม่ออกเหมือนกันว่า วันนึงที่ยายพักตร์รู้ความจริงเรื่องนี้ เธอจะเป็นยังไง”

คิมหันต์เองก็นิ่งไปอย่างไม่คาดคิด เขาพูดไม่ออก จนอรรถเป็นคนเอ่ยขึ้นอีกว่า

“ถ้านายไม่อยากอยู่ที่นี่จนถึงวันนั้น ก็บอกฉันนะ ฉันไม่มีความคิดจะเก็บกักตัวนายไว้ที่นี่อีกแล้ว” คิมหันต์บอกว่าตนอาจมีความจำเป็นต้องเข้ากรุงเทพฯ “เธอมีสิทธิ์ทำอย่างนั้นได้ แต่บอกฉันก่อนไปก็จะดี”

“ผมจะพยายามครับ” และเมื่ออรรถลุกเดินออกไป เขาก็โทร.ถึงชุมสายทันที “นอนรึยังวะเพื่อน ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากแกอีกสักครั้งว่ะ สัญญาว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ชุมสาย”

ooooooo

เช้านี้...ที่ห้องเสื้อในโรงแรมหรู มุกรินในชุดเจ้าสาวแสนสวยยืนให้ช่างเก็บรายละเอียดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่

ครู่หนึ่งทีมงานถือโทรศัพท์เข้ามาบอกว่า “โทรศัพท์คุณมุกค่ะ...จากคุณดวงดาว”

ดวงดาวโทร.มาอวยพรให้เธอมีความสุขมากๆ มุกรินติงว่าแค่ลองชุดไม่ใช่งานแต่ง ดวงดาวบอกว่าถ้าจะมีความสุขก็ต้องสุขตั้งแต่วันนี้ ถามว่า “ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” มุกรินถามว่าถ้าตนยกเลิกงานแต่งจริงๆ เธอจะดีใจไหม

ดวงดาวบอกว่าเฉย ๆ ให้ถามปรารภดีกว่าว่ารับไหวไหม มุกรินบอกว่าเขาไม่อยู่ เดี๋ยวถ้าอารมณ์ดีจะถามให้

แต่ที่แท้ก่อนหน้านี้สามวัน ปรารภนัดคุยกับดวงดาว เขาปรารภว่า ไม่แน่ใจว่ามุกรินอยากแต่งงานกับตนจริงๆ หรือเปล่า ดวงดาวถามว่าทำไมเขาไม่ถามมุกรินเอง

“เขาไม่พูดความจริงเรื่องนี้กับผม ผมรู้สึกว่า เขาแค่ต้องการหนีจากคิมหันต์เท่านั้น” ดวงดาวบอกว่าตนก็รู้สึกเช่นนั้น “นั่นก็แปลว่า เขาไม่ได้อยากแต่งงานกับผมจริงๆ มุกหลอกผม” ดวงดาวติงว่ามุกรินไม่มีเจตนาอย่างนั้นหรอก ปรารภเชื่อว่าลึกๆแล้วมุกรินอาจจะยังลืมคิมหันต์ไม่ลง จึงอยากจะให้เวลามุกรินอีกสักนิด บอกดวงดาวว่า

“ผมจะเปิดโอกาสให้มุกได้เจอคิมหันต์สักพักนึง เพื่อให้เขาตอบตัวเองได้จริงๆว่า เขาตัดใจจากหมอนั่นได้จริงหรือไม่”

ดวงดาวถามว่าเขาคิดว่ามุกรินจะยอมไปเจอคิมหันต์อีกหรือ ปรารภบอกว่าตนสามารถทำให้เขาเจอกันได้

“นี่มันบ้าชัดๆ คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าคุณกำลังเล่นกับอะไร คุณท้าทายอารมณ์คนแบบนี้ไม่ได้นะ โดยเฉพาะกับคนที่ทั้งรักและแค้นมาก มันอาจจะเกิดอะไรที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้นะ”

“เขาทั้งคู่จะอยู่ในสายตาของผมตลอด ระหว่างผมกับมุกริน จะต้องไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงอีกเป็นอันขาด”

“งั้นฉันก็ขอเอาใจช่วยคุณ ขอให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คุณต้องการนะคุณปรารภ แต่ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะไม่มีวันไว้ใจนายคิมหันต์แม้แต่นิดเดียว”

นั่นคือเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน และตามมาด้วยเรื่องราวที่กำลังเป็นไปตามแผนของปรารภวันนี้...

ooooooo

ที่ห้องเสื้อในโรงแรมหรู ทีมงานมาบอกมุกรินในชุดเจ้าสาวแสนสวยว่ารถมารออยู่ด้านหน้าแล้ว

มุกรินถามว่าเสื้อผ้าตนล่ะ ทีมงานบอกว่าอยู่ในรถตู้แล้ว เธอถามว่ามีใครไปกับตนบ้าง ทีมงานบอกว่าช่างภาพ เธอพึมพำขำๆว่า “หวังว่าพี่รภคงจะไม่ทำอะไรเซอร์ไพรส์ฉันอีกนะ” ทีมงานบอกว่าอันนี้ไม่ทราบ

เมื่อขึ้นรถตู้แล้ว ทีมงานบอกว่าปรารภจะตามไปให้เร็วที่สุด อวยพร “ถ่ายรูปให้สนุกนะคะ”

มุกรินขึ้นนั่งที่เบาะใหญ่กลางรถ ข้างหลังสุดมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่ เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยช่างภาพชื่อเจมส์

“วันนี้ต้องเหนื่อยหน่อยนะครับ แต่ลูกพี่ผมฝีมือดี รับรองว่ารูปออกมาสวยแน่ๆครับ”

เวลาเดียวกันอรรถอยู่ที่บ้านพักชายป่า เขาทักพักตราที่เดินลงมาว่าตื่นเช้าจัง เธอถามหาคิม อรรถบอกว่าเขาเข้ากรุงเทพฯมีงานบางอย่างที่ต้องสะสางให้เสร็จ พักตราสงสัยว่าเป็นงานอะไร อรรถอ้างว่าเขาเป็นช่างภาพก็ต้องไปถ่ายภาพ

“เขาน่าจะบอกพักตร์ก่อน งั้นพักตร์ไปนอนต่อนะคะ คิมมาแล้วเรียกพักตร์นะคะ” พักตราเดินกลับไปอย่างไร้อารมณ์

อรรถมองตามอย่างหนักใจ เพราะเมื่อคืนเขาบอกคิมหันต์แล้วว่าควรบอกพักตราก่อนไป คิมหันต์บอกว่า

“เพื่อรักษาสภาพจิตใจของพักตรา ผมคิดว่าเธอไม่ควรรู้ว่าผมไปไหน ที่จริงเธออาจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ที่นี่ ผมกลับมาให้เธอเห็นหน้าเมื่อไหร่เธอก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าผมอยู่ที่นี่กับเธอตลอดเวลา”

“แล้วสภาพจิตใจของฉันล่ะ เธอจะไม่บอกให้ฉันสบายใจหน่อยเหรอว่าเธอไปทำธุระกับใคร? ที่ไหน?”

คิมหันต์บอกตรงๆ ว่าเกรงเขาจะรับไม่ได้ อรรถถามอีกว่าเขาจะกลับมาที่นี่อีกไหม คิมหันต์เตือนความจำว่าเขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าเป็นสิทธิ์ของตน พูดแล้วขึ้นรถขับออกไปทันที

ครู่เดียวอรรถยกมือถือขึ้นพูด “ฮัลโหล...รู้รึยังว่าเขาอยู่ที่ไหน เจอตัวเมื่อไหร่ ส่งข่าวบอกฉันทันทีนะ”

วางสายแล้ว อรรถยังนั่งกังวล...

ooooooo

ที่สวนสาธารณะร่มรื่นแถวชานเมือง ที่นั่นถูกจัดเตรียมเป็นสถานที่ถ่ายรูปแต่งงานอย่างสวยงาม มีรถสปอร์ตหรูเปิดประทุนคันหนึ่งจอดอยู่ เหมือนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำหรับถ่ายรูปคู่บ่าวสาว

มุกรินมาถึงแล้ว ผู้ช่วยช่างภาพพาเธอไปนั่งในรถสปอร์ตหรูคันนั้น บอกว่าให้รอช่างภาพครู่เดียว เราจะถ่ายช็อตแรกกับรถคันนี้

มุกรินเข้าไปนั่งรอในรถสปอร์ต อึดใจเดียวก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมานั่งที่คนขับ เขาคือคิมหันต์นั่นเอง!

“ผมคือช่างภาพ” คิมหันต์แนะนำตัวเองแล้วสตาร์ตรถทันที อึดใจเดียวรถสปอร์ตหรูก็เคลื่อนออกไปอย่างเร็วจนทีมงานพากันมองตะลึง!

ปรารภอยู่ที่บ้านสวน เขาโทร.เช็กกับทีมงานว่าเจ้าสาวของตนไปถึงหรือยัง ทีมงานบอกว่ามาถึงเมื่อครู่นี้แล้ว

“โอเค...เดี๋ยวจะมีแขกของพี่คนนึงมาขอคุยกับเจ้าสาวนะ เขาชื่อคิมหันต์ พี่อนุญาตให้คุยกันได้สักครึ่งชั่วโมง พวกเราคอยดูให้ดีด้วย ให้คุยอยู่ที่นั่นอย่าไปไหนไกล พี่กำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่ทันแล้วค่ะ คือคุณมุกรินมาแล้ว ออกไปแล้วค่ะ... ไปกับช่างภาพ” ปรารภตกใจถามว่าช่างภาพไหน! “ช่างภาพ ที่ชื่อคุณคิมหันต์ แกมาแทนช่างภาพของเรา ตอนนี้แกขับรถออกไปกับเจ้าสาวของพี่แล้วครับ” ทีมงานอีกคนรายงาน

“หา!!” ปรารภร้องลั่น

ooooooo

คิมหันต์ขับรถพามุกรินในชุดเจ้าสาวออกนอกเมือง ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบ จนมุกรินถามขึ้นว่าจะพาตนไปไหน ขับมาไกลเกินไปแล้ว

คิมหันต์บอกว่าที่สวยๆ ก็ต้องใช้เวลาหน่อย ถามว่าเธอไม่มีธุระอะไรต้องรีบไปไหนไม่ใช่หรือ มุกรินสวนไปว่าเวลาของเขาหมดแล้ว

“ผมรู้...แต่นี่ไม่ใช่เวลาของผม...มันเป็นเวลาของคุณ... เวลาที่คุณต้องตัดสินใจ” มุกรินถามว่าปรารภรู้หรือเปล่าว่าเขามา “รู้...เขาเป็นคนยื่นข้อเสนอให้ผมได้คุยกับคุณ แต่เขาไม่รู้ว่าผมจะพาคุณไปไหน”

“คุณหักหลังเขา!”

“เปล่า...ถึงเมื่อไหร่ คุณโทร.บอกเขาได้เลย” มุกรินบอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เขาจะทำอย่างนี้ “อย่างน้อยผมก็ได้ถ่ายรูปคุณในชุดเจ้าสาวที่นั่น...หรือคุณคิดว่ามีใครถ่ายรูปคุณได้สวยกว่าผมบ้าง” พูดแล้วเขาเร่งรถพุ่งทะยานไปข้างหน้า...

ฝ่ายอรรถคอยโทร.เช็กกับลูกน้องที่สวนร่มรื่นแห่งนั้น เขาถามว่ามีอะไรคืบหน้าไหม ลูกน้องรายงานว่าเขามาถ่ายรูปแต่งงานกัน อรรถโล่งใจว่าคิมหันต์คงไปทำงานตามปกติ แต่พอลูกน้องบอกว่า

“น่าจะไม่ปกติครับ เขาเพิ่งขับรถพาเจ้าสาวหนีออก จากงานครับ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าหนีไปไหน” อรรถถามว่าเจ้าสาวชื่ออะไร พอลูกน้องบอกว่าชื่อมุกริน อรรถสั่งเครียดทันทีว่า

“หาให้เจอว่าพวกเขาไปที่ไหน แล้วรายงานฉันด่วน!”

สาวคนใช้ที่เอาเครื่องดื่มมาให้อรรถ ได้ยินการสนทนานั้นทั้งหมดทุกคำ เมื่อกลับไปที่ห้องโถงเห็นพยาบาลนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไม่ไกลนักเห็นพักตรานอนหลับอยู่ สาวใช้มองพักตราบอกว่าสงสารคุณพักตราจัง พยาบาล ถามว่าเรื่องอะไรหรือเพราะพักตราอาการดีขึ้นเยอะแล้ว

“ก็สามีแกน่ะสิ นอกจากจะทิ้งขว้างไม่ดูแลแล้ว ยังไปฉุดเจ้าสาวคนอื่นเขาหนีออกจากบ้านอีก แต่ต้องอย่าให้คุณพักตรารู้เรื่องนี้เด็ดขาด” พยาบาลถามว่าเจ้าสาว ที่ไหนยอมอย่างนั้น “จะใครเสียอีกล่ะ ก็แฟนเก่าคุณคิมหันต์ที่เคยหมั้นกันแล้วถอนหมั้นเสียโด่งดังน่ะแหละ”

“มุกริน” พยาบาลจำได้

“เออ...นั่นแหละ” สาวใช้ยืนยัน แต่ทั้งสองไม่รู้ว่า พักตราไม่ได้หลับ เธอเบิกตากว้างและเกร็งไปทั้งร่าง!

ooooooo

ปรารภไปหาดวงดาวเล่าเรื่องคิมหันต์ฉกมุกรินไปให้ฟัง ดวงดาวสมน้ำหน้าที่ตนเตือนแล้วไม่เชื่อ

“อย่าเพิ่งซ้ำเติมผมได้ไหม บอกมาก่อนว่าคุณพอจะเดาได้หรือเปล่าว่าเขาน่าจะไปที่ไหน”

ดวงดาวบอกไม่รู้ ก็พอดีมือถือปรารภดังขึ้น ฟัง ปลายสายแล้วเขาบอกดวงดาวว่ารู้แล้วว่าพวกเขาไปที่ไหนกัน เพราะทีมงานตนคาดคั้นจากผู้ช่วยคิมหันต์ รู้ว่าพวกเขามุ่งหน้าไปพัทยา ที่ที่เขาเคยบอกรักกัน

“คุณแพ้เขาแล้ว” ดวงดาวยิ้มสมเพช ปรารภบอก ว่ายังเพราะตนจะต้องตามหาพวกเขาให้เจอ “เขาตั้งใจบอกให้คุณตามไปต่างหาก เตรียมตัวอกหักได้เลย คุณไม่ทันเขาจริงๆ คุณปรารภ”

คิมหันต์พามุกรินไปถึงริมทะเลแล้ว เขาลงจากรถไปบอกว่าเรามีเวลาคุยกันสามชั่วโมงกว่าปรารภจะตามมาเจอ ขณะนั้นเองมุกรินก็ได้รับข้อความจากดวงดาวว่า “ฉันอยู่กับปรารภ กำลังตามไป” มุกรินแอบกดหมายเลขลงไปบนโทรศัพท์ของเธอ เพื่อให้ดวงดาวและปรารภได้ยินการพูดกันระหว่างตนกับคิมหันต์ แล้วเดินลงไปหา

คิมหันต์ที่ยืนพิงกระโปรงรถอยู่

คิมหันต์บอกว่าเธอไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ตนจะพูดให้เธอฟังเองเพราะนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ตนจะได้คุยกับเธอ บอกว่าตนพยายามพูดกับเธอดีๆ แต่เธอไม่ยอมฟัง ตนจึงต้องใช้วิธีนี้

ดวงดาวที่นั่งรถมากับปรารภ เห็นเบอร์มือถือมุกรินโชว์เธอบอกปรารภว่ามุกรินโทร.มา แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอบอกว่า

“ไม่ได้พูดอะไร มุกคงอยากให้เราฟังเขาคุยอะไรกัน” ดวงดาวอ่านใจมุกรินออก แล้วกดเปิดลำโพงให้ได้ยินด้วยกัน

ทั้งสองเงียบคอยฟังเสียงจากมือถือ ได้ยินเสียงคิมหันต์พูดขึ้นก่อนว่า

“ทันทีที่คุณบอกว่าจะแต่งงานกับนายปรารภ คุณรู้ไหมว่าหัวใจผมแหลกสลายไปแค่ไหน”

“วิธีนี้อีกแล้วนะนายคิมหันต์” ดวงดาวเปรยขึ้นอย่างรู้ทัน แล้วนิ่งฟังเสียงคิมหันต์...

“คุณรู้...ผมเชื่อว่าคุณต้องรู้ แต่คุณจงใจที่จะ

ทำร้ายผมด้วยวิธีแบบนี้...และมันก็ประสบความสำเร็จสมใจคุณ แต่คุณถามตัวเองแน่ๆหรือยังว่า คุณยอมเอาชีวิตที่เหลือของคุณทั้งชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ผมหัวใจสลาย มัน คุ้มกันไหม”

“คำถามแค่นี้ ถามที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องลักพาตัวมาอย่างนี้เลย” คิมหันต์แย้งว่าเพราะเธอไม่เปิดโอกาสให้ตนได้พูดและไม่ยอมเปิดใจตัวเองให้หัวใจตัวเองเป็นผู้ตัดสิน “ฉันเบื่อแล้วค่ะคิม ฉันเบื่อที่จะถามใจตัวเองแล้ว เพราะทุกครั้งที่ฉันถาม คำตอบมันก็คือคำตอบของหัวใจฉัน ไม่ใช่หัวใจคุณ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ แล้วหัวใจของคุณเป็นยังไง”

คิมหันต์บอกให้เธอถาม มุกรินบอกว่าไม่ถามเพราะตนรู้หมดแล้ว คิมหันต์แย้งว่าสิ่งที่เธอรู้เป็นแค่เปลือกอารมณ์ชั่ววูบของตน มุกรินบอกว่าอารมณ์ชั่ววูบของเขาแต่มันทำลายตนทั้งชีวิต!

คิมหันต์ยังคงชี้แจงด้วยเหตุผลของตัวเองที่มุกรินรับไม่ได้ คิมหันต์ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมว่า

“คุณกำลังตัดสินใจผิดนะมุก คุณไม่ได้รักนายปรารภ ถ้าคุณรักเขาจริง คุณต้องแต่งงานกับเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว คุณปฏิเสธไหมล่ะ” คิมหันต์จับบ่าทั้งสองของเธอให้มาเผชิญหน้า มุกรินจับมือเขาออกแล้วเดินเลี่ยงไป คิมหันต์เว้าวอนตามหลังว่า “แต่งงานเพราะความแค้นกับแต่งงานเพราะรัก มันให้ผลที่ต่างกันมากนะ เชื่อผมเถอะมุก”

มุกรินหยุดยืนนิ่ง ไม่ตอบ และไม่สบตา

ดวงดาวฟังอยู่กับปรารภ ถึงตอนนี้เธอถามเขาว่าอยากให้ตนใส่หูฟังไหม ปรารภแข็งใจบอกว่าไม่ต้อง และขับรถต่อไปด้วยสีหน้าที่ซีดและเครียดอย่างเห็นได้ชัด

ooooooo

คิมหันต์ยังคงรำพึงถึงอดีตว่า ตนมีรูปถ่ายในที่ที่ตนบอกรักเธอเยอะมาก มุกรินบอกให้เขาลบออกเสียให้หมด

“ผมลบแล้ว แต่ยังไม่หมด...ผมเริ่มต้นลบตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าผมสิ้นหวัง แต่ก็มีรูปที่ลบเท่าไหร่ก็ลบไม่ออก มันคือรูปในใจของผม ในความทรงจำของผม ผมอยากรู้ว่ามันหมดไปจากความทรงจำของคุณด้วยหรือเปล่า”

มุกรินสะกดใจตัวเองไม่ให้หวั่นไหวไปกับเขา เธอเปลี่ยนเรื่องถามว่าเขาจะทำอย่างไรถ้าปรารภมาถึง

“ผมจะขอให้คุณเลือก ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่กังวลเรื่องนี้ ว่าที่เจ้าบ่าวของคุณก็กังวลเหมือนกัน ผมจะบอกให้นะ ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอก จะมีความสุขกับการแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้รักเขา”

ปรารภฟังแล้ว นิ่ง เงียบ จนดวงดาวเอ่ยขึ้นว่า “โอกาสคุณน้อยลงเรื่อยๆแล้วนะ” ปรารถยังคงนิ่ง

คิมหันต์บอกมุกรินว่า ปรารภเป็นคนเปิดโอกาสให้ตนคุยกับเธอเพื่อให้เธอเช็กหัวใจตัวเองอีกครั้ง ชมว่า

“ต้องถือว่านายปรารภเป็นสุภาพบุรุษไม่น้อย... ถ้าคุณตัดสินใจเลือกเขา เพราะคุณรักเขาจริง ผมก็ยินดีจะถ่ายรูปคู่ให้คุณ เพราะผมรู้ว่ามุมไหนของคุณสวยที่สุด โดยเฉพาะที่หาดนั้น... ผมอาจจะไม่ได้ใส่ชุดเจ้าบ่าวยืนข้างๆคุณ แต่ผมก็ยังมีโอกาสได้มองคุณในชุดเจ้าสาวเต็มๆตา แม้จะต้องมองผ่านเลนส์กล้อง ก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็นเลย...”

มุกรินนิ่ง คิมหันต์บอกว่า หวังว่าเธอจะตัดสินใจได้ก่อนปรารภมาถึง มันไม่ได้ยากอะไรถ้าเธอเปิดใจตัวเอง อย่าทำให้ผู้ชายดีๆอย่างปรารภต้องทุกข์ทรมานไปทั้งชีวิตเลย มุกรินบอกว่าตนเชื่อว่าจะรักเขาได้
ไม่ยาก

“คุณรู้ได้ยังไงว่าความเชื่อกับความเป็นจริงมันจะเหมือนกัน...คุณกล้าถามเขาต่อหน้าไหมล่ะ เมื่อเขามาถึงคุณถามเขาเลย บอกเขาว่าวันนี้คุณยังไม่ได้รักเขาหรอกนะ แต่อยู่ไปสักพักฉันจะรักคุณเอง ทำสัญญากันก็ได้ว่าอีกกี่ปีถึงจะรัก ห้าปี หกปี เจ็ดปี ดูซิว่าเขารอได้ไหม คำตอบของเขาจะทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น...อยู่ที่ว่าคุณจะกล้าพูดกับเขาอย่างนี้ไหม”

มุกรินตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ ปิดมือถือของตนทันที ปรารภที่ฟังอยู่อย่างใจจดจ่อถามดวงดาวว่าสายหลุดหรือ

“มุกเขาคงไม่อยากให้เราได้ยินบทสนทนาหลังจากนี้ มากกว่า คุณเสียเธอไปแล้วล่ะ คุณปรารภ”

ooooooo

คิมหันต์ยังพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่เคยรักกัน สัญญาให้กัน กระทั่งบอกเธอว่า ความรักอาจจะไม่ได้จบลงด้วยการแต่งงานหรือการอยู่กินด้วยกันเสมอไป

มุกรินฟังแล้วคิดถึงปรารภ บอกเขาว่า “พี่รภคงจะเกลียดฉันไปอีกนาน ถ้าฉันบอกเลิกการแต่งงานตอนนี้ เขาเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขาวาดฝันถึงอนาคตหลังการแต่งงานไม่น้อย”

“ไม่เท่าผมหรอก” แล้วคิมหันต์ก็รำพึงรำพันถึงอดีตที่หวานชื่นกับเธออีก ถามว่า “คุณเคยเสียดายเวลาบ้างไหม”

“ถ้าคุณจะเริ่มพูดเรื่องเก่าเพื่อรื้อฟื้นความรู้สึกเดิมเมื่อไหร่ ฉันจะเดินหนีคุณไปทันที”

เมื่อมุกรินไม่ฟังการรื้อฟื้นความรู้สึกเดิมอีก คิมหันต์เปลี่ยนเป็นขอจับมือ เห็นมุกรินไม่ปฏิเสธเขากุมมือเธอไว้เบาๆ เป็นสัมผัสที่ทำให้มุกรินรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขา เธอรีบดึงมือออกลุกขึ้น คิมหันต์ลุกไปนั่งห่างออกไป หันหน้ามองเธอบอกว่า จะนั่งมองหน้าเธอจนกว่าปรารภจะมาและฟังคำตอบสุดท้ายจากปากเธอ

เวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านพักชายป่ากำลังโกลาหลเมื่อพักตราหายไปจากบ้าน บอกพยาบาลพิเศษว่าจะไปเดินเล่นและห้ามใครตาม เธอหนีออกไปเช่ารถตู้หนีไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน

เวลาเดียวกันนั้น ปรารภกับดวงดาวก็กำลังบ่ายหน้าไปพัทยา ปรารภถามดวงดาวว่าใกล้ถึงหรือยัง เธอบอกว่าอีก 25 นาที ถามว่า “คุณเตรียมคำพูดประโยคแรกไว้หรือยัง” เขาบอกว่ายังคิดไม่ออก

คิมหันต์ยังทำเวลาเต็มที่ เขารำพึงรำพันถึงเวลาที่ไม่เท่ากันของคนที่มีความสุขกับคนที่มีความทุกข์

“เวลาของคนมีความสุข กับเวลาของคนมีความทุกข์เดินไม่เท่ากัน เวลาของคนมีความรักกับเวลาของคนอกหักก็ไม่เท่ากัน...ผมรู้ว่าเวลาของผมกับคุณตอนนี้...กำลังเดินไม่เท่ากัน”

คิมหันต์รำพึงรำพันเสียจนมุกรินต้องตัดบทว่า

“ฉันก็อยากจะเห็นใจคุณนะคะคิมหันต์ แต่เวลาที่เดินช้าๆของฉัน มันยิ่งทำให้ฉันคิดถึงอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น ฉันคิดถึงสิ่งที่คุณทำ คิดถึงทุกคนรอบๆ ตัวฉัน ซึ่งรวมถึงพักตราด้วย คุณไม่สามารถตัดพักตราออกไปจากความรับผิดชอบของคุณได้ค่ะคิม...คุณทำอย่างนั้นไม่ได้”

ทั้งสองสบตากันนิ่งอยู่อย่างนั้น ในสายตาของทั้งคู่ต่างมีความเข้าใจกันและกัน แต่มุกรินก็ตัดสินใจอย่างเข้มแข็งเสนอว่า

“เรานั่งนิ่งๆให้เวลาของเราหมดไปภายในวันนี้เถอะค่ะ”

ooooooo

อรรถร้อนใจมากที่พักตราหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาโทร.หาชุมสายถามว่าตอนนี้คิมหันต์อยู่กับเขาหรือเปล่า

“เขาอยู่กับท่านที่เขาใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ เขายังบอกผมเลยว่าอากาศดี คุณพักตราก็อาการดีขึ้นมากแล้วด้วย”

“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมขอล่ะนะ พูดความจริงกับผมได้ไหม ผมไม่มีเวลามากนัก”

“ได้ครับ ผมยอมรับว่า ผมช่วยให้มันได้มีโอกาสเป็นคนถ่ายรูปมุกริน แต่มันไปถ่ายกันที่ไหน อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ” อรรถถามว่าแล้วพอจะติดต่อเขาได้ไหม “ไม่แน่ใจครับ ไม่ทราบว่า ท่านมีอะไรร้อนใจเหรอครับ”

“พักตราหายตัวไป มีคนเห็นว่าเธอจ้างเหมารถตู้ แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ที่สำคัญเธอหยิบเอาปืนของผมไปด้วย...จะให้ผมสบายใจได้ยังไง” อรรถร้อนใจจนงุ่นง่าน

เวลาเดียวกัน พักตรานั่งอยู่ในรถตู้ มือหนึ่งเธอซุกอยู่ในกระเป๋าลูบคลำปืนกระบอกกะทัดรัดไปมา อีก

มือถือกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กของคิมหันต์ที่มีรูปภาพคู่คิมหันต์กับมุกรินถ่ายที่ชายหาด ซึ่งเป็นการบอกพิกัดที่เธอกำลังมุ่งไป

ปรารภกับดวงดาวมาถึงแล้ว ทั้งสองเห็นรถสปอร์ตเปิดประทุนหรูจอดอยู่ ปรารภบอกว่า

“รถคันนี้ผมตั้งใจจะใช้เป็นองค์ประกอบของภาพคู่ระหว่างเรา”

ทั้งสองช่วยกันมองหามุกรินไปรอบๆที่ทุ่งโล่งใกล้ชายหาด คิมหันต์ยังพยายามหว่านล้อมมุกริน

“ไม่ว่าวันนี้คุณจะตัดสินใจยังไง...ผมก็จะไม่เสียใจ เพราะผมถือว่า ผมได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทุ่มเทให้กับผู้หญิงได้” พอมุกรินจะพูดอะไร เขาขอร้องว่า “อย่าเพิ่งขัดผมเลย ขอให้ผมได้พูดเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ...”

มุกรินนิ่งเงียบรอฟังเขาพูด...

“ผมขอพูดต่อหน้าคุณ มุกริน ในวันที่คุณอยู่ในชุดเจ้าสาวเหมือนที่ผมเคยจินตนาการไว้...วันที่คุณสวยเหลือเกิน...”

มุกรินพยายามต่อสู้กับความรู้สึกอ่อนไหวของตนอย่างหนัก...

“ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่ผ่านมาระหว่างเราเลย มันอาจจะไม่ได้จบสวยงามอย่างที่ฝันไว้ แต่ฝันที่สวยงามมันจะยังอยู่ในใจผมตลอดไป...คุณห้ามผมไม่ได้หรอกมุก...ความแค้นทั้งหมดที่ผมมีต่อพี่ชายคุณถูกชำระจนหมดสิ้นไปแล้ว...ผมเหลือแต่ความรัก รักอย่างบริสุทธิ์ใจ...และขอภาวนาให้ความแค้นที่คุณมีต่อผม จงดับมอดไปโดยเร็วที่สุด เพื่อวันนั้น เราสองคนจะได้มองหน้ากันอย่างสนิทใจ และระลึกถึงความทรงจำที่สวยงามร่วมกันได้ แม้ว่าสถานะของเราวันนั้นจะไม่เหลือความผูกพันระหว่างกันแล้วก็ตาม...”

คิมหันต์ขยับเข้าไปจับมือมุกรินกุมไว้อย่างนุ่มนวลทันใดนั้น ปรารภเดินเข้ามา คิมหันต์ค่อยๆถอยห่างออกจากมุกริน บอกเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ถึงเวลาตัดสินใจแล้วครับ”

“คุณมันขี้โกง” ปรารภพรวดเข้าถึงตัวทั้งสอง คิมหันต์อ้างว่าเขาเป็นคนอนุญาตให้ตนพบกับเจ้าสาวของเขา “ใช่! แต่ไม่ได้อนุญาตให้คุณฉุดเจ้าสาวผมมาถึงพัทยาอย่างนี้”

ดวงดาวก้าวเข้ามาอีกคน เธอบอกมุกรินว่า “ทั้งหมดอยู่ที่เธอคนเดียวมุก เวลานี้ความเห็นของใครก็ไม่ดีไปกว่าหัวใจตัวเองแล้วล่ะ” แล้วหันไปพูดกับคิมหันต์ “ฉันไม่ได้เข้าข้างนายหรอกนะ นายคิมหันต์”

มุกรินบอกปรารภว่าเขากำลังแสดงความไม่ไว้ใจตน ปรารภอ้างว่าตนไม่อยากให้เธอตัดสินใจทำอะไรด้วยการฝืนใจตัวเอง ตนอยากให้เธอเคลียร์กับเขาให้จบ แต่เขาคงจะขอโอกาส ขอโทษ แต่ไม่คิดว่าเขาจะบ้าระห่ำขนาดลักพาตัวเธอมาถึงนี่ คิมหันต์สวนไปว่าเขาดูถูกความรักของคนอื่นไม่ได้

“ผมไม่ได้ดูถูกความรักโว้ย...แต่ที่คุณทำมันบ้า มันเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว ขี้โกง”

“พอเถอะค่ะ หยุดทะเลาะกันเสียที ถ้าต้องการให้มุกตัดสินใจ ก็ช่วยรอฟังการตัดสินใจของมุกอย่างสงบได้ไหมคะ”

เป็นเวลาที่พักตรามาถึงและเห็นรถหรูเปิดประทุนจอดอยู่ เธอบอกคนขับรถตู้ให้ส่งตนที่นี่ ตนมีรถใช้แล้ว

คิมหันต์กับปรารภต่างเงียบ ลุ้นฟังการตัดสินใจของมุกริน

“สิ่งที่มุกจะพูดต่อไปนี้คือความจริงในใจของมุกที่มีส่วนพัวพันกับคุณทั้งสองคน” แล้วหันไปทางปรารภ “พี่รภคะพี่เป็นผู้ชายที่อบอุ่นที่สุด พี่คอยช่วยเหลือเป็นที่พึ่งให้มุก ในทุกๆครั้งที่มุกมีปัญหา บุญคุณของพี่ น้ำใจไมตรีของพี่ ไม่มีวันที่มุกจะลืมได้ มุกขอบคุณพี่มากๆ นะคะ แม้กระทั่งวันนี้ พี่ยังให้โอกาสมุกได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง”

ปรารภก้มหน้าอย่างยอมรับการตัดสินใจของมุกริน เธอเอื้อมมือแตะมือเขา “แต่ไม่ว่าพี่จะดียังไง สุดท้ายมุกก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกเคารพพี่ไปเป็นอย่างอื่นได้ค่ะ...มุกขอโทษนะคะพี่...” เธอยกมือไหว้เขา แล้วหันไปทางคิมหันต์

“ส่วนคุณ...คิมหันต์ คุณทำกับฉันมากเกินกว่าที่ฉันจะลืมมันได้ในช่วงเวลาสั้น แม้ถึงวันที่ฉันให้อภัยคุณ ฉันก็แน่ใจว่าจะยังเหลือความมั่นใจในตัวคุณได้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าฉันจะโอนอ่อนไปกับสิ่งดีๆที่ผ่านมามากแค่ไหนก็ตาม...ฉันก็ไม่อาจจะก้าวถลำไปได้มากกว่านี้อีกแล้วค่ะ...คิมหันต์”

มุกรินและคิมหันต์ต่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน มีหยาดน้ำตาคลอแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีต่อกัน...

“ลาก่อนค่ะคิม...จากนี้ไปขอมุกอยู่ตามลำพังโดยไม่มีคุณเข้ามากวนใจอีกเลยได้ไหมคะ...จนกว่าชะตากรรมของเราจะเปลี่ยนไปจากนี้...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...”

มุกรินเดินผ่านผู้ชายทั้งสองออกไป คิมหันต์ดึงร่างมุกรินเข้าไปกอดไว้แน่นเหมือนเป็นการอำลา...

ทันใดนั้น พักตราพรวดเข้ามาพร้อมปืนที่เล็งไปที่มุกริน คิมหันต์ตกใจมากถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม พักตราย้อนถามว่าแล้วพวกเขามาทำไม ด่ามุกรินว่าแย่งคิมหันต์จากตนไป แล้วหนีมาแต่งงานกันที่นี่ใช่ไหม มุกรินชี้แจง แต่นาทีนี้พักตราฟังอะไรไม่ได้แล้ว คิมหันต์ขอให้ฟังตนก่อน เธอตะโกนใส่หน้า

“ไม่ฟัง ไม่ใช่เวลาฟังอีกต่อไปแล้ว มันเป็นเวลาที่พวกแกต้องตาย!”

พักตราไล่ยิงมุกรินในขณะที่คิมหันต์ก็คอยปกป้องมุกรินและร้องห้ามพักตรา คิมหันต์ตัดสินใจกระโดดเกาะรถพักตรา ทั้งปรารภและดวงดาวพยายามช่วยปกป้องมุกริน ดวงดาวผลักมุกรินพ้นจากรถที่พักตราขับพุ่งเข้าชน ดวงดาวได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงจนขาหักและแท้งลูกในที่สุด

คิมหันต์หักพวงมาลัยอย่างแรงจนรถพุ่งออกนอกทางปะทะหน้าผาอย่างแรงจนพักตราฟุบคาพวงมาลัย คิมหันต์กอดพักตราไว้แนบออก พร่ำบอก “พักตร์...ได้ยินผมไหม คุณต้องไม่เป็นอะไรนะพักตร์...”

แต่ในที่สุด พักตราก็สิ้นใจในอ้อมกอดของคิมหันต์...

ooooooo

อรรถมาเชิญวิญญาณผู้ตาย ณ จุดเกิดเหตุกับคิมหันต์ เขายืนมองพื้นที่น้ำตานองหน้า นาทีนี้...เขาจึงเอ่ยอย่างสำนึกว่า

“ฉันผิดเอง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฉันคนเดียว...ฉันควรจะดูแลให้เขาเป็นคนมีสติมากกว่านี้...ที่สำคัญคือรู้จักยอมรับความจริง...ฉันมีเวลาทั้งชีวิตที่จะทำอย่างนั้น แต่ฉันกลับใช้เวลาทั้งหมดหยิบยื่นสิ่งที่เป็นพิษให้กับพักตราและในที่สุด...ก็เป็นฉันที่ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับความทุกข์ทรมาน...ยกโทษให้ฉันด้วยนะสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับเธอและอโหสิให้พักตราด้วย”

“อโหสิให้ผมด้วยเช่นกันครับ” อรรถถามว่ามุกรินกับดวงดาวเป็นอย่างไรบ้าง “เขามีคนคอยดูแลแล้วครับ”

“แล้วเธอล่ะ...” คิมหันต์ไม่ตอบ อรรถตบไหล่เขาเบาๆแล้วเดินจากไปดวงดาวทั้งเสียสายเลือดของธาดาและขาหัก ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล มุกรินขอบใจและเสียใจกับเธอ

“ชีวิตที่ยังไม่ได้เกิด แลกกับการรักษาชีวิตของเธอไว้...อาธาดาน่าจะดีใจที่ฉันทำอย่างนั้น” ดวงดาวเอ่ยจากใจ

มุกรินตัดสินใจจะเก็บเงินซื้อบ้านคืนจากคิมหันต์และมอบให้ดวงดาวอยู่ บอกว่า

“เธอคือสัญลักษณ์เดียวที่ทำให้ฉันนึกถึงพี่ใหญ่ได้” ส่วนกับคิมหันต์นั้น มุกรินบอกว่า “เธอเป็นคนเดียวที่รู้ดีที่สุดว่าฉันคิดยังไงกับเขา”

ชุมสายพาคิมหันต์ไปอยู่วัดที่ชานเมือง เขากราบพระประธานสารภาพอย่างสำนึกว่า

“ผมทำบาปทำกรรมไว้มากครับหลวงพ่อ ผมยึดติดกับความรัก ผมมีความแค้นทุกครั้งที่ผิดหวัง ผมทำลายชีวิตทุกคนที่ผมรักโดยไม่รู้ตัว และสุดท้ายผมก็ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งที่สูญเสียไปได้...”

คิมหันต์ตัดสินใจจะบวชชดใช้กรรม แต่เมื่อหลวงพ่อ เจ้าอาวาสถามถึงความพร้อมในการบวชเพื่อเผยแผ่ธรรม และรักษาธรรมว่าถ้าเขายังทำไม่ได้ บวชไปแล้วจะได้อะไร อย่าคิดบวชเพราะอกหัก หรือรู้สึกผิดบาป ท่านบอกเขาว่า

“อาตมายินดีนะที่โยมคิดอยากจะบวช แต่ขออาตมาได้กลั่นกรองก่อนเถอะ โยมลองมาอยู่วัดดูก่อน ลองถือศีลให้ได้ครบทุกข้อก่อน ให้ใจสงบ จิตพร้อมก่อนแล้วค่อยมาพูดกันใหม่ดีกว่าไหม”

ooooooo

ที่เกาะร้าง...มุกรินในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ นั่งสงบนิ่งอยู่ริมหน้าผาแห่งนั้น... ไม่นานคิมหันต์ในชุดสีอ่อนแปลกตาก็มานั่งใกล้ ในอากัปกิริยาที่สงบเยือกเย็นผิดกับคนเดิมโดยสิ้นเชิง...

คิมหันต์ถามถึงดวงดาว มุกรินบอกว่าเธออยู่บ้านพี่ใหญ่เย็บผ้าโหลกลางวันและร้องเพลงตอนกลางคืนมีปรารภคอยดูแลอย่างใกล้ชิด มุกรินถามว่า “ชุมสายบอกว่า คุณจะไปบวช”

“ผมแพ้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ แค่จะบวชหลวงพ่อยังไม่บวชให้เลย”

ตราบจนนาทีนี้ คิมหันต์ก็ยังมีความรักต่อเธออย่างเต็มเปี่ยมเขาติดตามเธอมาที่เกาะร้าง บอกเธอว่า

“รักแท้ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการอยู่ด้วยกันเสมอไป” ทั้งคู่มองตาถ่ายทอดความรู้สึกความเข้าใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เขาเอ่ยเรียบๆว่า “แล้วเราเจอกันที่เกาะนี้ ทุกวันนะ...”

ทั้งสองยิ้มให้กัน แม้กายทั้งคู่จะมีระยะห่าง แต่หัวใจกลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันบนหน้าผาแห่งความทรงจำนั้น...

ooooooo

–อวสาน–


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 15


ที่วัด...มุกรินถืออาหารถ้วยเล็กๆวางหน้าโลงศพธาดา เคาะโลงบอกพี่ชาย

“กินข้าวนะพี่ใหญ่ มุกเลือกของโปรดพี่มาให้เท่าที่มุกจำได้... ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วนะพี่ เย็นนี้พระจะมาสวด ถ้าพี่ใหญ่ยังอยู่แถวๆนี้ ก็มาฟังพระสวดด้วยกันนะพี่ใหญ่”

บอกกล่าวพี่ชายแล้วมุกรินน้ำตาไหลออกมาอีก พอเธอหันกลับก็เห็นดวงดาวยืนร้องไห้อยู่หน้าโลงศพ...

“ดาว...ฉันพยายามติดต่อเธอตั้งแต่วันแรกที่พี่ใหญ่เสีย แต่ก็ติดต่อเธอไม่ได้”

เป็นคำพูดที่ทำให้ดวงดาวน้ำตาไหลพรากยิ่งขึ้น พูดปนเสียงร้องไห้อย่างหนักว่า

“ฉันไม่ควรทิ้งเขาไปเลย ถ้าฉันอยู่ มันคงไม่จบอย่างนี้หรอก...” มุกรินบอกว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ “ฉันน่าจะพอห้ามผู้ชายคนนั้นได้...หรืออย่างน้อย อาก็ควรจะได้รู้ว่า เลือดเนื้อของอาอยู่ในนี้...”

ดวงดาวลูบท้องตัวเองอย่างแผ่วเบา มุกรินใจหายเมื่อรู้ว่าดวงดาวท้อง... ดวงดาวโผกอดโลงศพธาดาร้องไห้คร่ำครวญ...

“อาน่าจะได้สัมผัสเขาสักครั้ง ได้พูดกับเขาสักคำ แม้เขาจะยังอยู่ในนี้...แต่เขาก็กำลังเติบโต เขาต้องรู้สึกถึงสัมผัสของพ่อได้...ดีกว่าที่อาจะจากไปโดยไม่รู้อะไรเลยแบบนี้...”

“โธ่...ดาว...” มุกรินโอบกอดดวงดาวอย่างให้ กำลังใจ

“ตอนแรกฉันกลัวว่าเขาจะโกรธที่ฉันท้อง...แต่บางทีลูกอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาคิดสั้นแบบนี้...อา...หนูขอโทษ...หนูอาจจะไม่เคยบอกอาตรงๆว่าหนูรักอา...แต่หนูรักอานะ...ถ้าชาติหน้ามีจริง หนูขอเกิดมารักอาอีก และจะรักอาตลอดไป จะบอกรักอาทุกวัน จะไม่ทำให้อาต้องเสียใจแม้แต่นิดเดียว...”

“ฉันเชื่อว่าพี่ใหญ่รับรู้ทุกคำพูดของเธอ และเขาจะต้องดีใจที่เธอมาหา” ดวงดาวถามว่าแล้วเขาคนนั้นล่ะ มาหรือยัง มุกรินบอกว่าเขาไม่มีทางมา แต่ดวงดาวมั่นใจว่า “เขาต้องมา...ฉันรู้ เพราะเขาต้องรู้สึกผิด และอยากให้เธอเห็นใจเขา”

“ไม่มีทาง จากนี้ไป เขาจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่เขาต้องการ”

แต่พอสิ้นเสียงมุกริน รถคิมหันต์ก็ขับเข้ามาจอดที่หน้าศาลา ดวงดาวกับมุกรินหันมองพร้อมกัน ดวงดาวพูดทันทีว่า บอกแล้วว่าเขาต้องมา มุกรินบอกว่า ตนไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีก ดวงดาวบอกว่าเป็นสิทธิ์ของเธอ เธอเลือกได้

แต่ไม่ทันที่มุกรินจะลุกขึ้น คิมหันต์ก็มาถึงตัวแล้ว เขาขอให้เธอหยุดฟังตนก่อน มุกรินหยุดยืนนิ่ง

“เมื่อผมพูดจบแล้ว คุณจะทำยังไงก็ได้ จะตบหน้าผมแรงกว่าเก่าก็ได้ จะด่าผมหรือจะให้คนมาจับผมโยนออกไป ผมก็ยอม”

“ดาว...ฉันจะไปหาพี่ปรารภ...เขาจอดรถอยู่ ด้านหลัง เธออยากจะทำอะไรก็เชิญนะ” มุกรินเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าคิมหันต์

คิมหันต์ทรุดนั่งข้างๆดวงดาวหน้าโลงศพธาดา ดวงดาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห่างเหินว่า

“คุณมีเวลาหนึ่งนาทีที่ฉันจะยอมฟังคุณ...หลัง

จากนั้น คุณจะกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับฉัน เป็นอากาศสกปรกที่ฉันจะไม่แม้แต่เหลือบตามอง”

คิมหันต์นั่งก้มหน้านิ่งครู่หนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า...

“ผมขอโทษดวงดาว ขอโทษจริงๆ ผมยินดีทำ ทุกอย่างเป็นการชดใช้สิ่งที่ผมทำไว้กับใครๆ ทุกคนโดยเฉพาะกับคุณ”

“เสียใจด้วยนะ ที่ไม่มีใครเชื่อคุณอีกต่อไปแล้ว”

ดวงดาวลุกขึ้นอย่างไม่แยแส คิมหันต์คว้าแขนเธอไว้ เรียกอย่างเว้าวอนถูกดวงดาวตบหน้าเต็มฝ่ามือ สะบัดเสียงใส่

“นี่คือสัมผัสสุดท้ายที่ฉันจะแตะต้องตัวคุณ... ไอ้คนใจบาป!”

ooooooo

เวลาเดียวกัน ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล อรรถเข็นรถพาพักตราลงมาบริเวณที่ร่มรื่นในโรงพยาบาล พูดคุยกับเธออย่างอ่อนโยน สดชื่น แจ่มใส

“หมอบอกว่า แผลผ่าตัดของหนูหายเร็วมาก แสดงว่าหนูเป็นคนไข้ที่ดี ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของคุณหมอทุกอย่างและเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าสุขภาพจิตของหนูก็ดีขึ้นมากๆด้วย” พักตราถามว่า แสดงว่าตนกลับบ้านได้แล้วใช่ไหม “ตอนเย็นๆคุณหมอแวะมาตรวจลูกหมอจะบอกเราอีกที แต่พ่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วล่ะ”

“เมื่อไหร่คิมจะมาล่ะคะพ่อ”

“เมื่อเขาเสร็จธุระ เขาจะมาทันที เขาต้องมาหาหนูก่อนวันกลับบ้านแน่ๆ เชื่อพ่อสิ”

พักตรานิ่งไปอย่างยากที่ใครจะคาดเดาใจเธอได้ ขณะนั้นเองเจ้าหน้าที่เข้ามาบอกว่ามีคนมาขอเข้าเยี่ยมคุณพักตรา เธอถามว่าใคร คิมหันต์หรือ? อรรถบอกว่านั่นสามีลูกนะจะต้องขออนุญาตทำไม

“เขาชื่อคุณมุกริน กับคุณดวงดาวค่ะ”

พอเจ้าหน้าที่บอก พักตราก็ยืดตัวตรงขึ้นด้วยความแปลกใจ

ooooooo

พักตรากลับไปที่ห้องพักรับรองในโรงพยาบาล ครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่พามุกรินกับดวงดาวเข้ามา พอนั่งลง มุกรินเอ่ยขึ้นก่อนว่า

“ฉันเพิ่งรู้ข่าวจากคุณชุมสายว่าเธออยู่ที่นี่”

“ฉันก็เพิ่งรู้ข่าวพี่ชายเธอเหมือนกัน เสียใจด้วยนะ” มุกรินบอกว่าเสียใจเรื่องลูกเธอเช่นกัน “แน่ใจนะว่าไม่ได้ตั้งใจจะมาเยาะเย้ยฉัน”

“อย่ามองเราสองคนอย่างนั้นสิพักตรา เราเห็นใจเธอจริงๆนะ” ดวงดาวเอ่ยขึ้นบ้าง แต่ถูกพักตราสวนทันควันว่า

“ไม่จำเป็น ความเห็นใจช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก ...เธอไม่ได้เป็นแม่ เธอไม่มีวันรู้สึกอย่างที่ฉันรู้สึกหรอก”

“ฉันรู้สึกไม่ต่างจากที่เธอรู้สึก” ดวงดาวหนักแน่นจริงจังบอกเป็นนัย จนพักตรามองหน้าพูดอย่างเข้าใจความหมายว่า

“เหรอ...งั้นก็ขอให้โชคดี ไม่แท้งลูกอย่างฉัน...” พักตราหันไปทางมุกริน “แล้วเธอล่ะ...เธอคงไม่ได้ท้องอีกคนนะ ฉันไม่อยากเดาว่าใครเป็นพ่อ”

“ฉันตั้งใจจะมาขอโทษเธอ” มุกรินตัดบท พักตราอึ้ง มุกรินบอกว่า “ที่ผ่านมา เรื่องระหว่างเรามันพัวพันจนแยกไม่ออกว่าใครถูก ใครผิด” ฟังแล้วพักตราท่าทีอ่อนลง มองมุกรินอย่างสนใจฟัง มุกรินพูดต่ออย่างตั้งใจว่า

“แต่วันนี้ มันเป็นโอกาสดีที่สุด เราจะทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นและตั้งต้นชีวิตใหม่ และฉันยืนยันกับเธอได้เลยว่า ชีวิตใหม่ของฉัน จะไม่มีคนของเธอมาเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด...ฉันขอให้เธอมีความสุขกับอนาคตที่เธอปรารถนา และไม่ต้องกังวลว่าฉันจะแย่งคนของเธอไป ...เท่านั้นแหละ”

พูดจบทั้งมุกรินและดวงดาวลุกเดินออกไปด้วยกัน พักตรารีบเรียกไว้

“มุกริน...ขอบใจนะ...ขอบใจมาก...”

มุกรินเดินเข้าไปโอบกอดพักตราไว้ด้วยความเห็นใจ...จริงใจ...ต่างน้ำตาไหลออกมา...

ooooooo

ที่บริเวณจอดรถด้านหน้าคลินิก ปรารภยืนคอยอยู่ที่รถของเขา มุกรินกับดวงดาวเดินออกมา

“ภารกิจเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหานะครับ” ปรารภถาม ดวงดาวบอกว่าดีกว่าที่คาด “ดีใจด้วยครับ แล้วตอนนี้เราจะไปไหนกันดีครับสาวๆ บอกมาเลย โชเฟอร์คนนี้ยินดีไปส่งให้ถึงที่” ปรารภเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“ฉันอยู่ชะอำ” ดวงดาวบอก ปรารภร้องโอ้...เธอถามว่าไกลไปใช่ไหม ปรารภบอกว่าไปส่งได้ไม่มีปัญหา อยู่ที่ว่าจะส่งใครก่อนดี มุกรินบอกว่าตนจะไม่อยู่บ้านหลังนั้นแล้ว ดวงดาวติงว่านั่นเป็นบ้านพ่อบ้านแม่เธอนะ

“มันเป็นของเขา เขายึดไปแล้วก็ให้ยึดไปเถอะ ไม่อยากไปอยู่ให้มีบุญคุณกันอีก...เธอเองก็ไม่ควรอยู่ที่ชะอำนะดาว...มาอยู่ด้วยกันกับฉันเถอะ” ดวงดาวถามว่าที่ไหน “บ้านพี่ใหญ่ บ้านที่พี่ใหญ่เช่าไว้ไง เขาคงดีใจถ้ารู้ว่าเธอกับฉันกลับไปอยู่ที่นั่น ว่าไง...ฉันจะได้ช่วยดูแลหลานฉันด้วย”

“ลองดูสักพักก็ได้” เป็นคำตอบที่ทั้งผู้ถามและผู้ตอบต่างยิ้มแย้มยินดีกับการเริ่มต้นใหม่

“ลงตัวอย่างนี้ก็ดี งั้นเย็นนี้ ให้พี่เลี้ยงข้าวก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะสาวๆ” ปรารภยิ้มดีใจกว่าเพื่อน รีบเปิดประตูรถให้มุกริน พอมุกรินเข้าไปนั่งในรถแล้ว ดวงดาวบอกเขาว่า

“อย่าเพิ่งดีใจไปนะคุณปรารภ คุณต้องตื๊อหนักกว่านี้อีกเยอะ ถ้าหวังจะให้มุกรินตกลงปลงใจกับคุณ”

“มีโอกาสได้ดูแลแค่นี้ ผมก็พอใจแล้วครับคุณดวงดาว”

“ให้มันจริงเถอะ” ดาวดาวพูดยิ้มๆ แล้วก้าวขึ้นรถ ปรารภฟังแล้วยิ้มยิ่งกว่าพลางปิดประตูรถเบาๆ

ooooooo

คืนนี้...ที่ร้านอาหารผับ บาร์ คิมหันต์กับชุมสายนั่งกันที่โต๊ะใหญ่ในมุมสลัว บรรยากาศภายในยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่วันนี้คิมหันต์นั่งซึม ต่างจากทุกครั้งที่มา จนชุมสายทักว่า

“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นแกไม่สบายใจแล้วไม่ดื่มเหล้า”

“ฉันกินไม่ลง” คิมหันต์ตอบเนือยๆ ชุมสายถามว่าหรือเพราะไม่มีผู้หญิง? “ไม่ว่าแกจะหาผู้หญิงมานั่งโต๊ะนี้อีกกี่คน ก็ไม่ได้ทำให้ฉันนึกอยากกินเหล้าขึ้นมาได้หรอก”

“ไม่กินนั่นแหละดีแล้วเพื่อน จะได้มีสติ ปัญหามันต้องแก้ด้วยสติไม่ใช่ความเมา”

“ต้องใช้สติขนาดไหนฉันถึงจะผ่านมันไปได้” คิมหันต์ยังอยู่ในความเศร้าซึม

“สติของแกเท่าที่แกมีนั่นแหละ ตั้งสติยอมรับความจริง เผชิญหน้ากับมันอย่างไม่เกรงกลัว แกเคยบอกว่า ที่แกทำไปทุกอย่างเพราะแกรักพี่มลใช่ไหม จากนี้ไป ลองรักตัวเองบ้างสิ รักคนรอบๆข้างบ้าง ใช้หัวใจครับเพื่อน ใช้หัวใจเป็นธงนำ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง มันก็จะเป็นเพราะความรักไม่ใช่ความแค้น”

เป็นหนึ่งในน้อยครั้งที่คิมหันต์นิ่งฟังชุมสายพูด และมองหน้าเพื่อนรักอย่างครุ่นคิด...

ooooooo

กลางดึกคืนนี้ คิมหันต์กลับไปที่ห้องพักคนไข้ เขาเปิดปิดประตูอย่างแผ่วเบาที่สุด ในความมืดสลัวเขาเห็นอรรถนั่งเอนหลังอยู่ที่โซฟา เขาทักว่าท่านยังไม่หลับหรือ

อรรถตอบเรียบๆว่าคนแก่ก็อย่างนี้แหละ หลับยากตื่นแต่มืด คิมหันต์ถามว่าท่านนอนที่นี่ตลอดเลยหรือ

“คนที่ฉันรักที่สุดอยู่ที่นี่ ฉันจะไปไหนได้...” คิมหันต์นิ่งอึ้งอย่างเข้าใจความนัยนั้น “ฉันทำได้ทุกอย่าง เพื่อทดแทนทุกสิ่งที่พักตราขาด วันนี้นายเลือกกลับมาที่นี่ ก็เพื่อเติมสิ่งที่พักตราขาดเช่นกัน...ใช่ไหม”

คิมหันต์ไม่ทันพูดอะไร อรรถก็พูดต่อ “นายไปนอนห้องโน้นเถอะ ถ้าพักตราตื่นขึ้นมา เขาจะได้ดีใจที่เห็นนาย”

คิมหันต์จึงเดินเข้าไปในห้องนอนในส่วนที่เป็นเตียงคนไข้เบาๆ เขาไปนอนที่โซฟาใหญ่ข้างเตียง

พักตรานอนนิ่งๆเหมือนหลับ แต่เธอไม่ได้หลับ เอ่ยถามโดยไม่ลืมตาว่า “คิมมานอนเป็นเพื่อนพักตร์เหรอ” เขาทำเสียงอืม...ในลำคอ เธอพูดต่อเหมือนตัดพ้อว่า “พักตร์ไม่ได้เจอคิมสี่วันแล้วนะคะ”

คิมหันต์บอกว่าช่วงนี้ตนยุ่งอยู่หลายเรื่อง พักตราบอกว่ามุกรินมาเยี่ยมตน คิมหันต์นิ่งไปอย่างแปลกใจ พักตราค่อยๆหันมองบอกว่า พรุ่งนี้ตนจะได้กลับบ้านแล้ว เราคงได้มีโอกาสได้คุยกันมากกว่าเก่า พูดอย่างมีความหวังว่า

“หมอบอกว่าอีกสองอาทิตย์แผลก็หาย แล้วอีกสองเดือนพักตร์ก็พร้อมจะอุ้มท้องได้แล้ว เราพยายามกันอีกทีนะคะคิม...นะคะ...” เมื่อไม่มีคำตอบจากคิมหันต์ พักตราจึงเงียบและค่อยๆหลับตาลง...

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น ที่บ้านเช่าของธาดา มุกรินออกจากห้องนอนมาก็เห็นดวงดาวเตรียมกับข้าวไว้ที่โต๊ะอาหารแล้ว มุกรินทักว่าตื่นเช้าจังคุณแม่ ดวงดาวบอกว่าตื่นเพราะหิวแต่ไม่รู้ว่าตนหรือตัวเล็กหิวกันแน่

ทั้งคู่หยอกเย้ากันอย่างสบายใจ ดวงดาวถามว่ามุกรินอยากเป็นแบบตนบ้างไหม คือมีตัวเล็กๆดิ้นอยู่ในท้อง มุกรินตอบทันทีว่า “ไม่ล่ะ”

“ลองดูสิ แล้วจะรู้ว่าความสุขสูงสุดของลูกผู้หญิงคืออะไร”

“มันต้องได้สามีที่ดีก่อนมั้ง ถึงจะไปที่จุดนั้นได้” ดวงดาวถามว่ามองใครไว้บ้างหรือยังล่ะ มุกรินยิ้มแต่ไม่ตอบ ดวงดาวถามว่าคนนั้นเป็นไง มุกรินมองไปหน้าบ้าน เห็นปรารภกำลังเดินเข้ามา เธอหยอกดวงดาวว่า เกิดมาเพื่อเป็นแม่สื่อเสียจริงๆ

“เปล่า...ฉันแค่พูดและเอาจากสิ่งที่ฉันเห็น เชื่อไหม สองถุงในมือนั่นต้องเป็นอาหารเช้าอย่างดีที่เขาเตรียมมาสำหรับเธอ” ก็พอดีปรารภเอาอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ เอ่ยอย่างร่าเริงแจ่มใสว่า

“สวัสดีครับสาวๆ วันนี้ผมมีอาหารเช้าอย่างดีมาฝาก สุภาพสตรีทั้งสองคน ทั้งคุณคนโสดและคุณแม่มือใหม่ สนใจจะรับเลยไหมครับ”

มุกรินกับดวงดาวมองหน้าแล้วหัวเราะกันที่คาดเดาได้ตรงเผง...

ooooooo

เช้าวันเดียวกัน รถตู้มารับพักตรากลับบ้าน คิมหันต์ประคองเธอลงจากรถพาเดินเข้าที่โถงบ้าน เธอบอกอรรถว่าขอขึ้นห้องเลย อรรถบอกว่าตนจะนั่งเล่นข้างล่างนี่ก่อนเดี๋ยวจะขึ้นไปหา

เมื่อเข้าไปในห้องนอน พักตราเอาเสื้อผ้าเครื่องใช้และของเล่นเด็กมาอวดคิมหันต์ ถามว่าน่ารักไหม ตนควรจะเก็บไว้หรือเอาไปบริจาคดี คิมหันต์ตอบเนือยๆ ว่า “แล้วแต่คุณเถอะ”

“บริจาคน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า สงสารคนที่เขาไม่มี พักตร์ท้องเมื่อไหร่ เราค่อยหาซื้อใหม่ก็ได้ คิมว่าไหม”

คิมหันต์กระเถิบเข้าไปนั่งข้างเธอ เอ่ยอย่างตั้งใจ จริงจังว่า

“ผมขอคุยอะไรกับคุณหน่อยได้ไหมครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ เรื่องอะไรเหรอคะ หน้าตาซีเรียสจัง”

“ผมขอหย่ากับคุณ”

พักตราอึ้ง ช็อกไปทันที!

อรรถที่นั่งอยู่ห้องโถงชั้นล่าง ได้ยินพักตรากรีดร้องสุดเสียง อรรถชะงัก มองขึ้นไป แล้วรีบลุกเดินออกจากห้องโถงไปทันที

ooooooo

อรรถก้าวยาวๆออกจากห้องโถง ในขณะที่คิมหันต์ก้าวอย่างเร็วสวนลงมาหน้าตาเขาขรึมและไม่แยแส อรรถคว้าคิมหันต์ไว้ถามว่าทำอะไรลูกสาวตน คิมหันต์ตอบอย่างไม่ยี่หระแล้วว่า

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่ทำพักตราก็คือท่าน ท่านทำทั้งหมด ท่านทำลายชีวิตลูกสาวท่านเอง ท่านไม่รู้ตัวเลยหรือ” คิมหันต์สะบัดหลุดจากอรรถพูดห้วนๆ “ผมไปล่ะ”

อรรถตะโกนเรียกให้เขากลับมาก่อน ก็พอดีพักตราร้องไห้ลงบันไดมาบอกให้พ่อช่วยด้วย ให้เอาคิมหันต์กลับมา ตนไม่ยอม! แล้วแผดเสียงกรี๊ดลั่น อรรถรีบเข้าประคองร่างหมดสติของพักตราที่บันได

หมอบอกว่าพักตรามีอาการชัก หมดสติโดยเฉียบพลัน การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการปั๊มและกระตุ้นหัวใจจนผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว หมอแจ้งว่าจากการตรวจ ร่างกายเธอปกติทุกอย่าง อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการทางจิตที่ส่งผลให้การสั่งการของสมองแปรปรวน

หมอเห็นว่าเธอควรได้รับการพักผ่อนมากๆ อาการนี้จะกำเริบขึ้นเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ สำหรับการบำบัดที่ดีที่สุดคือ

“เราต้องทำให้เธอเปลี่ยนความรู้สึกเสียใจจากความผิดหวัง เป็นการยอมรับ เธอก็จะมีโอกาสกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้” ฟังความเห็นของหมอแล้ว อรรถบอกพักตราที่นอนนิ่งอยู่ว่า

“พ่อจะพาลูกกลับมา กลับมาเป็นพักตราคนเดิมของพ่อ พ่อจะทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุขให้ได้...พ่อสัญญา”

ooooooo

อรรถไปที่วัด บอกมุกรินว่าตั้งใจจะมาร่วมพิธีตอนเผาแต่มาไม่ทัน เพราะตนก็มีเรื่องที่เสียใจไม่แพ้เธอเหมือนกัน อรรถขอคุยกับเธอสักครู่ได้ไหม

เมื่อมุกรินไปคุยกับอรรถที่มุมสงบหนึ่งในวัด เขาถามว่าคิมหันต์มาบ้างไหม มุกรินบอกว่าที่นี่ไม่ต้อนรับเขา ส่วนเรื่องที่คิมหันต์บอกเลิกพักตราก็ไม่มีความหมายสำหรับตน เพราะเขาไม่ใช่คนดีคนเดิมของตนอีกแล้ว เขาไม่ซื่อ เขาหลอกลวงทุกคนเพื่อต้องการแก้แค้นเท่านั้น แม้แต่คนที่จริงใจกับเขา เขาก็ทำร้ายได้ทั้งตนและดวงดาว ไม่มีใครต้องการเขาอีกแล้ว

เมื่อรู้ท่าทีของมุกรินแล้ว อรรถบอกมุกรินว่าถ้าบังเอิญเธอได้เจอคิมหันต์ให้ส่งข่าวตนด้วย ตนมีเรื่องที่ต้องสั่งสอนเขาอยู่หลายเรื่อง อรรถขอโทษถ้าตนทำอะไรผิดกับเธอ ภาวนาให้เธออย่าต้องรับชะตากรรมแบบพักตราเลย เพราะผู้ชายดีๆ ดีกว่าคิมหันต์ยังมีอีกเยอะ

เมื่อจัดการงานศพของธาดาเสร็จแล้ว มุกรินกับดวงดาวกลับบ้านพัก ดวงดาวขอรูปของธาดาไปไว้ที่ห้องตน เธอวางรูปไว้แล้วนั่งร้องไห้กับรูปอย่างหนัก

ส่วนมุกริน พอเข้าห้องเธอตกใจเมื่อเจอคิมหันต์แอบอยู่หลังประตู เขาแอบปีนหน้าต่างที่เธอเปิดไว้เข้ามา เขาบอกว่าแค่ต้องการคุยกับเธอตามลำพังเท่านั้นเอง มุกรินว่าเขาทำตัวไม่ต่างกับโจร พอเขาบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนี้กับเธอเลย

มุกรินย้อนถามว่ามีอะไรที่เขาตั้งใจทำบ้าง ทุกอย่างที่เขาทำกับตน ทำกับดวงดาว ทำกับธาดาและทำกับพักตราล้วนไม่ตั้งใจทั้งนั้นใช่ไหม?!

“ผมตั้งใจจะรักคุณและเป็นคนที่คุณรักไง เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ”

“ไม่พอ! ความรักต้องมีความซื่อสัตย์ ต้องสัมผัสได้ จับต้องได้ ความรักไม่ใช่ข้ออ้างที่จะให้คุณทำอะไรก็ได้ แล้วอ้างว่าเป็นความรัก ไม่ว่าคุณจะอ้างว่ารักฉันหรือรักพี่มล คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำกับคนอื่นตามอารมณ์ตัวเองอย่างนี้”

คิมหันต์พยายามชี้แจงว่าทันทีที่ธาดาสารภาพความจริงกับตน เรื่องทุกอย่างก็จบแล้ว ตนไม่คิดจะเอาคำสารภาพนั้นไปใช้ทำอะไรด้วยซ้ำ คลิปนั้นยังอยู่ที่ตนถ้าเธอต้องการ แต่พี่ชายเธอจงใจฆ่าตัวตายเพื่อทำร้ายตน เพื่อเอาชนะตน เพราะเขาเป็นมะเร็งสมองขั้นสุดท้ายกำลังจะตายอยู่แล้ว เขาไม่ยอมไปผ่าตัดและเลือกวิธีตายเพื่อทำลายชีวิตตน แต่ก็บอกมุกรินว่า

“ผมพร้อมที่จะรับผลทุกอย่างที่เกิดจากการกระทำของผม ไม่ว่าผลนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม” เขามองหน้ามุกรินเอ่ย “ผมขอโทษ”

คิมหันต์บอกมุกรินแล้วเดินไปเปิดประตูห้องออกไป เจอดวงดาวยืนอยู่หน้าห้อง ดวงดาวโต้แย้งคำพูดของเขาว่า

“ถึงแม้ว่าอาธาดาจะเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย แต่เขาก็ควรจะมีโอกาสใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสุขสบาย ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณที่เป็นตัวเร่งให้ตัดสินใจทำแบบนี้”

คิมหันต์ขยับจะพูด ถูกดวงดาวตัดบทว่า ตนไม่ต้องการได้ยินคำขอโทษอีกแล้วและไม่ต้องการเห็นหน้าเขาอีกเลยจนชั่วชีวิต คิมหันต์จึงค่อยๆหันหลังเดินไปซึมๆ ดวงดาวขยับเข้าไปบอกมุกรินใกล้ๆว่า

“และเธอก็จะไม่ต้องเห็นหน้าเขาอีกจนชั่วชีวิตเช่นกัน” แล้วเธอก็ยกมือถือโทร.บอก “ เขาออกไปแล้วค่ะท่าน”

ooooooo

พอคิมหันต์ออกไปเรียกแท็กซี่นั่งไปถึงทางเปลี่ยวก็ถูกรถตู้ปาดหน้าให้หยุดแล้วชายฉกรรจ์ก็ลงมาลากคิมหันต์จากรถแท็กซี่โยนไปในรถตู้ที่อรรถนั่งอยู่ในนั้น

คิมหันต์ถามว่าต้องการอะไรจากตนอีก อรรถบอกว่า “สะสาง และสั่งสอน” แล้วชกหน้าคิมหันต์จนเลือดกบปาก บอกว่าเรื่องของเขากับพักตราตนไม่ได้เป็นคนเริ่ม ถ้าเขาไม่มายุ่งกับพักตราแต่แรกเรื่องก็ไม่เป็นอย่างนี้ แต่เขาจงใจใช้พักตราทำร้ายจิตใจคนที่เขารังเกียจ แล้วอรรถก็เอารูปพักตราในสภาพนอนไม่รับรู้อะไรให้ดู พูดอย่างเจ็บใจว่า

“ฉันรู้ว่ามันคงไม่ทำให้นายสำนึกผิดอะไรนักหรอก เพราะนายไม่เคยมีความรักลึกซึ้งอะไรกับลูกสาวฉันเลย แต่ที่ฉันให้นายดู ก็เพื่อนายจะอ้างทีหลังว่าไม่รู้ไม่ได้ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันตามล่านาย...ฉันจะไม่ขออะไรจากนายอีก นอกจากขอให้ไปให้ไกลจากลูกสาวฉัน”

ทันทีที่อรรถส่งสัญญาณให้ชายฉกรรจ์ พวกมันก็จับคิมหันต์เหวี่ยงลงไปนอนกองกับพื้น อรรถพูดก่อนขึ้นรถไปว่า

“จำไว้นะ ลูกผู้ชายทำแบบนี้กับผู้หญิงไม่ได้ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นลูกสาวใคร และฉันมั่นใจว่า คนอย่างนายจะไม่ตายดีคิมหันต์!”

เช้าตรู่ ถวิลกับไสวเปิดบ้านมาทำความสะอาด พบคิมหันต์นอนคว่ำหน้าอยู่ที่โซฟา ทั้งสองตกใจถามว่าจะมาทำไมไม่บอกแล้วหน้าไปโดนอะไรมา คิมหันต์บอกว่าตนมาดึกแล้วเลยไม่เรียกและที่โดนนี้ ก็เหมือนที่เคยโดนไม่เป็นอะไรหรอก บอกทั้งสองให้ช่วยโทร.หาชุมสายให้ที

ooooooo

ส่วนที่บ้านเช่าธาดา ปรารภหิ้วอาหารมาให้แต่เช้าตามเคย พร้อมกับมีข่าวดีมาบอกสองสาว

เขาบอกดวงดาวก่อนว่า ตนรับเสื้อจากโรงงานที่รู้จักกันมาให้เธอทำในยามว่างและร้านอาหารของเพื่อนกำลังต้องการนักร้องไม่เกี่ยงว่าโสดหรือไม่และท้องอ่อนๆ ก็ไม่ว่า ส่วนมุกรินเช้านี้เธอไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้เพราะตนต้องไปพบลูกค้าแต่เช้าและบ่ายๆจะมารับไปวัด ถามว่า วันนี้ต้องไปบรรจุกระดูกที่วัดใช่ไหม เอาอาหารที่หิ้วมาให้ นัดเดี๋ยวเจอกัน

พอปรารภออกไป ดวงดาวบอกว่า นี่คือความสุขของพ่อม่ายวัยกลางคน มุกรินถามว่าแล้วตอนพี่ใหญ่จีบเธอเขาทำอย่างนี้หรือเปล่า

“เปล่า เมาไม่รู้เรื่อง มองตากันแล้วก็ทำสัญญาว่า ใครมีทางไปที่ดีกว่าก็ไปได้เลย วันนี้อาเขามีทางไปที่ดีกว่าฉันแล้ว” พูดแล้วดวงดาวก็น้ำตาซึมขึ้นมาอีก

ขณะนั้นเองชุมสายขับรถเข้ามา พอเห็นสองสาวชักสีหน้าใส่ เขารีบบอกว่า อย่าเพิ่งไล่ ตนมาดี มีของมาส่ง

“ของ” ที่ชุมสายเอามาส่ง คือของสวยงามต่างๆ ที่มุกรินซื้อให้คิมหันต์เขาเก็บรวมไว้ในกล่อง มันเป็นเรื่องราวความรักที่ทั้งสองมีต่อกัน ชุมสายบอกมุกรินว่าคิมหันต์ให้ตนเอามาคืนเธอ แต่ถูกทั้งมุกรินและดวงดาวไม่ต้อนรับบอกว่าให้คิมหันต์เลิกตื๊อเสียทีได้ไหม มัน

น่ารำคาญ! มุกรินพูดอย่างตัดบัวไม่เหลือใยว่าเรื่องระหว่างตนกับคิมหันต์มันจบหมดแล้ว

“ผมก็เชื่ออย่างที่คุณพูดนั่นแหละ ผมบอกมันด้วยซ้ำว่า น่าจะหมดหวัง แต่รู้ไหมครับ นายคิมหันต์มันไม่เคยหมดหวังกับคุณเลยแม้แต่นิดเดียว คุณจะเก็บของไว้หรือจะทิ้งหรือจะเอาไปคืนก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ผมกลับล่ะ”

“เขาหาเรื่องให้เธอไปเจอเขา” ดวงดาวฟันธงทันทีที่ชุมสายกลับไป

“ฉันรู้ แต่เขาจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการอีกต่อไป”

แต่เมื่อชุมสายกลับไปเล่าให้คิมหันต์ฟังที่บ้านวิมลรัตน์ ทั้งยังบอกเขาว่า เวลานี้ปรารภกำลังทำคะแนนเต็มที่ ส่วนเรื่องของเขากับมุกรินมันเป็นอดีตไปแล้ว

“ยังไม่ได้เลือกไม่ใช่เหรอ ไม่ได้น่ากลัวตรงไหน ไอ้พ่อม่ายแบบนั้น” คิมหันต์พูดอย่างปรามาส

ooooooo

อรรถพาพักตราไปพักที่บ้านพักชายป่าเขาใหญ่ พยายามให้เธอระลึกถึงความหลังตั้งแต่เธอยังอายุไม่ถึงสิบขวบ พูดถึงความรักความอบอุ่นที่ทั้งพ่อและแม่มอบให้เธอ รักเธอมาก...มากจนไม่อยากแม้แต่จะมีน้องมาแบ่งปันความรักนี้ไป

ทั้งสีหน้าอารมณ์ของพักตราดูผ่อนคลายขึ้น เมื่อเข้าไปในบ้าน อรรถให้ดูรูปแต่งงานและงานหมั้นของพ่อกับแม่

จิตใต้สำนึกของพักตรา หวนกลับไปเห็นภาพงานหมั้นและแต่งงานของตนกับคิมหันต์ จนกระทั่งนึกถึงนาทีที่คิมหันต์บอกเลิกตน พักตราก็เกร็ง กระตุก แล้วสุดท้ายก็แผดเสียงร้องกรี๊ดลั่น ขว้างปาข้าวของอย่างคลุ้มคลั่ง จนทั้งอรรถและพยาบาลต้องรีบประคองและจับตัวไว้

สภาพพักตราในนาทีนี้คือเกร็ง แข็ง กระตุกอย่างน่ากลัว

หมอแนะนำอรรถว่า ต้องระวังอย่าให้เกิดสภาวะแบบนี้กับลูกสาวบ่อยนัก อาจจะต้องคอยกันไม่ให้เธอรับรู้อะไรมากไป ไม่ว่าเรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ บางทีความทรงจำที่เราคิดว่าดี อาจไปสะกิดความรู้สึกบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงได้

อรรถถามว่าต่อไปต้องให้พักตราอยู่แต่ในห้องโล่งๆ ว่างเปล่าคนเดียวเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ หมอบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้น เพียงแต่ต้องระมัดระวังพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด ย้ำว่า

“อย่าลืมว่าเราไม่อาจคาดเดาอะไรได้ทั้งนั้นกับคนไข้ที่มีอาการภาวะทางจิต”

จากการปฐมพยาบาลดูแลของพยาบาล อาการแข็ง เกร็งกระตุกของพักตราหายแล้ว เธอนั่งตาลอยอย่างไร้อารมณ์...

ooooooo

วันนี้ขณะปรารภพามุกรินและดวงดาวเอากระดูกธาดาไปไว้ที่เจดีย์นั้น เขาได้รับโทรศัพท์จากคิมหันต์ขอคุยกันส่วนตัว คิมหันต์ย้ำว่าอย่าบอกให้มุกรินรู้

ปรารภจึงไปพบคิมหันต์ที่ร้านอาหาร นั่งคุยกันที่โต๊ะในมุมสลัว คิมหันต์เอ่ยขึ้นว่าการที่ปรารภจะกระเตงทั้งมุกรินและดวงดาวไปไหนมาไหนด้วยกันแสดงว่าเขายังรักษาระยะห่างกับมุกรินอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะได้มุกรินไปง่ายๆ ปรารภบอกว่าตนไม่รีบร้อนและรอได้ คิมหันต์ท้าว่า “แข่งกันไหมล่ะ”

“ช้าไปแล้วครับ คุณตกรอบตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มแข่ง” คิมหันต์บอกว่าตนต่อให้ แต่เขาจะกล้าไหมล่ะ แต่ขอร้องเขาอย่าเพิ่งมีอะไรกับมุกรินตอนนี้ ปรารภโมโหที่เขาดูถูกตนเกินไป บ่นว่าตนไม่น่ามาเสียเวลากับคนเลวๆอย่างเขาเลยและจะไม่รับปากอะไรกับเขาทั้งนั้น แล้วลุกจากร้านไป

“ผมจะถือว่าเรายังอยู่ในเกมเดียวกันนะคุณปรารภ” คิมหันต์พูดตามหลังอย่างท้าทาย

ooooooo

คืนนี้ ปรารภ มุกรินและดวงดาว ไปร้านอาหารที่ดวงดาวจะได้มาร้องเพลง อาชีพที่เธอรัก ขณะเธอขึ้นเวทีไปร้องเพลงนั้น ปรารภบอกมุกรินว่าอยากดื่มอะไรไหม แอลกอฮอล์เบาๆสักหน่อยจะได้สนุก ไม่ถึงกับเมาหรอก

มุกรินขอฟังดวงดาวร้องเพลงดีกว่า บอกปรารภว่าดูดวงดาวมีความสุขเวลาร้องเพลง

ปรารภใช้เวลาที่ได้อยู่กันตามลำพังนี้ เลียบเคียงจะบอกรักเธอ แต่มุกรินยังไม่เปิดทาง เขาจึงยังไม่เอ่ยความในใจแต่พูดความหมายที่ชัดเจนว่า เอาไว้วันหนึ่งอยู่ในสถานที่ที่เหมาะกว่านี้ ดูดีกว่าร้านเหล้า ตนจะพูดเรื่องนี้อย่างจริงๆจังๆ

“พี่รภคะ...ก่อนจะถึงวันนั้น ให้มุกได้พักใจ อยู่นิ่งๆ เฉยๆ สักพักก่อนนะคะ พี่รภจะมองหาทางเลือกใหม่ก็ได้นะคะ อย่ายึดติดกับมุกนักเลย เดี๋ยวจะเสียเวลาเปล่าๆ”

“พี่รอได้ อย่างน้อย การรอก็ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธ”

มุกรินพูดทีเล่นทีจริงขำๆว่าเขาอาจจะต้องรอจนแก่ก็ได้ ปรารภบอกว่าแก่ก็แก่ด้วยกันจะกลัวอะไร แล้วต่างก็หัวเราะกันอย่างแจ่มใส

เมื่อกลับถึงบ้าน ดวงดาวถามมุกรินว่ามีอะไรอยากเล่าให้ฟังไหม ตอนร้องเพลงตนเห็นปรารภจ้องหน้าเธอและพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอถึงกับอึ้งไป แล้วดักคอว่า “นายปรารภขอแต่งงานละมั้ง”

มุกรินบอกว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น แค่เกือบ ดวงดาวถามว่าแล้วเธอคิดยังไง มุกรินถามว่าจะเป็นที่ปรึกษาหรือ ดวงดาวย้อนถามว่าเข็ดหรือยังล่ะ?

“ไม่ใช่เพราะเธอหรอกดาว...ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะฉันเอง ฉันเป็นคนเลือกทางของฉันเอง...พี่รภเป็นคนดี ดีเสียจนฉันไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นนอกจากพี่ชาย”

“ความสุขในชีวิตไม่ใช่การได้แต่งงานกับคนที่แสนดีเสมอไป แต่ถ้าเลวอย่างนายคิมหันต์ ฉันก็ไม่แนะนำ คนเราไม่ควรจะผิดพลาดกับเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก”มุกรินตอบหน้าขรึมว่าไม่มีวัน “อย่าใจอ่อน อย่ากลับไปหาเขาอีกเป็นอันขาด อย่าลืมว่าเขาเป็นตัวอันตรายสำหรับทุกคนที่เขารัก”

มุกรินฟังคำย้ำเตือนของดวงดาวแล้วพยักหน้ารับคำ ดวงดาวพูดต่ออย่างฝากความหวังว่า

“ส่วนตาปรารภ เธอก็ควรใช้เวลากับตัวเองเยอะๆ จนกว่าเธอจะเปลี่ยนความรู้สึกจากพี่ชายเป็นอย่างอื่นได้... ถึงวันนั้น จะอาศัยเพลงฉันสร้างบรรยากาศอีกครั้งก็ได้ ไม่มีใครว่า”

ooooooo

อรรถทุ่มเทเวลาทั้งหมดของตนดูแลพักตราเพื่อฟื้นฟูจิตใจเธอให้หายเป็นปกติ แต่บาดแผลทางใจของเธอลึกเกินกว่าจะเยียวยาได้ในเวลาอันสั้น

พักตรายังจมอยู่กับความหวังที่จะมีคิมหันต์และลูกเป็นครอบครัวที่อบอุ่น น่ารัก ถามถึงแต่คิมหันต์และลูก อรรถได้แต่หลอกล่อเธอให้ผ่อนคลายไปเป็นคราวๆ แต่ในที่สุดพักตราก็กรีดข้อมือทำร้ายตัวเอง บอกว่าจะเอาสิ่งไม่ดีออกไป เพราะมันไม่สวย คิมหันต์ไม่ชอบ

“ไม่จริงลูก คิมชอบ คิมเขาชอบทั้งหมดที่เป็นลูก เขารักลูกมากนะ” แต่พอพักตราถามว่าแล้วเขาไปไหน ทำไมเขาทิ้งตนไป อรรถพูดไม่ออก ได้แต่กอดพักตราไว้แน่น น้ำตาไหลพราก

หมอให้คำแนะนำว่าอรรถจะต้องใกล้ชิดพักตรามากกว่านี้ก่อนที่จะต้องนำเธอไปโรงพยาบาลจิตเวชที่ภาวะกดดันเธออาจจะมากกว่านี้ อรรถฟังแล้วยิ่งเครียด

ooooooo

จู่ๆชุมสายก็ไปที่บ้านปรารภที่เปิดเป็นสำนักงานประตูจึงเปิดไว้ มุกรินบอกว่า คิดว่าเราไม่มีอะไรจะต้องคุยกันอีกแล้ว ชุมสายบอกว่าเธอไม่ต้องพูดก็ได้ ตนพูดเอง เธอรอรับของอย่างเดียวพอ

ของที่ชุมสายเอามาให้คือโฉนดที่ดินบ้านของเธอ มุกรินไม่รับขอให้เอาคืนไปเสีย ไม่ก็ฉีกหรือเผาทิ้งไปเลยก็ได้

ชุมสายถามว่าเธอไม่เหลือความรักให้คิมหันต์เลยหรือ คิดอย่างไรให้บอกตนตรงๆเลยได้ไหมตนจะได้ปลอบไม่ให้เขาช้ำใจตายไปเสียก่อน มุกรินดึงมือถือของชุมสายไปดูแล้วเดินออกจากบ้านไป ชุมสายรีบเดินตามไปติดๆ

ที่แท้คิมหันต์นั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่หน้าบ้านปรารภนั่นเอง เธอเปิดประตูรถเห็นเขานั่งอยู่ คิมหันต์เอ่ยทันทีว่าเก่งจังที่รู้ว่าตนอยู่ตรงนี้ มุกรินบอกว่าคนอย่างเขาไม่ได้ดูยากอีกต่อไปแล้ว คิมหันต์อ้างว่าเพราะตนจริงใจกับเธอ

“ฉันไม่โง่ซ้ำๆซากๆหรอกคิมหันต์ เลิกวางแผนกับฉันเสียทีเถอะ แล้วไปให้พันจากชีวิตฉันได้แล้ว จะต้องให้ฉันไล่อีกกี่ครั้ง ถึงจะเชื่อว่า ฉันรังเกียจคุณ”

คิมหันต์บอกว่าไล่แค่ครั้งเดียวตนก็เชื่อแล้ว แต่ต้องการรู้ว่าเธอไม่ต้องการตนจริงๆ หรือไล่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ คิมหันต์พยายามให้ระลึกถึงเรื่องราวดีๆที่เคยมีให้กัน มุกรินหันไปคว้าโฉนดที่ดินปาใส่หน้าเขา ด่าว่ายึดไปแล้วทำเป็นใจดีเอามาคืนหมายให้ตนประทับใจ แล้วระดมขว้างทั้งรูปแต่งงาน แหวนเอ็นเบ็ด แหวนเงิน ใส่คิมหันต์ พูดอย่างเจ็บปวดว่า

“ฉันเคยคิดว่าห้าปีกับผู้ชายคนหนึ่ง จะทำให้ฉันรู้จักชีวิตของเขาได้ แต่เปล่าเลย มันก็แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของผู้ชายที่ฉันไม่ควรเฉียดเข้าไปใกล้ต่างหาก”

คิมหันต์ไม่ปฏิเสธ แต่ขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้ไหม ขอให้ค่อยๆดูตนอีกครั้ง ส่วนทั้งหมดที่ทำผิดไป ตนสำนึกแล้ว อย่าเพิ่งตัดตนออกไปจากผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่พร้อมจะให้เธอเลือกอีกครั้ง...ได้โปรด...

ขณะนั้นรถของปรารภแล่นผ่านไป คิมหันต์บอกมุกรินว่าตนยอมแม้จะให้ตนเป็นตัวเลือกรองจากปรารภได้ไหม

“เสียใจค่ะ” มุกรินบอกแล้วเดินไปหาปรารภ พูดเสียงดังจงใจให้คิมหันต์ได้ยินว่า “ถ้าพี่รภคิดจะขออะไรจากมุก คำตอบคือ ตกลงค่ะ” คิมหันต์พยายามพูดแทรกว่าเธอกำลังตัดสินใจผิด มุกรินไม่สนใจ พูดเสียงดังกว่าเก่าว่า “มุกยินดีจะแต่งงานกับพี่รภ เร็วที่สุดค่ะ”

พูดแล้วมุกรินเดินเข้าบ้านไปเลย ทิ้งให้คิมหันต์ยืนซึม คอตก อยู่ตรงนั้น แม้การตัดสินใจของมุกรินจะเป็นสิ่งที่ปรารภปรารถนา แต่เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ เขากลับตามไปพูดกับเธอว่าถ้าสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่เป็นเพราะอารมณ์โกรธคิมหันต์ก็อยากให้เธอเอาไว้ค่อยๆคิดอย่างมีสติจะดีกว่าไหม มุกรินบอกว่าเขาคือผู้ชายที่ดีที่สุดที่ตนอยากใช้ชีวิตด้วย แล้วขอตัวทำงานบอกว่าเกรงเขาจะส่งงานลูกค้าไม่ทัน

ฝ่ายคิมหันต์ เมื่อถูกมุกรินตัดเยื่อใยเช่นนั้น ก็ฝากข้อความเข้ามือถือของดวงดาว อ้อนวอนเธอให้ฟังเสียงที่ออกจากหัวใจตน เสียงที่บอกให้เธอรู้ว่าตนไม่เหลือใครแล้ว รำพึงรำพันถึงความเจ็บปวดและสูญเสีย

ดวงดาวถือโทรศัพท์ออกมายืนหันหลังให้รถของคิมหันต์ที่เขานั่งอยู่ พูดเสียงดังให้คนในรถได้ยินว่า

“ไม่ว่าคุณจะส่งข้อความอะไรมาถึงฉัน ฉันบอกได้เลยว่าฉันไม่ฟัง ฉันจะลบมันทิ้งทั้งหมด ส่วนคำอวยพรที่นายฝากมา คงไม่มีใครต้องการ ประโยคเดียวที่ฉันจะพูดกับคนอย่างนายคือ ไอ้คนเลว นายมันเลวอย่างไม่มีข้อสงสัย”

คิมหันต์ตัดสินใจโทร.ถึงอรรถขอคุยด้วย เขาพยายามถามถึงพักตราหมายเอาใจอรรถและฝากอรรถขอโทษพักตราในสิ่งที่ตนทำกับเธอ ถูกอรรถย้อนถามอย่างรู้ทันว่า

“นายคงตระเวนขอโทษทุกคนที่นายทำอะไรๆ กับเขาไว้ใช่ไหม กลัวบาปกรรมล่ะซิ ไม่ทันแล้วล่ะ กรรมก็คือกรรม ทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้น พักตรากำลังใช้กรรมของเขา เมื่อหมดกรรมแล้วก็จะเหมือนคนเกิดใหม่ในไม่ช้านี้แหละ ส่วนนาย...นายมันคนใกล้ตายชัดๆ”

คิมหันต์ขอพบพักตราสักครั้งขอให้ได้มีโอกาสขอโทษเธอด้วยตัวเองต่อหน้าเธอ เขาพูดจนอรรถยอมให้เข้าไปพบทันทีที่พักตราเห็นคิมหันต์ เธอน้ำตาไหลเป็นสาย พูดอะไรไม่ออกเมื่อคิมหันต์เข้าไปคุกเข่าขอโทษ พักตราสวมกอดเขาไว้แนบแน่น...

อรรถยืนมองภาพนั้นน้ำตาไหล...

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 14


ประตูตู้คอนเทนเนอร์เปิดออก ลูกน้องเสี่ยอ๋าและมุกรินตัวปลอมเดินออกจากตู้

ที่แท้ตู้คอนเทนเนอร์นั้นอยู่ข้างๆห้องลับของเสี่ยอ๋านั่นเอง พวกที่ออกจากตู้คอนเทนเนอร์ตรงไปที่ห้องลับของเสี่ยอ๋าทันที

“จบงานแล้ว เหม่เม๊...เจ็บตรงไหนรึเปล่า” เสี่ยถามอย่างห่วงใย มุกรินตัวปลอมถอดวิก และชุดเซฟที่ต้นคอออก บอกว่าสบายมาก และหิวมากแล้วด้วย “งั้นรีบไปกินข้าวซะ เดี๋ยวมาเอาตังค์ที่ป๋า”

ที่ห้องโถง...คิมหันต์ดึงการ์ดบันทึกคลิปวีดิโอออกจากกล้อง ธาดาถามว่ามุกรินอยู่ไหน

“มุกรินอยู่ในที่สะดวกสบายและปลอดภัย เธอรอฉันอยู่ แล้วฉันจะต่อสายให้แกได้พูดคุยกับมุกรินเอง”

พูดแล้วคิมหันต์เดินออกไปอย่างไม่แยแส ธาดามองตามตาเป็นประกายด้วยความแค้นอีกครั้ง!

ที่ห้องลับ...คิมหันต์ถือคลิปไปบอกชุมสายว่า

“คลิปคำสารภาพจะถูกโหลดขึ้นยูทูบภายในพรุ่งนี้ ศาลจะรับฟังคำสารภาพนี้หรือไม่ ฉันไม่สน มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับฉันอีกต่อไป” ชุมสายถามว่าแล้วมุกรินล่ะ? “ฉันจัดการเอง เมื่อมุกรู้ว่าพี่ชายทำความเลวอะไรไว้บ้าง ทุกอย่างก็จบ”

“แล้วถ้าเขารู้ว่าแกทำอะไรไปบ้าง เขาจะรู้สึกยังไง”

“มุกรักฉัน นั่นคือความรู้สึกเดียวของเธอ”

ooooooo

ก่อนหน้านี้คือ...ชายที่ไปเอาตัวเธอมา เข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์ บอกมุกรินว่าไม่ต้องตกใจ เราจะใช้เวลาเธอไม่นาน ตนจะมาบอกเธอว่าอีกสักพักก็จะปล่อยตัวเธอ เพราะเจ้านายตนกำลังเจรจากับคิมหันต์อยู่

“คิมหันต์...คิมหันต์เกี่ยวอะไรด้วย?”

“เขายื่นข้อเสนอใช้หนี้ทั้งหมดแทนพี่ชายคุณครับ” ชายคนนั้นเดินออกไปท่ามกลางความงุนงงของมุกริน ที่เซฟเฮาส์เสี่ยอ๋า... ธาดานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยสีหน้าเครียดจัด เขางุนงงและสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เสี่ยอ๋าตรงมายืนข้างหน้าเขา ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือแม้จะฉุกละหุกไปบ้างแต่ก็ดีที่ไม่ต้องมีใครตาย เสี่ยยื่นน้ำให้ดื่ม ธาดาไม่สนใจถามว่า

“ดวงดาวอยู่ไหน พวกแกทำร้ายดวงดาวหรือเปล่า”

“คงต้องถามคุณคิมหันต์เอง เพราะเรื่องนี้มันเป็นความสามารถของเขา เขาลงทุนอะไรไปแค่ไหน ผมไม่อาจรู้ได้”

ธาดายิ่งเครียด เสี่ยบอกให้ดื่มน้ำเสียหน่อยแล้วล้างหน้าล้างตาเสีย อีกไม่นานเขาจะได้คุยกับมุกรินแล้ว

เวลาเดียวกัน ชายคนนั้นเข้าไปบอกมุกรินในตู้คอนเทนเนอร์ว่าเธอเป็นอิสระแล้ว ปลอดภัยแล้ว มุกรินถามว่าแล้วรถของตนล่ะ ตนจะกลับอย่างไร

“ผมจะไปส่งมุกเอง” เสียงคิมหันต์ตอบพลางเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย มุกรินบอกว่าตนงงไปหมดแล้ว “ไม่มีอะไรต้องงง... ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว พี่ชายคุณก็ปลอดภัยแล้ว”

มุกรินถามว่า คนนั้นบอกว่าเขาจ่ายเงินใช้หนี้แทนธาดาแล้ว? คิมหันต์ทำเสียตอบในลำคอ มุกรินถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “คุณช่วยพี่ใหญ่?”

“เพราะผมรักคุณ ผมยอมให้คุณตกเป็นเหยื่อความเหลวไหลของพี่ชายคุณไม่ได้หรอก...เจ้าหนี้ของพี่ชายคุณ เป็นคนที่เคารพพี่มลมาก เขาส่งข่าวบอกผม ผมก็เลยขอร้องให้เขายกหนี้ให้ แลกกับคำสารภาพ แล้วมุกจะได้เห็นคำสารภาพในอีกไม่นานนี้ แต่ตอนนี้มุกควรคุยกับพี่ชายมุกก่อนดีกว่า” แล้วคิมหันต์ก็ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ มุกรินรับไปอย่างตื่นเต้น

คำแรกที่ธาดาถามคือเธอปลอดภัยไหม พวกมันทำอะไรเธอหรือเปล่า มุกรินบอกว่าไม่มีใครทำอะไรตนเพราะคิมหันต์มาช่วยไว้ทัน ถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เห็นคิมหันต์บอกว่าเจ้าหนี้ยกเลิกหนี้สินให้หมดแล้ว?

“ใช่...พี่คงต้องขอบคุณคิมหันต์ เขาดีกับพี่มาก” มุกรินถามว่าเขายอมแลกด้วยคำสารภาพ? “ใช่...มุก พี่ขอโทษที่พี่ทำเรื่องราวบางอย่างที่ไม่งามและมันส่งผลไปถึงมุก ยกโทษให้พี่ด้วยนะ”

มุกรินบอกว่าไม่เป็นไร ธาดาสัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก เอ่ยปากขอมุกรินว่า

“มุกช่วยบอกคิมหันต์หน่อยได้ไหมว่าคืนนี้พี่ขอไปค้างที่บ้านพี่มล...ได้ไหม...พี่อยากไปขออโหสิกับสิ่งที่พี่เคยทำไม่ดีกับเขา”

มุกรินส่งโทรศัพท์ให้คิมหันต์ เขาบอกธาดาว่าจะบอกน้าหวินกับน้าไหวให้ไม่มีปัญหา พูดอย่างโล่งใจว่า

“ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็จบลง และจบได้ดีกว่าที่คิดไว้เยอะ”

เสี่ยอ๋าพูดกับธาดาว่าหวังว่าเราคงไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกนะ เตือนสติเขาว่า

“การพนันไม่เข้าใครออกใคร ถ้าไม่จำเป็นก็ควรอยู่ห่างๆไว้จะดีกว่า เชื่อผมเถอะ”

คิมหันต์ยังอยู่กับมุกรินในตู้คอนเทนเนอร์ เขาขยับเข้าไปหาเธอ พูดอย่างเปี่ยมด้วยความรักว่า

“ผมได้ทำทุกอย่างแล้ว...เพื่อคนที่ผมรัก ทั้งพี่มลและคุณ หลังจากวันนี้ คุณจะคิดยังไงกับผม ก็แล้วแต่คุณ ผมยอมรับได้ทั้งนั้น กลับบ้านกันเถอะครับ” พูดแล้วเดินออกจากตู้คอนเทนเนอร์ไป มุกรินจึงลุกเดินตามไป

ooooooo

ที่คลินิกแห่งนั้น...บ่ายนี้ พักตรานอนนิ่งอยู่บนเตียงเธอยังถูกพันธนาการไว้เหมือนเดิม ดวงตาเธอมองเหม่อไป นอกห้อง ไม่มีเสียงโวยวาย ดิ้นรนใดๆทั้งสิ้น

พยาบาลเข้ามาบอกเธอว่า “คุณพักตราคะ คุณพ่อมาหาค่ะ” พักตรานอนนิ่ง พยาบาลบอกแล้วเดินออกไป ครู่เดียวอรรถเดินเข้ามา ทักอย่างอ่อนโยนว่า

“หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลยนะลูก” พักตรานิ่ง “ยังไม่หายโกรธพ่ออีกเหรอพักตร์...” เธอยังคงนิ่ง “หนูรู้ไหมว่าพ่อทำเพื่อลูก ทั้งหมดที่พ่อทำไป มันไม่มีเหตุผลอื่นเลย นอกจากความรัก ความห่วงใยที่พ่อมีต่อลูก... รู้ไหมพ่อเองก็อยากเห็นหน้าหลานของพ่อใจจะขาด...”

พักตราเหลือบมองหน้าคุณพ่อด้วยแววตาเลื่อนลอย

“แต่ชีวิตเราไม่ได้มีแค่วันนี้วันเดียว เด็กคนนี้อาจจะยังไม่พร้อมในวันนี้...มันอาจจะยังไม่ใช่เวลาของเขา... เพราะฉะนั้น หน้าที่เราในฐานะแม่ก็คือ ทำกายและใจของเราให้สดชื่น แจ่มใสและแข็งแรง...เมื่อถึงเวลาที่เขาจะมาเกิด เราก็จะมีความพร้อมที่จะดูแลเขาอย่างดีที่สุด”

เห็นพักตรานอนนิ่งฟังอย่างครุ่นคิด อรรถถามอย่างอ่อนโยน อบอุ่น “เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม” พอได้ยินพักตราตอบเบาๆว่า “ค่ะ” อรรถดีใจมาก เขายิ้มออก บอกพักตราว่า

“งั้นหนูนอนรอหมออีกแป๊บนึงนะลูก ไม่ดื้อไม่ต่อต้านหมอนะ...ทุกอย่างที่หมอทำก็เพื่อลูก อยากได้อะไรก็บอกพ่อนะ...พ่ออยู่แถวนี้แหละ”

“แก้มัดให้พักตร์ได้ไหมคะ...พักตร์เจ็บ...”

“ได้สิลูก” อรรถตอบอย่างกระตือรือร้นแล้วรีบแก้พันธนาการให้ พอดีพยาบาลเข้ามาบอกว่าอีกสามสิบนาทีหมอจะเข้ามาฉีดยา อรรถจึงขอออกไปรอข้างนอก พักตราพยักหน้า

พออรรถเดินออกไป น้ำตาหยดใหญ่ก็ไหลออกจากดวงตาพักตรา...

แต่พอหมอจะมาฉีดยา ปรากฏว่าพักตราหายไปจากห้องแล้ว อรรถเดินเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธจัดดุลูกน้องที่เฝ้าอยู่หน้าห้องว่าเฝ้าอย่างไรปล่อยให้พักตราหนีไปได้ แต่พอสำรวจและดูจากกล้องวงจรปิดแล้วจึงรู้ว่าเธอกระโดดออกทางระเบียงขึ้นแท็กซี่หนีไปแล้ว

“บัดซบ! ออกไปตามหาให้ทั่วเดี๋ยวนี้ แจ้งท้องที่ด้วย ด่วนเลย”

พักตราหนีออกจากโรงพยาบาลขึ้นแท็กซี่ที่ผ่านมา ระหว่างนั่งในรถเธอโทร.หาคิมหันต์อย่างร้อนใจแต่มือถือเขาให้ฝากข้อความ เธอผิดหวังแต่ก็รีบพูด...

“คิม...คิมอยู่ที่ไหน พักตร์อยากไปหาคิมค่ะ... พวกนั้นจะทำร้ายลูกเรา พักตร์ไม่ยอม คิมต้องช่วยพักตร์นะคะ เราต้องปกป้องลูกของเรานะคิม...คิม...”

พอเธอพูดเสร็จก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจนคนขับแท็กซี่หันมองอย่างกังวล...

ooooooo

ธาดาไปที่บ้านวิมลรัตน์ ถวิลกับไสวออกมาต้อนรับตามคำสั่งของคิมหันต์ พอเข้าบ้าน คิมหันต์ก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ทั้งสองมาขอลาไปเยี่ยมบ้านพร้อมกัน ธาดาอนุญาตเพราะทั้งสองไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย

วันนี้...ทั้งถวิลและไสวต้อนรับธาดาอย่างดีถามว่าเขาต้องการอะไรไหมหิวไหม เขาไม่หิวแต่ถามว่าห้องนอนตนล็อกหรือเปล่า ทั้งสองบอกว่าเปล่าถามว่าจะนอนห้องนั้นหรือ ธาดาบอกว่าไม่บอกทั้งสองจะไปไหนก็ไป ปิดบ้านให้ด้วยก็แล้วกัน

พอถวิลกับไสวออกไปแล้ว ธาดาเดินขึ้นชั้นบนช้าๆ เหมือนจะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา...ทุกย่างก้าว...

คืนนั้น...ทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง พอวิมลรัตน์รู้ว่าเขาอนุญาตให้ถวิลกับไสวลากลับบ้านก็ตวาดถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาอนุญาตคนของตน

คืนนั้นทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงมาก เมื่อธาดาขอยืมเงินแล้วเธอไม่ให้ วิมลรัตน์เอาปืนออกมาจ่อต่างท้าทายกันด้วยอารมณ์รุนแรง จนธาดาเข้าแย่งปืนจากวิมลรัตน์และยิงเฉี่ยวหน้าวิมลรัตน์ไปห้านัดติดกัน วิมลรัตน์กรีดร้องด้วยความโกรธ ตกใจ ถูกธาดาจับเอาหัวกระแทกผนังอย่างแรงจนเธอแน่นิ่งไป เขาลากเธอเหวี่ยงไปที่หน้าห้องน้ำ

ระหว่างนั้นธาดาปวดหัวรุนแรงเป็นระยะ เมื่อเห็นวิมลรัตน์แน่นิ่งไป ทีแรกเขาก็เย้ยว่าเมาหลับล่ะสิ แต่เห็นเลือดเธอไหลออกมานองพื้น ธาดาถลาเข้าประคองร้องเรียก “มล...มล...” แต่เธอแน่นิ่ง ธาดายกมือพนมเอ่ยเสียงสั่นเครือ

“ผมขอโทษ...ขอโทษนะมล ยกโทษให้ผมด้วย...” แล้วหยิบมือถือขึ้นมาพยายามกดปุ่มโทร.ออก

ooooooo

คิมหันต์พามุกรินไปที่บ้านเธอ รถของมุกรินจอดอยู่ในบ้านก่อนแล้วและที่หน้าบ้านมีรถของปรารภจอดอยู่

คิมหันต์บอกมุกรินว่าเจ้านายเธอมารออยู่ ถามมุกรินว่าเธอจะเลิกกับตนและไปแต่งงานกับปรารภจริงหรือ มุกรินไม่ตอบ คิมหันต์จึงขออยู่กับเธอคืนนี้ได้ไหม เธอยังคงนิ่ง

ปรารภเดินมาถามมุกรินว่าหายไปไหนมาตนเห็นรถจอดอยู่ในบ้าน ถ้าเธอไม่กลับมาก็กะจะไปแจ้งความแล้ว ถามว่าบอกได้ไหมว่าหายไปไหนและทำไมกลับมากับคิมหันต์ มุกรินบอกว่าเรื่องมันยาว

คิมหันต์ตัดบทว่า ให้เวลาคุยกันในฐานะเจ้านายของมุกริน ตนจะเข้าไปรอในบ้าน พลางเดินเข้าไปบอกมุกรินว่า

“เรื่องระหว่างเรา คุณกับผม เดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้ เชิญครับคุณปรารภใช้เวลาให้เต็มที่ เอาให้คุ้มค่ากับการรอคอยเลยครับ”

พอคิมหันต์เดินเข้าไปในบ้าน ปรารภบอกมุกรินว่า “บอกผมเท่าที่คุณอยากจะบอกก็ได้”

“พี่ใหญ่เป็นหนี้นอกระบบจำนวนมาก มุกถูกพาตัวไปเพื่อต่อรองเรื่องหนี้สิน...แต่ไม่มีปัญหาแล้วเพราะคิมเขาเคลียร์ทุกอย่างให้แล้ว คิมเขาจ่ายหนี้แทนพี่ใหญ่ทั้งหมด แล้วก็พามุกกลับมาบ้าน”

“จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ ไอ้หมอนี่มันไม่ค่อยซื่อเท่าไหร่นักนะมุก มุกต้องระวังตัวนะ”

“มุกรู้ค่ะ มุกเป็นคู่หมั้นเขามาตั้งสี่ปี ทำไมมุกจะไม่รู้ ขอบคุณที่พี่รภเป็นห่วงนะคะ พรุ่งนี้มุกจะเข้าไปทำงานตามปกตินะคะ” ปรารภรับทราบ ทำท่าจะกลับ แต่ก็ละล้า ละลังจนมุกรินเอ่ยขึ้น “พี่รภ แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะคะ”

ปรารภจึงเอ่ยถึงสิ่งที่ตนเตรียมจะบอกเธอในวันนี้ ย้ำว่ามันสำคัญสำหรับตนมาก เห็นมุกรินมองนิ่ง ปรารภเอ่ย

“พี่ว่ามุกคงพอจะเดาได้ แต่ช่างมันเถอะ ถือว่า ยังไม่ได้ออกจากปากพี่ก็แล้วกัน นั่นก็แปลว่ามุกยังปฏิเสธพี่ไม่ได้เหมือนกัน...ถูกไหม...” พูดแล้วค่อยๆหันเดินออกไปขึ้นรถของตัวเอง มุกรินมองตามด้วยความสงสารนิดๆ

ooooooo

เมื่อมุกรินกลับเข้าไปพบกับคิมหันต์ ต่างนั่งนิ่งอยู่นาน จนคิมหันต์บอกว่าถ้าต้องการให้ตนกลับไป ตนก็จะกลับ มุกรินไม่ตอบ เขาจึงไปนั่งข้างๆ เอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า

“ผมรู้ว่าผมทำให้คุณสับสนอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากวันนี้ มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ผมจะยอมรับทุกการตัดสินใจของคุณ ผมอยากจะพูดว่า ผมสัญญา แต่มันคงทำให้คุณรำคาญและไม่เชื่อลมปากผมแน่ๆ แต่ผมสัญญากับตัวเองจริงๆ เชื่อเถอะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากคืนนี้ หลังจากพี่ชายคุณได้สารภาพความจริงทั้งหมดว่าทำอะไรกับพี่มลไว้บ้าง”

“คุณบอกว่าจะให้ฉันดู” คิมหันต์บอกว่าขอคิดดูก่อน “แล้วคุณจะทำยังไงกับคำสารภาพนั้น”

“ไม่ทำอะไร ถึงยังไงศาลก็ไม่รับฟังอยู่แล้ว แค่ผมได้รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ผมก็พอแล้ว” เขากุมมือมุกรินไว้อย่างนุ่มนวล บอกเธอว่า “ผมจะจบเรื่องราวในอดีตทั้งหมด เพื่อก้าวไปข้างหน้ากับชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม ผมเชื่อว่าพี่มลก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น”

เมื่อเห็นมุกรินมองด้วยแววตาที่ดีขึ้น คิมหันต์ตัดสินใจบอก “ผมกลับล่ะ” แต่พอเขาจะเดินออกไป มุกรินเรียกไว้ถามว่าพักตราเป็นอย่างไรบ้าง

“เขาคงเสียใจที่มีลูกกับผมไม่ได้ แต่นั่นคือสิ่งที่เหมาะควรแล้วระหว่างผมกับเขา เวลาจะเยียวยาและคลี่คลายเรื่องระหว่างผมกับเขาเอง... เรื่องระหว่างเราด้วยเช่นกัน”

“ขอบคุณนะคิม ที่ช่วยพี่ใหญ่ไว้”

คิมหันต์ก้มหอมแก้มเธออย่างแผ่วเบาแล้วขยับจะเดินออก พลันก็ชะงัก เขาก้มมองมือถือแล้วชะงักตกใจ มุกรินถามว่ามีอะไรไหม

“ข้อความจากพักตรา...บอกว่าหนีออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

ooooooo

คืนนี้ ขณะที่อรรถรอฟังข่าวพักตราอยู่อย่างกระวนกระวายใจที่บ้านนั้น เขาได้รับโทรศัพท์จากคลินิกแจ้งว่าเจอตัวพักตราแล้ว คนขับแท็กซี่เป็นคนพามาส่ง

อรรถถามว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอาการไม่ค่อยดี ตกเลือดต้องผ่าตัดด่วน แต่ต้องได้รับการอนุญาตจากท่านก่อน อรรถบอกทันทีว่า

“ผ่าเลย...ผ่าเดี๋ยวนี้เลย ทำยังไงก็ได้ให้ลูกสาวผมรอด...เข้าใจไหม”

มุกรินได้รับโทรศัพท์จากคิมหันต์ว่าเจอพักตราแล้ว เธอถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง คิมหันต์บอกว่าอยู่โรงพยาบาลแล้วอยู่ในห้องผ่าตัด มุกรินถามว่าเป็นอะไรมากไหม

“ผมไปเจอในรถแท็กซี่ก็แทบหมดสติแล้ว หมอบอกว่าต้องผ่าตัดใหญ่”

“โธ่...” มุกรินครางออกมาอย่างสะเทือนใจ

“มุก...ผมไม่ได้ดีใจหรอกนะที่พักตราเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงก็คือความจริง และความจริงที่เกี่ยวข้องระหว่างผมกับพักตราก็คือ ผมจะไม่มีพันธะอะไรกับเธออีกแล้ว ทุกอย่างใกล้จะจบแล้วนะมุก ถ้ามุกไม่รังเกียจผม”

“ไม่ใช่เวลาที่เราจะพูดเรื่องนี้ตอนนี้นะคะ”

“ผมรู้...เมื่อผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราค่อยคุยกัน...อย่าเพิ่งทิ้งผมไปนะมุก”

มุกรินค่อยๆวางโทรศัพท์ลงเงียบๆงันๆ โดยไม่พูดอะไรเลย...

ooooooo

ที่โถงหน้าห้องผ่าตัด อรรถพูดกับคิมหันต์โดยไม่มองหน้าว่า

“ถ้าไม่ได้เธอ ลูกสาวฉันก็คงตายอยู่ในรถแท็กซี่นั่นแหละ...ขอบใจนะ”

คิมหันต์ไม่พูดเรื่องพาพักตรากลับมา แต่พูดเรื่องการผ่าตัดว่าคงใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็เช้าพอดี อรรถบอกว่าต้องอยู่ไอซียูอีกคืนหนึ่ง พักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกประมาณเจ็ดวัน คิมหันต์จึงเอ่ยว่า

“หลังผ่าตัดเสร็จ ผมต้องขอคุยกับท่าน”

“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดเรื่องอะไร ขอเวลาฉันอีกนิดได้ไหม ขอดูอาการหลังผ่าตัดอีกสักพักเถอะ ไหนๆเธอช่วยชีวิตลูกสาวฉันแล้ว ก็ขอให้ช่วยตลอดเถอะนะ” เจอไม้นี้ คิมหันต์ก็พูดไม่ออก “เธอไปนอนรอที่ห้องพักก่อนก็ได้ ฉันเปิดไว้ให้แล้ว”

เมื่อคิมหันต์เดินออกไป อรรถนั่งครุ่นคิดอยู่ตามลำพังต่อไปตรงนั้น...

เช้าวันรุ่งขึ้น ไสวกับถวิลเห็นว่าสายแล้วธาดายังไม่ลงมา จึงชวนกันขึ้นไปดู ไสวให้ถวิลนำหน้าไปที่ห้อง พอถวิลเปิดประตูห้องก็ร้องกรี๊ดจนไสวผงะ

อึดใจเดียว คิมหันต์ที่พักอยู่ห้องพักที่คลินิกก็ได้รับ โทรศัพท์จากไสวว่า ธาดาผูกคอตาย! ไสวละล่ำละลักเล่าว่า

“ผูกคอตายกลางห้องเลยครับ ห้องคุณมลน่ะครับ ยายหวินเปิดประตูเข้าไปเจอแทบช็อกเลยครับ”

“ฉันจะเข้าไปที่บ้านเดี๋ยวนี้แหละ น้าไหวอย่าเพิ่งบอกใครนะ” ไสวบอกว่าแจ้งตำรวจไปแล้ว ตอนนี้พวกมูลนิธิกับนักข่าวมากันเต็มบ้านแล้ว “ฉิบหายเอ๊ย!” คิมหันต์สบถเครียด

ooooooo

คิมหันต์ออกจากห้องพักเดินเร็วๆผ่านห้องโถงที่ทีวีกำลังรายงานข่าวการผูกคอตายของธาดาซึ่งได้รับความสนใจจากคนในห้องโถงโรงพยาบาลอย่างมาก

พิธีกรรายงานว่า ธาดาเป็นสามีของวิมลรัตน์ที่เพิ่งล่วงลับ รายงานสภาพศพว่าผูกคอตายอยู่ในห้องนอนเดิมของตัวเอง แล้วตั้งข้อสังเกตว่า

“นายคิมหันต์อาจจะอยู่เบื้องหลังการฆ่าตัวตายครั้งนี้ แม้จะไม่ใช่การฆาตกรรม แต่ก็อาจจะมีเหตุจูงใจมาจากเขาได้”

คิมหันต์ได้ยินชัดเจน เขาหน้าเครียดทันที พิธีกรยังรายงานทางด้านคดีว่า คิมหันต์ฟ้องเอาผิดธาดาในคดีฆาตกรรมพี่สาวเขา และรายงานว่าคิมหันต์ทำการกดดันธาดาตลอดเวลา นับแต่การประกาศถอนหมั้นน้องสาวเขาต่อหน้าสาธารณะ

คิมหันต์ติดตามการรายงานข่าวจนขับรถไปถึงบ้านวิมลรัตน์ การรายงานก็ยังไม่จบ...

“จากนั้นก็ไล่ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของพี่สาวกลับคืนมาเป็นของตน จนนายธาดาต้องออกจากบ้านไปเช่าบ้านอยู่เพียงลำพัง จึงมีความเป็นไปได้ว่านายธาดาอาจถูกบีบคั้นจนถึงขั้นตัดสินใจฆ่าตัวตาย”

คิมหันต์เดินขึ้นบันไดสวนกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิหามศพธาดามีผ้าขาวคลุมลงมา เขาเปิดผ้าดูหน้าธาดาที่ไร้ลมหายใจแล้วปิดไว้ตามเดิม ในขณะที่ทีวีก็ยังรายงานข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง...

“และหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนสมมติฐานนี้ก็คือคลิปวีดิโอที่นายธาดาบันทึกไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือของเขาและได้ถูกอัพโหลดขึ้นยูทูบเมื่อเวลาประมาณตีสี่ นั่นคือเวลาก่อนที่เขาจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย...และขณะนี้ สังคมออนไลน์กำลังเปิดดูและแชร์คลิปนี้ไปทั่ว ซึ่งเราจะนำเอาบางส่วนของคลิปนั้นมาประกอบการเล่าข่าวนี้ด้วย ไปชมพร้อมๆกันครับ”

คลิปวีดิโอที่ธาดาอัดไว้เปิดขึ้นทันที เป็นภาพที่ธาดาพูดกับกล้องมือถือ...

“ผมไม่แน่ใจว่า ณ เวลานี้ ภาพการสารภาพของผมในคดีที่จบไปแล้วจะถูกเผยแพร่ออกไปหรือยัง...แต่ผมขอใช้โอกาสนี้ ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้ายที่ผมยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้...”

กลายเป็นภาพธาดาจ้องจากจอทีวีตาไม่กะพริบ พร้อมกับการบอกเล่าครั้งสุดท้ายอย่างมีอารมณ์ของเขา...

มุกรินนั่งจ้องใบหน้าธาดาในทีวี ฟังพี่ชายพูดด้วยสีหน้าเครียดจัด

“เพื่อความเป็นจริงทั้งหมดเกี่ยวกับคำสารภาพนั้น มันเป็นความจริงที่โหดร้ายที่จะไม่มีใครได้รู้เลย ถ้าผมไม่พูดมันออกมา...ผมถูกบังคับให้ยอมรับว่าเป็นฆาตกร มันบังคับให้ผมพูดว่าผมเป็นคนฆ่าเมียตัวเอง มันข่มขู่ผมด้วยวิธีโหดร้ายสารพัด มันคือไอ้คิมหันต์ สุริยะศักดิ์ น้องเมียผมเอง”

คิมหันต์ไปยืนอยู่ในห้องนอนวิมลรัตน์ จ้องมองบ่วงที่ธาดาผูกคอตายหน้านิ่ง...ในขณะที่ธาดายังเล่าด้วยอารมณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...

“ไอ้คิมหันต์วางแผนกับเสี่ยเจ้าของบ่อนหลอกให้ผมเป็นหนี้ และข่มขู่จะทำร้ายน้องสาวผม เพื่อให้ผมยอมรับว่าเป็นผู้ทำฆาตกรรมวิมลรัตน์เมียของผม...ทั้งๆ ที่ศาลก็ได้ยกฟ้องคดีนี้ไปแล้ว มันก็ยังไม่ยอมเลิก...เมื่อผมไม่ยอมสารภาพอย่างที่มันต้องการ มันก็ทุบตีผม ทำร้ายผม รอยแผลยังเห็นอยู่ที่นี่ แต่ผมไม่ได้ห่วงตัวเอง เท่าชีวิตของน้องสาวผม มุกริน...ผมจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องเธอ...”

ขณะนั้นเอง ชุมสายเดินเข้ามาในโถงบ้านวิมลรัตน์ เห็นไสวกับถวิลดูทีวีข่าวนี้อยู่ด้วยสีหน้าไม่สบายใจอย่างมาก...

“ผมขอยืนยันว่า ในระหว่างที่ผมบันทึกภาพและเสียงนี้ ผมอยู่ในภาวะปกติทุกประการ...และทุกข้อความของผม ผมได้เขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรบนกระดาษแผ่นนี้ด้วย”

ธาดาชูกระดาษให้ดู ชุมสายเดินเข้ามาถามทั้งสองว่า คิมหันต์อยู่ไหน ถวิลบอกว่าอยู่บนห้อง สั่งห้ามใครไปรบกวน เป็นอันขาด ในขณะที่ธาดาในจอทีวียังคงเล่าต่อไปว่า

“ผมกราบขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่และผู้ใจบุญทุกคน ช่วยกรุณาเผยแพร่คลิปนี้ เพื่อเห็นแก่ความยุติธรรมและความถูกต้องของสังคมด้วย” แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นพูดกับมุกรินเป็นการเฉพาะ “มุก...พี่เสียใจที่มีโอกาสอยู่กับมุกได้เพียงเท่านี้ ขอให้การจากไปของพี่จงเป็นเครื่องเตือนสติให้มุกรู้ว่า อย่าไว้ใจไอ้คิมหันต์เป็นอันขาด”

มุกรินน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจหยุดได้...มองหน้าพี่ชายในทีวีที่กำลังพูดกับตน...ผ่านม่านน้ำตา...

“มันจะนำความอัปมงคลมาสู่มุก ชีวิตมุกจะถูกดึงไปตกนรกหมกไหม้กับมัน ซึ่งพี่ไม่ปรารถนาให้เป็นอย่างนั้น...”

ทันใดนั้นเองมือถือของมุกรินดังขึ้น เธอหยิบดูปรากฏชื่อคิมหันต์อยู่หน้าจอ เธอปามือถือทิ้งไปไกลตัว

อย่างรังเกียจ พอดีธาดาเอ่ยขึ้นว่า “ลาก่อนนะมุกริน... น้องรักของพี่...” มุกรินร้องไห้โฮออกมาทันที

จากนั้นธาดาเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงเป็นพูดกับคิมหันต์โดยตรง!

“และสำหรับมึง คิมหันต์ จำไว้ด้วยว่า คนบริสุทธิ์ ย่อมบริสุทธิ์เสมอไม่ว่าเป็นหรือตาย ส่วนคนโง่ๆอย่างมึงไม่มีวันชนะกูหรอก ไอ้คิม!”

คิมหันต์ที่ดูทีวีอยู่ เขาปิดโทรทัศน์ทันทีด้วยสีหน้าเครียดจัด

ooooooo

ในวันที่ตำรวจนำร่างธาดาไปเพื่อผ่าชันสูตรนั้น มุกรินไปนั่งรอรับร่างพี่ชายในสภาพร่างกายทรุดโทรม ใบหน้าหมองคล้ำ ดวงตาบอบช้ำเพราะร้องไห้หนักมาทั้งคืน

คิมหันต์เข้ามานั่งข้างหลังเธอเงียบๆ แล้วจึงเอ่ยเบาๆ “ผมโทร.หามุก แต่มุกไม่รับโทรศัพท์ผมเลย” มุกริน ถามเสียงแข็งโดยไม่หันมองว่ายังกล้ามาที่นี่อีกหรือ คิมหันต์บอกว่าตนอยากอธิบาย มุกรินบอกว่าไม่จำเป็น เขาบอกว่าอยากให้เธอเข้าใจ เธอสวนทันทีว่า “ฉันไม่อยากฟัง”

เมื่อปฏิเสธอย่างไรคิมหันต์ก็ยังพยายามจะพูด มุกรินตวาดไล่ก็ไม่ไป เธอหันไปตบหน้าเขาฉาดใหญ่ คิมหันต์ก็ยังจะชี้แจงอีก เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง มุกรินตวาดเสียงดังขึ้นทุกที จนสุดท้ายเธอพูดเกือบเป็นเสียงตะโกนว่า

“ออกไป ออกไปให้พ้น คุณคือคนที่ฉันเกลียดที่สุด คิมหันต์ เราหมดเวรหมดกรรมกันเสียที”

เจ้าหน้าที่สองสามคนเข้ามาพาตัวคิมหันต์ออกไป ก็พอดีปรารภมาถึง

“มุก...ก่อนคุณจะตัดสินผม ขอให้ฟังคำสารภาพจากผมก่อนนะมุก ได้โปรด” คิมหันต์หันมาพูด ถูกมุกรินไล่ตะเพิดให้ออกไป ปรารภรีบมาประคองมุกรินไว้ด้วยความห่วงใย บอกเธอว่าเจ้าหน้าที่ต้องผ่าพิสูจน์ศพอีกสองวันจึงจะส่งให้เราไปประกอบพิธีได้ มุกรินน้ำตาไหลพรูออกมาอีกครั้ง เธอพูดทั้งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า

“พี่รภคะ ช่วยมุกด้วยนะคะ ทำยังไงก็ได้ อย่าให้ผู้ชายคนนั้นมาใกล้มุกอีกนะคะ พี่รภ...”

ปรารภพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ

ooooooo

ออกจากมุกริน ขณะนั่งอยู่ในรถ คิมหันต์ได้รับโทรศัพท์จากดวงดาว เขาทักว่า นึกแล้วว่าเธอต้องโทร.มาด่าตน

ดวงดาวยืนโทรศัพท์อยู่ที่ชายทะเล เธอร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน ร้องจนคิมหันต์บอกว่าตนรอฟังอยู่ เธอจึงพรั่งพรูความรู้สึกออกมาอย่างไม่เก็บกลั้นอีกแล้วว่า...

“ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีครั้งไหน ที่ตัดสินใจผิด ทุกการกระทำของฉันเป็นผลดีกับตัวฉันเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ยกเว้นครั้งนี้ ฉันต้องยอมรับว่าฉันมองคนผิด ผิดไปมาก ช่วงเวลาที่ผ่านมา ระหว่างเรามันล้มเหลวมากเกินกว่าคำว่าเสียใจหรือเสียดาย มันคือ ความโกรธ ความน่าขยะแขยง อย่างน่ารังเกียจที่สุด จากนี้ไปฉันขอให้คุณจงพบแต่ความฉิบหายไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ ขออย่าให้มีใครต้องพบเจอกับคนเลวร้ายอย่างคุณ ขออย่าให้มีใครหลงเป็นเหยื่ออารมณ์ของผู้ชายเลวๆอย่างคุณอีกเลย”

คิมหันต์นิ่งอึ้งจนพูดไม่ออก

“ถ้าฉันอยู่ในระยะที่มือฉันเอื้อมถึง ฉันคงจะตบหน้าคุณเต็มแรง มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ไม่เป็นไร เพราะฉันเชื่อว่า มุกรินคงทำหน้าที่นี้แทนฉันแล้ว รีบไปลงนรกไกลๆ ฉันเถอะ นายคิมหันต์!” ดวงดาวกดตัดสายทันทีที่พูดจบ เธอทรุดนั่งกับพื้นทรายร้องไห้น้ำตาทะลัก...

คิมหันต์ยังนั่งอึ้งอยู่ในรถ ชุมสายเข้ามานั่งด้วย บอกว่าตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหาอะไรเขา แต่อาจเรียกตัวไปสอบปากคำก่อน เพราะถึงอย่างไรคลิปที่ธาดาพูดก็พาดพิงถึงเขา เจ้าหน้าที่ก็ต้องนำมาสืบสวนหาข้อเท็จจริงอีกที

คิมหันต์ฟังนิ่ง ชุมสายบอกอีกว่า “ส่วนคำสารภาพของนายธาดาที่แกถ่ายไว้ฉันว่าแกอย่าเพิ่งอัพโหลดเลยนะ” คิมหันต์บอกว่าตนจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ชุมสายบอกว่าดีแล้ว

“มันไม่มีความหมายอะไรสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่เหลือใครแล้วว่ะ...ไอ้ชุม...ไม่เหลือจริงๆ”

คิมหันต์มองไปข้างหน้านิ่ง มีแสงวิบๆ ในดวงตา คล้ายน้ำตากระทบแสงไฟ...

ooooooo

ในที่สุดพักตราก็ได้รับการผ่าตัด อรรถสบายใจขึ้นมากบอกเธอว่า

“หนูปลอดภัยแล้วนะลูก ถือว่าโชคดีมาก ที่ถึงมือหมอได้ทันเวลา จากนี้ไปไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วนะ”

พักตราถามถึงลูก อรรถบอกว่ายังไม่ใช่เวลาของเขา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเขาก็จะมาเอง เธอถามถึงคิมหันต์ อรรถบอกว่าเขาอยู่กับเธอทั้งคืน จนเธอเข้าห้องผ่าตัดและเพิ่งออกไปเมื่อสายๆนี้เอง พักตราถามว่าไปไหน

“เขามีธุระสำคัญ เรื่องคดีความ...หนูนอนพักก่อนเถอะนะ คิมหันต์เสร็จธุระเมื่อไหร่ก็จะมาหาหนูเองจ้ะ”

ที่แท้คิมหันต์ไปที่เจดีย์บรรจุกระดูกของวิมลรัตน์ เขาคร่ำครวญกับรูปพี่สาวที่ติดอยู่ที่เจดีย์อย่างสำนึกผิด...

“ผมทำทุกอย่างผิดหมด ผมทำร้ายคนที่ผมรัก และคนที่รักผมอย่างเลือดเย็นที่สุด...ผมนึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง ความรัก ความแค้น และความยุติธรรมในมุมของผม มันทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวด...”

คิมหันต์คิดถึงสิ่งที่ตนทำกับมุกริน ทำกับธาดา และดวงดาว...เขาถามกับรูปของวิมลรัตน์พี่สาวที่รักดั่งดวงใจว่า...

“ผมต้องแก้ไขยังไงครับพี่มล ผมต้องทำยังไง...เพื่อให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม...ถ้าดวงวิญญาณ

ของพี่สามารถรับรู้ความรู้สึกของผมได้ ช่วยดลใจผมด้วย จะด้วยวิธีใดก็ได้ ให้ผมรับรู้ว่า ผมควรทำอย่างไรกับปัญหาที่ผมก่อไว้ทั้งหมด ผมไม่อยากเสียใครไปอีกแล้วครับ...พี่มล...” คิมหันต์คร่ำครวญกับรูปวิมลรัตน์ อยู่อย่างนั้น...

ooooooo

ดึกคืนนี้ เมื่อคิมหันต์กลับมา เขาเห็นพักตรานอนหลับสนิทเพราะความอ่อนเพลียจากการผ่าตัด อรรถเดินเข้ามาเงียบๆ พูดเบาๆว่าหมอบอกว่าหลังผ่าตัดเธออ่อนเพลียมาก อีกสักสองวันถึงจะค่อยฟื้นตัว

อรรถถามว่ามีอะไรจะคุยกับตนไหม พอคิมหันต์ตอบครับ อรรถก็ให้ตามไปที่โถงทางเดิน นั่งคุยกัน

คิมหันต์ยืนยันเจตนาเดิมขอหย่ากับพักตรา อรรถหว่านล้อมโน้มน้าวใจอย่างยาวเหยียดถามว่าสิ่งที่ผูกมัดเขากับพักตรามีแค่ทะเบียนสมรสเท่านั้นหรือ คิมหันต์บอกว่าอิทธิพลของท่านด้วย อรรถบอกว่าเรื่องนั้นลืมไปเสีย เพราะตนปล่อยวางไปเยอะแล้วหลังจากชะตากรรมของพักตราครั้งนี้ แล้วพูดถึงความสัมพันธ์ยาวนานของทั้งคู่ที่ผ่านมาว่า

“แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องครุ่นคิดให้ดีก่อนการตัดสินใจครั้งนี้ก็คือจิตใจ เธอกับพักตราผ่านอะไรมา

ไม่น้อยแล้วนะ ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอจะเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่มันได้ผูกพันจิตใจของเธอสองคนไว้ด้วยกันมากกว่าทะเบียนสมรส แม้ว่าใจของเธอกับพักตราจะต่างกัน แต่ความลึกซึ้งไม่ได้น้อยกว่ากันนะ ใจของพักตรานั้นคือความรู้สึกรัก ส่วนใจของเธอคือสำนึกผิด หรือจะปฏิเสธว่าเธอไม่มีสำนึกนี้...”

คิมหันต์นิ่งไป พูดไม่ออก อรรถพูดต่อตอกย้ำความรู้สึกเขาว่า

“ฉันไม่คาดหวังสถานะสามีภรรยาระหว่างเธอกับลูกสาวฉันจะผูกพันอะไรมากไปกว่าที่ผ่านมา ฉันหวังแค่ว่า สภาพจิตใจของพักตราจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ เพราะถ้ามากกว่านี้ มันอาจหมายถึงชีวิตได้ คิดดูอีกทีนะคิมหันต์ ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกันไอ้ลูกชาย”

พูดจบอรรถลุกเดินไป ทิ้งให้คิมหันต์นั่งนิ่งตัดสินใจอะไรไม่ถูก...อีกตามเคย...

ooooooo

ชุมสายเป็นห่วงคิมหันต์ ไปหาเขาที่บ้านวิมลรัตน์ เจอแต่ไสวกับถวิล ทั้งสองส่ายหน้าไม่รู้เลยว่าคิมหันต์อยู่ไหนเมื่อไม่รู้จะตามตัวได้ที่ไหนชุมสายฝากข้อความในมือถือว่า...

“ไอ้คิม...ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าแกได้ฟังข้อความนี้ ฉันขอบอกว่า แกทำไม่ถูก แกอาจจะชินกับการทำอะไรไม่ถูกมาแล้วมากมายหลายเรื่อง แต่ถ้าแกยังใช้วิธีหนีหน้าแบบนี้ แกก็จะไม่มีทางแก้ไขอะไรให้มันถูกต้องขึ้นมาได้เลย...ถ้าฉันในฐานะเพื่อนคนเดียวของแก ยังไม่รู้เลยว่าแกเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ก็คงไม่มีใครช่วยอะไรแกได้อีกแล้ว กลับมาเถอะนะเพื่อน การทำผิดแล้วรู้จักแก้ไข และขอขมา จะเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีที่สุด...เท่านี้แหละเพื่อน”

ชุมสายกดปุ่มจบการฝากข้อความ ไสวเดินเข้ามาถามว่าคิมหันต์จะได้ยินที่เขาพูดไหม

“ไม่รู้มัน...ฉันก็ทำได้เท่านี้แหละ ที่เหลือจากนี้ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน” ไสวถามว่าเขาจะไปวัดไหม ชุมสายถามว่าไปทำไม ไสวบอกว่าไปแทนคิมหันต์...งานศพธาดา ชุมสายตอบสั้นๆแค่ว่า “ขอคิดดูก่อน”

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร พญาโศก ตอนที่ 16 ตอนอวสาน


ลำหับต่อว่าคนังพูดรุนแรงทำให้จักรินจากไปและอาจไม่หวนกลับคืนมา ซึ่งเธอทำใจไม่ได้เพราะเลี้ยงจักรินมาเสมือนลูกในไส้ รักเขาไม่น้อยไปกว่าคนัง

อาการโศกเศร้าเสียใจของลำหับทำให้คนังน้อยใจแอบหนีออกจากบ้านไปโดยมีเพียงวิเวกกับตึ๋งหนืดเท่านั้นที่รู้เห็นแต่ไม่อาจทัดทานเขาได้ ซึ่งจุดหมายปลายทางของคนังคือบ้านลุงเปรื่องที่คุ้นเคยตอนออกทะเลกับจูเนียร์

คนังเดินเท้าและไม่ได้เอาอะไรมานอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว ระหว่างทางเจอเพ็ญโพยมโดยบังเอิญ สองคนมีปากเสียงกันยกใหญ่อันเนื่องมาจากต่างคนต่างก็รักกันแต่โดนจักรินหลอกให้เข้าใจผิด

หลังจากทุ่มเถียงกันจนเหนื่อย คนังจับเพ็ญโพยมยัดใส่รถของเธอเองแล้วขับไปบ้านลุงเปรื่อง คนังไม่ได้ล่วงเกินเธอสักนิด แต่เฉิดเฉลากำลังใส่ร้ายเขาให้ยศพงษ์ฟังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องจักริน ปรากฏว่าได้ผล ยศพงษ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเชื่อว่าเพ็ญโพยมแอบไปหาคนังและสองคนอาจมีความสัมพันธ์เกินเลยกันแล้ว

ชาตรีทราบเรื่องจากลำหับว่าคนังหายไปก็เป็นห่วง แต่เขาไม่อาจอยู่กับเธอได้เพราะติดภารกิจสำคัญที่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ จึงฝากวิเวก ตึ๋งหนืด และเสกสรรช่วยกันดูแลลำหับ อย่าทิ้งบ้านไปไหนอย่างเด็ดขาด

ยศพงษ์ให้เฉิดเฉลาพาไปพบจักรินเพื่อขอร้องให้ไปดูเพ็ญโพยมว่าอยู่กับคนังที่บ้านหรือไม่ จักรินร้อนใจผลุนผลันจะไปแต่เฉิดเฉลาแนะนำให้โทร.ขอโทษลำหับก่อนแล้วค่อยไปจะดีกว่า ส่วนยศพงษ์ให้สัญญาว่าถ้าจักรินหลอกล่อคนังให้ขึ้นไปบนเขาแล้วเอาตัวเพ็ญโพยมกลับมาได้ เขาจะไม่ขัดขวางความรักและพร้อมสนับสนุน

เพียงได้ยินคำว่าขอโทษจากจักริน ลำหับดีใจเหลือล้นและเฝ้ารอต้อนรับเขาโดยไม่รู้เลยว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาถึงตัว จักรินแสร้งทำดีกับลำหับแต่แอบพาสมุนของยศพงษ์เข้ามาทำร้ายวิเวกกับตึ๋งหนืดจนสลบแล้วเปิดทางให้ยศพงษ์กับเฉิดเฉลาเข้ามาบีบบังคับลำหับให้บอกว่าคนังพาเพ็ญโพยมไปไหน

ลำหับไม่รู้จริงๆ จักรินไม่เชื่อ ประกาศว่าถ้าเจอคนังจะยิงให้ไส้แตกและพูดจาหยามเหยียดลำหับอีกหลายคำจนเธอน้ำตาไหลพรากด้วยความเสียใจ เวลาเดียวกันนั้นคนังกับเพ็ญโพยมปรับความเข้าใจกันได้ด้วยดีกำลังเดินทางกลับ เห็นเบอร์โทร.ยศพงษ์ติดต่อเข้ามือถือหลายครั้ง เพ็ญโพยมจึงโทร.กลับและเดาว่าน่าจะเกิดเหตุร้ายที่บ้านลำหับเพราะได้ยินเสียงจักรินกับเฉิดเฉลาดังลั่น

เสกสรรเกือบถูกสมุนของยศพงษ์ทำร้าย เขาหลบซ่อนตัวแล้วโทร.หาชาตรีบอกให้รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ ชาตรีตกใจมาก รับปากจะโทร.บอกตำรวจให้มาช่วย แต่เสกสรรต้องพยายามถ่วงเวลาอย่าให้เกิดอะไรขึ้นกับลำหับ และตนจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
วางสายจากชาตรีแล้วเสกสรรรีบมาช่วยแก้มัดวิเวกกับตึ๋งหนืดก่อนจะพากันไปช่วยลำหับที่เวลานี้

ถูกพวกเฉิดเฉลาลากออกจากบ้านแล้วสั่งให้จักรินจุดไฟเผาก่อนที่เสกสรรจะไปแจ้งตำรวจ จักรินลังเล แต่พอนึกถึงคนังว่าทำลายเพ็ญโพยมก็โกรธหน้ามืดตามัวทำตามคำสั่ง

กว่าคนังกับเพ็ญโพยมจะมาถึงไฟก็ไหม้บ้านลำหับเกือบหมด คนังชกต่อยจักรินไม่ยั้ง พอรู้จากวิเวกว่าลำหับน่าจะติดอยู่ในกองไฟจึงวิ่งเข้าไปในบ้านทั้งที่ไฟกำลังลุกท่วม ลำหับต้องการซอซึ่งเป็นตัวแทนของแม่ เธอหยิบได้แต่ไม่สามารถฝ่าเปลวเพลิงออกมา กระทั่งคนังเข้าไปช่วยและพากันรอดชีวิตออกมาอย่างหวุดหวิด

แต่กลับต้องมาพบเจอข่าวร้ายยศพงษ์ยิงเสกสรรตาย แถมยศพงษ์ยังเอาปืนที่เช็ดรอยนิ้วมือตนเองแล้วยัดใส่มือคนังก่อนหลบหนีพร้อมลูกสาว เฉิดเฉลาและจักริน

ลำหับเสียใจที่เสกสรรต้องมาจบชีวิตเพื่อคนอื่น เธอกล่าวโทษคนังเป็นต้นเหตุพาเพ็ญโพยมไปทำลาย คนังเสียใจมากที่แม่เชื่อคำพูดพวกเฉิดเฉลา แต่ก็ยอมรับผิดก้มกราบขอโทษแม่และศพเสกสรรทั้งน้ำตา

ยศพงษ์ลากลูกสาวขึ้นรถไปแล้วแต่เฉิดเฉลากับจักรินยังอยู่หน้าบ้าน แล้วจักรินก็ตัดสินใจย้อนกลับเข้าไปในบ้านเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับยศพงษ์ด้วยการแอบคุยกับคนังว่ามีข่าวน้าจูเนียร์ คนังหลงเชื่อตามขึ้นไปบนเขา โดยมีสมุนของรามมารอรับ

เมื่อชาตรีมาถึงทราบจากลำหับที่เพิ่งรู้จากจักรินว่าคนังขึ้นเขาไปพบจูเนียร์ก็เป็นห่วง พอคนของรามติดต่อมาที่ลำหับนัดให้ขึ้นเขามาพบคนังที่โดนจับไว้ตอนเที่ยงคืน ชาตรีกับลำหับจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล แต่พากันไปด้วยความระมัดระวัง โดยชาตรีไม่เผยตัวแต่คอยดูแลความปลอดภัยให้ลำหับตลอดเวลา

คนังรับรู้เรื่องจูเนียร์ตายด้วยความโศกเศร้าเสียใจแถมตกเป็นผู้สังหาร รามไม่เชื่อคำพูดคนังที่ปฏิเสธ แล้วให้สนไปเชิญตัวยศพงษ์กับเฉิดเฉลาขึ้นมาบนเขาเพื่อสอบถามเรื่องเงินจำนวนมากค่ายาเสพติดที่หายไป

จักรินขอไปกับเฉิดเฉลาเพราะอยากรู้ว่าบนเขาเป็นยังไงและอยากเห็นคนังโดนทำร้ายยังไงบ้าง ส่วนเพ็ญโพยมแอบตามยศพงษ์มา ทั้งหมดจึงถูกสมุนของรามควบคุมตัวขึ้นเขา

ลำหับมาตามเวลานัดแล้วถูกจับคุมขังก่อนจะพาไปยังหลุมศพของจูเนียร์ในเช้าถัดมา เธอร้องไห้เสียใจต่อหน้ารามและยืนยันว่าคนังไม่มีทางฆ่าจูเนียร์ พวกเขารักกันมาก แต่ถ้ารามไม่เชื่อและต้องการคนมารับโทษก็ลงโทษตนแต่อย่าลงโทษคนัง

“ได้สิ ฉันจะไม่ลงโทษคนัง แล้วแกมีอะไรมาต่อรองกับฉัน”

ลำหับนิ่งคิดทบทวนคำแนะนำของชาตรีก่อนหน้านี้ ให้เธอขอเป็นพวกเดียวกับรามให้เขาพึงพอใจเพื่อถ่วงเวลาให้ตนและตำรวจเข้าไปจัดการล้างบางพวกเขา ตอนนั้นลำหับลังเลเพราะกลัวรามเป็นอันตราย ชาตรีจึงพูดกับเธอว่าชาติของเรากับพ่อของเธออะไรยิ่งใหญ่กว่ากัน ถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว และเธอจะได้พบความจริงที่ยิ่งใหญ่ว่าเธอเลือกถูกต้องที่สุด

ในที่สุดลำหับก็เลือกชาติและความถูกต้อง หลอกรามว่าเธอกับคนังขอกรีดเลือดสาบานตัวร่วมอุดมการณ์กับพ่อ รามพอใจแล้วทำตามคำขอของลำหับที่ต้องการพบคนัง ให้สมุนไปพาเขามา

ชาตรีแอบบนต้นไม้ใช้กล้องส่องทางไกลมองมาที่ลำหับอย่างชื่นชม...เธอตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกกอบกู้เกียรติว่าไม่ใช่คนขายชาติด้วยการช่วยชาติ แต่แล้วแผนของลำหับแทบพังครืนเพราะรามให้เธอฆ่าคนังเพื่อพิสูจน์ตนเองว่าเป็นพวกเดียวกับเขาจริงๆ ลำหับจำใจรับปากและหวังว่าเธอกับลูกจะอยู่ในสายตาชาตรีตลอดเวลาตามที่บอก

คนังคิดไม่ถึงว่ารามจะสั่งฆ่าตนซึ่งคือหลานได้ลงคอ แต่ถ้าฆ่าแล้วแม่ของตนปลอดภัยตนก็ยินดี สนหรือหมายเลขสองมือสังหารจูเนียร์ตัวจริงเสียววาบไม่กล้าสบตาใคร แล้วรีบไปตามพวกยศพงษ์มาเพื่อยืนยันว่าก่อนขึ้นมาบนเขาคนังฆ่าเสกสรรตายคดียังคาโรงพัก

สนยิ้มย่องเดินออกไปหากลุ่มของยศพงษ์ในที่คุมขัง กำชับเสียงเข้มว่า “ฟังเอาไว้ให้ดีนะทุกคน หมายเลขหนึ่งต้องการพยานรู้เห็นว่าคนังใจคอเหี้ยมโหดสามารถฆ่าคนได้”

“เขาไม่ได้ฆ่าผู้ชายที่ชื่อเสกสรร คุณพ่อต่างหากที่ยิงเขาแล้วเอาปืนไปยัดใส่มือ”

ฉาด! ยศพงษ์ตบหน้าเพ็ญโพยมแล้วด่าซ้ำว่าอกตัญญูไม่ปกป้องพ่อ ขณะที่เฉิดเฉลาก็ตอกย้ำให้ฟังว่าถ้าเพ็ญโพยมบอกหมายเลขหนึ่งอย่างนั้นพ่อของเธอต้องโดนฆ่า จักรินเสริมว่าคนังมีลายนิ้วมือบนปืนเต็มไปหมดและตำรวจก็ยึดปืนไปแล้วด้วย

“ไม่ต้องพูดกันมาก ถ้าพวกแกไม่บอกว่าไอ้คนังฆ่าผู้ชายคนนั้น พวกแกจะต้องตายหมดทุกคน แต่สำหรับยศพงษ์กับเฉิดเฉลา ถ้าเป็นพยานเรื่องคนังฆ่าคนได้ ฉันอาจช่วยพวกคุณได้เรื่องเงินหายร้อยล้าน”

ยศพงษ์กับเฉิดเฉลาจะค้านเพราะสนเองก็ร่วมมือด้วย แต่สนชิงตัดบทแล้วพาทุกคนไปหาราม รามได้ทีบีบบังคับลำหับให้ฆ่าคนัง ถ้าไม่ทำพวกยศพงษ์ทั้งสี่คนต้องตาย...เวลาเดียวกัน สารวัตรนำกำลังตำรวจมาสมทบกับชาตรี ทั้งหมดวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อจับพวกขายชาติที่อยู่กันพร้อมหน้า ชาตรีเตือนให้ระวังพวกลำหับจะโดนลูกหลง ทุกคนรับทราบแล้วแยกย้ายกันเตรียมปฏิบัติการ

รามยังคงกดดันลำหับที่รับปืนมาแต่ยังไม่กล้ายิงคนัง โดยมีสายตาทุกคู่ลุ้นระทึกอยู่รายรอบ

“ถ้าแกไม่กล้ายิงคนังทั้งที่ฉันรับปากว่าจะไม่ลงโทษมัน และแกรับปากฉันว่าจะทำตามสัญญา แปลว่าแกทรยศต่อคำพูด แกเป็นสายลับขึ้นมาสืบความลับ ฉันจะสั่งให้คนของฉันตามสับแกกับไอ้คนังรวมทั้งไอ้อีสี่คนนี่เป็นชิ้นๆ เอาไปให้แร้งกากิน”

ยศพงษ์กับเฉิดเฉลากลัวตายเร่งเร้าลำหับให้ยิงคนัง เช่นเดียวกับจักรินที่เห็นแก่ตัวถึงขนาดบอกลำหับว่าถ้ายิงคนังตายแล้วตนจะรับเธอเป็นแม่อีกครั้ง แต่เพ็ญโพยมร้องห้ามเสียงหลง

“อย่าทำนะคะ สัญญาบ้าๆเข้าข้างตัวเอง ถ้าจะมีการตายเกิดขึ้นก็ให้ตายกันให้หมดนี่แหละค่ะคุณน้า หนูมองสายตาของหมายเลขหนึ่งเขาไม่ปรานีให้ใครเหลือรอดสักคนแน่ เขาบ้าอำนาจ พวกเราเป็นเหยื่ออำนาจของเขา”

สนไม่พอใจจะตบหน้าเพ็ญโพยมโทษฐานบังอาจสั่งสอนผู้บังคับบัญชาสูงสุดของที่นี่ รามห้ามไว้เพราะชอบในความกล้าหาญของเธอ แต่จักรินไม่ชอบใจหาว่าเพ็ญโพยมไม่กล้าบอกความจริงว่าคนังฆ่าคนเพราะถูกมันฉุดหายไปทั้งคืน

เพ็ญโพยมโกรธจัดตบหน้าจักรินแล้วด่าซ้ำ “เธอนั่นแหละจักริน เป็นหนึ่งในผู้ให้ความร่วมมือในการฆ่าเสกสรรและเผาบ้านคนัง...จักรินคือคนที่ยอมรับใช้หมายเลขหนึ่ง เขาช่วยหลอกให้คนังขึ้นมาบนเขา ทุกคนใจร้ายมาก รวมทั้งคุณพ่อ ถ้าเขาสั่งให้คุณพ่อฆ่าหนู คุณพ่อจะทำไหมคะ แล้วคุณล่ะเฉิดเฉลา ถ้าใครสั่งให้คุณฆ่าจักริน คุณจะทำไหม... ใครจะฆ่าใครก็เชิญ หนูขอตายกับคนัง หนูจะถือว่าการตายของเราตายอย่างมีศักดิ์ศรี”

คนังตกใจห้ามไม่ให้เพ็ญโพยมเอาร่างเข้ามาบังตน แต่เธอไม่ฟัง ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีเมื่อพวกรามสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มตำรวจ รามรีบสั่งสนยิงคนัง ลำหับ และพวกยศพงษ์ แต่สนกลับหันปืนมาสังหารรามเพราะต้องการขึ้นเป็นหมายเลขหนึ่งแทน...ลำหับถลาเข้าไปหารามที่นอนหายใจรวยริน เรียกเขาว่าพ่อทั้งน้ำตา แต่รามตวาดใส่เธอว่า

“ฉันไม่ใช่พ่อแก ไม่เคยเป็นพ่อแก แกก็แค่ลูกติดท้องผู้หญิงที่ฉันไปฉุดคร่ามาจากชายอื่น ฉันถึงยอมให้แกฆ่าลูกของแก แกคือความแค้นของฉัน แม่แกท้องกับมัน แกคือผลผลิตความแค้นของฉัน”

“ไม่จริง คุณพ่อเอาอะไรมาพูด”

“จริงที่สุด ฉันเกลียดแก เกลียดมาตั้งแต่แกเกิด” แล้วรามก็หันไปด่าสนว่าทรยศ สนสวนทันควันว่าตนกำลังช่วยชาติต่างหาก ช่วยฆ่าหัวหน้าผู้ก่อการร้ายรายใหญ่

ลำหับเห็นท่าไม่ดีสนจะยิงรามซ้ำจึงคว้าปืนยิงสนขาดใจตาย แทนที่รามจะขอบใจเธอกลับบอกว่าไม่มีประโยชน์ที่ช่วยชีวิตตน ถึงยังไงตนก็จะเกลียดเธอต่อไป

ขาดคำรามดึงปืนจากมือลำหับมายิงตัวเองสิ้นใจไปอีกคน ยศพงษ์จะยิงคนังแต่เพ็ญโพยมเอาตัวขวางไว้ จักรินจึงโดดเข้าปกป้อง เฉิดเฉลาแผดเสียงห้ามยศพงษ์พร้อมกับพุ่งมารับกระสุนแทนจักรินจนร่างทรุดฮวบ

แม้จะตายแต่เธอก็ดีใจที่ได้ยินจักรินเรียกแม่เป็นครั้งแรก ยศพงษ์พอรู้ความจริงว่าจักรินคือลูกชายที่เกิดกับเฉิดเฉลาก็ตะลึง แต่พริบตานั้นเขาก็ถูกเฉิดเฉลายิงตายไปด้วยกัน จักรินไม่เหลือใครจะยิงตัวตายตามแต่ลำหับกับคนังห้ามไว้ รวมทั้งเพ็ญโพยมซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดากับจักริน

ในที่สุดจักรินก็กราบขอโทษลำหับก่อนตัดสินใจบวชอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ที่แท้จริง ส่วนคนังกับเพ็ญโพยมได้ไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยกันโดยมีลำหับเป็นผู้ส่งเสีย

ชาตรีกับตำรวจกวาดล้างพวกบนเขาได้หมดสิ้น แท้จริงชาตรีคือตำรวจที่ติดตามสืบจับพวกขายชาติมายาวนาน เขาเพิ่งบอกความจริงกับลำหับในวันนี้ และทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับบริพัตรด้วยการดูแลเธอและขอใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนวันตาย ลำหับตอบรับด้วยความเต็มใจพร้อมกับยอมรับว่าชาตรีคือพ่อพระตัวจริงของเธอ

ooooooo

–อวสาน–


ที่มา ไทยรัฐ