วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร สิงห์รถบรรทุก ตอนที่ 1


สีหราช...ชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มพื้นเพเป็นคนบ้านเขาชุมสิงห์ ครอบครัวทำงานขับรถบรรทุกมาตั้งแต่รุ่นบิดา ทำให้สีหราชคุ้นเคยกับการขับรถบรรทุกมาตั้งแต่เด็ก ชำนาญเส้นทาง เชี่ยวชาญเรื่องการขับรถ ใช้ชีวิตปีนป่ายอยู่บนรถบรรทุกจนเป็นเรื่องปกติ

สีหราชเรียนเก่งทำให้เมื่อโตขึ้นจึงได้ทุนการศึกษาไปเล่าเรียนในเมืองหลวงจนจบปริญญาตรี ก่อนจะกลับมาบ้านในวันหนึ่งพร้อมรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ ที่สีทองน้องชายของเขาชื่นชอบและอยากได้ตั้งแต่วัยเด็ก

แต่นึกไม่ถึงว่าการกลับมาบ้านครั้งนี้จะทำให้สีหราชสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักทั้งพ่อแม่และน้องชาย ไปอย่างไม่มีวันหวนคืน...

สีทองจับได้ว่าเดี่ยวกับยงค์เพื่อนซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกของบริษัทเกษมขนส่งโกงบริษัทเลยนำเรื่องไปบอกกับเสี่ยเกษม ทำให้คนทั้งคู่ถูกไล่ออก พรหมบุญคู่แข่งทางธุรกิจของเกษมทราบเรื่องจึงยุทั้งคู่กลับไปแก้แค้นสีทอง โดยแอบส่งลูกน้องตามไปด้วย

วันนั้นสีทองขออนุญาตเสี่ยเกษมนำรถบรรทุกชื่อสิงห์เซอร์ปีโก้พาแม่ไปโรงพยาบาลโดยมีพ่อร่วมทาง สีหราชกลับมาทันพอดีจึงอาสาขับรถแทนน้องชาย ระหว่างทางมีรถสองคันขับดักหน้าดักหลัง สีทองจำคนขับได้คือเดี่ยวและยงค์ เขารู้ทันทีว่าอันตรายกำลังมาเยือน!

สีทองนึกถึงวันก่อนที่ตนแอบบันทึกภาพการซื้อขายยาเสพติดของพวกพรหมบุญไว้ได้ด้วยโทรศัพท์มือถือ จึงตัดสินใจส่งมันให้พี่ชายเก็บไว้แต่ยังไม่ยอมบอกอะไรเพราะต้องเร่งพาแม่ที่อาการไม่สู้ดีไปโรงพยาบาล

เมื่อรู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว สีทองเตือนพี่ชายให้ระวัง บอกว่าตนกำลังมีเรื่องเพราะทำให้เดี่ยวกับยงค์โดนไล่ออกพวกมันเลยแค้น

“ไม่ต้องกลัว พี่ไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไร ง่ายๆหรอก”

สีหราชทำตามที่ลั่นวาจาเมื่อเหลือบเห็นคน จากรถที่ตีคู่เข้ามากระโดดเกาะด้านหลังรถที่ตนขับ

เขาบอกสีทองให้เปลี่ยนมาขับแต่ห้ามจอดเดี๋ยวไก่ตื่น...

แล้วสีหราชก็อาศัยความไวชิ่งออกจากพวงมาลัย ขณะที่สีทองรีบเข้าไปสวมรอย จากนั้นสีหราชก็ปีนออกไปนอกรถทันที

ไอ้โขนลูกน้องของพรหมบุญเอาระเบิดเวลาซุกไว้มุมหนึ่งแล้วหันกลับจะปีนลง จังหวะนั้นสีหราชโผล่จากข้างรถขึ้นมาเจอ โขนผงะไม่คาดคิด แต่สัญชาตญาณโหดก็ทำงานทันทีด้วยการพยายามถีบสีหราชให้ตกลงไป

สีหราชดูจะเสียเปรียบเพราะกำลังไต่อยู่ข้างรถที่กำลังวิ่ง ขณะที่เท้าของไอ้โขนพยายามถีบให้หลุดออก แต่แล้วในจังหวะที่โขนถีบพลาด สีหราชก็ดีดตัวขึ้นมาบนหลังคาได้สำเร็จ

การต่อสู้ดุเดือดหวาดเสียวเปิดฉากขึ้นนับจากนาทีนั้น! สองคนวางมวยบนหลังคารถบรรทุกขณะวิ่ง สีหราชเก่งกาจและบ้าบิ่นอย่างไม่กลัวตาย!

ในเวลาเดียวกันที่ปั๊มน้ำมัน เสี่ยเกษมแวะเข้าห้องน้ำแล้วได้ยินชายคนหนึ่งคุยโทรศัพท์เอ่ยชื่อรถบรรทุกสิงห์เซอร์ปีโก้ของตน ด้วยความสงสัยจึงขับรถตามเขาออกไป

ชายคนนั้นคือเสือเล็กนั่นเอง เขาเป็นพันธมิตรกับพรหมบุญ ล่าสุดเขาปล้นเพชรทองแล้วนำมาขายให้พรหมบุญซึ่งได้ราคาดีเกินคาด เหตุนี้เองทำให้เสือเล็กไว้วางใจและไม่ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายให้ช่วยงาน

บนหลังคารถสิงห์เซอร์ปีโก้...สีหราชกับโขน

ยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด โขนถูกกดหน้าลงไปยังจุดที่ซ่อนระเบิดเวลา เมื่อมองเห็นนาฬิกาเหลือเวลาไม่มากทำให้โขนรีบดีดตัวและพยายามจะหนีลงจากรถ สีหราชไม่ยอมให้หนีง่ายๆ แต่ก็รู้สึกแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย

ในจังหวะที่เขาโดนโขนถีบล้มลง สีหราชจึงเห็นระเบิดเวลา เขาพยายามเอื้อมมือลงไปเพื่อแกะมันออก แต่แล้วโขนก็เข้ามาขัดขวาง การต่อสู้เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีเป้าหมายคือระเบิดเวลา ฝ่ายหนึ่งพยายามจะแกะออก แต่อีกฝ่ายขัดขวาง จนสุดท้ายของการต่อสู้ทั้งสีหราชและโขนต่างก็ร่วงลงไปจากรถ โดยที่ระเบิดเวลาหล่นจากหลังคาลงไปที่พ่อและแม่ของสีหราช

สีทองขับรถเรื่อยไปพลางมองกระจกด้านข้างเห็นพี่ชายตกลงจากรถ โขนที่กลิ้งอยู่ข้างทางรีบลุกขึ้นหาทางหนีเอาตัวรอด สีหราชวิ่งมาตะโกนบอกพ่อว่า... ระเบิด!

บุญสิงห์พ่อของสีหราชตกใจมองไปยังระเบิดที่หล่นห่างจากตัวจึงลุกขึ้นเดินไป แต่แล้วเป็นจังหวะที่รถกำลังเบรกทำให้บุญสิงห์เซล้มลงเอื้อมมือไม่ถึงระเบิด สีทองบังคับรถให้หยุดแต่แล้วจู่ๆ มีกระสุนลึกลับแล่นผ่านกระจกเข้ามาเจาะกลางศีรษะเขา รถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทางดังสนั่น พริบตานั้นเสียงระเบิดดังตูม เปลวไฟลุกท่วมรถน่าสะพรึงกลัว!

สีหราชล้มลงจากแรงอัดของระเบิด เขารอดตายแต่พ่อแม่และน้องชายที่อยู่ในรถดับดิ้นสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

มุมหนึ่งห่างออกไป เสือเล็กลดปืนลงอย่างใจเย็น ค่อยๆเดินกลับเข้ามาในรถหยิบโทรศัพท์มือถือแจ้งผู้บงการว่าทุกอย่างเรียบร้อย ตอนนี้สิงห์เซอร์ปีโก้กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว เมื่อรถของเสือเล็กแล่นออกไป เสี่ยเกษมที่ซุ่มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในรถ สีหน้าตื่นตระหนกด้วยความหวาดกลัว

ooooooo

สายสุนีย์ลูกสาวเสี่ยเกษมทราบเรื่องจากพ่อในเช้าวันถัดมาก็ทุบโต๊ะปังแสดงอาการคับแค้นใจและสงสารในชะตากรรมของสีทองและครอบครัว

“มันจะจองล้างจองผลาญกับพวกเราไปถึงไหน กฎหมายบ้านเมืองทำไมทำอะไรพวกมันไม่ได้”

“เรื่องรถเตี่ยไม่เสียดายเลย แต่ไอ้สีทองกับพ่อแม่มันน่ะสิ”

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะเตี่ย”

“ลองมันฆ่าคนได้กลางวันแสกๆ พวกเราก็คงไม่ปลอดภัยกันแล้ว”

สองพ่อลูกหนักใจและวิตกกังวล จังหวะนี้ลูกน้องวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานว่ามีคนมาหา เขากำลังอาละวาดบอกว่าต้องการพบเสี่ยให้ได้ เมื่อพ่อลูกพากันออกไปจึงพบสีหราชยืนอยู่ท่ามกลางคนงานนับสิบ ส่งเสียงดังว่าทำไมเป็นใบ้กันไปหมด ถามอะไรก็ไม่ตอบ สีทองไม่ได้เป็นคนงานของบริษัทนี้หรือยังไง

“ใจเย็นๆครับพี่ ใจเย็นๆ” คนงานขอร้อง แต่สีหราชโกรธจนฟิวส์ขาดกระชากคอเสื้อเขาคนนั้นแล้วตะคอกอย่างสุดแค้นก่อนผลักล้มลงไปกับพื้น

“น้องกูตาย พ่อแม่กูตาย แล้วจะให้ใจเย็นอยู่ได้ไง”

“หยุดนะ!” สายสุนีย์แผดเสียงด้วยความไม่พอใจ ขณะที่เสี่ยเกษมถามผู้มาเยือนคือสีหราชพี่ชายของสีทองใช่ไหม

“ใช่...ครอบครัวผมทำงานกับเสี่ยมาตั้งแต่รุ่นพ่อ แล้วก็ตกทอดมาถึงน้องผม ทุกคนเป็นคนงานของเกษมขนส่งมาตั้งแต่เกิดจนตาย”

“ฉันรู้ดี และรับรองว่าจะไม่ทอดทิ้ง งานศพพ่อแม่แล้วก็น้องของเธอ ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็บอกมา ฉันยินดีช่วย”

“ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเงิน ผมมาก็เพราะอยากจะถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมครอบครัวผมต้องโดนฆ่าตายแบบนี้ เสี่ยสั่งห้ามคนงานพูดเรื่องนี้ทำไม”

“เพราะฉันไม่อยากให้มีคนตายเพิ่มขึ้นมาอีกน่ะสิ”

“ไม่อยากให้มีคนตายเพิ่มหรือว่าพยายามปกปิดความผิด”

“สามหาว!” สายสุนีย์ตวาดแว้ด สีหราชเขม่นมองหญิงสาว...ทั้งคู่เริ่มไม่ถูกชะตากัน

เสี่ยเกษมเข้าใจหัวอกผู้สูญเสีย เดินนำสีหราช ไปคุยกันมุมหนึ่ง สายสุนีย์เดินตามคอยคุมเชิงเพราะไม่ไว้ใจชายหนุ่มหากโมโหขึ้นมาแล้วทำร้ายพ่อของเธอ

“อาทิตย์ก่อนสีทองมันมารายงานฉันว่าไอ้ยงค์กับไอ้เดี่ยวมันโกงบิลน้ำมัน ฉันก็เลยไล่ไอ้สองตัวนั่นออกไป ไอ้ยงค์กับไอ้เดี่ยวมันเลยไปขอทำงานกับพรหมบุญยานยนต์”

“เสี่ยกำลังจะบอกว่าเป็นฝีมือของไอ้ยงค์กับไอ้เดี่ยวใช่ไหมครับ”

“ก็ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร”

“ถ้ามองแบบตื้นเขินมันก็เป็นอย่างที่คุณมองนั่นแหละ” สีหราชว่าประชดสายสุนีย์...เธอเม้มปากไม่พอใจ เสี่ยเกษมอยากรู้สีหราชคิดว่าเป็นฝีมือใคร “ลำพังคนงานสองคน ถ้ามีปัญหากับใครแค่ท้ายิงมันก็จบเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมาวางแผนซับซ้อน ไหนจะระเบิดเวลาไหนจะลอบยิงน้องชายผม แบบนี้มันผิดวิสัย”

เสี่ยเกษมแปลกใจถามสีหราชว่ารู้เรื่องลอบยิงด้วยหรือ

“ผมรู้เพราะมีรอยกระสุนที่ศพน้องผม ว่าแต่เสี่ยเถอะ เสี่ยรู้เรื่องลอบยิงได้ยังไง”

เสี่ยเกษมอึกอักไม่ตอบ สีหราชยิ่งรุกเร่งอยากรู้ แต่เสี่ยตัดบทว่าอย่าเอาตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ขณะที่สายสุนีย์ก็ออกปากไล่เขากลับไป เราสองพ่อลูกหมดธุระที่จะคุยกับเขาแล้ว

“ก็ได้ แต่ถ้าวันใดผมรู้ว่าเสี่ยกับลูกสาวเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมจะไม่ปล่อยเอาไว้เด็ดขาด”

สีหราชกลับไปพร้อมความขุ่นเคืองและเคลือบแคลง เสี่ยเกษมบ่นลับหลังกับลูกสาวว่าความจริงตนน่าจะเล่าเรื่องคนลอบยิงให้สีหราชฟังอย่างหมดเปลือก เขาจะได้ไม่สงสัยในตัวพวกเรา สายสุนีย์ค้านด้วยความเป็นห่วงว่า ถ้าเรื่องแพร่งพรายไปถึงคนร้ายว่าเตี่ยคือพยานคนสำคัญจะไม่ปลอดภัย

แม้เสี่ยเกษมจะเห็นด้วยกับลูกสาว แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องปกปิดเรื่องนี้

ooooooo

สีหราชหาทางแก้แค้นแทนครอบครัวด้วยการบุกเข้าไปฆ่าเดี่ยวกับยงค์ที่พรหมบุญยานยนต์ในคืนนั้น พรหมบุญสั่งลูกน้องออกตามล่าสีหราชที่กล้าล้วงคองูเห่า สั่งค้นทุกหลังคาเรือน หากใครไม่ให้ความร่วมมือก็จัดการได้เลย

สีหราชหลบเข้าไปซ่อนตัวในบ้านของมุกดา

ม่ายสาวพราวเสน่ห์ เธอช่วยรับหน้าเมื่อพรหมบุญบุกมาพร้อมสมุน แกล้งถามเขาว่ามีอะไรกัน เข้ามาที่บ้านตนทำไม

“มีคนร้ายหนีมาทางนี้ ผมกำลังล่าหัวมัน...พวกเอ็งแยกย้ายกันค้นทุกซอกทุกมุมของบ้านหลังนี้ หาให้ทั่ว”

โขนและสมุนพากันแยกไปตามมุมต่างๆ หนุมานกำลังจะเข้าไปค้นในห้องนอน มุกดารีบวิ่งไปขวางหน้าประตู ไม่ต้องการให้ค้นห้องนอนซึ่งเป็นห้องส่วนตัว แต่ถ้าจะค้นต้องเป็นพรหมบุญคนเดียวเท่านั้น

มุกดาพูดพร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนโปรยเสน่ห์ให้พรหมบุญ...ได้ผลทันที! พรหมบุญยิ้มน้อยๆ ตอบรับด้วยถ้อยคำมีเลศนัย

“ก็ได้ สำหรับห้องนอนเธอ ฉันจะลงมือค้นเอง”

มุกดาแสร้งทำเอียงอายแบบรู้ความหมายกันและกัน เธอค่อยๆเปิดประตูห้องนอนผายมือเชิญชวนพรหมบุญเข้าข้างในแล้วปิดประตูลงกลอนก่อนเดินมาเบียดชิดร่างเขาด้วยท่าทียั่วยวน

“คือห้องนี้มีแต่ของส่วนตัว มาแบบไม่บอกล่วงหน้ามุกดาเลยไม่อยากตกเป็นขี้ปากของพวกเด็กๆของคุณ ถ้าคุณพรหมบุญค้นเจออะไรที่มันส่วนตัวมากๆของมุกดาล่ะก็...ละเว้น...อย่าทำให้มุกดาอับอายเลยนะคะ”

“ผมเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ทำให้ผู้หญิงสวยอย่างคุณมุกดาต้องขายหน้าเป็นอันขาด”

พรหมบุญเดินไปดูตามมุมต่างๆ เมื่อเดินผ่านเห็นเสื้อผ้าเซ็กซี่ของมุกดาก็จะหยิบขึ้นมาดูพลางชายตาหยอกเย้ามาให้ มุกดาแสร้งทำเขินอายรีบคว้าเสื้อผ้าชิ้นนั้นมาเก็บไว้

เดินถึงหน้าห้องน้ำ พรหมบุญทำท่าจะเข้าไปสำรวจแต่มุกดาแกล้งสะดุดขาล้มลงบนเตียงนอนด้วยท่าทีเซ็กซี่ สกัดเขาไม่ให้เข้าไปเพราะเธอซ่อนสีหราชไว้ข้างใน แสร้งเจ็บบริเวณขาอ่อน ดึงกระโปรงสูงขึ้นลูบไล้นวดเฟ้นเรียวขางามของตน

พรหมบุญยืนมองสักครู่ก่อนเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เริ่มนวดขามุกดาไปมา แต่จู่ๆเธอร้องอุ๊ยท่าทีตกใจ นึกบางอย่างได้รีบขอตัวเดินหายเข้าห้องน้ำแล้วกลับออกมาพร้อมกระดาษห่อผ้าอนามัย ตอบอ้อมแอ้มเมื่อเขาถามว่าอะไร

“คือพอดีวันนี้ครบรอบเดือนของผู้หญิงน่ะค่ะ เมื่อกี้เข้าห้องน้ำทำห้องน้ำเลอะเทอะหมดเลย”

คำตอบนั้นทำให้พรหมบุญหมดอารมณ์ในบัดดล ลุกขึ้นจากเตียงจะเดินออกจากห้อง

“เดี๋ยวสิคะ คุณพรหมบุญยังไม่ได้ค้นห้องน้ำเลย”

“เข้าไปผมก็ซวยตายน่ะสิ ทีหลังถ้ารู้ตัวว่ามีรอบเดือน อย่ามาเข้าใกล้ผมอีก ของผมเสื่อมหมด”

พรหมบุญหัวเสียออกจากห้อง มุกดารีบตามออกมา ได้ยินสมุนรายงานหัวหน้าว่าค้นทุกซอกมุมแล้วไม่เจอ พรหมบุญกำลังเซ็งเรื่องมุกดาเลยยกขบวนกลับไปอย่างรวดเร็ว

มุกดายิ้มสะใจก่อนกลับเข้าไปในห้องแต่ไม่พบแม้เงาของสีหราช มีเพียงจดหมายขอบคุณ สร้างความประทับใจให้กับเธอไม่น้อย ฝ่ายสีหราชหลบออกมาจากบ้านมุกดาด้วยการซ่อนตัวหลังรถของสายสุนีย์

หญิงสาวไม่รู้ตัว คุยโทรศัพท์เล่าเรื่องพรหมบุญพาพวกค้นบ้านคนอื่นให้เตี่ยฟัง พอวางสายเหลือบมองกระจกหลังเห็นเงาคนก็ตกใจ รีบจอดรถแล้วใช้ปืนขู่บังคับให้เขาลงมา

สีหราชเปิดประตูลงมา สายสุนีย์จำเขาได้แต่ยังไม่วางใจ สั่งเขาชูมือขึ้นแล้วหันหลังไป ชายหนุ่มทำตาม

อย่างว่าง่าย เธอใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือปืนตบตามตัวเขา เพื่อค้นอาวุธ แต่แล้วในจังหวะเผลอสีหราชก็พลิกตัวกลับมาโอบร่างเธอไว้ในอ้อมแขน แถมแย่งปืนของเธอมาได้ด้วย

หญิงสาวดิ้นรนให้เขาปล่อยและกระชากเสียงถามว่ามาทำอะไรบนรถตน สีหราชบอกตามตรงว่าแค่ใช้เป็นที่หลบหนีพวกพรหมบุญ

“ที่แท้คนที่พวกมันตามหาก็คุณนั่นเอง”

เขาถามว่ารู้อย่างนี้แล้วยังจะยิงตนอยู่อีกหรือเปล่า เธอตอบโดยไม่ต้องคิดว่าเธอยิงทุกคนที่เป็นศัตรู สีหราชสวนทันควันว่าตนไม่ใช่

“เชอะ! เมื่อเช้าคุณยังมากล่าวหาว่าฉันกับพ่อทำลายครอบครัวของคุณอยู่เลย”

“ก็ตอนนั้นผมไม่รู้ความจริงนี่ แต่ตอนนี้ผมรู้หมดแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง แล้วใครมันคือคนบงการฆ่าน้องชายของผม”

“รู้แล้วก็ปล่อยฉันซะที ฉันอึดอัด”

“จริงๆไม่อยากปล่อยเลย”

“ทำไม”

“ก็กอดคุณแบบนี้แล้วมันอุ่นดี ตัวก็หอมด้วยสิ”

“คนบ้า คนผีทะเล”

สีหราชหัวเราะร่วนค่อยคลายมือออก สายสุนีย์สะบัดหลุดแล้วพุ่งไปที่ปืน แต่เขาใช้เท้าเตะปืนลอยขึ้นมาแล้วใช้มือคว้าไว้ได้ “ผมล้อเล่นน่ะ ไม่ได้มีเจตนาจะลวนลามอะไรคุณหรอก แค่ไม่อยากให้คุณซีเรียสเกินไป ยิ้มหน่อยนะครับ”

แทนคำตอบ เธอตบหน้าเขาดังฉาด ตวาดสั่งเอาปืนของตนมา

“ก็ได้ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจ” เขาปลด

กระสุนออกก่อนส่งปืนคืนเธอ บอกว่ากันไว้ก่อน เอาไว้วันหลังจะไปคืนให้ที่บริษัท ขอบคุณที่ให้อาศัยรถมา...ว่าแล้วเดินหน้าเป็นจากไป ทิ้งหญิงสาวหงุดหงิดอารมณ์เสียอยู่ตรงนั้น

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้นพรหมบุญไล่บี้สมุนเรื่องสีหราชบุกเข้ามาด้วยความโมโห ก่อนจะตบหน้าโขนในฐานะหัวหน้าที่ไม่เอาไหน

“มันบุกเข้ามาในบ้านข้าแบบนี้ก็เท่ากับมันหยามศักดิ์ศรี ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะ ไม่ว่าไอ้สีหราชมันจะเป็นใคร พวกเอ็งต้องไปตามลากตัวมันมาให้ได้”

โขนหน้าซีดหน้าเสีย หลังจากนั้นหารือกับสมุนก่อนพากันไปที่งานเผาศพพ่อแม่และน้องชายของสีหราชซึ่งมีอาจารย์เป๋อเป็นแม่งาน สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับชาวบ้านเมื่อได้ยินพวกเขาบอกว่าถ้าไม่เจอตัวสีหราชงานนี้ก็เริ่มไม่ได้

อาจารย์เป๋อหวาดกลัวแต่ทำใจดีสู้ดีบอกพวกโขนว่าสีหราชไม่ได้อยู่ที่นี่ ตั้งแต่พ่อแม่ตายไม่รู้เขาหายตัวไปไหน

“โกหก! พ่อแม่ตายทั้งคน มันจะหายหัวไม่มาร่วมงานได้ยังไง”

ชาวบ้านหวาดกลัวทยอยกันถอยห่างออกมา แต่แล้วเมื่อชาญ บ้านสั้น...เพื่อนวัยเด็กของสีหราชซึ่งเป็นลูกน้องของน้องชายพรหมบุญปรากฏตัว พวกโขนก็ไม่กล้าแหยม พิธีเผาศพจึงเริ่มได้ตามปกติ

ooooooo

สายสุนีย์เป็นเพื่อนกับมุกดา วันนี้เธอขับรถเข้ามาเติมน้ำมันในปั๊มของมุกดา เสร็จแล้วทั้งคู่เข้าไปนั่งคุยในห้องทำงานด้วยเรื่องเมื่อคืนที่พรหมบุญ

พาสมุนบุกค้นบ้านคนอื่นตามอำเภอใจ

สองสาวมีความรู้สึกไม่ดีต่อพรหมบุญ ต่างพูดถึงเขาด้วยความเกลียดชัง แต่แล้วมุกดาก็หักมุมกะทันหันถามสายสุนีย์ว่าถ้าตนจะพบรักอีกสักหนกับชายแปลกหน้าซึ่งพบกันโดยบังเอิญเมื่อคืนจะเป็นไรไหม

สายสุนีย์ตอบโดยไม่รู้ว่าชายคนนั้นคือสีหราชว่าไม่แปลกเพราะมุกดาเป็นม่ายสามีตาย ไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือผิดประเพณีสักหน่อย

“จริงสินะ ฉันเป็นอิสระ แล้วก็มีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้ ไม่เห็นต้องแคร์ใครเลย...แล้วเธอล่ะสายสุนีย์ ไม่คิดจะสนใจผู้ชายคนไหนบ้างเลยเหรอ”

สายสุนีย์ชะงัก นึกถึงตัวเองโดนสีหราชโอบกอดเมื่อคืนแล้วอมยิ้มเขินๆ มุกดาเมียงมองก่อนแซวเพื่อนว่ายิ้มแบบนี้ชักเข้าเค้าเสียแล้ว

“บ้า...ไม่ต้องมายัดเยียดเรื่องนี้กับฉัน ไปดีกว่า”

ออกจากปั๊มน้ำมันของมุกดา สายสุนีย์ขับรถเรื่อยไปตามเส้นทางที่สีหราชเดินจากไปเมื่อคืน เธอจอดรถริมถนนเดินย้อนรอยของเขาแต่ไม่พบบ้านสักหลัง จนกระทั่งไปเจอรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่แต่ไร้เจ้าของ สงสัยว่ารถใครทำไมมาจอดตรงนี้

เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้รถมอเตอร์ไซค์จึงได้ยินเสียงสะอื้นของผู้ชาย เธอค่อยๆย่องเงียบมาหลบมุมสอดส่ายสายตามองหา ที่สุดก็เห็นชายหนุ่มนั่งหันหลังซบหน้าสะอื้นกับฝ่ามือ

เขาคือสีหราชนั่นเอง เขากำลังร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจที่สูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รัก ทั้งที่ในอดีตเขาเคยมีความสุขกับสีทองน้องชายวัยไล่เลี่ยกัน

ภาพทรงจำในอดีตทำให้สีหราชยิ่งเสียใจ แต่ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องสู้ต่อไป ชายหนุ่มปาดน้ำตาแล้ว รวบรวมความเข้มแข็งให้กลับคืนมาเดินไปยังมอเตอร์ไซค์ที่ตั้งใจจะมอบให้น้องชาย เอ่ยกับมันว่า

“ต่อไปแกจะเป็นตัวแทนของน้องชายและครอบครัวของฉัน ตอนนี้ฉันมีเหลือแต่แกเป็นเพื่อน แล้วฉันจะเรียกแกว่าเจ้าทอง”

สีหราชตบมอเตอร์ไซค์เบาๆ ก่อนขึ้นนั่งขับออกไปจากตรงนั้นโดยไม่รู้ว่าสายสุนีย์แอบมองอึ้งๆ ไม่คิดว่า ผู้ชายที่ดูดิบๆอย่างเขาก็มีมุมอ่อนไหวเหมือนกัน ขณะกำลังจะผ่านรถยนต์คันหนึ่งที่จอดริมทาง ชายหนุ่มจำได้ว่า

เป็นของสายสุนีย์จึงขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาใกล้ๆ แล้วซุ่มรอจนกระทั่งเห็นเธอเดินกลับมา

สองคนเผชิญหน้ากันอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะสายสุนีย์ที่ไม่ได้รู้สึกแย่เหมือน คราวก่อนที่เขามาอาละวาดที่บริษัท
สีหราชแหย่เย้าเธอพอหอมปากหอมคอแล้วผละไป จุดหมายคือวัดที่มีพิธีเผาศพพ่อแม่และน้องชายของเขาเมื่อวันก่อน ซึ่งอาจารย์เป๋อเป็นแม่งานให้ พร้อมกับเก็บอัฐิให้ด้วยก่อนจะนำไปลอยอังคารตามประเพณี

เสร็จแล้วอาจารย์เป๋อถามสีหราชคิดหรือยังว่าจะไปอยู่ที่ไหน บ้านเก่าคงกลับไปไม่ได้ สีหราชบอกว่า

พ่อตนมีที่ดินอยู่แถวไร่สีทอง ก็คงไปอยู่ที่นั่นจนกว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อย

“เอ็งไปอยู่แถวนั้นเหมาะแล้ว เส้นทางไม่ค่อยมีใครรู้จัก เหมาะที่จะเป็นเซฟเฮาส์ชั้นดีทีเดียว”

เมื่อแยกจากอาจารย์เป๋อ สีหราชมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังนั้นที่ตั้งใจพักพิงเป็นแหล่งซ่อนตัว ในขณะเดียวกัน พรหมบุญที่ยังต้องการล่าตัวสีหราชก็เรียกพายัพญาติห่างๆมาพบที่บ้าน พายัพมีนิสัยขี้โอ่ ชอบอวดว่าตัวเองมีพี่ชายร่ำรวยจึงวางตัวกร่าง มารยาทไม่ค่อยงาม พรหมบุญเลยแสดงอาการเหยียดหยามพายัพอยู่ในที

จังหวะที่พายัพมาถึง พรหมบุญคุยอยู่กับปลัดฉกาจ จึงแนะนำสองฝ่ายรู้จักกัน

“นี่พายัพญาติผู้น้องของผม...พายัพ นี่ปลัดฉกาจ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณพายัพ”

พายัพรับคำสั้นๆ ไม่ค่อยสนใจปลัดฉกาจ อยากรู้ว่าพรหมบุญเรียกตนมามีอะไร พอได้ยินว่าคนของตนชื่อชาญ บ้านสั้น ไปก่อเรื่องที่วัดเมื่อวาน พายัพตกใจและหวั่นใจว่าหมอนั่นคงยิงคนตายหลายศพเพราะฝีมือยิงปืนของเขาเร็วเหนือเสียง แม่นเหมือนเทพจับวาง

ทันใดนั้นเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอกเหมือนคนกำลังมีเรื่องกัน เมื่อพากันออกไปดูก็พบว่าชาญกำลังวาดลวดลายเล่นงานสมุนของพรหมบุญบาดเจ็บหลายรายด้วยฝีมืออันเฉียบขาดแม่นยำ

แค่เพียงพายัพตวาดสั่งให้หยุดชาญก็ยุติอย่างฉับพลัน ชาญให้ความเคารพพายัพมากเพราะเขามีบุญคุณกับพ่อของตน ก่อนตายพ่อสั่งให้ชาญมาอยู่กับพายัพ นับจากนั้นมาชาญก็เป็นมือขวาให้พายัพเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นงานอะไรไม่เคยพลาด

ความเก่งกาจของชาญเป็นที่น่าสนใจ พรหมบุญจึงยังไม่คิดบัญชีกับชาญ แต่จะเก็บเอาไว้เรียกใช้งานเมื่อมีความต้องการ พายัพยินดีไม่มีปัญหากับพี่ชายคนนี้อยู่แล้ว แต่เตือนไปนิดว่าชาญดื้อพอสมควรตนเคยสั่งให้ไปฆ่านักเลงคนหนึ่งเพื่อล้างแค้น ตอนแรกก็รับปากว่าจะทำให้แต่พอไปเห็นนักเลงคนนั้นมีลูกเล็กมันล้มเลิกไม่ยอมทำงาน ไม่ว่าตนจะดุด่าหรือลงโทษยังไงชาญก็ไม่ยอมทำให้ท่าเดียว

ปลัดฉกาจฟังอยู่ด้วยพูดกลั้วหัวเราะว่าแบบนี้เรียกนักเลงคุณธรรม ขณะที่พรหมบุญบอกว่าคนดื้อเงียบอย่างนี้อันตราย

“ถ้าพี่ไม่ชอบมัน ก็ยิงทิ้งได้เลย ผมยกให้”

“แกไม่เสียดายเหรอ”

“ระหว่างมันกับพี่ ยังไงผมก็ต้องเลือกพี่อยู่แล้ว”

พรหมบุญยิ้มพอใจในคำตอบของพายัพ บอกให้เก็บไว้ก่อน ยังไม่ต้องรีบร้อน ส่วนปลัดฉกาจสนับสนุนพรหมบุญน่าจะเอาชาญมาเป็นคนคุ้มกันเพิ่มอีกคน

“น่าสนใจ ผมเองก็เบื่อไอ้ลูกน้องไร้ฝีมือของผมเต็มทนแล้วเหมือนกัน”

พรหมบุญวางแผนเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ตนเองมากขึ้น ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งผูกมิตรกับเสือเล็กแห่งผาพยัคฆ์ เมื่อรู้ว่ามีนักเลงฝีมือดีอีกคนคือแก้วการเวกก็ไม่อยู่เฉย จัดเสือเล็กไปทดสอบฝีมือในขณะที่แก้วการเวกกำลังถ่ายทำมิวสิกวีดิโออยู่กับลูกวง

หวานสวาทเป็นนักร้องดาวยั่วประจำวงของแก้วการเวก พรหมบุญถูกตาต้องใจเธอเมื่อแรกเห็น ส่วน ฝีมือของเสือเล็กกับแก้วการเวกสูสีกินกันไม่ลง เป็นที่พอใจของพรหมบุญ

“เก่งมาก ฝีมือกินกันไม่ลงจริงๆ”

พรหมบุญปรบมือพร้อมกับเดินมายังเสือเล็กและแก้วการเวก โดยที่แก้วดูจะงงๆไม่เข้าใจสถานการณ์ ตรงข้ามกับเสือเล็กซึ่งค่อยๆลดปืนในมือลง

“ยินดีที่รู้จักน้องชาย”

“นี่มาเล่นตลกอะไรกัน พวกคุณเป็นใคร”

“ผมชื่อพรหมบุญ เจ้าของพรหมบุญยานยนต์ แห่งบ้านเขาชุมสิงห์”

แก้วการเวกหรือแก้วนิ่งอึ้ง เมื่อรู้ว่านี่คือเจ้าพ่อพรหมหบุญแห่งเขาชุมสิงห์ เขารีบยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม

“เจ้าพ่อพรหมบุญ...ผมกราบขอโทษด้วยครับที่ล่วงเกิน”

“พอๆ ไม่ต้องพิธีรีตองแบบนี้กับผม ตามสบาย”

แก้วยิ้มรับพลางชำเลืองมองผู้ชายถือปืนที่ยืนข้างๆ สงสัยว่าเป็นใคร

“ผมเสือเล็กแห่งผาพยัคฆ์”

“โอ้...แม่เจ้า นี่มันวันอะไรกัน เจอทั้งเจ้าพ่อเจอทั้งเสือเล็ก นี่ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าต้องเจอแบบนี้ผมช็อกตายแน่ๆ”

“ฮ่ะๆ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ พอดีได้ยินมาว่า แก้วการเวกเป็นนักร้องนักเลงที่มีฝีมือคนหนึ่งก็เลย อยากจะทำความรู้จัก เลยให้เสือเล็กช่วยทดสอบฝีมือ”

หวานสวาทวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาแก้ว ถามอย่าง ห่วงใยว่าเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า พรหมบุญมองเธอไม่วางตา ถามแก้วว่าแฟนเหรอ?

“เปล่าครับ น้องสาว...ญาติห่างๆน่ะครับ ชื่อหวาน–สวาท...นี่หวานรู้จักเจ้าพ่อพรหมบุญกับเสือเล็กซะสิ”

หวานสวาทยกมือไหว้ทั้งสองคนอย่างว่าง่าย “สวัสดีค่ะเจ้าพ่อ สวัสดีค่ะเสือเล็ก”

“เลิกเรียกฉันว่าเจ้าพ่อได้แล้ว คำว่าเจ้าพ่อน่ะน่าจะใช้กับวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขา แต่ฉันยังไม่ตาย เรียกฉันว่าคุณพรหมหบุญเฉยๆก็พอ”

“ค่ะ คุณพรหมบุญ” หวานสวาทตอบเสียงหวาน ยิ้มเอียงอายเมื่อสบสายตาเจ้าชู้ของพรหมบุญ

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร เพื่อนแพง ตอนที่ 8


แพงตามหาลอมาถึงป่าไผ่ ด้วยความเหนื่อยล้ากอปรกับแผลที่หัวยังไม่หายดีทำท่าจะทรงตัวไม่อยู่ เรืองซึ่งตามมาทัน รีบเข้าไปประคองเอาไว้ ชวนให้กลับบ้าน แผลของเธอเริ่มปริมีเลือดซึมออกมาอีกแล้ว เธอไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะหาพี่ลอเจอ เรืองรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่ต้องตามหาให้เมื่อย

“เมื่อครู่ข้าเจอไอ้ก้อน มันเพิ่งยอมบอกข้าว่าไอ้ลอไปหามันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ขออาวุธจากบ้านผู้ใหญ่เตรียมไปล่าหัวเสือมิ่ง” คำพูดของเรืองทำเอาแพงใจคอไม่ดี...

ทางฝ่ายลอซุ่มอยู่กลางป่าทึบรอจังหวะเล่นงานสมุนของเสือมิ่งที่เฝ้าปากทางเข้าที่ซ่อนตัว ก้อนแอบตามมาเพื่อจะช่วยสหายรักจัดการกับเสือมิ่ง ลอไม่ยอมให้เขาเอาชีวิตมาเสี่ยงด้วย พยายามไล่กลับ แต่ไม่เป็นผล ทั้งคู่ช่วยกันต่อสู้กับสมุนของเสือมิ่งสองคน ก้อนจัดการสังหารหนึ่งในสมุนตายคาดาบ ส่วนสมุนอีกคนหนึ่งบาดเจ็บจากคมดาบของลอ พยายามคลานหนี ก้อนจะตามไปเชือดคอแต่ลอห้ามไว้

“เดี๋ยวก่อน ข้าอยากรู้ว่าเสือมิ่งหายไปไหน” ลอ กระชากตัวสมุนขึ้นมาสอบถามจนได้ความว่าเขากำลังไปจัดการเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มแทงเขาอยู่ ลอรู้ทันทีว่าหมายถึงวีระ...

แทนที่เสือมิ่งจะจัดการเสี้ยมหนามให้สิ้นซาก กลับเป็นฝ่ายถูกหนามตำเพราะวีระเจ้าเล่ห์ ประกาศจะให้เงินสมุนของเสือมิ่งจำนวนมหาศาล หากใครกำจัดลูกพี่ตัวเองได้ พวกนั้นถึงกับตาวาวด้วยความโลภ...

ขณะที่เสือมิ่งถูกเหล่าสมุนทรยศ เพื่อนรีบเก็บเสื้อผ้าเท่าที่จะเก็บได้ยัดใส่ห่อผ้า เตรียมจะหนีไปกับแรม อารามรีบร้อนทำแหวนหมั้นที่ลอซื้อหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงหล่นพื้นมาหยุดแทบเท้า เธอเก็บขึ้นมามอง อดนึกถึงคนให้ไม่ได้ เริ่มลังเลจะหนีดีหรือไม่ พลันมีเสียงพิศร้องเรียกเธอดังแทรกขึ้นมา เพื่อนรีบออกไปหา พอเห็นสภาพของพ่อที่เปรอะไปด้วยเขม่าไฟก็ตกใจ ไปทำอะไรมา

“ข้าเพิ่งกลับมาจากบ้านไอ้แสง ว่าจะไปปรึกษาให้มันช่วยเรื่องเอ็งกับไอ้ลอ แต่ผ่านไปเจอบ้านมันกำลังไฟไหม้พอดี เลยต้องช่วยกันดับให้วุ่น โชคดีพวกชาวบ้านใกล้ๆเห็นเข้าเลยช่วยกันดับไฟแล้วพาไอ้แสงออกมาได้ทัน บ้านก็เลยไหม้แค่ครัวไหม้ลามไปทั้งหลัง”

“แล้วครูเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

พิศถอนใจ หนักใจ ก่อนจะเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากดับไฟเรียบร้อย ครูแสงเข้าไปตรวจดูในบ้านพบว่าเงินที่จะเอาไปไถ่เครื่องดนตรีหายไปหมด แรมก็หายตัวไปด้วย เขารู้ทันทีว่าเป็นฝีมือเธอที่ขโมยเงินและเผาบ้าน ถึงกับร้องไห้โฮจนแทบหมดเรี่ยวแรงจะยืน เรืองที่เพิ่งกลับบ้านต้องรีบเข้าไปประคอง

“เฮ่อ ข้ากับพวกชาวบ้านเห็นแบบนั้นแล้วก็ไม่รู้จะช่วยไอ้แสงมันยังไง ใครจะรู้ว่าผู้หญิงสวยๆ มีความรู้จากพระนคร จะเป็นลูกทรพีใจไม้ไส้ระกำทำกับพ่อมันได้ลงคอ...ว่าแต่เรื่องไอ้ลอ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกชาวบ้านมาทำอะไรเอ็งเด็ดขาด อย่าหวังว่าพวกมันจะลากเอ็งไปรับผิดแทนไอ้ลอเพราะมันต้องข้ามศพข้าก่อน”

“แต่จนป่านนี้เรายังไม่ได้ข่าวพี่ลอเลยนะจ๊ะพ่อ”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะพาเอ็งไปอยู่วัดก่อน ยังไงพวกมันก็ต้องเกรงใจหลวงพ่อบ้าง ระหว่างทางไปไม่ต้องกลัวพวกชาวบ้านจะมาเห็น เดี๋ยวข้าจะให้เอ็งไปซ่อนอยู่ในเกวียน”

“จ้ะพ่อ งั้นพ่อไปเตรียมเกวียนเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันตามไป” เพื่อนมองตามพ่อ สีหน้าครุ่นคิด

ooooooo

ในเวลาต่อมา แพงกลับมาเห็นพ่อกำลังขนฟางลงจากเกวียน ร้องถามว่าจะไปไหน พอรู้ว่าท่านจะพาพี่เพื่อนไปฝากไว้ที่วัดเพื่อกันไม่ให้ชาวบ้านมายุ่ง รีบบอกว่าไม่จำเป็นอีกแล้วเพราะพี่ลอไม่ได้หนีไปพิจิตร

“ไอ้เรืองมันคงไม่ได้บอกพ่อเพราะมัวแต่ห่วงเรื่องที่บ้านมัน พี่ลอเขาตัดสินใจไปตามล่าเสือมิ่ง ตั้งใจเรียกความยุติธรรมกลับมาให้ตัวเอง พี่เพื่อนอยู่ไหนล่ะจ๊ะพ่อ ฉันต้องรีบไปบอกพี่เพื่อน”

พิศมองขึ้นไปบนบ้านแทนคำตอบ แพงรีบขึ้นไปบอกข่าวดี แต่เพื่อนไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว หาจนทั่วก็ไม่เจอ เสื้อผ้าข้าวของก็หายไปด้วย หรือเธอกลัวถูกพวกชาวบ้านพาตัวไปให้วีระเลยคิดจะหนีเอาตัวรอด พิศไม่เชื่อว่าเธอจะทำแบบนั้น หาว่าแพงหาเรื่องใส่ร้ายพี่สาวตัวเอง...

ขณะที่เพื่อนหายตัวไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย ลอตามมาที่ซ่องนางโลมซึ่งเป็นที่ซ่องสุมของวีระ หวังจะมาลากคอเสือมิ่งกับวีระส่งตำรวจ แต่ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นศพสมุนของเสือมิ่งนอนตายเกลื่อนในสภาพถูกฟันถูกแทงเลือดท่วม สักพักผู้ใหญ่ผาดพร้อมด้วยลูกศิษย์และก้อนตามมาสมทบ ก้อนไม่วายต่อว่าลอทำไมถึงไม่รอกันก่อน บอกแล้วว่าจะไปตามพ่อตามพวกมาช่วย บุ่มบ่ามอย่างนี้เกิดพลาดท่าขึ้นมาจะได้ไม่คุ้มเสีย

“แต่ไอ้ศพที่เห็นอยู่นี่ มันลูกน้องไอ้เสือมิ่งไม่ใช่หรือวะไอ้ลอ ข้าว่ามันยังไงๆอยู่นะ”

ทั้งลอและผู้ใหญ่ผาดเดินสำรวจรอบๆซ่อง เห็นแต่ศพสมุนของเสือมิ่ง ไม่มีคนของวีระแม้แต่คนเดียว พลันมีเสียงครางเบาๆดังขึ้น ทุกคนหันมองตามเสียงเห็นสมุนของเสือมิ่งคนหนึ่งนอนหายใจรวยริน ลอปราดเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงพูดของเขาแผ่วมากแทบไม่ได้ยิน ลอจึงต้องก้มลงไปฟัง...

เสือมิ่งในสภาพบาดเจ็บจากการต่อสู้ถูกวีระกับพวกจับมัดมือกระชากลากถูมาตามทางในป่าทึบ สมุนที่แปรพักตร์ของเขาเตือนให้เขายอมๆวีระจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว เสือมิ่งขู่ถ้ารอดไปได้จะจับพวกมันฆ่าทิ้งแล้วโยนเนื้อให้หมากินฐานทรยศ วีระหัวเราะเยาะ แล้วสั่งให้ไม้กับมาดลากตัวเขามาคุกเข่าตรงหน้า

“ไอ้แก่เอ๊ย ตอนนี้มันไม่ใช่ลูกน้องเอ็งอีกแล้ว แต่เป็นเอ็งต่างหากที่ต้องร้องขอชีวิตจากพวกมัน หลังจากที่พาข้าไปเอาสมบัติที่เอ็งปล้นมาได้แล้ว” วีระเห็นเสือมิ่งฮึดฮัดขัดขืน ชกหน้าหนึ่งทีแล้วเตะซ้ำถึงกับทรุด...

ทางด้านเพื่อนถือห่อผ้าใส่สัมภาระมายืนรอยังจุดนัดหมาย ถูกแรมเข้ามาจากด้านหลังปิดปากไว้ แล้วลากตัวมายังมุมลับตาคนแถวริมตลิ่ง เนื่องด้วยกลัวครูแสงจะตามมาเจอ เพื่อนตำหนิเธออย่างแรงถึงสิ่งที่เธอทำไว้กับพ่อตัวเอง เลวทรามต่ำช้าเกินจะให้อภัย พลอยทำให้ตนรู้สึกผิดไปด้วยที่ปล่อยให้เธอทำชั่วๆแบบนั้น แรมแก้ตัวหน้าด้านๆ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นจะพาเพื่อนหนีไปพระนครด้วยกันได้อย่างไร

“ฉันไม่ได้คิดจะหนี ฉันก็แค่กลัวจนเผลอสิ้นคิดตอบพี่ไปว่าอยากจะหนี แต่เอาเข้าจริงแล้ว ฉันทิ้งพี่ลอเอาตัวรอดไปคนเดียวไม่ได้หรอก และฉันก็จะไม่ปล่อยให้พี่หนี ฉันจะพาพี่กลับไปหาครู ไปกับฉันเดี๋ยวนี้” เพื่อนคว้าข้อมือแรมทันที เธอไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด ตบหน้าเพื่อนฉาดใหญ่เพื่อให้ปล่อยมือ แล้วหยิบมีดใน กระเป๋าออกมาขู่ ขืนขัดขวางตนมีเรื่องแน่...

พิศไม่เชื่อคำกล่าวหาของแพง จะออกไปตามหาลูกรักเพื่อพิสูจน์ว่าเธอคิดผิด และสั่งห้ามใส่ร้ายพี่สาวของเธออีก ไม่อย่างนั้นเขาจะฟาดหัวเธอซ้ำให้เลือดโชก แพงยืนยันไม่ได้ใส่ร้าย แต่พูดความจริง

“วันพี่ลอหมั้นกับพี่เพื่อนนั่นก็ทีหนึ่งแล้ว ถ้าฉันไม่ไปบอกครูแสงให้ห้ามพี่แรม ป่านนี้พี่เพื่อนก็ทิ้งพี่ลอตามพี่แรมไปอยู่พระนครแล้ว”

ไม่ว่าแพงจะพูดถึงเพื่อนในทางไม่ดีอย่างไร พิศก็ไม่เชื่อ แถมคว้าไม้ขึ้นมาขู่ถ้าไม่หยุดด่าว่าลูกสาวของตนเป็นได้เห็นดีกันแน่ เธอน้อยใจมาก พ่อพูดราวกับว่าเธอไม่ใช่ลูกของท่าน แค่เธอเกิดมาแล้วแม่ก็ตาย เลือดในตัวเธอก็ไม่ใช่เลือดของพ่อแล้วใช่ไหม พิศสุดทนที่เธอเถียงคำไม่ตกฟาก เงื้อไม้จะฟาด เธอหลับตารอให้ลงโทษ เขากลับทำไม่ลง ทิ้งไม้แล้วเดินหนีขึ้นบ้านทั้งน้ำตาคลอเบ้า เธอเองก็เสียใจไม่แพ้เขาเช่นกัน...

แรมกวัดแกว่งมีดในมือใส่เพื่อนซึ่งได้แต่ถอยร่น ก่อนจะเสียหลักล้มลงกับพื้น มือควานถูกทรายรีบหยิบขึ้นมาสาดใส่หน้าลูกทรพีจนตาพร่า เข้าไปแย่งมีดจากมือแล้วตบหน้าจนแรมเซถลาลงไปฟุบกับพื้น

“ถ้าฉันลากพี่กลับไปได้ พวกชาวบ้านจะพากันสรรเสริญฉัน ทีนี้หน้าไหนมันก็ไม่กล้าลากฉันไปรับผิดแทนพี่ลอ” พูดจบเพื่อนเข้าไปดึงแขนแรมให้ลุกขึ้น ไม่ทันระวังตัวถูกเธอเอาก้อนหินฟาดหัวเลือดสาด กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพื่อนเจ็บแผลที่หัวแทบทนไม่ไหว แต่ยังกัดฟันคว้าไม้แถวนั้นขึ้นมาเหวี่ยงกันไม่ให้แรมเข้าใกล้ เธอไม่ได้ต้องการจะฆ่าปิดปากเพื่อนแค่จะเอาตัวไปพระนครด้วย

“สวยๆอย่างเอ็ง ต่อให้ฤทธิ์เยอะแค่ไหน ก็สู้พวกแมงดาในพระนครไม่ได้หรอก เอ็งจะเป็นตัวทำเงินทำทองให้ข้ารวยไม่รู้เรื่อง” แรมเดินเข้าหาอย่างย่ามใจเพราะเห็นอีกฝ่ายเริ่มยืนโงนเงน คว้าข้อมือบิดทีเดียวไม้ในมือเพื่อนก็หล่น แล้วตบหน้าซ้ำจนเธอล้มลงหมดสติ เป็นจังหวะเดียวกับคนแจวเรือมาถึง

“จะไปกันได้รึยัง ข้าไม่ได้ว่างมานั่งรอแจวเรือให้เอ็งทั้งวันนะนังหนู” คนแจวเรือเห็นสภาพของเพื่อนก็ตกใจ แรมรีบหยิบเงินปึกใหญ่ขึ้นมาให้ ถ้าเขาปิดปากให้สนิทและช่วยตนพานังนี่ขึ้นเรือ ถึงที่หมายเมื่อไหร่ เขาจะได้ค่าจ้างเพิ่มอีกเป็นสองเท่า คนแจวเรือเห็นแก่เงิน ยอมตกลงตามที่แรมต้องการ

ooooooo

ลอ ก้อนและพวกลูกศิษย์ของผู้ใหญ่ผาดแกะรอยพวกวีระมาถึงกลางป่าทึบ ลอสั่งให้เร่งฝีเท้าตามให้ทัน ถ้าวีระได้สมบัติของเสือมิ่งไป คงต้องฆ่าเขาทิ้งแน่ๆ ก้อนแนะให้รอพ่อของตนกับตำรวจก่อน แต่ลอรอไม่ได้ แม้เสือมิ่งจะทำให้ชีวิตของตนแย่ลง แต่โทษของเขาไม่ควรถึงตาย

“นี่เป็นความแค้นของข้ากับมัน คนอื่นไม่เกี่ยว” ลอพูดจบตามรอยพวกวีระต่อไป ก้อนหันไปสั่งพรรคพวก

“ข้าจะตามไปช่วยไอ้ลอ พวกเอ็งคอยส่งข่าวให้พ่อข้าด้วย”...

ในขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ผาดพาตำรวจบุกไปที่โรงสีข้าว เห็นประจวบกำลังนอนให้ลูกน้องทายาตามบาดแผลที่ถูกลูกทรพีเล่นงาน พยายามกล่อมให้เขาชี้ตัวพวกที่มาปล้นจะได้ให้ตำรวจจัดการให้ ทีแรกเขาอ้างไม่รู้ไม่เห็นจำหน้าคนปล้นไม่ได้ ผู้ใหญ่ผาดต้องขอร้องให้เขาหยุดปกป้องเลือดชั่วๆที่กล้าทำร้ายแม้แต่คนป้อน ข้าวป้อนน้ำ ถ้าเขาไม่ช่วยหยุดการทำชั่วครั้งนี้ก็เท่ากับส่งเสริมให้ลูกเป็นมหาโจรและที่สำคัญเขายังได้ช่วยให้ลอคนดีแห่งทุ่งบ้านสร้างที่วีระดูหมิ่นว่าเป็นลูกโจรได้พ้นมลทิน ประจวบนิ่งคิดอึดใจ ก่อนจะตัดสินใจ

“เลือดชั่วในตัวมันไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีกต่อไป ลากคอมันมาให้ได้ ข้ากับมันไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแล้ว”...

ขณะที่ประจวบตัดสินใจตัดพ่อตัดลูกกับวีระ แพงเดินหน้าเศร้ามายังบริเวณคุ้งต้นไทร คิดถึงคำพูดของพ่อเมื่อครู่แล้วอดน้อยใจน้ำตาไหลไม่ได้ ทรุดลงคุกเข่าพนมมือ พร้อมกับอธิษฐานขอให้เทิดช่วยปกปักรักษาให้ลอรอดพ้นอันตราย ให้เขาได้กลับมาที่ทุ่งบ้านสร้างและเป็นที่รักของทุกคน

“คนที่เขารักก็ขอให้รักเขาไม่ทอดทิ้งเมื่อเวลาเขาลำบาก จะให้ฉันตายทุกข์ตายทรมานยังไงก็ได้ ขออย่างเดียว ขอให้พี่ลอมีความสุขกับคนที่เขารักก็พอแล้วจ้ะ” แพงอธิษฐานจบก้มลงกราบ พลันมีเสียงแก้วร้องเอะอะเข้ามาบอกว่าเจอพี่เพื่อน แพงลุกพรวดจะตามไปลากตัวนังคนเห็นแก่ตัวกลับ

“พี่ลอกำลังลำบากแต่มันกลับคิดจะหนีไปสุขสบายคนเดียว บอกข้ามาเอ็งไปเจอมันที่ไหน”

แก้วขอร้องให้ใจเย็นๆก่อน แพงเข้าใจพี่สาวตัวเองผิด ตอนนี้พี่เพื่อนกำลังเดือดร้อน แล้วเล่าให้ฟังว่าขณะที่ตนกับแม่ช่วยกันขนกล้วยลงเรือจะเอาไปขาย ได้ยินเสียงแรมสั่งให้คนแจวเรือพายเร็วๆกว่านี้ เดี๋ยวเธอจะไปไม่ทันรถไฟเข้าพระนคร คนแจวเรือไม่พอใจ หากอยากให้เร็วทันใจ เธอก็ต้องช่วยพายเรือด้วยไม่ใช่เอาแต่สั่ง แก้วเห็นแรมคว้าไม้พายขึ้นมาช่วยพายและยังเห็นพี่เพื่อนนอนหมดสติอยู่ในเรือด้วย

แพงไม่รอช้ารีบวิ่งไปยังตลิ่ง แต่ไม่พบใคร แก้วอ้างว่ากว่าตนเองจะวิ่งไปตามเธอ เรือลำนั้นคงไปไกลแล้ว แพงเถียงว่านี่เป็นทางลัด ถ้าเรือจะไปจากทุ่งบ้านสร้างต้องผ่านทางนี้ ไม่ทันขาดคำ เรือแจวลำที่ว่าก็ล่องมาตามลำน้ำ แรมเห็นแพงกับแก้วก็สั่งให้คนแจวเรือเร่งฝีพายขึ้นอีก แพงเห็นท่าไม่ดีโดดลงน้ำว่ายตาม ปากก็ตะโกนสั่งให้ส่งพี่สาวตัวเองคืน แรมเห็นแพงเข้ามาใกล้เรือ ใช้ไม้พายฟาดไม่ยั้ง

“ตายซะเถอะอีแพง น้ำหน้าอย่างมึงอย่าคิดว่าจะขวางทางกูได้ นี่แน่ะๆๆ”

ไม้พายฟาดถูกหัวแพงอย่างจังจนแน่นิ่งจมลงในน้ำ แก้วตกใจรีบโดดลงไปช่วย แต่เธอจมหายไปเสียก่อน ร่างของแพงดิ่งลงสู่ก้นคลองใกล้จะหมดอากาศหายใจ แต่แล้วเกิดนึกถึงพี่ลอขึ้นมาได้ ชีวิตนี้จะตายไม่ได้จนกว่าจะได้เห็นพี่ลอมีความสุข จึงเกิดฮึดสู้ ทะลึ่งพรวดขึ้นสู่ผิวน้ำ แก้วดีใจรีบช่วยพยุงเข้าฝั่ง เอาผ้ากดแผลที่หัวให้เลือดหยุดไหล แล้วจะพากลับบ้าน แพงไม่ยอมกลับจะตามไปช่วยพี่เพื่อน

“ถ้าพี่ลอกลับมาไม่เจอพี่เพื่อน พี่ลอจะเสียใจ เขารักพี่เพื่อนที่สุด ข้าต้องพาพี่เพื่อนกลับไปหาเขาให้ได้”

“พอได้แล้วนะอีแพง คิดว่าข้าขอร้องเอ็งก็ได้ พอได้แล้ว เลิกรักพี่ลอมากกว่ารักตัวเอง ชีวิตเอ็งมันไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่เอ็งคิด ข้าขอร้องนะอีแพง” แก้วพูดไปร้องไห้ไป แพงดึงเธอมากอดร้องไห้ไปด้วยกัน

ooooooo

ณ กลางป่าทึบ พวกของวีระเร่งขุดสมบัติที่เสือมิ่งซ่อนเอาไว้จนกระทั่งเจอหีบใบใหญ่ เสือมิ่งรู้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังจะสิ้นสุดเมื่อวีระได้สมบัติ ทันทีที่หีบสมบัติถูกเปิดออกเผยให้เห็นของมีค่าอัดอยู่แน่น วีระถึงกับหัวเราะสะใจ เสือมิ่งเห็นเขามัวแต่สนใจสมบัติ ดึงดาบที่ปักอยู่ใกล้ๆแทงสมุนเพื่อเปิดทางหนี

ไม้คว้าดาบจะตามไปเล่นงาน แต่วีระยกมือกันไว้ แล้วชักปืนเล็งไปที่เสือมิ่งซึ่งกำลังไล่ฟันสมุนที่ทรยศของตัวเอง ลอตามมาเห็นพอดี โดดผลักเสือมิ่งพ้นทาง แต่ตัวเองกลับโดนยิงเสียเองถึงกับทรุด เสือมิ่งรีบเข้าไป ประคองเขาไว้ อดแปลกใจไม่ได้มาช่วยตนไว้ทำไม

“ถึงฉันจะไม่พอใจที่อามิ่งพยายามทำลายชีวิตฉัน แต่อย่างน้อยที่ไอ้ลอโตมาได้ก็เพราะน้ำใจของอามิ่ง”

“เอ็งเหมือนพ่อของเอ็งไม่มีผิด เพราะคิดโง่ๆอย่างนี้ มันถึงต้องมาตายอย่างหมาตัวหนึ่งที่ทุ่งบ้านสร้าง”

“ไม่หรอกจ้ะอา พ่อไม่ได้ตายอย่างหมา พ่อตายพร้อมกับความภูมิใจที่สร้างขึ้นมาเพื่อสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี ไม่ให้เดินทางผิดอย่างพ่อ ฉันถึงสาบานด้วยชีวิตกับพระของพ่อจะไม่ให้ความภูมิใจตายไปพร้อมกับพ่อ” ลอมองพระของพ่อที่ห้อยคอเสือมิ่งสีหน้าเจ็บปวดจากบาดแผลถูกยิง เสือมิ่งสำนึกผิดที่ทำให้ลอต้องมาเป็นแบบนี้ สั่งเขาห้ามตายเด็ดขาด วีระทนดูลิเกบทโศกเศร้าไม่ได้ ยินดีจะส่งทั้งคู่ไปเล่นบทนี้ให้ยมบาลดู

เสือมิ่งเสนอจะแลกชีวิตตัวเองและสมบัติที่ยังฝังไว้อีกมากมายกับลอ วีระไม่สนใจ ลั่นกระสุนใส่เขาหน้าตาเฉย เพราะความเกลียดชังที่ตนมีกับลอ ไม่มีอะไรมาแลกได้ แล้วยิงเสือมิ่งซ้ำตายอนาถ จากนั้นหันปากกระบอกปืนจะยิงลอเป็นรายต่อไป ก้อนซึ่งแอบซุ่มดูอยู่ พุ่งออกจากที่ซ่อนใช้ดาบเชือดคอลูกน้องของวีระ คนอื่นๆหันขวับไปมอง ลอฉวยโอกาสปัดปืนจากมือวีระ แล้วตรงเข้าชกต่อย...

ขณะที่ลอกับก้อนเปิดศึกกับวีระและพวกอยู่กลางป่าทึบ แก้วประคองแพงที่หัวแตกเลือดอาบกลับถึงบ้าน พิศเห็นสภาพลูกชังก็แปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แก้วชิงตอบคำถามแทนว่าแพงพยายามไปช่วยพี่เพื่อนแต่โดนพี่แรมใช้ไม้พายตีเกือบเอาชีวิตไม่รอด พิศตกใจซักเป็นการใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อน

พอรู้ว่าโดนแรมลักพาตัวไป แพงจะไปช่วยแต่ช่วยไม่ได้ พิศไม่พอใจตะคอกใส่ลูกชังถ้าช่วยพี่สาวไม่ได้แล้วจะมาพูดทำไม จากนั้นเขาวิ่งออกจากบ้านไปตามหาเพื่อนโดยไม่สนใจไยดีเธอแม้แต่น้อย...

ทางฝ่ายลอกับก้อนเริ่มเสียทีให้วีระกับพวกเพราะกำลังคนน้อยกว่า ถูกรุกไล่จนถอยไม่เป็นขบวน พลันมีเสียงปืนดังเปรี้ยงๆๆๆขึ้น ผู้ใหญ่ผาดนำกำลังตำรวจเข้ามาช่วยเหลือลอและก้อน ลูกน้องของวีระถูกคมกระสุนร่วงเป็นใบไม้ ลูกพี่พยายามจะไปหยิบหีบสมบัติแต่ถูกผู้ใหญ่ผาดยิงสกัดไม่ให้เข้าใกล้ กระสุนนัดหนึ่งเฉียดใบหน้าเขาถึงกับร้องลั่น ไม้กับมาดต้องช่วยประคองลูกพี่หนีโดยมีตำรวจหลายนายไล่ตามติด ผู้ใหญ่ผาดรีบเข้ามาดูแลลอที่ใกล้จะหมดสติเพราะเสียเลือดมาก แต่ก็ยังกัดฟันขอร้อง

“ช่วย...พา...ฉันกลับ...กลับไปหา...แม่เพื่อน...ด้วยจ้ะอา” พูดได้แค่นั้นลอก็หมดสติ...

ทั้งลอ เพื่อนและแพงต่างกำลังเผชิญกับชะตากรรม ลอถูกคมกระสุนของวีระอาการเป็นตายเท่ากัน ส่วนเพื่อนถูกแรมลักพาตัวไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ขณะที่แพงหัวแตกซ้ำที่เดิมและเกือบจะจมน้ำตาย เอาแต่นั่งร้องไห้ฟูมฟายที่ไม่สามารถจะช่วยพี่สาวตัวเองได้

ooooooo

ผู้ใหญ่ผาดกับก้อนพาลอมาที่วัดทุ่งบ้านสร้างเพื่อให้สมภารบุญช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ เพราะขืนพาไปหาหมอที่อำเภอเกรงจะไม่ถึง แม้ท่านจะผ่าเอากระสุนออกและทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว แต่ลอกลับดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ไม่ได้สติ ทุกคนพากันตกใจหน้าเสีย โดยเฉพาะก้อนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ข้า...ข้าไม่รู้ ข้าช่วยเอากระสุนออก ห้ามเลือดให้มันแล้ว แค่นี้ข้าก็จนปัญญาแล้วโว้ย ที่เหลือก็คงแล้วแต่บุญกรรมของมัน” สมภารบุญถอนใจหนักใจ ก้อนนึกถึงพระของลอขึ้นมาได้ รีบหยิบออกจากย่าม

“พระของพ่อเอ็งไงไอ้ลอ ข้าถอดเอามาจากคอเสือมิ่ง เอ็งสาบานกับพ่อเอ็งไว้ไม่ใช่หรือว่าจะเป็นคนดี ในเมื่อเอ็งทำดีแล้ว เอ็งก็จะมาตายแบบนี้ไม่ได้” ก้อนว่าแล้วช่วยกันกับผู้ใหญ่ผาดเอาพระคล้องคอให้ลอ น่าประหลาดใจมากที่อาการทุรนทุรายของเขาลดลงเหลือเพียงกระสับกระส่าย ทุกคนต่างเบาใจไปเปลาะหนึ่ง...

ฝ่ายพิศหายไปทั้งคืนเพื่อตามหาลูกสาวสุดที่รัก แต่ไม่พบ กลับถึงบ้านด้วยอาการเหนื่อยอ่อนแทบหมดแรง แพงจะช่วยพยุงขึ้นบ้าน เขาก็ปัดมือไม่ให้มายุ่ง พักหายเหนื่อยเมื่อไหร่เขาจะตามไปช่วยเพื่อนที่พระนคร ยังไม่ทันจะเดินขึ้นบ้าน โงนเงนไปมาในที่สุดก็ล้ม แพงโผคว้าร่างพ่อไว้ทัน

โชคดีที่แก้วแวะมาหาพอดี แพงจึงได้คนช่วยต้มยาหม้อให้ ระหว่างที่เธอคอยเอาผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวหน้าตาให้พ่อ ไม่นานนักยาก็ได้ที่ แก้วยกขึ้นมาให้พิศซึ่งยังนอนหมดสติ ระหว่างนั้นด้วงวิ่งหน้าตื่นเข้ามาแจ้งข่าวเสือมิ่งถูกวีระฆ่าตาย ส่วนมือสังหารกับพวกตอนนี้กลายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดี นอกจากลอจะพ้นมลทิน ยังจะได้คำสรรเสริญที่ช่วยจัดการกับพวกโจรได้ เล่าถึงตรงนี้สีหน้าด้วงสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“แต่ไอ้ลอมันกำลังเจ็บหนัก ไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อาการมันลูกผีลูกคน เจียนตายเข้าไปทุกที”

“ไม่จริง ไอ้ด้วงเอ็งโกหก...อีแก้ว ฝากพ่อข้าด้วย” พูดจบแพงวิ่งหน้าตั้งไปที่วัด เห็นลอนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์ เข้าไปลูบหน้าตาเนื้อตัวเรียกให้เขาได้สติ ก้อนกับผู้ใหญ่ผาดและสมภารบุญที่นั่งเฝ้าอาการของเขาอยู่ เห็นเธอแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ก้อนต้องเข้าไปดึงแพงออก เรียกไปก็ไม่มีประโยชน์ ตนลองหมดทุกทางแล้ว แพงหันไปขอร้องให้สมภารบุญช่วยพี่ลอด้วย ท่านเองก็หมดปัญญาไม่รู้จะช่วยอย่างไร

“แล้ว...แล้วเราะจะปล่อยให้พี่ลอนอนรอความตายอยู่แบบนี้หรือ”

“ไอ้ลอมันอยากจะกลับมาหานังเพื่อน ก่อนมันจะหมดสติไปมันก็เรียกหาแต่นังเพื่อนตลอด ถ้าเอ็งพานังเพื่อนมาอยู่กับมัน บางทีมันอาจจะรู้สึกตัวก็ได้”
แพงถึงกับปล่อยโฮ จะให้พาพี่เพื่อนมาได้อย่างไรในเมื่อถูกพี่แรมลักพาตัวไปแล้ว...

ลอยังคงนอนสลบไสลไม่ได้สติ เพ้อเรียกชื่อเพื่อนเป็นระยะๆ แพงชักสงสัย ลองเอามือแตะหน้าผากดูพบว่าตัวร้อนราวกับไฟ ก้อนที่นั่งเฝ้าอยู่ด้วยถึงกับหน้าเครียด หันไปสั่งด้วง

“เอ็งรีบไปเร่งพ่อข้าให้พาหมอจากอำเภอมาดูมันเร็ว”

ด้วงรีบไปทำตามคำสั่ง ส่วนแพงได้แต่กุมมือลอที่ยังเพ้อเรียกหาเพื่อนไว้ด้วยความเป็นห่วง

ooooooo

ณ บ้านของลั่นทมซึ่งเป็นซ่องชั้นดีมีระดับ ลูกค้าของที่นี่ล้วนเป็นเจ้าขุนมูลนายและเศรษฐีชั้นแนวหน้าของพระนคร เพื่อนยังนอนหมดสติอยู่บนเตียง แผลที่หัวได้รับการดูแลอย่างดีเช่นเดียวกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกเปลี่ยนให้ สักพักเธอค่อยๆรู้สึกตัว มองไปรอบๆ พบตัวเองอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตา แรมเดินยิ้มเข้ามาหา

“ไง ครั้งแรกที่ได้นอนเตียงนุ่มๆแบบนี้ สบายกว่านอนแผ่นกระดานไหมนังเพื่อน”

เพื่อนลุกพรวดจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ต้องชะงักเมื่อพบว่าข้อมือข้างหนึ่งของตัวเองถูกล่ามโซ่ไว้กับหัวเตียง ร้องเอะอะให้คนมาช่วย แรมเชิญเธอร้องตามสบาย ที่นี่ไม่มีใครช่วยเธอได้ เธอควรทำตัวให้น่ารักเข้าไว้ดีกว่าเผื่อคุณนายลั่นทมเอ็นดูขึ้นมา รับรองชีวิตที่บ้านหลังใหม่จะสุขสบายแน่ๆ เพื่อนไม่ต้องการบ้านใหม่ แล้วแหกปากร้อง ขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น แรมรำคาญเดินไปเปิดประตูให้เมี่ยงเข้ามา

“ไอ้เมี่ยงเป็นแมงดาคุมที่นี่ มันหูหนวกเป็นใบ้ เพราะฉะนั้นหน้าที่มันไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากคอยตบสั่งสอนเด็กใหม่ให้อยู่ในโอวาท” แรมพูดจบเดินออกไป เมี่ยงไม่พูดพล่าม เข้ามาชกท้องเพื่อนถึงกับจุกตัวงอ แต่เธอยังไม่หมดฤทธิ์กัดฟันร้องขอความช่วยเหลืออีกจึงถูกเขาอัดซ้ำอย่างไม่ปรานี...

ขณะที่เพื่อนถูกจับไปขายซ่องในพระนคร ลอเริ่มรู้สึกตัวค่อยๆลืมตาขึ้นมอง แพงที่คอยเช็ดตัวเพื่อให้ไข้ลด ดีใจมากจับมือเขามากุมไว้ บอกว่าอย่าเพิ่งลุก แผลถูกยิงยังไม่หายดี ผู้ใหญ่ผาดกำลังไปตามหมอจากอำเภอมาดูอาการให้ ลออยากเจอหญิงคนรักมาก ถามหาไม่หยุดปาก แพงได้แต่อึกอัก

“เอ่อ คือ...พี่เพื่อนอยู่บ้านจ้ะ เขามาเฝ้าพี่ลออยู่ทั้งวัน ฉันเพิ่งให้เขากลับไปพักเมื่อครู่นี้เอง”

“ข้า...ข้าอยากเจอแม่เพื่อน...ข้าจะไปหาแม่เพื่อน” ลอค่อยๆยันตัวลุกขึ้น แพงพยายามห้ามแต่เขาไม่ฟัง เดินโซซัดโซเซออกจากโบสถ์ จะไปหาเพื่อนให้ได้ เธอสงสารเขามากจำต้องบอกความจริงว่าพี่เพื่อนถูกพี่แรมลักพาตัวไป ลอถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น เธอรีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง

“แม่...แม่เพื่อน...ข้า...ข้าต้องไปช่วย...แม่เพื่อน” พูดได้แค่นั้นสติของลอก็ขาดแน่นิ่งไปในอ้อมแขนของแพงซึ่งตกใจมาก ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือลั่น ผู้ใหญ่ผาด สมภารบุญและก้อนพาหมอจากอำเภอเดินเข้ามาพอดี เธอจึงปล่อยให้ผู้ใหญ่ผาดกับก้อนพยุงลอกลับไปในโบสถ์เพื่อให้หมอตรวจอาการ

ooooooo

เมื่อเพื่อนเลิกพยศแล้ว แรมจึงกลับไปยังห้องที่กักขังเธออีกครั้ง แสร้งใจอ่อนจะพาเธอกลับทุ่งบ้านสร้าง แล้วไขกุญแจที่ล็อกข้อมือเธอไว้ แต่แทนที่จะทำตามที่พูด แรมกลับพาเพื่อนไปที่ห้องโถงของซ่องซึ่งเต็มไปด้วยลูกค้ากระเป๋าหนัก ต่างตะลึงในความสวยของเธอ เพื่อนใจคอไม่ดี ไหนแรมบอกว่าจะพาเธอไปจากที่นี่

“เอ็งมาจากบ้านนอกคอกนายังไม่รู้จักมารยาทในพระนคร จะมาจะไปก็ต้องไหว้เจ้าของบ้านเขาก่อนสิวะ นั่นคุณพี่ลั่นทมเจ้าของบ้าน” แรมชี้ไปยังหญิงวัยกลางคนแต่งหน้าจัดกำลังยืนคุยอยู่กับแขกของซ่อง เพื่อนไม่สนใจจะไหว้ใครทั้งนั้น แค่อยากไปให้พ้นจากที่นี่ แรมขู่ถ้าขืนยังดื้อจะเรียกเมี่ยงมากำราบ แล้วเดินเข้าไปไหว้ลั่นทมอย่างนอบน้อม พร้อมกับแจ้งว่าพาเด็กใหม่มาแนะนำให้เธอรู้จัก

“นี่น่ะเหรอดอกไม้งามจากบ้านนอกคอกนาที่หล่อนภูมิใจเสนอให้ฉัน” ลั่นทมมองเพื่อนอย่างพิจารณา...

อาการของลอหนักกว่าที่คิด หมอตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่าเขาเป็นไข้ป่า หากรู้แต่แรกยังพอให้ยาได้ทัน แต่มาเป็นตอนที่ร่างกายอ่อนแอ หมอกลัวเขาจะไม่รอด แพงใจเสีย พุ่งเข้าไปเขย่าแขนหมออ้อนวอนให้ช่วยรักษาเขาด้วย จะเสียเงินเสียทองเท่าไหร่ เธอจะหามาจ่ายให้ ขอแค่อย่าปล่อยให้พี่ลอตาย

“ยาราคาสูงหายาก มีแต่ในพระนครแบบนั้น หมอไม่มีหรอกแม่แพง อีกอย่างอาการนายลอก็หนักหนาสาหัสจริงๆ หมอเสียใจด้วย”

แพงไม่ยอมปล่อยแขนหมอบังคับให้ช่วยลอให้ได้ ผู้ใหญ่ผาดกับก้อนต้องช่วยกันดึงมือเธอออก ปลอบว่าหมอพยายามสุดความสามารถแล้ว เธอโผกอดลอไว้ร้องไห้โฮอย่างน่าเวทนา...

ลั่นทมถูกใจในความสวยของเพื่อนมาก ยิ่งได้เชยคางขึ้นมาดูใบหน้าใกล้ๆ ถึงกับชมแรมไม่หยุดปากว่าตาถึง เพื่อนไม่พอใจปัดมือลั่นทมออก สั่งให้เอามือโสโครกของเธอไปให้พ้นใบหน้าของตน แรมเตือนว่าอย่าหาเรื่องเจ็บตัวดีกว่า คุณพี่ลั่นทมรู้จักคนใหญ่คนโตมากมาย ชีวิตของเธอที่พระนครจะเป็นสวรรค์หรือนรกก็อยู่ที่

คุณพี่กำหนด เพื่อนประกาศลั่น ชีวิตของเธอย่อมต้องเป็น ตัวเธอเองที่กำหนด

“ถ้ากลับบ้านสร้างไม่ได้ ฉันก็จะขอตายซะดีกว่าโดนพวกโสโครกอย่างพวกแกมาย่ำยี”

“ต้องแบบนี้สิที่ฉันหามานาน ระหว่างนี้ฉันจะไม่ให้ใครแตะต้องเธอเด็ดขาด เพราะดอกไม้ดอกนี้จะไม่ได้มีแค่ไว้ประดับแจกันธรรมดา แต่มันจะมีค่าสำหรับคนที่พร้อมให้ราคาสูงสุด” ลั่นทมพยักหน้าให้เมี่ยงพาตัวเพื่อนออกไป เธอฮึดฮัดขัดขืนแต่สู้แรงเขาไม่ได้ แรมยิ้มชอบใจก่อนจะหันไปรับเงินปึกใหญ่จากลั่นทม

ooooooo

แม้หมอจากอำเภอจะถอดใจเนื่องจากไม่มียามารักษาอาการป่วยของลอ แต่แพงยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขอให้ด้วงช่วยกันกับตนเองพาลอกลับมาไว้ที่กระท่อมปลายนา ตั้งใจมั่นจะไม่ยอมให้พี่ลอตายเด็ดขาด

“ขนาดหมอจากอำเภอยังจนปัญญา แล้วเอ็งเนี่ยนะ” ด้วงทักท้วง

“ข้าไม่เสียเวลาคุยกับเอ็งแล้ว หมดธุระเอ็งแล้วก็กลับไปเถอะ ไปสิ” แพงดันหลังด้วงออกจากกระท่อม แล้วหันมองลอ “อยู่กับฉันนะพี่ลอ ห้ามทิ้งฉันไปเด็ดขาด”...

ทันทีที่รู้เรื่องอาการป่วยของลอจากแก้ว พิศรีบตรงไปที่กระท่อมปลายนา เห็นแพงเป่าฟืนในเตาต้มยาหม้ออย่างขะมักเขม้น ก็ต่อว่าว่าชักจะอวดเก่งมากไปแล้ว คิดจะลากลอให้มาตายคามือตัวเองแบบนี้หรือ แล้วพุ่งเข้าไปดูอาการลอที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ในกระท่อม พยายามจะเอาตัวเขากลับวัด แพงทั้งอ้อนวอนทั้งก้มกราบแทบเท้าพ่อให้โอกาสเธอได้ดูแลพี่ลอ อย่าพาเขาไปให้คนอื่นทอดทิ้งให้นอนรอความตาย

“ฉันจะยื้อชีวิตพี่ลอเอาไว้ให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตฉัน แล้วให้พี่ลอมีชีวิตอยู่เพื่อไปช่วยพี่เพื่อน ฉันก็ยอม...นะจ๊ะพ่อ ให้โอกาสฉันสักครั้งนะจ๊ะ ครั้งเดียวก็ได้” แพงก้มกราบแทบเท้าพ่ออีกครั้ง...

ในเวลาเดียวกัน โฉมฉายน้าแท้ๆของเพื่อนและแพงเดินทางมาทุ่งบ้านสร้างเพื่อมาซื้อที่นาจากชาวนาจนๆ คนหนึ่ง ด้วยความใจดีมีเมตตา เธออนุญาตให้ชาวนาคนนั้นทำมาหากินบนที่ดินที่ขายให้เธอต่อไปตามปกติ ส่วนผลผลิตที่ได้ให้เขาแบ่งไว้กินก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยส่งไปให้ตลาดของเธอที่พระนคร ชาวนาคุกเข่ายกมือไหว้ท่วมหัวซาบซึ้งในน้ำใจอันประเสริฐของเธอ โฉมฉายรีบบอกให้เขาลุกขึ้น

“ฉันเคยโตมากับท้องทุ่งท้องนา เข้าใจดีเวลาลำบากต้องกัดก้อนเกลือกินมันเป็นอย่างไร”

จำปูนเสมียนของโฉมฉายขอตัวพาชาวนาไปจัดการเรื่องสัญญาซื้อขายที่นายังสำนักงานที่ดิน โดยทิ้งจำปีและจำปาเมียกับลูกของตัวเองให้อยู่เป็นเพื่อนเจ้านาย...

นอกจากพิศจะไม่เอาลอกลับวัด ยังช่วยดูหม้อต้มยาระหว่างที่แพงเอายาหม้อไปป้อนให้ลอ แต่เขาอาการทรุดหนักไม่รู้สึกตัว ยาก็เลยไม่เข้าปากไหลเลอะเทอะ เธอถึงกับน้ำตาไหลพราก

“พี่ลอจ๋า พี่ลอชอบบ่นว่าฉันเจื้อยแจ้วร้องเพลงให้พี่รำคาญหูบ่อยๆ ร้องทีไรพี่ต้องลุกขึ้นมาไล่ตะเพิดให้ฉันหยุดร้อง ถ้าฉันร้องเพลงให้พี่รำคาญอีก พี่ก็จะลุกมาไล่ฉันอีกใช่ไหมจ๊ะพี่ลอ” แพงพูดจบร้องเพลงภาษาอังกฤษที่ไปหัดร้องมาจากร้านขายของเก่าในตัวอำเภอให้ลอฟังทั้งน้ำตา

จังหวะนั้นผู้ใหญ่ผาดกับก้อนเข้ามาถามหาลอจากพิศที่กำลังต้มยาอยู่หน้ากระท่อม พิศเกลี้ยกล่อมจนผู้ใหญ่ผาดยอมให้แพงหาทางรักษาลออย่างที่เธอตั้งใจ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขานอนรอความตายโดยที่ไม่ได้ทำอะไร...

ขณะสมภารบุญกำลังเล่นงานด้วงที่ช่วยแพงพาลอออกจากวัด โดยมีแก้วคอยช่วยแก้ต่างให้เขาเป็นระยะๆ โฉมฉายพร้อมด้วยจำปูน จำปีและจำปา นำข้าวของเข้ามาทำบุญและกราบสมภารบุญซึ่งมองทั้งสี่คนที่แต่งกายแปลกจากชาวบ้านทั่วไปด้วยความสงสัย ก่อนจะร้องถามว่ามาจากไหนกัน ได้ความว่ามาจากพระนคร โฉมฉายจะมาทำบุญถวายสังฆทานให้กับญาติของเธอซึ่งฝังอยู่ที่วัดแห่งนี้ สมภารบุญรู้สึกคุ้นหน้าเธอมากเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก โฉมฉายรีบแนะนำตัวเอง

“อิฉันโฉมฉาย น้องสาวของพี่สายเจ้าค่ะ”

สมภารบุญถึงบางอ้อทันที เป็นน้องเมียของพิศนั่นเอง ด้วงกับแก้วถึงกับหูผึ่ง โฉมฉายเล่าว่าครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ก็ตอนทำบุญร้อยวันให้พี่สาว เธอไปจากที่นี่ตั้งแต่เพิ่งจะแตกเนื้อสาว และไปได้งานทำที่พระนคร สุดท้ายก็ได้แต่งงานกับเถ้าแก่เจ้าของตลาดซึ่งตายไปเมื่อสองปีที่แล้ว โฉมฉายเสียดายที่ได้ดิบได้ดีช้าไป

ไม่อย่างนั้นคงจะช่วยพี่สายได้ สมภารบุญไม่อยากให้เธอฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องก็ผ่านมานานแล้ว

“เจ้าค่ะหลวงพ่อ ตอนนี้อิฉันสุขสบายแล้วก็อยากจะทำอย่างที่ตั้งใจ นอกจากมากราบศพพี่สายแล้วก็อยากจะขอทำบุญบูรณะวัดด้วยเจ้าค่ะ”

ท่านไม่ขัดข้อง ตามแต่เธอจะศรัทธา โฉมฉายขอถวายสังฆทานให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะส่งจำปูนไปเดินสำรวจรอบวัดจะได้ดูว่าต้องบูรณะอะไรที่นี่บ้าง

ooooooo

แก้วกับด้วงตื่นเต้นมากที่รู้ว่าแพงมีญาติร่ำรวย นี่ถ้าท่านรู้ถึงเรื่องเดือดร้อนของหลานๆ คงจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แก้วกลัวจะไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะดูท่าแล้วโฉมฉายจะไม่ค่อยอยากพูดถึงพิศสักเท่าใด นัก ระหว่างนั้นสมภารบุญเดินมาตามทางกับโฉมฉาย ด้วงกับแก้วรีบหลบมุมแอบฟัง

“ก่อนโยมจะกลับพระนครน่าจะแวะไปเยี่ยมไอ้พิศมันบ้างมันกับลูกกำลังลำบากต้องการความช่วยเหลือ”

“อิฉันต้องไปแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเรือเข้าอำเภอ ลานะเจ้าค่ะ”

แก้วกับด้วงรอจนโฉมฉายกับพวกลับสายตา เข้ามาต่อว่าหลวงพ่อทำไมถึงปล่อยให้น้าของแพงกลับไปเฉยๆแบบนั้น เธอเป็นถึงเศรษฐีพระนครที่สามารถช่วยเหลือหลานๆได้

“พวกเอ็งหยุดโวยวายใส่ข้าสักทีได้ไหม ข้าพยายามพูดไปแล้ว แต่เขาจะสนใจรึเปล่าข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องบาดหมางของไอ้พิศกับคุณนายเขา”

แก้วสงสัยพิศกับน้าของแพงเคยมีเรื่องอะไรกันหรือ สมภารบุญตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตอนนั้นแพงยังเป็นแค่ทารกนอนร้องไห้กระจองอแง พิศนั่งดื่มเหล้าเมามายดับความเสียใจที่เมียตาย โวยวายด่าลูก

“อีแพง จะร้องหาวิมานอะไร มึงไม่มีแม่ให้นมมึงหรอกเพราะมึงฆ่าแม่มึงตายไปแล้ว อีลูกเวร”

โฉมฉายทนไม่ไหว เข้ามาต่อว่า “ตั้งแต่พี่สายตายไป พี่เอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน เอาแต่โทษอีแพงทั้งๆที่มันไม่รู้เรื่องอะไร ฉันเหลืออดกับพี่แล้ว ขืนทิ้งหลานๆฉันไว้ พวกมันต้องอดตายแน่” เธอพูดจบเข้าไปอุ้มแพงจะพาไปตายเอาดาบหน้า พิศไม่ยอมให้เธอเอาเด็กน้อยไป เธอเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วจะเอาลูกของตนไปลำบากด้วยทำไม แล้วคว้าอีโต้ที่เหน็บข้างฝาเข้ามาขวาง ไล่ตะเพิดเธอไปให้พ้นหน้า อย่ากลับมาเหยียบที่ทุ่งบ้านสร้างอีก โฉมฉายจำต้องถอย

“จำไว้นะพี่พิศ พี่ไล่ฉันอย่างกับหมูกับหมา เพราะพี่เกลียดขี้หน้าฉันที่เตือนพี่สายไม่ให้มาอยู่กินกับพี่ ถ้าวันหนึ่งฉันได้ดีแล้วพี่ลำบาก พี่อย่ามาว่าฉันใจดำก็แล้วกัน” ว่าแล้วโฉมฉายวิ่งออกไปทั้งน้ำตา เจอสมภารบุญซึ่งยืนอยู่หน้าบ้าน ได้ยินทุกคำพูดของทั้งคู่ เธอหยุดมองท่านอึดใจ ก่อนจะวิ่งจากไป...

แก้วร้อนใจมากนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แพงซึ่งเฝ้าลออยู่ที่กระท่อมปลายนาฟัง เธอหันไปถามพ่อว่าที่แก้วเล่ามาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า พิศยอมรับว่าจริง ตนกับน้าของเธอไม่ถูกกัน เพราะนังนั่นชอบดูถูกและคอยกีดกันตนไม่ให้พาสายมาอยู่กินด้วย แพงขอร้องให้พ่อลืมเรื่องในอดีต ตอนนี้น้าโฉมฉายมีปัญญาพอจะช่วยพี่ลอกับพี่เพื่อนได้ ถ้าเธอไปขอร้องให้ช่วย ท่านคงต้องเห็นแก่แม่สายยอมช่วยเหลือแน่นอน

“ต่อให้ข้าต้องอับจนแค่ไหน พิกลพิการจนเดินไม่ได้ ข้าก็จะไม่ไปขอความช่วยเหลือจากมัน”

ทั้งแพง ก้อนและผู้ใหญ่ผาดช่วยกันกล่อมพิศอยู่พักใหญ่ กว่าเขาจะมีทีท่าอ่อนลง ก้อนเร่งแพงอย่ามัวเสียเวลา จะทำอะไรก็รีบทำ ยิ่งชักช้าชีวิตของลอก็ยิ่งเสี่ยง หญิงสาวพยักหน้ารับคำ ก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกไป

นับว่าเป็นโชคดีของแพงที่โฉมฉายรีๆรอๆอยู่ที่ท่าน้ำทุ่งบ้านสร้าง ทั้งที่จำปูนขนสัมภาระลงเรือเตรียมจะกลับพระนคร ทำให้แพงตามมาทัน น้าหลานได้พบกันในที่สุด โฉมฉายดีใจมากดึงแพงมากอดไว้แน่น

ooooooo

ทันทีที่แพงพาโฉมฉายมาที่บ้าน พิศต่อว่าเธอต่างๆนานา แล้วสั่งให้แพงพาเธอกลับไป โฉมฉายเข้าไปเผชิญหน้ากับพี่เขย ยืนกรานจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ครั้งที่แล้วเธอขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขาทั้งๆที่หลานๆของเธอกำลังลำบาก คราวนี้เธอจะไม่เดินหนีอีกแล้ว แพงมองลุ้นกลัวจะมีเรื่องกัน

แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อโฉมฉายก้มกราบที่อกพิศอย่างอ่อนน้อม “ฉันอยากขอขมาเพราะว่าฉันเป็นผู้น้อยที่ฉันเคยว่าพี่ เคยขวางไม่ให้พาพี่สายมาอยู่กินกับพี่ ข้อนี้ฉันยอมรับผิดว่าเป็นเพราะฉันยังเด็กและเบาปัญญา ห่วงแต่พี่สาวฉันจะลำบาก ทั้งๆที่ไม่มีผู้ชายคนไหนรักพี่สาวฉันได้อย่างพี่พิศอีกแล้ว กว่าฉันจะได้รู้ว่าความรักต่างหากที่เป็นความสุขของพี่สายก็วันที่ฉันต้องเสียเถ้าแก่ไป ยกโทษให้ฉันเถอะนะพี่พิศ”

พิศผละจากโฉมฉายเดินไปที่โกศใส่อัฐิของเมียรักน้ำตาคลอเบ้า “ที่ข้าโกรธเอ็งมาตลอดเพราะข้าเกลียดที่เอ็งหยามความรักของข้าข้าอาจจะเป็นพี่เขยที่ไม่เอาไหนในสายตาเอ็ง แต่ข้าก็รักพี่สาวเอ็งยิ่งกว่าชีวิตข้าเอง”

“พี่ยกโทษให้ฉัน แล้วกับอีแพงล่ะ พี่ก็รู้ว่าที่พี่สายตายไม่ใช่ความผิดของอีแพง”

เขาเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้ หันไปสั่งให้แพงรีบพาโฉมฉายไปดูลอ ไม่นานนักสองน้าหลานมาถึงกระท่อมปลายนาโดยมีจำปูนตามมาด้วย โฉมฉายสั่งให้เขาช่วยดูอาการลอให้ที จำปูนมองปราดเดียวก็รู้ว่าลอเป็นไข้มาลาเรียเพราะอาการเหมือนญาติคนหนึ่งของเขาไม่มีผิดเพี้ยน แต่เท่าที่ดู ลออาการหนักมาก เชื้ออาจจะขึ้นสมองแล้วก็ได้ โฉมฉายไม่รอช้าสั่งการให้พาเขาเข้าพระนครทันที...

แพงกลับไปรายงานพ่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจว่าน้าโฉมฉายกำลังจะพาพี่ลอไปรักษาตัวที่พระนคร พิศเอาห่อผ้าที่ใส่ข้าวของจำเป็นของลูกยัดใส่มือ แล้วสั่งให้เธอไปกับลอ โฉมฉายเห็นพิศอยู่คนเดียวจะไม่มีใครดูแล จึงชวนให้ไปพระนครด้วยกัน เขาไม่อยากเป็นภาระของใคร ขออยู่ที่ทุ่งบ้านสร้างกับเมียรักของตัวเอง แล้วหันไปขอให้แพงยกโทษให้ เขาผิดเองที่โยนบาปให้ลูกทั้งๆที่ควรจะโทษตัวเองที่ดูแลสายไม่ดีพอ

ทำให้เธอต้องตาย แพงสวมกอดพ่อน้ำตาไหลพราก ไม่เคยถือโทษโกรธท่านแม้แต่น้อย

“ถ้าพ่อไม่เลี้ยงดูฉัน ไม่อบรมสั่งสอน ฉันก็คงไม่เป็นอีแพงอย่างทุกวันนี้”

จากนั้น พิศ แก้วและด้วงตามมาส่งแพงที่ท่าน้ำ แก้วเข้ามากระซิบกระซาบกับสหายรัก

“อย่าลืมที่ข้าเตือนเอ็งไว้นะอีแพง ความรักของเอ็งกับพี่ลอมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าขืนยังดันทุรังไม่ตัดพี่ลอ ออกจากชีวิต จะไม่มีใครให้อภัยเอ็ง เข้าใจไหมอีแพง”

ขณะที่ลอกับแพงมุ่งหน้าสู่พระนคร เพื่อนไม่ยอมแตะต้องอาหาร ลั่นทมจึงต้องเข้ามาจัดการด้วยตัวเอง เพื่อนสบช่องที่ได้อยู่ลำพังกับเธอ แอบหยิบส้อมในจานอาหารจะเล่นงาน แต่ลั่นทมรู้ทัน คว้าข้อมือเธอบิดส้อมในมือหล่นพื้น แล้วเตือนให้ทำตัวดีๆกับตนไว้ เพราะถ้าทำให้ตนโกรธ จะส่งเธอไปให้เมี่ยงข่มขืน

ลั่นทมเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเพื่อนแล้วยิ้มพอใจ “ก็อย่างที่ฉันบอก ฉันจะไม่ใช้งานหล่อนอย่างผู้หญิงราคาถูกทั่วไปที่เห็นอยู่ในบ้านฉัน แต่ฉันจะหาผัวที่มีทั้งยศและอำนาจให้หล่อน” ลั่นทมว่าแล้วตบมือเป็นสัญญาณให้สาวใช้เข้ามาพร้อมชุดสวยในมือ “แต่งหน้าแต่งตัวซะ ฉันจะพาหล่อนออกไปดูให้เห็นกับตาว่าที่พระนครมันเหมาะกับหล่อนมากกว่าต้องทนมีผัวจนๆอยู่บ้านนอกคอกนาอย่างไร”...

ณ สนามเทนนิสของสมาคมที่เหล่านักเรียนนอกหนุ่มๆชอบมาจับกลุ่มสังสรรค์ แรมแต่งตัวมาอวดโฉมยั่วน้ำลายพวกนั้นจนมองกันเหลียวหลัง ไม่เว้นแม้แต่วิชิตซึ่งกำลังเล่นเทนนิสอยู่กับมานพสหายสนิท ทำให้เขาเสียสมาธิตีลูกพลาด มานพโวยวายใส่เป็นอะไรไป ทำไมไม่มองลูกเทนนิสมัวแต่มองอะไรอยู่

“แกต้องเห็นกับตาตัวเองว่ะมานพ บางทีไอ้ความเรื่องมากไม่เลือกใครเลยของแกอาจจะถึงเวลาต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่” วิชิตดึงมานพให้มองไปยังแรมที่กำลังอยู่กลางวงล้อมของหนุ่มๆ

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ดั่งสวรรค์สาป ตอนที่ 7


ครองขวัญควงกานต์เข้าไปในห้องนั่งเล่น ป้อนขนมให้อย่างไม่เกรงใจสายตาของดาหวันที่นั่งอยู่ด้วย นทีเองก็มองน้องสาวยิ้มๆ สบายๆ

กานต์พยายามบ่ายเบี่ยงบอกว่าตนกินเองได้

มือตนยังใช้ได้อยู่ ครองขวัญทำเป็นถามว่าทำไมหรือ ปกติตนก็ป้อนเขาอย่างนี้มาตลอด วันคริสต์มาสเพื่อนๆ ยังแกล้งให้เราใช้ปากส่งขนมกัน แล้วทำเป็นถามดาหวันว่าเธอคงไม่ถือนะ ดาหวันได้แต่ยิ้มรับอย่างเสียไม่ได้

“แต่ผมถือนะ ผมเป็นคนแต่งงานแล้วนะขวัญ ให้ภรรยาผมป้อนดีกว่ามั้ง”

“มือฉันเปื้อนค่ะ ไม่สะดวก” ดาหวันปฏิเสธหน้าตึง บรรยากาศเริ่มเครียด นทีเลยแทรกขึ้นว่า

“ยายขวัญก็ชอบล้อเล่นอยู่เรื่อย ขอโทษแทนน้องด้วย คือเราสองคนตั้งใจว่าจะแวะมาเยี่ยมคุณกานต์กับคุณดา ยายขวัญเขาตั้งใจมาแสดงความยินดีย้อนหลังกับทั้งสองคน”

“ใช่ค่ะ ขวัญเสียใจมากที่ไม่ได้ไปงานวันนั้น...” พูดแล้วมองหน้ากานต์อย่างมีความหมาย ดาหวันเองก็จับสังเกตอยู่เห็นกานต์ยิ้มเรียบๆ “แต่...แค่นั้นขวัญก็พอใจแล้วล่ะค่ะ กับสิ่งที่กานต์ให้...ขวัญมา”

“เราเพื่อนกัน ผมกับดาไม่ซีเรียสหรอกนะดาร์ลิ่ง” กานต์รีบแทรกจับมือปะเหลาะเกรงดาหวันจะเข้าใจผิด เธอฉีกยิ้มให้ ดึงมือออกแต่กานต์ไม่ยอมปล่อย ครองขวัญกับนทีมองอยู่ต่างยิ้มในทีกับบรรยากาศที่ปั่นได้สำเร็จ

นทีรับแผนต่อ บอกดาหวันว่าตนมีหนังสือมาฝาก ดาหวันรับไปเปิดดูเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำธุรกิจ เธอทำเป็นตื่นเต้นดีใจ แต่ในถุงยังมีซีดีเพลงบรรเลงเสียงน้ำไหล นกร้อง ดาหวันมองนทีเชิงถาม เขาชี้แจงว่า

“คือผมคิดว่า เราทำธุรกิจ บางทีทำงานเยอะก็เครียดเหมือนกัน ผมคลายเครียดด้วยการฟังพวกนี้มันก็ได้ผลดีทีเดียว ผมก็เลยเอามาฝากคุณดาอีกอย่าง”

ดาหวันแสดงความตื่นเต้นอยากฟัง หันไปทำเสียงหวานแต่ตาขวางบอกกานต์ให้เทคแคร์ครองขวัญไปก่อนท่าทางเพื่อนสองคนคงมีเรื่องคุยกันเยอะ เดี๋ยวตนมา แล้วหันชวนนทีไปฟังเพลงกัน นทีลุกทันที กานต์ไม่ไว้ใจเลยชวนครองขวัญไปฟังด้วยกัน

ครองขวัญแกล้งเทน้ำส้มที่กำลังกินใส่ตัว เรียกกานต์ให้ช่วย กานต์เลยต้องหันกลับมาเอาทิชชูช่วยซับให้

ooooooo

นทีฉวยโอกาสที่อยู่กับดาหวันตามลำพัง ทำเป็นเกรงใจถามว่าครองขวัญคงไม่ทำให้เธออึดอัด ดาหวันบอกว่าเข้าใจเพราะครองขวัญสนิทกับกานต์มาก่อน

“ครับ...ผมก็เตือนน้องเสมอว่าตอนนี้คุณกานต์สถานะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว จริงๆขวัญก็กำลังทำใจอยู่นะครับ แต่อย่างว่า คุณกานต์ดีกับยายขวัญขนาดนี้ วันแต่งงานตัวเองแท้ๆ ยังอุตส่าห์ไปดูแลขวัญแทนผม จนเกือบมางานไม่ทัน นี่คุณกานต์คงเล่าเรื่องนี้ให้คุณดาฟังแล้วใช่ไหมครับ”

ดาหวันฝืนยิ้มบอกว่าก็พอทราบบ้าง นทีเขย่าซ้ำว่าตนไม่อยากให้เธอคิดมากเพราะเขาสองคนผ่านทุกข์สุขมาด้วยกันเยอะ เลยดูสนิทกว่าเพื่อนธรรมดาไปหน่อย

“มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน...ใช่ไหมคะ” ดาหวัน ถามเหน็บ

นทียังทำเป็นปรึกษาเรื่องโปรเจกต์ ยอดาหวันว่าเธอทั้งสวยทั้งเก่งโอกาสหน้าจะเอารายละเอียดมาเสนอ

กานต์ละล้าละลังกังวลเรื่องดาหวันแต่ก็ถูกครองขวัญอ้อนให้ช่วย เขาจึงเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาเธอไปห้องน้ำพูดตัดบทว่า “คุณจัดการเองได้นะ” ครองขวัญหันมาประชิดทั้งอ้อนและยั่วยวนว่าตนอยากให้เขาช่วยมากกว่า แต่ถูกกานต์ดันเธอเข้าห้องน้ำแล้วผละไปเลย

ครองขวัญไม่ยอมแพ้ โยนผ้าขนหนูทิ้ง ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนโชว์เนินอก แล้วร้องเรียกกานต์ขอผ้าขนหนูอีกผืน ครู่เดียวก็มีเสียงเคาะประตู เธอดึงคอเสื้อต่ำลงเปิดประตูพร้อมกับดึงมือที่ยื่นผ้าขนหนูเข้าไปจนเกือบกอดกัน แต่กลายเป็นสม! ทั้งสองต่างร้องตกใจ สมรีบขอโทษบอกว่ากานต์ให้ตนเอาผ้าขนหนูมาให้

“ไม่ต้องพูดแล้ว ออกไป!” ครองขวัญไล่อย่างหัวเสีย

ooooooo

ฝ่ายนทีก็ยังเป่าหูดาหวันตลอดเวลา ทำเป็นปรารถนาดีว่าตนจะไม่ให้น้องสาวทำลายความสัมพันธ์ของเธอกับกานต์เด็ดขาด ดาหวันเองก็ทำทีสนใจเพลงชมว่าสบายใจดีจัง ตนไม่เคยฟังพวกเสียงธรรมชาติแบบนี้มาก่อนเลย

“ใช่ครับ สบายๆ แต่ถ้าจะให้ดีนะครับ เอ่อ...ขอโทษนะครับ” นทีจับมือดาหวันอย่างสุภาพประคองไปนั่งพิงเก้าอี้สบายๆ แล้วตัวเองก็นั่งฝั่งตรงข้าม ทำทีแนะนำวิธีฟังเพลงโน้มตัวเข้าไปจัดท่าให้ บอกให้หลับตาและปล่อยใจไปกับมัน

กานต์มาเห็นพอดี ถามประชดเสียงดัง “ดูท่าทางเพลงจะเพราะมากเลยนะ ดาร์ลิ่ง” นทีจึงค่อยๆดึงตัวออกมา กานต์เข้าไปส่งมือให้ดาหวันช่วยดึงตัวเธอขึ้นมา เธอตอบคำประชดของเขาว่า “ก็เสียงธรรมชาติ...ฟังเพลินดี”

ครองขวัญเดินอ้าวเข้ามาพลางติดกระดุมเสื้อเม็ดบนที่ถอดอ่อยกานต์เมื่อครู่นี้ ทักว่ามาอยู่กันที่นี่เอง นทีเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ดีจึงชวนครองขวัญกลับ เธออิดออดว่ายังคุยกับกานต์ไม่จุใจเลย

“ไม่เอาน่า ไหนสัญญากับพี่ก่อนมาว่าจะไม่งอแงไง ไว้วันหลังค่อยแวะมาใหม่ก็ได้ เพราะพี่ก็คุยค้างเรื่องโปรเจกต์กับคุณดาอยู่เหมือนกัน” แล้วหันไปทางดาหวัน “นะครับคุณดา เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะลงรายละเอียดให้มากกว่านี้” นทียังอ่อยว่าซีดีแบบนี้ที่บ้านยังมีเยอะ ถ้าเธอสนใจเดี๋ยวจะเอามาให้อีก

พอสองพี่น้องออกไป บรรยากาศในห้องก็คุกรุ่นทันที ดาหวันเดินหนีออกไปร้องเรียกสม เจอสมยังยืนเคลิ้ม อยู่ ถามว่าเป็นอะไร สมบอกว่าเจ้านายให้เอาผ้าขนหนูไปให้ครองขวัญในห้องน้ำ ดาหวันถามว่าแล้วทำไม ครองขวัญถึงไปอยู่ในห้องน้ำ

“อันนี้ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอยื่นเอาไปให้ คุณขวัญก็...อึ๋ย...มันขาวมาก...”

ดาหวันเริ่มระแวงกานต์ ยิ่งคิดถึงเมื่อครู่ที่ครองขวัญเดินติดกระดุมเสื้อเข้าไปก็ยิ่งมั่นใจ พอดีกานต์เดินมาปรามสมว่าพูดมาก ไล่ให้ไปได้แล้ว

“ถ้าไม่อยากให้ลูกน้องเอามาพูด ก็อย่าทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อนักสิ” พูดใส่หน้าแล้วเดินออกไปเลย กานต์มองตามงงๆ ว่าเธอหมายความว่าอะไร?

ครั้นตามไปเซ้าซี้ถามว่าเธอหึงตนหรือ ชี้แจงว่าตนกับครองขวัญไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ดาหวันบอกว่านั่นมันเรื่องของเขา กานต์เลยโมเมจะทำหน้าที่สามีให้สมบูรณ์ ดาหวัดปัดป้องพัลวัน ขณะกำลังนัวเนียกันนั่นเอง ประจวบก็เข้ามาเรียกกานต์แล้วต้องชะงัก ดาหวันฉวยโอกาสนั้นเตะเข้าหว่างขากานต์แล้วขอตัวออกไป กานต์บ่นพ่อว่า “เข้ามาทำไมตอนนี้...”

“จะไปรู้เหรอวะ นี่มันห้องนั่งเล่นนะโว้ย เจ้ากานต์เอ๋ย...ทำไมมันรุนแรงกันนักนะ”

ooooooo

เมื่อนทีกับครองขวัญออกไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหาร สองพี่น้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน ครองขวัญมุ่งมั่นที่จะเอากานต์คืนมาให้ได้ นทีเสนอว่าเราร่วมมือกันอย่างนี้ถูกต้องแล้ว คิดว่าเธอคงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกรุจิกา ปรารภว่า

“รุมีแต่ชื่อเสียงนิดหน่อยในวงสังคมเท่านั้น ซึ่งก็มาจากครอบครัวดาหวันทั้งนั้น พูดง่ายๆ คบกับรุไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย พี่มองไม่เห็นเลยว่ารุจะสามารถสนับสนุนเราได้ทั้งทางสังคมแล้วก็ธุรกิจ แต่สำหรับดาหวัน...” นทีส่ายหน้าให้กับตัวเอง บ่น “นี่พี่มองข้ามดาหวันไปได้ยังไง ผู้หญิงที่สวยแล้วก็มีเงินทุนให้เราพร้อมขนาดนี้” นทียิ้มอย่างหมายมาด

ขณะที่ดาหวันกับกานต์กำลังจะเข้านอนโดยมีหมอนและหมอนข้างกั้นกลางตามสัญญา มือถือของทั้งสองก็มีสัญญาณไลน์เข้า ต่างลุกไปหยิบ แต่หยิบสลับกัน เครื่องของกานต์ได้รับข้อความจากครองขวัญว่า “ฝันดีนะคะกานต์” ส่วนเครื่องของดาหวันได้รับข้อความจากนทีว่า “คงได้ฟังเพลงกันอีกนะครับ”

เลยมีประเด็นให้เหน็บแนมกัน กานต์บ่นว่า “ส่งมาถามเมียชาวบ้านแบบนี้มีมารยาทกันหน่อยไหม”

“มารยาทเรื่องอะไร แค่ทักทายธรรมดา แล้วคุณล่ะ มีภรรยาแล้วแต่สาวส่งข้อความกู๊ดไนท์มันต่างกันตรงไหน”

กานต์ฉวยโอกาสนี้ถามว่ายอมรับแล้วใช่ไหมว่าเป็นภรรยาตน ดาหวันสวนทันควันว่าแค่ตามกฎหมาย กานต์โมเมจะทำหน้าที่สามีให้สมบูรณ์แบบ ดาหวันขู่ว่า

ที่โดนมาเมื่อกี๊นี้ยังไม่เข็ดหรือ กานต์รีบยกมือกุมเป้าอย่างหวาดเสียว ลองเรียก “ดาร์ลิ่ง...” พอดาหวันบอกว่าหลับแล้วก็ถอดใจเสียงอ่อยว่า... “โอเค...หลับแล้ว งั้นก็...ฝันถึงผมบ้างนะ”

ooooooo

รุ่งขึ้น กานต์บอกว่าจะไปส่งเธอก่อนค่อยไปประชุม ดาหวันบอกว่าตนไปเองได้เกรงเดี๋ยวเขาจะสาย พอดีโทรศัพท์ดาหวันมีไลน์เข้า เธอหยิบดูแล้วหย่อนใส่กระเป๋า กานต์ที่เหล่ๆมองอยู่ ถามว่าไม่ดูก่อนหรือ เธอปดว่าเจนจิราโทร.มา

กานต์ให้สมไปส่งดาหวันแล้วตัวเองก็ขับรถออกไป แต่พอสมเอารถมาดาหวันก็รีบขึ้นรถขับออกไปเลย

พอกานต์ไปถึงห้องทำงานดูเอกสารเตรียมประชุม เพียงนภาก็โทร.เข้ามาฟ้องว่าตนนัดพบกับอติเทพแต่เขาผิดนัดคงไปหาดาหวันแน่ๆเลย กานต์ติงว่าเธอเข้าใจผิดมากกว่าเพราะว่าดาหวันไปทำงานแล้ว

“ไม่...ไม่ผิด เทพแอบกลับไปคบกับยายดาอีก เขายังไม่ยอมแพ้หรอกนะไม่งั้นในงานแต่งงานเขาจะกล้าเข้าไปเหรอ ถึงคุณจะแต่งงานกับยายดาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าสองคนจะกลับไปคบกันไม่ได้นี่”

“นภา...ผมต้องเข้าประชุมแล้ว ขอโทษจริงๆ” กานต์ตัดบทแล้วตัดสายเลย

ครู่ใหญ่สมก็โทร.มาบอกว่าดาหวันขับรถไปเองแล้ว กานต์บอกว่าไม่เป็นไรเธอคงอยากขับรถไปเองและป่านนี้คงถึงออฟฟิศเรียบร้อยแล้ว แต่พอวางสายจากสม กานต์ก็ฉุกคิดถึงเมื่อเช้าที่โทรศัพท์ดาหวันมีไลน์เข้าแต่เธอไม่เปิดอ่าน ดูมีพิรุธ

กานต์จึงกดโทรศัพท์เข้าแอพ find friend แล้วพิมพ์ชื่อดาหวัน หน้าจอขึ้นแผนที่แสดงจุดที่ดาหวันอยู่ทันที

ที่แท้เป็นไลน์จากอติเทพ ไลน์มาว่า “ผมอยากคุยกับคุณนะดา” ต่อด้วยอีกข้อความว่า “ถ้าคุณไม่มา ผมจะเข้าไปคุยกับกานต์เอง!”

ดาหวันไปถึงสวนสาธารณะแล้วไลน์ถามว่า เขาอยู่ไหน อติเทพตอบอยู่ติดหลังเธอว่า “ผมอยู่นี่” ดาหวันหันขวับพอเห็นสภาพเขาก็ตกใจถามว่าทำไมเป็นแบบนี้ เพราะอติเทพอยู่ในสภาพเสื้อผ้ายับยู่ยี่ หน้าตาทรุดโทรมหนวดเคราคล้ายไม่ได้โกน อติเทพมองซ้ายมองขวาแล้วลากดาหวันหลบไปคุยอีกมุมหนึ่ง

ooooooo

อติเทพปั้นน้ำเป็นตัวบอกดาหวันว่าตนถูกกานต์ส่งคนมาติดตามคุกคาม ดาหวันไม่เชื่อยืนยันว่ากานต์ไม่ใช่คนแบบนั้น อติเทพติงว่าเธอจำอดีตไม่ได้และเพิ่งรู้จักเขาแค่สองสามเดือน เธอจำไม่ได้หรือว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนขนาดไหน

แล้วอติเทพก็รำพึงรำพันอย่างน่าเห็นใจว่า กานต์เป็นเจ้าของบริษัทมีทั้งคนมีทั้งเงินเรื่องแค่นี้มันไม่ได้ยากอะไรเลย ดาหวันย้อนถามว่าแล้วเขามาบอกตนทำไม

“ผมแค่อยากให้คุณรู้จักสามีคุณอีกมุมหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายมันก็แล้วแต่คุณ แต่ในส่วนของผม ถึงเขาส่งคนมาขู่ผมไม่ให้เจอคุณอีก แต่มันกลับยิ่งทำให้ผมคิดถึงคุณ เขาห้ามผมไม่ได้หรอก” พูดแล้วเห็นดาหวันสับสน อติเทพอ้อน “ผมรอคุณเสมอนะ รอวันที่เราจะกลับมารักกันอีก” แล้วประคองมือดาหวันขึ้นจูบอย่างหลงใหล

“นี่มันเมียฉัน นายไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องเมียฉันแม้แต่ปลายเล็บ” กานต์ตวาด อติเทพท้าให้ต่อยตนเลย ถึงเขาจะห้ามจะส่งคนมาขู่ ตนก็ไม่กลัวอีกแล้ว “ฉันเนี่ยนะ ส่งคนไปขู่นาย อย่ามามั่ว ฉันจะบอกให้นะ ถ้าฉันเห็นนายเข้าใกล้เมียฉันอีกนายเสร็จฉันแน่ แล้วถ้าฉันทนไม่ไหวจริงๆ ฉันจะแจ้งตำรวจลากคอนายเข้าคุก”

ท่าทีดุดันของกานต์ทำให้อติเทพฉวยโอกาสมองหน้าดาหวันยืนยันคำพูดของตนที่ว่ากานต์เป็นคนเลือดร้อน และยังพูดยั่วกานต์ว่า ถึงอย่างไรตนก็จะรักดาหวันต่อไป เพราะความสัมพันธ์ของเรามันสวยงามกว่าที่เขาคิด

“ถุย! แล้วนภาล่ะ แกเอานภาไปไว้ไหน” กานต์ตั้งท่าจะต่อย ดาหวันตวาดให้หยุด กานต์เลยยกมือค้าง พูดอย่างผิดหวังในตัวเธอว่า “สองครั้งแล้วนะที่คุณห้ามผมแตะต้องมัน คุณออกรับแทนมัน มันทำอะไรกับคุณ คุณคงลืมไปหมดแล้วสิ ลืมแล้วหรือว่าผมต่างหากที่แต่งงานกับคุณแล้วก็เป็นสามีคุณ ไม่ใช่มัน!”

ดาหวันฟังแล้วสับสนหันมองอติเทพเขายิ้มให้กำลังใจ ทำให้ดาหวันยิ่งกลัว กลัวว่าอติเทพจะพูดเรื่องที่เขาบอกว่าเธอได้เสียกับเขาแล้ว ทำให้ยิ่งสับสนและเกลียดสิ่งที่ตัวเองทำในอดีต พูดอย่างหวาดหวั่นว่า

ตนไม่รู้...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้ววิ่งหนีไป กานต์วิ่งตามไป ในขณะที่อติเทพยิ้มสะใจ ตะโกนไล่หลังไปว่า

“บอกเขาไปสิดา บอกไปว่าเราเป็นอะไรกันฮ่ะๆๆ”

ooooooo

ดาหวันหนีกลับบ้านวิ่งเข้าห้องนอนจะปิดประตูแต่กานต์ตามมาทันถามว่าเธอจะหนีไปไหน ดาหวันต่อว่าที่เขาแอบอ่านไลน์ของตน เตือนให้เคารพสิทธิส่วนตัวกันหน่อยถ้ายังจะอยู่ด้วยกัน

กานต์เปิดฉากปะทะโต้ว่าสิทธิส่วนตัวของเธอมันหมดไปตั้งแต่เธอโกหกตนเพื่อไปหาแฟนเก่าแล้ว ถามว่ามันมีดีอะไรถึงได้อยากกลับไปหานัก ดาหวันอ้างว่าอติเทพรักตนก่อนแต่เพียงชั่วข้ามคืนตนก็จำเขาไม่ได้และที่เราต้องมาแต่งงานกัน มันไม่ยุติธรรมสำหรับอติเทพเช่นกัน

กานต์ถามอย่างรับไม่ได้ว่าเธอคิดจะกลับไปดีกับเขาทั้งที่มีตนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีอยู่ใช่ไหม? ดาหวันอ้างว่าเราแต่งงานกันแค่ในนามตามเงื่อนไขเท่านั้น เราแค่ทำตามหน้าที่ที่เราต้องทำก็พอแล้ว จะสนใจทำไมว่าตนจะคบกับใคร

“ผู้หญิงหลอกลวง!” กานต์ด่า เขาถูกดาหวันตบจนหน้าหันแต่ก็หยุดเขาไม่ได้ “คุณไม่ได้เปลี่ยนเลย คุณยังเป็นดาหวันคนเดิม ไม่มีอะไรที่ควรเชื่อใจแม้แต่นิดเดียว” ดาหวันถามว่าแล้วเขาล่ะวันแต่งงานเขาหายไปไหน กานต์บอกว่าตนบอกแล้ว “ค่ะ แต่คุณบอก

ไม่หมด เพื่อนที่คุณไปเฝ้าคือคุณขวัญใช่ไหม คุณเกือบทำงานแต่งงานล่มเพราะคุณเลือกไปดูแลแฟนเก่าคุณ นี่คือความจริงใจ ความน่าเชื่อใจของคุณใช่ไหม”

ทั้งคู่ต่างรื้อฟื้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการแต่งงานมาจับผิดกัน จนดาหวันท้าให้หย่า บอกว่าตนให้เพื่อนถามทนายแล้ว พ่อบอกให้ตนแต่งงานกับเขาตนถึงจะมีสิทธิได้สมบัติของพ่อ แต่พ่อไม่ได้บอกว่าแต่งแล้วหย่าไม่ได้ และเวลานี้ ตนก็แค่รอวันเปิดพินัยกรรมถ้าทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลง กานต์พยายามสงบสติอารมณ์ครู่ใหญ่จึงบอกเธอว่า

“อยากหย่าเมื่อไหร่คุณก็บอกแล้วกัน ผมพร้อมเสมอ”

“ขอบคุณ” ดาหวันใจหาย แต่ต้องเชิดหน้าตอบไปอย่างนั้นเพราะตนเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาเอง

ทั้งดาหวันและกานต์ต่างนิ่งงันกันไปเหมือนรอดูท่าทีของอีกฝ่าย แล้วกานต์ก็ตัดสินใจเดินออกไป ทันทีที่ประตูปิด ดาหวันก็หมดมาดนางพญาทรุดนั่งน้ำตาไหล ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดกับความโง่ของตัวเองที่ทำลงไป

ooooooo

กานต์อยู่ในภาวะว้าวุ่นใจที่บอกดาหวันว่าจะหย่าเมื่อไรให้บอก เมื่อลงมาเจอประจวบ พอพ่อถามว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า เขาบอกว่าทะเลาะกันนิดหน่อยประสาลิ้นกับฟันแต่เคลียร์กันแล้ว แล้วขอตัวไปทำงาน

พอไปถึงห้องประชุมจิตราพุ่งเข้ามาถามว่าจะให้เรียกผู้ถือหุ้น...จิตราพูดไม่ทันจบกานต์ก็ตัดบทว่ายกเลิกประชุมทั้งหมด แล้วปิดประตูใส่หน้าปัง พอเข้านั่งในห้องก็กดปุ่มเปิดปิดไมโครโฟนไปมาพยายามระงับอารมณ์แต่สุดท้ายก็สบถออกมาอย่างทนไม่ไหว

“โธ่โว้ย!” แล้วขว้างไมโครโฟนทิ้งระบายความอัดอั้น

ooooooo

วันนี้พรรณีนึกครึ้มขึ้นมาเปิดเซฟเอาสร้อยมรกตออกมาชื่นชม พลันก็สะดุ้งรีบเอาซ่อนเมื่อจู่ๆ รุจิกาก็ผลักประตูเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ เลยถูกอบรมไปพักหนึ่ง


-------------
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ดั่งสวรรค์สาป ตอนที่ 6


ประจวบนอนให้หมอนวดนวดให้ ครางออกมาเป็นระยะเมื่อรู้สึกสบาย ครู่เดียวประจวบก็หลับ

หมอนวดฝากสมให้ดูแลสักครู่ตนจะไปเข้าห้องน้ำ ย้ำอย่าให้ประจวบตื่นเป็นอันขาด แต่สมมาเฝ้าอยู่ครู่เดียว ประจวบก็ตื่น บอกให้นวดตรงโน้นตรงนี้ สมตกใจตาโตแต่ก็เอาตัวรอดนวดหลังที่ประจวบบอกว่าตึงให้ไปมั่วๆ

“อืม...ดี...ๆ” ประจวบทำเสียงงึมงำแล้วหลับต่อ สมชักได้ใจบอกตัวเองว่า ไม่ยาก เผื่อจะได้อาชีพใหม่แล้วยกแขนประจวบขึ้นดึงให้แอ่นตัวไปข้างหลัง ตัวเองเอาเข่าดันไว้ แรกๆประจวบก็สบาย แต่ครู่เดียวก็ร้องจ๊าก สมตกใจปล่อยมือ ประจวบพลิกตัวมาเห็นเป็นสมไม่ใช่หมอนวดก็ของขึ้นทันที
ประจวบไล่เตะสมไปรอบบ้าน กานต์กลับมาเจอถามว่าสองคนเล่นอะไรกัน ประจวบบอกว่าไม่ได้เล่น ฟ้องว่าสมหักกระดูกตน บอกกานต์ให้ช่วยจับตัวไว้

“เอาน่าพ่อ ยังวิ่งได้ กระดูกยังไม่หัก ปล่อยมันไปเถอะ คิดว่าสงสารลูกหมาตาดำๆก็แล้วกัน”

สมผสมโรงกะล่อนเอาตัวรอดไปได้ ประจวบเลยไล่ไปให้ไกลๆ ก่อนตนจะเปลี่ยนใจ

ประจวบถามกานต์ว่าเรื่องนมมาลัยล้มเป็นอย่างไรบ้าง ถามว่า “แกแน่ใจนะว่าเป็นอุบัติเหตุ” กานต์คิดว่าเป็นอย่างนั้นเพราะที่พื้นก็ไม่เห็นรอยอะไรเลย ประจวบทำท่าจะเชื่อ กานต์จึงพูดต่อว่า

“แต่นั่น...คือหลังจากที่ผมพานมมาลัยกลับจากโรงพยาบาลมาแล้วนะ ผมลองถามนมมาลัยดู แกก็บอกว่ารู้สึกเหยียบอะไรลื่นๆ ถามย้ำว่าน้ำมันหรือเปล่าแกก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

เมื่อยังไม่ได้หลักฐานอะไร กานต์ก็สรุปว่า “เราคงระแวงเกินไป แต่จริงๆแล้วคนบ้านนั้นก็โคตรน่ากลัวเลย”

ประจวบเห็นด้วย ยิ่งใกล้เปิดพินัยกรรมก็ยิ่งห่วงดาหวัน บอกกานต์ให้ดูแลเธอให้ดีด้วย แล้วถามเป็นนัยว่า “แล้วนี่แกกับหนูดาเป็นไง” กานต์ตอบมั่วๆว่าก็โอเค “หึๆมันต้องให้ได้อย่างนี้สิ อย่าลืมพ่อรอหลานอยู่ ด่วนที่สุดนะเจ้ากานต์”

ดังนั้น...คืนนี้กานต์จึงวางแผนเตรียมพร้อมเต็มที่ จากเคยแปรงฟันวันละสองครั้ง ก็เพิ่มรอบก่อนนอนอีกครั้งหนึ่ง

ฝ่ายดาหวันก็รู้แกว แทนที่คืนนี้จะใส่ชุดนอนเซ็กซี่ที่นมมาลัยจัดให้เท่านั้น ก็แอบใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นไว้ข้างใน ซ้ำพอจะนอนก็ยังลุกขึ้นมาทำข้อตกลงกันก่อนอีก กานต์พูดอย่างรู้ทันว่ามุกนี้เห็นใช้กันแต่ในละคร

บนเตียง ถูกแบ่งเขตกันตามข้อตกลง โดยมีทั้งหมอนหนุนและหมอนข้างกั้นเป็นกำแพงสูง ผ่านไปครู่หนึ่งดาหวันชะโงกดูเห็นว่ากานต์หายไป ปรากฏว่า กานต์ลงไปนอนคุดคู้อยู่พื้นข้างเตียงทำท่าปวดท้องมาก

ดาหวันลงไปดูด้วยความเป็นห่วง ถูกเขาตู่ว่าเธอข้ามเขตตนมาแล้ว แล้วโมเมจะสาธิตบทบาทสามีให้สมจริง ทำมั่วว่า ก่อนนอนก็ต้องมีกู๊ดไนท์คิสกันก่อน ดาหวันกลั้นใจปล่อยให้เขาจูบหน้าผาก พอลืมตามองต่างสบตากันในระยะใกล้จนใจเต้นตูมตาม แล้วกานต์ก็พูดเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า

“ผมรู้ว่าการแต่งงานของเราก็คือการเล่นละครเหมือนกัน”

“เมื่อเราเข้าใจกันดีแล้ว ฉันก็กลับไปนอนที่ของฉันได้แล้วสินะ”

กานต์ปล่อยมือดาหวันแล้วกลับไปนอนที่ของตัวเองนอนตะแคงหันหลังให้เอ่ย “ไนท์...ไนท์...” แล้วนอน

ดาหวันนอนหันหลังให้ น้ำตาคลอ ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ดีพอก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก

ooooooo

อติเทพพาเพียงนภาเข้าม่านรูด จนเช้าเขาจะกลับ เพียงนภาอ้อนไม่อยากให้เขาไป อติเทพเห็นช่องทางถามว่าถ้าตนไม่ไปทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่ากินค่าบ้านค่ารถ

“ได้ๆ เดี๋ยวนภาจะเอาเงินมาให้เทพเอง แต่เทพรักนภาใช่ไหม” อติเทพจูบเธอแทนคำตอบ ถามว่าเธอกลัวตนจะกลับไปหาดาหวันหรือ “เทพ! ไม่นะ...ไม่ๆๆๆ” เพียงนภาร้องอย่างตระหนก

อติเทพปากหวานว่าตนรักเธอมาตลอดแต่ที่จำเป็นต้องทำเพื่อความมั่นคงในชีวิต ตนจะเอาเธอมาลำบากด้วยได้อย่างไร ปะเหลาะว่า

“ถ้าผมจะกลับไปหาดาหวันอีก ก็เพราะผมต้องการเงินจากดา เพื่อชีวิตของเราในอนาคต แต่ผมไม่ได้รักดาหวันเลย”

เพียงเท่านั้น เพียงนภาก็เพ้อฝันว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า อติเทพย้ำว่าเพราะฉะนั้นเธอจะต้องใจเย็น และก็ช่วยตน เพียงนภาพยักหน้ารับราวกับต้องมนต์ แต่พออติเทพจะกลับเธอก็ไม่ยอมให้กลับอีก เลยถูก อติเทพดุว่าอย่าทำตัวเรื่องมาก ตนไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้น่ารำคาญ เพียงนภาก็รีบบอกว่าเดี๋ยวตนกลับเองได้

“ต้องแบบนี้สิถึงจะน่ารัก” อติเทพเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน แล้วพาไปโบกแท็กซี่ให้เธอกลับไปเอง

ครองขวัญขับรถพลางคุยโทรศัพท์ผ่านมาเห็นพอดี เธอวางโทรศัพท์ทันที เห็นอติเทพหอมแก้มเพียงนภาก่อนส่งเธอขึ้นแท็กซี่แล้วเดินกลับไปเอารถตัวเอง ครองขวัญก็โทร.เข้ามือถือเขาทันที

เมื่อไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟเล็กๆแถวนั้น ครองขวัญถามว่าเขากลับไปกินของเก่าหรือ ติดใจคืนนั้นใช่ไหม อติเทพแสยะยิ้มพูดอย่างเหยียดหยามว่าของไล่แจกฟรีแถมเงินให้อีกไม่เอาก็โง่แล้ว

“อ๋อ...นี่แปลว่าคนที่ติดใจเป็นยายนภาสินะ แต่คุณถอดใจง่ายๆแบบนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด ยังไงยายนภาก็เป็นได้แค่พวกเหลือบ ริ้นไร ที่ได้แต่อาศัยเกาะยายดาหวันกินเท่านั้น” อติเทพย้อนเย้ยว่า แล้วเธออุตส่าห์ลงทุนกินยาฆ่าตัวตายก็ยังหยุดกานต์ให้แต่งงานไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ “แต่งได้ก็ใช่ว่าจะอยู่กันตลอดไปจนตาย แต่คนอย่างฉันไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงฉันก็จะเอากานต์กลับมา”

“คุณคงพลาดไม่ได้แวะไปร่วมแสดงความยินดีกับเขาสองคน ดูซินี่ของชำร่วยในงาน สวยดีนะ” อติเทพเอาตุ๊กตาเซรามิกเล็กๆหญิงชายออกมาโชว์บอกว่ามันเป็นงานสนุกมากจริงๆ แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นโหด บอกเธอว่า “สิ่งที่ผมควรทำ ผมได้ทำไปแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่เก็บเกี่ยวผล”

อติเทพปาตุ๊กตาเซรามิกแตกทำเป็นตกใจว่าตุ๊กตาบ่าวสาวแตกเสียแล้ว ครองขวัญอ่านออกว่าเขาต้องการบอกว่าเขาก็จะไม่ยอมปล่อยดาหวันเหมือนกัน

ooooooo

เพียงนภากลับถึงบ้านอย่างอารมณ์ดีมีความสุข วีรอรถามว่าไปไหนมาทั้งคืนรู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงมากโทร.ก็ไม่ยอมรับสาย เพียงนภาโกหกว่าแบตหมด
วีรอรคาดคั้นว่าไปไหน กับใคร ทำไมถึงนั่งแท็กซี่กลับมาให้แม่จ่ายแบบนี้ เธอตอบอย่างไม่แยแสว่าเงินของตน จะจ่ายอย่างไรก็เรื่องของตน ตนไม่ใช่เด็กแล้วอย่ามาเซ้าซี้ได้ไหม บ่นว่าง่วง แล้วฮัมเพลงขึ้นข้างบนอย่างอารมณ์ดี

วีรอรเห็นผิดปกติมากตามขึ้นไปคาดคั้นจนรู้ว่าเมื่อคืนเธอไปค้างกับอติเทพ ซ้ำอวดว่า “เทพเขารักนภานะแม่” วีรอรของขึ้นถามว่านี่ไปเสียตัวแล้วยังเสียเงินอีกหรือ เพียงนภาลอยหน้าบอกว่าเรื่องเงินไม่มีความหมายสำหรับตน อติเทพอยากได้ตนก็ให้ได้ขอแต่ให้เขารักตนก็พอแล้ว

“แต่มันมีความหมายสำหรับฉัน ถ้าไม่มีเงินแกจะอยู่ยังไง แกรวยนักเหรอ งานการก็ไม่ได้ทำ รู้ไหมว่าทุกวันนี้ฉันต้องทำอะไรบ้างเพื่อหาเงินมาเลี้ยงแก แต่แกกลับเอาเงินที่ฉันหามาได้ไปให้ผู้ชาย ผู้ชายเลวๆ เสียด้วย ตาสว่างเสียที”

“แม่อิจฉานภาใช่ไหมที่มีคนรักนภา เทพรักนภา เขาสัญญาว่าจะอยู่กับนภา ไม่เหมือนพ่อที่ทิ้งแม่ไปหรอก”

เพียงนภาถูกวีรอรตบหน้าเพียะ! เพียงนภาแผดเสียงกรี๊ด “นภาเกลียดแม่ นภาจะไปอยู่กับเทพ นภาจะไม่อยู่บ้านนี้อีกแล้ว นภาเกลียดทุกคน เกลียดป้าพรรณี เกลียดพี่รุ เกลียดนังดาหวัน เกลียดมันมากที่สุด เกลียดนังนมหนังเหนียวด้วย ทำไมมันไม่คอหักตายแทนที่จะขาหัก”

วีรอรพุ่งเข้าปิดปากเพียงนภาตวาดให้พอ เลิกกรี๊ดและทำตัวงี่เง่าแบบนี้เสียที เพียงนภาแกะมือวีรอรออกบอกว่าจะไปหาอติเทพ วีรอรเห็นอาการเพียงนภากำลังจะคลั่ง หันไปหยิบโซ่คล้องกุญแจที่วางอยู่ในกล่องหลังตู้ พอเพียงนภาเห็นโซ่คล้องกุญแจเท่านั้นก็หยุดกึก ถอยหนีลนลานไปซุกที่มุมห้อง ร้องเสียงสั่น

“ไม่นะแม่...ไม่...ไม่...อย่า...นภาไม่ดื้อแล้ว”

เพียงนภาถูกจับไปขังไว้ในห้องเก็บของเล็กๆใต้บันได วีรอรเดินผละไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเพียงนภาที่ตะโกนให้เปิดประตู...เปิดประตู วีรอรตะโกนตอบเข้าไปว่า

“อยู่ในนั้นจนกว่าหนูจะคิดได้ว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่าแบบนั้นกับแม่อีก” แล้วเดินหน้าเรียบเฉยไปบอกเด็กรับใช้ที่มาเมียงๆมองๆอยู่ว่า “ได้เวลาอาหารว่างของนมมาลัยแล้วใช่ไหม ไป...เดี๋ยวฉันเตรียมเอง”

ooooooo

เพียงนภายังตะโกนเรียกวีรอรให้เปิดประตู บอกว่าตนจะไม่ทำให้แม่โกรธอีกแล้ว โทษว่าดาหวันต่างหากที่ทำให้แม่โกรธ พลันเรื่องราวในอดีตก็ฟุ้งซ่านขึ้นมาในความคิด...

เหตุเกิดเพราะเพียงนภาทิ้งงานไปกินอาหารกับอติเทพ ดาหวันรู้เข้าถามว่าทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน เพียงนภาอ้างว่าตนลาป่วยแล้ว แต่อาการระริกระรี้ของเพียงนภาฟ้องว่าเธอไม่เป็นอะไร ดาหวันจึงสั่งไล่เธอออกจากงานฐานทำตัวไม่คุ้มกับค่าจ้าง

เพียงนภากับวีรอรไปฟ้องทวีว่าถูกดาหวันแกล้งไล่เพียงนภาออกจากงาน เพียงนภาก็ฟ้องว่าตนถูกดาหวันข่มจนคนทั้งออฟฟิศกลัวที่เธอแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ญาติ ดาหวันที่ให้อาหารมูมู่ลูกหมาน่ารักอยู่ พูดแทรกขึ้นว่า

“ดามาทำเพราะอยากให้ออฟฟิศดีขึ้น พ่อเป็นคนอยากให้ดามาทำงาน พ่อก็ต้องเชื่อการตัดสินใจของดาเหมือนกัน ดาอยากสร้างคนใหม่ ถ้าพี่นภากับอาอรยังอยู่ มันจะเอาคนที่มีความสามารถที่ดีกว่าขึ้นมาได้ยังไง” สองแม่ลูกยังโต้เถียงหาว่าดาหวันจงใจแกล้งเพียงนภา ถ้าพวกตนไม่ทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ ดาหวันสวนทันทีว่า “ทุกวันนี้อาอรกับพี่นภาก็กินกงสีอยู่แล้วนี่คะ ไม่เห็นต้องใช้เงินอะไร พ่อคะ...ดาเซ็นคำสั่งไปแล้ว ถ้าพ่อมีคำสั่งออกไปใหม่ ต่อไปใครจะเชื่อดาอีก ดาขี้เกียจเสียเวลาพูดมากแล้ว พ่อเลือกเอา...ถ้ามีพี่นภาอยู่ ดาก็จะไม่ทำงานที่ออฟฟิศอีก”

ทวีจึงตัดสินใจให้วีรอรกับเพียงนภาไม่ต้องไปทำงานอีก ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงตนจะให้เงินเดือนไว้ใช้จ่ายทั้งสองคน ดาหวันจึงหันไปให้อาหารมูมู่ลูกหมาวัยขวบเศษที่เธอรักมากจนเอาไปนอนด้วยที่เตียงทุกคืน

วันต่อมา ดาหวันไปตามหามูมู่ปรากฏว่ามันตายแล้ว ที่ชามอาหารมันมีซุปฟักทองวางไว้ผิดที่ ข้างชามมีอ้วกของมูมู่ ดาหวันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก แต่พอจับตัวปรากฏว่ามูมู่ตายแล้ว เด็กรับใช้บอกว่าไอ้ด่างบ้านตนก็มีอาการแบบนี้เพราะโดนยาเบื่อ

“ซุปฟักทองในชามนั้นใครเป็นคนเอาให้มูมู่กิน แกเหรอ!” ดาหวันเอาเรื่องกับเด็กรับใช้ เด็กตกใจบอกว่าตนเห็นแว่บๆแต่ว่าไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า ดาหวันตวาดลั่น “บอกมาซิ ใคร!!”

ดาหวันลิ่วไปตบเพียงนภาจนนมมาลัยร้องห้ามเสียงหลง เพียงนภาด่าดาหวันว่าบ้าไปแล้วถึงได้ไล่ตบคนอื่นแบบนี้

“เออ...ฉันมันบ้า แต่ก็ไม่เลวพอจะฆ่าหมาตัวเล็กๆ หรอก”

เพียงนภาหัวเราะสะใจเมื่อรู้ว่ามูมู่ตายแล้ว ดาหวันสั่งเด็กรับใช้ให้ไปเอาชามซุปฟักทองมาแล้วจะกรอกปากเพียงนภาแต่เพียงนภาดิ้นจึงกรอกไม่ถนัดเลยคว่ำใส่หัวยีจนทั่วหัว เพียงนภาตกใจร้องไห้โฮออกมาเพราะตนไม่รู้เรื่องจริงๆ

ดาหวันฟังนมมาลัยเล่าเรื่องมูมู่ที่เธอความจำเสื่อมจนเลือนๆไปแล้ว นึกดีใจที่วันนั้นตนไม่ได้เอาซุปฟักทองกรอกปากเพียงนภา

“แต่คุณนภาก็ยังเสียงแข็งนะคะว่าไม่ได้วางยามัน จนสุดท้ายคุณท่านต้องออกโรงมาขอให้ยุติเรื่องไว้แค่นี้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรว่าคุณนภาเป็นคนทำ”

“อาก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ” เสียงวีรอรแทรกเข้ามาพร้อมกับถือชามซุปฟักทองเข้ามาให้นมมาลัย ดาหวันทักว่ามาเงียบๆตกใจหมด “ขอโทษค่ะ ยืนฟังเรื่องมูมู่แล้วเหมือนเหตุการณ์มันย้อนกลับมาตรงหน้า อารู้ว่าทุกคนคิดว่าเป็นฝีมือของนภา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อาจะไม่ให้นภาทำแบบนั้นเด็ดขาด อาขอโทษนะจ๊ะดา”

“เรื่องมันแล้วไปแล้ว ช่างเถอะค่ะ อาอรอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ”

“ใช่ค่ะ บางทีอาจจะไม่ใช่คุณนภาจริงๆ ก็ได้นะคะ อาจจะเป็นฝีมือคนนอกก็ได้ มูมู่มันเห่าคนแถวนั้นประจำ เขาอาจจะไม่พอใจมันอยู่” ดาหวันเห็นด้วยกับนมมาลัย มองวีรอรถามว่าเอาอะไรมาให้นมหรือน่าทานจัง

“ซุปฟักทองค่ะ รีบทานดีกว่านะ เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย” วีรอรจัดแจงป้อนซุปฟักทองให้นมมาลัย

เมื่อคุยกันถึงมูมู่ ดาหวันจึงจำได้ เดินเข้าไปในสวนเพื่อหาที่ฝังร่างมูมู่ แต่เดินหาอย่างไรก็ไม่เจอเพราะจำที่ฝังไม่ได้ ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกมีใครเดินตามตนอยู่แต่พอหันมองก็ไม่เห็นใคร

ดาหวันใจไม่ดีเลยวิ่งหนี ส้นรองเท้าติดในร่องไม้สะดุดจะล้ม พลันก็มีมือมาช้อนไว้ ดาหวันมองกานต์อุทาน

“คุณนี่เอง นี่จะแกล้งฉันเหรอ” ดาหวันมองแง่ร้ายคิดว่ากานต์จะแกล้งตน บอกว่าตนรู้สึกมีคนเดินตาม ที่แท้ก็เขานี่เอง บ่นงอนๆ ว่าถ้าตนหกล้มขาหักไปจะทำอย่างไร กานต์หัวเราะขำๆ บอกว่าตนออกไปออฟฟิศแป๊บเดียวเธอก็หนีมาที่นี่ย้ำว่า บอกแล้วไงว่าถ้าจะไปไหนให้บอก ตนจะไปด้วย ดาหวันชี้แจงว่า

“ฉันแค่ความจำหายไปบางส่วนไม่ได้พิการเสียหน่อยแล้วนี่ก็บ้านของฉันด้วยไม่เห็นมีอะไร”

กานต์เสียงแข็งว่าไม่ได้ เธอเสียงแข็งสวนไปว่าทำไมจะไม่ได้ กานต์อ้างมั่วๆ ว่าเพราะเธอเป็นภรรยาตน แล้วทำท่าจะหอมเอาดื้อๆ แล้วกานต์ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก เขามองขวับร้องถาม “นั่นใคร!” กานต์ปล่อยดาหวันแล้ววิ่งไปดู

ดาหวันตามไปด้วย พบว่ามีผลไม้ตกลงมาโดนกิ่งไม้หัก เธอบ่นว่าทำตนตกใจหมด แต่กานต์บอกว่าไม่ใช่ ดาหวันถามว่าทำไมดูเขาซีเรียสจัง กานต์นิ่งชั่งใจก่อนตัดสินใจบอกว่า

“ผมว่าคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องรู้ อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้คุณความจำเสื่อม จริงๆแล้วมันไม่ใช่...”

กานต์จะบอกว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่พูดไม่ทันจบ ดาหวันเหลือบเห็นหลุมฝังศพมูมู่ เธอถลาไปทันที เธอปัดกิ่งไม้ใบหญ้าที่กลบหลุมฝังมูมู่ออก บอกกานต์ว่า นมบอกว่าตนฝังมูมู่ไว้ที่นี่และหลังจากนั้นตนก็ไม่ได้มาเยี่ยมมูมู่อีกเลย กานต์ถามว่า ตกลงเจ้ามูมู่โดนยาเบื่อหรือ

“ก็ไม่รู้สิ ฉันก็จำไม่ได้เสียด้วย ฟังแต่ที่นมเล่าให้ฟัง เหมือนมันไม่ชัดนะ แต่อาอรก็ยืนยันนะว่าพี่นภาไม่ได้เป็นคนทำ” กานต์ถามว่าเธอเชื่อหรือ “จะมีประโยชน์อะไรที่จะรื้อฟื้น ฉันเชื่ออาอร” กานต์ติงว่า แล้วถ้ามันเปลี่ยนจากหมาตัวเล็กๆ มาเป็นคนล่ะ? “นี่คุณกำลังพยายามพูดเรื่องอะไรกับฉันอยู่...ญาติๆ ฉันอาจจะดูไม่ถูกกันหรือไม่ชอบกัน แต่ก็ไม่มีใครใจร้ายพอที่จะคิดฆ่ากันหรอก มันไม่มีเหตุผลเพียงพอ อย่าเอาความคิดแบบนี้มาใส่หัวฉัน ฉันไม่อยากได้ยิน ขอร้องล่ะ”

“โอเค” กานต์รับปากเมื่อดาหวันเดินหนีไป เขาตระหนักว่า ดาหวันไม่ยอมฟังสิ่งที่ตนพยายามเตือนเลย

ooooooo

เพราะพรรณีสั่งธวัชให้หาเงิน 10 ล้านไปซื้อหุ้นน้ำมัน ธวัชจึงนัดแม่ไปที่ธนาคารเพื่อเซ็นสัญญาเป็นผู้กู้ร่วมกับตน พอพรรณีรู้ก็โวยวายไม่ยอมเซ็น

บอกว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้เด็ดขาด แล้วลุกเดินหนีออกไป

ธวัชตามมาชี้แจงก็ถูกด่าว่านัดตนมาฉีกหน้าชัดๆ ตนต้องการเงิน 10 ล้าน แต่ไม่ใช่ให้ไปขอกู้แล้วยังเอาชื่อตนไปเป็นผู้กู้ร่วมอีกถามว่า “รู้ไหมว่าแบงก์นี้เพื่อนฉัน มีหุ้นอยู่ รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น”

ธวัชชี้แจงว่าถ้าไม่ใช้วิธีนี้ตนก็ไม่รู้จะไปเอาเงินจากที่ไหนเพราะเงินในบัญชีตนก็หมดแล้วพร้อมกับเอาสมุดเงินฝากให้ดู พรรณีบอกให้ไปเอาจากงบไหนก็ได้เหมือนทุกครั้งที่เขาเคยทำให้

“มันไม่เคยมีเงินจากงบส่วนไหนของออฟฟิศหรอก เป็นเงินส่วนตัวของผมเองทั้งนั้น แล้วตอนนี้มันไม่มีแล้วด้วย ผมไม่รู้จะเอาเงินจากไหนมาให้แม่อีกแล้ว”

“โง่! โง่ที่สุด!! นี่แกเป็นลูกฉันได้ยังไง แกทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ได้ยังไง” ธวัชบอกว่าตนโกงบริษัทไม่ได้ “ทำไมไม่ได้ อยากเป็นคนดี หึๆ แม่จะบอกให้นะ การเป็นคนดีกับคนโง่มันไม่ต่างกันหรอก เงินแค่ 10 ล้านบริษัทนังดามัน

ไม่ล่มจมหรอก แต่ถ้านังดามันมีสิทธิ์ในพินัยกรรมสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกเรานี่แหละที่จะต้องแย่ ฉันต้องการเงินเพื่อซื้อหลักประกันในอนาคตของฉัน เข้าใจไหม แล้วถ้าแกยังอยากเรียกฉันว่าแม่ก็ไปเอาเงินมาให้ฉัน”

พรรณีสะบัดออกไปอย่างหงุดหงิด ทิ้งธวัชให้อยู่กับความกดดันตรงนั้น

ธวัชเครียดจนโรคกระเพาะกำเริบปวดท้องอย่างหนักขับรถไม่ไหวจนต้องจอดรถขวางทางในตึก เจนจิราซื้อของเข็นรถมาผ่านไปไม่ได้ เดินไปบอกให้ขยับรถ เจอธวัชปวดท้องขับไม่ไหว เจนจิราพาไปหาที่นั่งพักและซื้อยามาให้กิน เธอแนะว่าเขาควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาล ธวัชบอกว่าไปมาแล้ว หมอบอกว่าโรคกระเพาะแบบนี้ไม่หายขาด เวลาเครียดก็เป็นอีก

เจนจิราเดาว่าผู้ชายมีเครียดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเรื่องงาน ธวัชส่ายหน้า เธอเดาต่อว่า อีกหนึ่งก็คือเรื่องทำ ผู้หญิงท้อง ถามดักว่าอรอุมาใช่ไหม เพราะวันนั้นเห็นเขา ออกจากห้องน้ำมากับอรอุมาในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ธวัชปฏิเสธว่าตนกับอรอุมาไม่มีอะไรกัน ตนไม่ได้ชอบอรอุมาเพราะตนมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

“ใครคะ” เจนจิราซัก ธวัชบอกว่าอย่ารู้เลยให้เขาอยู่ตรงนั้นดีแล้ว “ทำไมล่ะคะ พูดเหมือนพี่ธวัชไม่สู้เลย พี่ธวัชออกจะเป็นคนดี สู้ๆสิคะ ชอบก็บอกเขาไปเลย”

“เพิ่งมีคนบอกพี่ว่า คนดีกับคนโง่เหมือนกัน พี่ก็ไม่รู้นะว่ามันจริงอย่างที่เขาบอกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ พี่ไม่อยากดึงเขาลงมา...” ธวัชอยากจะบอกว่าไม่อยากดึง ลงมาเกลือกกลั้วกับครอบครัวตนแต่ก็ไม่พูด ตัดบทว่า “พี่...พี่ไม่เหมาะกับเขาหรอก ให้เขาอยู่ในที่ที่ดีแบบเดิมน่ะดีแล้ว พี่ดีขึ้นแล้วล่ะ คงต้องกลับไปทำงานแล้ว ขอบใจน้องเจนมาก”

“พี่ธวัช...” เจนจิราร้องเรียกพูดให้กำลังใจ “พี่ต้องเชื่อมั่นในความดีนะคะ เจนเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้หญิงคนนั้นเขาต้องเห็นค่าความดีของพี่แน่นอน”
ธวัชได้แต่ยิ้มเศร้าๆกับความรักที่ต้องปิดบังของตัวเอง แม้เธอคนนั้นจะยืนอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กล้าบอก

ooooooo

วันนี้ดาหวันมาเยี่ยมนมมาลัย พอเธอจะกลับวีรอรก็เอาสตูว์ไก่มาให้บอกว่าทำเอง ดาหวันขอบคุณชมว่าอาอรทำอาหารเก่งวันหลังตนจะมาเรียนบ้าง
วีรอรได้ช่องบอกว่าเธอแต่งงานแล้วก็คงตั้งใจจะเป็นแม่บ้านเต็มที่ใช่ไหม ดาหวันบอกว่าไม่ใช่เพราะตนต้องดูงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม วีรอรทำเป็นแปลกใจถามว่ากานต์จะยอมหรือ แล้วทำเป็นนึกได้ว่า “แต่ก็นั่นแหละนะคะ แค่คุณดาแต่งงานแค่นี้ คุณประจวบก็โอเคแล้ว” ดาหวันถามว่าทำไมหรือ?

“อาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะคะ แต่เพื่อนๆก็บอกว่าหลังงานแต่งคุณดา ตอนนี้คุณกานต์เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว และทันทีที่เปิดขายหุ้นปั๊บก็หมดในพริบตา นักธุรกิจยังไงก็คือนักธุรกิจนะคะ คิดกำไรขาดทุนเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ ยิ่งตอนนี้ก็เหมือนมีบริษัทเราเป็นแบ็กให้ก็ยิ่งดูมั่นคง จะเปิดพินัยกรรมหรือไม่เปิดก็ไม่สำคัญสำหรับทางโน้นแล้วล่ะมั้ง”

วีรอรเสี้ยมดาหวันเนียนๆ เมื่อกลับไปทานอาหารที่บ้าน เธอได้ยินประจวบคุยกับกานต์ที่โต๊ะอาหารเกี่ยวกับการเปิดตลาดในจีนและทางเอเชียทั้งหมดในทันทีที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ กานต์คาดหวังว่า

“ผมคิดว่าถ้ามาร์เก็ตแชร์เราดีขึ้นแบบนี้ โดยไม่มีอะไรทำให้สะดุด ในไตรมาสหน้าเราก็จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ครับ”

สองคนพ่อลูกคุยกันถึงธุรกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นจนลืมไปว่าดาหวันนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย จนประจวบนึกได้ขอโทษดาหวัน พูดออกตัวว่าพวกตนเอาเรื่องงานมาคุยกันที่โต๊ะอาหารเลยทำให้ทานข้าวไม่ลงใช่ไหม ดาหวันรีบแก้ตัวว่าตนฟังเพลินต่างหากแล้วชวนให้ชิมสตูว์ไก่ที่ วีรอรทำให้ ประจวบชมว่าอร่อยดี แล้วเปลี่ยนเรื่องถามว่า ตกลงนัดเปิดพินัยกรรมหรือยัง

“เรียบร้อยแล้วค่ะ วันศุกร์นี้” กานต์บอกว่าตนมีประชุมพอดีเดี๋ยวจะขอให้เขาเลื่อนไปก่อน ดาหวันบอกว่าไม่เป็นไรตนไปคนเดียวก็ได้ ประจวบติงว่าไม่ได้ กานต์จะปล่อยให้เธอไปคนเดียวได้อย่างไร กานต์จึงจะเลื่อนการประชุมออกไปก่อนเพื่อตนจะได้ไปเป็นเพื่อนดาหวัน

ดาหวันคิดถึงคำเสี้ยมของวีรอรกอปรกับความเอาจริงเอาจังของกานต์ที่จะไปฟังการอ่านพินัยกรรม ทำให้เธออดระแวงไม่ได้ วันต่อมาจึงนัดคุยกับมารตีเพื่อนสนิท มารตีติงว่าเธอคิดมากไปหรือเปล่า เธอรู้แต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือว่าที่แต่งงานกับกานต์ก็เพื่อทั้งสองบริษัทแล้วจะสงสัยอะไรอีก

“ก็ใช่...แต่...มันก็อดคิดไม่ได้ว่าทุกคนต้องการผลประโยชน์จากฉันถึงได้ทำดีกับฉัน”

“ดา...ฉันให้คำตอบเธอไม่ได้หรอกนะ แต่สิ่งที่เธอต้องยอมรับก่อนก็คือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะพินัยกรรม ทุกคนรอบตัวเธอล้วนมีผลกับเรื่องนี้”

“พินัยกรรมๆๆ แล้วความรู้สึกฉันจริงๆล่ะ มีใครสนใจบ้าง” ดาหวันพูดอย่างอัดอั้นหยิบหนังสือเดินออกไป มารตีมองตามเพื่อนไปอย่างสงสารแต่ก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร พอดีธนายงเดินเข้ามาถามว่าตกลงเธอคุยกับดาหวันเรื่องเราจะปรับปรุงผับใหม่หรือยัง

พอมารตีบอกว่ายัง เขาก็บ่นว่าทำไมไม่คุย นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้วเพราะเราจะได้ไม่ต้องไปเที่ยววิ่งหาเงินจากที่อื่น ดาหวันเองก็เคยปรารภว่าจะมาร่วมทุนกับเรา มารตีบอกว่านั่นมันก่อนที่ดาหวันจะความจำเสื่อม แต่ธนายงก็ยังบ่นจนมารตีตวาดให้พอ อย่าพูดเรื่องนี้อีก

ooooooo

รุจิกาควงนทีไปหาซื้อกระเป๋าถือ เขาหงุดหงิดที่ชวนมาทำเรื่องไร้สาระเพราะตนกำลังเครียดเรื่องจะทำให้โปรเจกต์ของตนผ่านได้อย่างไร

ระหว่างนั้นรุจิกาเห็นดาหวันเดินหิ้วถุงหนังสือออกจากห้าง เธอฉุกคิดได้จึงพานทีไปหาธวัชให้ช่วยอนุมัติโครงการ เธอหว่านล้อมพี่ชายว่าโปรเจกต์ของนทีน่าสนใจและเงินสินเชื่อก็ไม่ได้สูงอะไรให้พี่ชายอนุมัติไปเลย

แต่ธวัชบอกว่าโปรเจกต์ดูลอยๆ ไปหน่อยตนคงต้องให้ฝ่ายวางแผนวิเคราะห์อีกที นทีอ้างว่า รุจิกาบอกว่าเรื่องนี้เขารับผิดชอบโดยตรงพี่น้องกันก็ไม่น่าจะมีปัญหา

“ผมทำงานเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของนายจ้าง ไม่ใช่ทำงานให้พี่น้องหรือครอบครัว ถ้าคุณอยากให้โปรเจกต์ผ่านก็ไปทบทวนโปรเจกต์มาใหม่”
นทีไม่พอใจบอกว่าถ้าต้องเสียเวลาแบบนี้ตนไม่เอาดีกว่าหรือไม่ก็ไปยื่นที่อื่น

“นทีเขาเป็นแฟนรุ ให้เขาไปยื่นขอที่อื่นมันจะตลกไหม รุไม่ฉีกหน้าตัวเองเหมือนที่พี่ธวัชทำกับแม่หรอก อยู่บริษัทเงินทุนแท้ๆ แต่ไปขอสินเชื่อกับที่อื่น” ธวัชบอกว่าเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ตนเลยไม่อยากทำ “พี่ธวัช เรื่องแค่นี้เอง นี่รุไม่ได้ขอพี่ฟรีๆนะ รุหาลูกค้ามาให้พี่เหมือนกัน”

ธวัชขอให้รุจิกามีเหตุผลหน่อย ถึงตนให้ผ่านก็ต้องผ่านคณะกรรมการและถ้าดาหวันไม่ให้ผ่านมันก็ผ่านไม่ได้อยู่ดี

พอดีดาหวันมาเคาะประตู สังเกตเห็นบรรยากาศไม่ปกติถามว่ามีอะไรกันหรือเปล่า พอรู้เรื่องเธอบอกว่าถ้าธวัชเห็นควรก็อนุมัติได้เลยเงินไม่ถึง 30 ล้านไม่ต้องผ่านตนหรอก รุจิกาได้ทีรุกธวัชให้เซ็น ธวัชตกลงแต่ทุกอย่างต้องผ่านตามขั้นตอน

“ไม่มีปัญหาครับ” นทีรีบแทรกแล้วหันไป ขอบคุณดาหวัน มองดาหวันอย่างสนใจเป็นพิเศษ แต่เธอไม่รู้ตัว

เมื่อคุยกันได้ข้อยุติแล้ว ดาหวันจึงเอาหนังสือที่ซื้อมาให้ธวัชบอกว่าตนอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลยต้องมาถามเขา แต่ไม่ทันคุยอะไรกัน กานต์ก็เข้ามาอาสาจะติวให้เธอแบบตัวต่อตัวเลย ธวัชตอบยิ้มๆ แซวๆ ว่า “จัดหนักได้เลยครับ” กานต์หัวเราะชอบใจหันไปเห็นนทีเขาไหว้ทัก ดาหวันถามว่ารู้จักกันด้วยหรือ รุจิกาแนะนำว่านทีเป็นพี่ชายของครองขวัญ นทีถามดักคอว่า “หวังว่าคงไม่มีผลกับโปรเจกต์ของผมนะครับ”

“เราทำการค้านะคะ ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวอยู่แล้ว ต่อให้เป็นคุณขวัญเองถ้าสนใจเป็นลูกค้าของดา ดาก็ยินดีต้อนรับค่ะ”

นทีหัวเราะชอบใจ ในขณะที่กานต์เริ่มสังเกตท่าทีของนทีที่มีต่อดาหวันด้วยสายตาของผู้ชายด้วยกันที่ดูกันออก

ooooooo

กานต์ตามดูแลดาหวันจนเธอบอกว่าตนดูแลตัวเองได้ บ่นว่าทำเหมือนตนเป็นเด็ก ตนเป็นผู้บริหารควรจะ...กานต์คว้ามือเธอไปจูงพูดต่อให้ว่า

“กฎข้อหนึ่งของการบริหารที่ควรรู้ คือเราไม่ควรทำตัวแบ่งแยกกับลูกน้อง ให้ลูกน้องรู้สึกจับต้องได้ และรู้สึกอบอุ่น” แล้วจูงมือดาหวันเดินไปจนพนักงานพากันมองแล้วอมยิ้ม กานต์พูดอย่างพอใจว่า “ดาหวันคนเก่าไม่มีแล้ว ผมชอบที่คุณเป็นดาหวันแบบนี้มากกว่า”

ปรากฏว่าไม่เพียงพนักงานพากันมองและยิ้ม แต่รุจิกาก็แอบตามถ่ายรูปกานต์จูงมือดาหวันโดยมีนทียืนอยู่ใกล้ๆ เขาเปรยๆว่า ดูเหมาะสมกันดีนะ ถูกรุจิกาดุ “นที! อย่าพูดแบบนี้ให้ครองขวัญได้ยินนะคะ เธอโกรธตายเลย”

ooooooo

เมื่อพรรณีไม่ได้เงินจากธวัชจึงไปกู้เงินจากมาเฟียบอกว่ากู้ไม่เกินสองเดือนเดี๋ยวลูกชายก็หามาคืนให้

ได้เงินแล้วพรรณีนัดนายหน้ามารับเช็คที่บ้าน ให้คนใช้คอยดูต้นทางไว้ เมื่อคนใช้เข้ามาบอกว่าคุณๆ กลับมาแล้ว พรรณีให้นายหน้าหลบออกไปด้านหลังแล้วตัวเองก็เดินปึ่งออกไปรับหน้าธวัช เขาถามว่าวันนี้แม่ไม่ไปไหนหรือ ก็ถูกประชดว่าจะไปไหนได้ ตอนนี้ก็รอแค่ดาหวันจะไล่ออกจากบ้านเมื่อไหร่เท่านั้น พูดเรื่องเงินจนธวัชรู้สึกกดดันปวดขมับจี๊ดขึ้นมา

ooooooo

ยิ่งใกล้วันเปิดพินัยกรรม ทั้งพรรณีและวีรอรก็วิตกกังวลกลัวจะถูกดาหวันไล่ออกจากบ้าน เพราะก่อนหน้าที่เธอจะความจำเสื่อมเธอถูกอาทั้งสองเหน็บแนมกระแนะกระแหนจนเธอบอกทั้งสองให้ไปสั่งสอนลูกตัวเองดีกว่า ปรามว่า

“กินเงินเดือนดาอยู่ก็ขยันทำงานให้ดีล่ะ ให้คุ้มกับเงินเดือนบ้าง ไม่งั้นดาจะเอาออกเหมือนพี่นภา แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับดา นี่บ้านของดา ดาคือเจ้าของบ้าน ออกไปจากบ้านดาได้แล้ว”

พรรณีประกาศว่าตนไม่ไปเพราะทวีประกาศไว้และคุณสิทธิเป็นพยานว่าให้พวกตนมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ได้เธอไม่มีสิทธิ์ไล่

“งั้นวันไหนที่ดามีสิทธิ์เป็นเจ้าของบ้านเต็มที่ ดาจะเป็นคนพิจารณาเองว่าใครควรจะอยู่บ้านหลังนี้บ้าง”

คิดถึงท่าทีของดาหวันวันนั้นแล้วก็อดเสียวสันหลังไม่ได้ พรรณีภาวนาให้ดาหวันความจำเสื่อมตลอดไปจะได้จำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่วีรอรติงว่าหมอบอกแล้วว่า ความจำของดาหวันจะค่อยๆกลับมา

“นั่นสิ ใครจะไปรู้ล่ะว่าความจำมันจะกลับมาตอนไหน ไว้ใจไม่ได้หรอกนะ เผลอๆ มันอาจจะแกล้งให้เราตายใจ แต่จริงๆ มันก็คือนังดาหวันคนเก่าที่เที่ยวกัดไปทั่วนั่นแหละ”

“คงไม่มังคะ เพราะไม่งั้นสร้อยมรกตก็คงไม่อยู่ในมือคุณพี่แบบนี้หรอก อย่างน้อยๆ ถ้าพี่พรรณโดนไล่ออกจากบ้านจริงก็คงพอมีทรัพย์สินออกไปตั้งตัวได้อยู่บ้าง”

วีรอรเหน็บพี่สาว พรรณีอ้างว่า ดาหวันยื่นให้ตนกับมือ ถ้าไม่ทวงจะต้องคืนทำไม ของแบบนี้ ใครดีใครได้

ooooooo

คืนนี้ดาหวันนอนฝันว่า กานต์พาตนไปปิกนิกเพื่อให้เธอหายเครียด ในฝัน กานต์จัดอาหารไว้แล้วหยิบช่อกุหลาบขาวให้ ดาหวันถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนชอบกุหลาบขาว

แต่คนที่ตอบ กลับเป็นอติเทพ เขาเดินเข้าหาเธออย่างคุกคาม ดาหวันลุกวิ่งหนี ถูกอติเทพไล่ตามไปจนถึงสะพานไม้แขวน เธอลังเลแต่ได้ยินเสียงกานต์ร้องบอกให้วิ่งมาเลยตนอยู่ทางนี้ มองไปเห็นกานต์ยืนรออยู่อีกฝั่งของสะพาน หันมองข้างหลังเห็นอติเทพวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปหากานต์ แต่ขาตกลงไปในร่องสะพาน อติเทพตามมาคว้ามือเธอจ้องมองอย่างเหี้ยมโหด แล้วก็ปรากฏใบหน้าของบรรดาคนในบ้านที่ไม่เป็นมิตรลอยรอบตัวไปหมด เธอตกใจหมดแรงจนร่วงลงไปในน้ำ

ดาหวันตกใจตื่น กานต์ได้ยินเสียงร้องเรียกจนเธอบอกว่าตนฝันร้าย กานต์ยื่นหน้าเข้าไปให้เธอเล่าฝันร้ายให้ฟังเพราะเชื่อตามฝรั่งว่าฝันร้ายแล้วเล่าให้คนอื่นฟังจะกลายเป็นดี

ดาหวันไม่ยอมเล่าแต่ยังผวากับฝันร้ายไม่อาจนอนต่อได้ ขอร้องกานต์ให้นั่งเป็นเพื่อน เขาจึงนั่งเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟัง หันมองอีกทีเห็นดาหวันนั่งกอดหมอนหลับไปแล้ว

ooooooo

รุ่งขึ้น ดาหวันกับกานต์ตื่นมาตักบาตรเพราะเธอโทร.เล่าให้นมมาลัยฟัง นมแนะนำว่าคนไทยใช้วิธีตักบาตรกันไม่ใช่แบบฝรั่งที่เที่ยวเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง

“ก็โอเค...ผมก็ไม่เห็นอยากรู้ความฝันของคุณเลย คนเราทำดีก็ไม่ค่อยได้ดี อุตส่าห์นั่งเป็นเพื่อนทั้งคืน พูดจนเสียงแหบก็ไม่มีคนเห็นค่าเลย” ดาหวันเลยขอบคุณ กานต์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดาหวันพูดดังขึ้น เขาก็ยังบอกว่าไม่ได้ยินอีก ดาหวันเลยเรียกเขาเข้าใกล้ แล้วตะโกนใส่หู

“ขอบคุณค่ะ ได้ยินหรือยัง”

“โห...หูแทบแตก นี่แกล้งกันใช่ไหม”

“เปล่า...ฉันพูดเบาๆ แบบปกติ” ดาหวันทำหน้าตาย

“หึๆ ปกติเหรอ มา! เดี๋ยวผมจะทำให้คุณดูบ้าง” แล้วกานต์ก็วิ่งไล่จับดาหวันที่วิ่งหนี ทั้งสองวิ่งไล่จับหัวเราะกันอย่างร่าเริง จนกานต์คว้าเอวเธอไว้ได้

“กานต์คะ” เสียงครองขวัญเรียก ทั้งสองหันมอง เห็นครองขวัญโบกมือให้กานต์แล้วเดินเข้าแทรกกลางเบียดดาหวันออกไป คล้องแขนกานต์พาเดินไป หันยิ้มให้ดาหวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร ดั่งสวรรค์สาป ตอนที่ 5


เช้าวันแต่งงาน ประจวบรอกานต์อย่างกระวนกระวายใจ ดูนาฬิกาแล้วบ่นว่าทำไมป่านนี้ยังไม่กลับอีก สมปลอบใจเจ้านายว่าไม่ต้องกังวล เสนอวิธีแก้ปัญหาอันบรรเจิดว่าถ้ากานต์กลับไม่ทันตนยอมเป็นเจ้าบ่าวแทนเอง

ผลจากความคิดอันบรรเจิดของสมคือถูกประจวบสั่งให้หันโก้งโค้งแล้วล่อเสียป้าบหนึ่งฐานตลกผิดเวลา

ครู่หนึ่งกานต์โทร.มา ประจวบรับสายก็โวยทันที

“โอ้โห...ไอ้กานต์ พ่อโทร.เป็นสิบ เพิ่งจะโทร.กลับ แกถึงไหนแล้ว เราควรถึงบ้านเจ้าสาวก่อนเวลาสักชั่วโมงนึงนะโว้ย” กานต์บอกว่าตนยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล หมอเพิ่งล้างท้องเสร็จ ครองขวัญปลอดภัยแล้วและกำลังจะพาไปพักที่ห้อง “โล่งอกเสียที แต่เฮ้ย...แล้วแกจะอยู่ทำไมอีกวะ พ่อเข้าใจนะว่ามันเป็นเรื่องความเป็นความตาย ทิ้งไปไม่ดูดำดูดีก็ใจดำน่าดู แต่ว่าเมื่อเขาปลอดภัยแล้วให้พี่น้องเขาดูแลต่อดีไหม วันนี้แกมีเรื่องสำคัญในชีวิตที่ต้องทำเหมือนกันนะ”

“จำได้พ่อ...แต่ประเด็นก็คือพี่ชายเขาไม่อยู่ ไปสิงคโปร์”

“อืม...มันเหมาะเจาะจริงๆ” ประจวบทำเสียงปลง แล้วหันสั่งสม “เอาชุดเจ้านายแกไปใส่รถฉัน เดี๋ยวเจ้านายแกเขาจะรีบตามไปเจอที่บ้านหนูดาเลย”

สมสาระแนถามว่าให้คุณท่านไปรับหน้าก่อนใช่ไหม แล้วรีบทำตามคำสั่ง โทรศัพท์ของประจวบดังขึ้นอีก กานต์โทร.มาย้ำกับพ่อว่า “พ่ออย่าบอกเรื่องขวัญกับดาหวันเด็ดขาดนะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ประจวบถามว่าจะดีหรือเพราะดาหวันน่าจะฟังเหตุผล “พ่อแน่ใจเหรอ อย่างกับไม่เคยเห็นฤทธิ์คุณนาย จะพาลยกเรื่องขวัญมายกเลิกงานแต่งเอาเสียเฉยๆน่ะสิ”

“เออๆ รีบมานะโว้ย” ประจวบวางโทรศัพท์แล้วบอกกับตัวเอง “ไปตายเอาดาบหน้าก็แล้วกัน”

ooooooo

ที่ห้องดาหวัน นมมาลัยกำลังเอาสร้อยข้อมือใส่ให้ดาหวันบอกว่าพอดีเลย สวยจัง เจนจิราที่ชะเง้อคอยกานต์อยู่ที่หน้าต่างบอกว่าตนไปสืบมาแล้วเป็นสร้อยของแม่กานต์ ตระกูลเขาตั้งใจส่งต่อให้ลูกสะใภ้ ชมว่าโรแมนติกจังเลย

ดาหวันบอกว่ากานต์เอามายื่นให้เฉยๆ ไม่เห็นบอกอะไร นมมาลัยคาดว่าคงเขินเลยไม่พูด เจนจิราเห็นพ้องว่ากานต์เป็นคนออกแนวโหดให้มาพูดให้มาทำอะไรหวานๆ คงขนลุกตายเลย พลันเจนจิราก็ร้องดีใจ

“อุ๊ย รถเจ้าบ่าวมาแล้ว นมขา เรารีบไปกั้นประตูกันเร็ว” ดาหวันบอกว่ายังไม่ได้ฤกษ์ แค่ตักบาตรเท่านั้น เจนจิราทำเป็นบ่นให้ขำว่า นี่คือเป้าหมายหลักเลยนะที่ตนขออนุญาตคุณพ่อมานอนเป็นเพื่อนดา แบบนี้ก็จบกัน ทั้งดาหวันและนมมาลัยพากันหัวเราะขำไปด้วย

ที่โรงพยาบาล พอครองขวัญเข้าห้องพัก เธอก็คว้ามือกานต์ไปกุม อ้อนขอให้เขาอยู่เป็นเพื่อน กานต์เหลือบดูนาฬิกาอย่างหนักใจ

ที่ห้องรับแขกบ้านดาหวัน ประจวบต้องรับหน้ากับดาหวัน พรรณี วีรอร เจนจิราและนมมาลัยอย่างลำบากใจ พอเขาบอกว่าเดี๋ยวกานต์จะรีบตามมา ก็ถูกพรรณีถามว่ามีอะไรสำคัญกว่างานแต่งงานตัวเอง

อีกหรือ วีรอรพูดเอาใจดาหวันว่า พิธีตอนเช้าก็มีแต่คนกันเองในครอบครัวเท่านั้น สายนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก เลยถูกพรรณีประชดว่า

“นั่นสินะ อย่างมากก็แค่ให้คุณประจวบตักบาตรแทนในฐานะพ่อเจ้าบ่าวคงได้นะ หึๆ” พอวีรอรติงว่าวันนี้เป็นวันงานมงคลอย่าพูดแบบนั้น ก็ถูกแหว

“เอ๊ะ! ยายอร ฉันนี่ก็ผมสองสีแล้ว รู้อะไรควรไม่ควรอยู่ ฉันก็พูดตามที่เห็น ถ้าฝ่ายเจ้าบ่าวไม่ให้เกียรติเราแบบนี้ก็ไม่สมควรแต่งหรอก จะจัดงานทั้งทีมันก็ต้องยึดถือฤกษ์ยาม ถ้ามันเสียฤกษ์ตั้งแต่ต้นแล้ว ต่อไปมันก็เสียไปหมดแหละ” พรรณีพาลแช่งไปในที ประจวบเลยติงว่า

“คือ...มันไปกันใหญ่แล้วนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าลูกชายผมจะไม่มางานนะครับ แค่ขอให้รอหน่อยเท่านั้น ตัวผมเองก็อยู่ที่นี่พร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง”
พรรณีไม่ลดราวาศอก ประจวบก็เริ่มของขึ้น

ดาหวันเลยตัดบทว่าทั้งหมดขอให้ตนตัดสินใจเองดีไหม ทุกคนเลยเงียบ

ooooooo

ธวัชเร่งรุจิกาให้รีบแต่งตัวไปงาน เธอให้พี่ชายไปก่อนตนจะไปตอนเย็นเลยทีเดียวเพราะไม่อยากไปเห็นหน้าเพียงนภาเพราะยังอยากตบอยู่เลย พูดเยาะเย้ยอย่างเจ็บใจว่า

“นี่คงหน้าบานอยู่ล่ะสิ หมดเสี้ยนหนามเสียที ยายดาแต่งงานเสียได้”

“พอแล้วน่าเรา เลิกทำตัวเป็นเด็กๆเสียที ตอนนี้ลุ้นให้เจ้าบ่าวมาทันก็พอ เดี๋ยวออกไปเราก็ไม่ต้องพูดอะไรมากล่ะ แค่นี้ก็สงสารน้องดาจะแย่อยู่แล้ว”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอกานต์อยู่อย่างอึดอัดนั้น ธวัชก็พารุจิกามาถึง พอมาถึงเธอก็พูดเยาะเย้ยทันทีว่า

“แม่คะ ยายดาเป็นหม้ายขันหมาก คุณกานต์หนีงานแต่งงานเหรอคะ ฮ่ะๆๆ ขำจัง”

“ขันหมากมารออยู่แล้ว” ประจวบหันมองพูดหน้านิ่งๆ รุจิกาสวนทันควันว่าแต่ไม่มีเจ้าบ่าว เจนจิราทนไม่ไหวโต้ว่า กานต์กำลังมาต่างหาก ธวัชเห็นน้องสาวเริ่มเยอะเกินไปแล้วเลยเตือนเบาๆ

“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเราเป็นใบ้หรอกนะ” แล้วหันไปยกมือไหว้ขอโทษประจวบแทนน้อง

ระหว่างนั้นสมเดินมากระซิบบอกประจวบว่าพระมาแล้ว แต่พอประจวบถามเสียงขุ่นว่าแล้วเจ้านายเอ็งล่ะ สมก็ส่ายหน้าบ้องแบ๊ว เจนจิรากับนมมาลัยมองหน้ากันแล้วถอนใจ ส่วนวีรอรโพล่งขึ้นมาว่า

“นี่ก็นานแล้วนะคะ ยายดายังไม่ตัดสินใจอีก” พรรณีแทรกทันทีว่า ดาหวันไม่ออกมาแบบนี้ก็ชัดแล้วไม่รู้จะรออะไรอีก พลางลุกขึ้นพยักหน้าบอกรุจิกา
ให้กลับ

เพียงนภาทนไม่ไหวไปเคาะประตูเรียกดาหวัน ถามว่าจะต้องตัดสินใจอะไรอีก นี่มันงานแต่งงานของเธอนะ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย เห็นดาหวันยังเงียบ ก็ระดมทุบประตูหนักขึ้นตะโกน

“ดาหวันฉันบอกให้เธอออกมาไง เธอยกเลิกงานเพราะเรื่องบ้าบอแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอม”

ดาหวันนั่งอย่างสงบ ดูรูปพ่ออีกทีก่อนตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูพร้อมกับบอกว่า

“พี่นภาคะ ดาตัดสินใจแล้ว ดา...จะไม่...” พลันก็ชะงักเมื่อเห็นกานต์ยืนเท่อยู่ที่ประตู เธอดีใจเผลอยิ้มออกมาแต่พอนึกได้ก็ปั้นหน้าปึ่ง กานต์บอกว่าพระรออยู่นานแล้วนะ ให้พระรอบาปนะ ดาหวันถามว่าจะไม่อธิบายหน่อยเหรอ กานต์มองๆแล้วบอกว่า เพื่อนไม่สบายเลยต้องพาไปโรงพยาบาล
เป็นคำชี้แจงที่สั้นคลุมเครือแต่กานต์ก็ไม่พูดต่อบอกว่าอยู่ที่เธอจะเชื่อใจตนไหม กานต์ยื่นมือออกไป ดาหวันตัดสินใจวางมือบนมือเขา เจนจิราที่ลุ้นระทึกอยู่ปรบมือนำ ทุกคนเลยปรบตามพร้อมกับถอนใจโล่งอก

ระหว่างที่ดาหวันกับกานต์ตักบาตรนั้น เพียงนภามองเศร้าๆ จนวีรอรถามว่าเป็นอะไร เหนื่อยหรือเปล่า เธอถามว่า

“แม่ว่า นภา...จะได้ทำแบบนั้นบ้างไหม...แต่อีกไม่กี่วันเทพเขาต้องยกขันหมากมาขอนภาอยู่แล้วล่ะนะ” เธอยิ้มหลอกตัวเอง ในขณะที่วีรอรก็บีบมือให้กำลังใจลูกสาว

จนเมื่อถึงพิธีสวมแหวน เปิดพานขันหมาก เห็นสินสอดทองหมั้นในพาน พรรณีกับรุจิกาชะเง้อคอยาวไปดู เห็นแหวนเพชรน้ำงามก็มองกันตาโต

ooooooo

เมื่อดาหวันตื่นขึ้นมาไม่เห็นกานต์ก็อาละวาด ปัดแก้วที่พยาบาลป้อนน้ำให้ตกแตกตวาดถามว่ากานต์หายไปไหนไล่ญาติคนไข้ได้ยังไง พยาบาลชี้แจงว่าเป็นความต้องการของญาติที่ติดต่อให้พยาบาลมาดูแลแทน

“ไม่จริง! เขาจะกล้าทิ้งฉันไปได้ยังไง ฉันทำขนาดนี้แล้ว ไป...ไปตามคุณกานต์มาให้ฉัน ไม่งั้นฉันจะฟ้องโรงพยาบาล คอยดูจะฟ้องให้หมดเลย ฮือๆๆ”

งานเลี้ยงที่จัดในโรงแรมหรูอย่างสวยงาม พรรณีเดินมากับรุจิกา ก่อนเข้าห้องงานก็หยุดถามรุจิกาว่าผมตนบังสร้อยมรกตหรือเปล่า รุจิกาตอบตัดรำคาญว่ามองระยะ 500 เมตรยังเห็นเลย แล้วบ่นอย่างหงุดหงิดว่างานเมื่อเช้ายังหมั่นไส้ดาหวันไม่หายเลย ปากก็บอกว่าไม่อยากแต่งเห็นตอนรับสินสอดหน้าบานซะไม่มี

“นั่นสิ คุณทวีก็เหมือนกัน เอาแหวนมารับขวัญลูกสะใภ้ แต่ไม่มีรสนิยมเลย สักแต่ว่าใหญ่เท่านั้น” พรรณีช่วยถล่ม ยุรุจิกาว่า “นี่ยายรุ งานแกน่ะอย่าให้ต่ำกว่า 5 กะรัตนะ ไม่งั้นขายหน้าเขาแย่” แล้วถามว่าทำไมอติเทพไม่มาด้วย รุจิกาบอกว่าไปสิงคโปร์ ไปซื้ออะไรให้น้องสาวก็ไม่รู้เห็นว่าจะเอาด่วนด้วย

เดินมาจนเกือบเข้าห้องงานแล้ว รุจิกาขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน แต่ที่แท้แอบโทร.ไปหาครองขวัญ ฟังครองขวัญแล้วถามว่าที่เล่ามาเป็นเรื่องจริงหรือ ครองขวัญย้อนถามว่า ตนจะโกหกทำไม กานต์อยู่กับตนทั้งคืน

แม้กานต์จะจ้างพยาบาลพิเศษมาเฝ้าครองขวัญ แต่ระหว่างอยู่ในงานเขาก็แอบโทร.มาถามพยาบาลว่าครองขวัญเป็นอย่างไรบ้าง และจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าต่อ

กานต์นั่งคุยกับประจวบที่มุมหนึ่งในงาน ประจวบลุ้นว่าแต่งงานแล้วตนขอหลานเลยนะ คุยโวว่า ตนแต่งกับแม่เขาปุ๊บก็มีเขาปั๊บเลย กานต์คุยทับว่าไม่ต้องห่วงเพราะตนแต่งตอนเด็กกว่าพ่อเยอะ แถมยังฟิตกว่าด้วย

จิตราเข้ามาขัดจังหวะว่า ทางออร์กาไนซ์อยากให้บ่าวสาวไปดูจุดโปรยดอกไม้อีกที เพราะทางเขาเปลี่ยนจุดนิดหน่อยเพื่อให้ได้มุมที่สวยกว่า กานต์ลุกบ่นงึมงำ

“นี่ตกลงเป็นงานแต่งงานหรือจัดอีเวนต์เนี่ย...เดี๋ยวมานะครับพ่อ”

ประจวบมองลูกชายขำๆ แล้วหันหลังจะเดินไปอีกทาง แต่ต้องชะงักเมื่อเจ็บจี๊ดที่หัวใจขึ้นมา

ooooooo

ดาหวันกับกานต์ไปซ้อมคิวกันเป็นการซ้อมที่ทำให้ทั้งคู่หวั่นไหว แต่ก็ยังไม่เท่าจิตราเลขาของกานต์ที่ดูแล้วเพ้อ เคลิ้มอยู่คนเดียว เมื่อซ้อมคิวเสร็จจะแยกกัน กานต์เรียกดาหวันไว้ชมว่า วันนี้เธอสวยเหมือนนางฟ้าเลย

กานต์ชวนดาหวันไปนั่งพักก่อนเพราะเดี๋ยวจะต้องยืนรับแขกอีกนาน ความอ่อนโยนใส่ใจของกานต์ทำให้ดาหวันอดปลื้มไม่ได้ แต่ก็ขอตัวไปซับหน้าก่อน
ระหว่างเดินไปห้องน้ำ ดาหวันเห็นโทรศัพท์มือถือตกอยู่ พอก้มหยิบรุจิกาก็เดินเข้ามาบอกว่าเป็นของตนทำหล่น ขณะไลน์คุยกับครองขวัญ ดาหวันฟังรู้ว่ารุจิกาเจตนาพาดพิงถึงครองขวัญเพื่ออะไรบางอย่างแต่เธอก็ไม่สนใจ รุจิกาทนไม่ไหวถามว่าไม่อยากรู้จริงๆ หรือว่าทำไมกานต์ถึงมาช้า

รุจิกาเป่าหูดาหวันว่าครองขวัญกับกานต์สนิทกันตั้งแต่เรียนอยู่เมืองนอก แล้วโยงถึงเรื่องที่กานต์มาสายเพราะมัวแต่ดูแลครองขวัญอยู่ ทำให้ดาหวันไม่พอใจที่กานต์โกหกตน พอแยกกับรุจิกา ดาหวันก็หลบมุมไปยืนพิงผนังอย่างผิดหวังน้อยใจพลันก็ถูกมือหนึ่งยื่นมาปิดปากและลากหายไป

กานต์ยืนรับแขกอยู่คนเดียว คมกริชมาแสดงความยินดีด้วยถามว่าแล้วดาหวันหายไปไหนทำไมถึงยืนอยู่คนเดียว กานต์บอกว่าไปซับหน้าแต่รู้สึกนานผิดปกติจึงฝากพ่อให้รับแขกแทนแล้วเลี่ยงไปเดินหาดาหวัน แต่ถูกน้องๆที่บริษัทมาขอถ่ายรูปคนแล้วคนเล่า กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ซ้ำยังเอารูปที่ถ่ายไว้มาให้ดูด้วย
ในรูปกานต์เห็นคล้ายอติเทพยืนอยู่มุมไกลๆ แต่พอขยายก็ชัดเจนว่าเป็นอติเทพ กานต์พึมพำว่าตนไม่ได้เชิญ สังหรณ์ใจขึ้นมา จึงเรียก รปภ.ให้ไปกับตน
การเคลื่อนไหวทั้งหมดของกานต์อยู่ในสายตาของอรอุมาน้องสาวของอติเทพที่จับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว

ooooooo

อติเทพลากดาหวันเข้าไปในห้องเก็บของล็อกกุญแจบอกเธอว่าเรายังไม่ได้ทำความเข้าใจกันเลย อ้างว่าที่แล้วมาเธอฟังแต่คนอื่นยังไม่เคยฟังความจริงจากปากตนเลย รีบบอกว่า

“ผมไม่ได้ทำร้ายดานะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมรักดานะ”

“ถ้าเทพจะมางานวันนี้เพื่อยินดีกับดาในฐานะแขก ดาก็จะไม่ขัดข้องอะไร แต่เลิกยกเอาความรักของเรามาเป็นข้ออ้างเถอะ สิ่งที่เทพทำมันไม่ได้เป็นการให้เกียรติดาเลย” ดาหวันยกมือขอเขาอย่าพูดอะไรอีก อติเทพได้แต่มองเธออย่างเจ็บปวด

ระหว่างนั้นอรอุมารีบส่งไลน์เตือนอติเทพว่า “ดูเหมือนคุณกานต์รู้ตัวแล้ว รีบจัดการเสีย”

ระหว่างนั้นธวัชถือเครื่องดื่มเดินผ่านมา อรอุมาที่จ้องจะจับธวัชอยู่แล้วแกล้งสะดุดทำเครื่องดื่มหกรดเป้ากางเกงเขาและตัวเองก็หกรดตรงอกเสื้อพอดี ต่างฝ่ายต่างขอโทษกันแล้วพากันไปห้องน้ำ

กานต์ผ่านมาทางห้องเก็บของ ต่างหูเพชรของดาหวันหล่นที่พื้นส่องประกายเข้าตา เขามั่นใจว่าดาหวันต้องอยู่ในห้องนั้น เคาะประตูตะโกนเรียก “ดา...ดาหวัน คุณอยู่ในนั้นใช่ไหม” ดาหวันตะโกนออกไปว่า “คุณกานต์ ฉันอยู่ในนี้ค่ะ”

อติเทพรีบทำงานต่อ ขู่ดาหวันว่าเราเป็นของกัน และกันแล้ว เธอยังกล้าใส่ชุดเจ้าสาวบริสุทธิ์แบบนี้อีกหรือ เธอจะบอกเรื่องนี้กับเจ้าบ่าวของเธอหรือเปล่า

กานต์ทนไม่ไหวบอก รปภ.ให้หาอะไรมางัดประตู ก็พอดีประตูเปิดออก กานต์รวบดาหวันไปถามว่าเธอปลอดภัยใช่ไหม ดาหวันพยักหน้ารับ กานต์หันไปถามอติเทพด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า

“คุณกล้าเข้ามาในงานนี้ได้ยังไง วันนั้นผมไม่ทันเอาเรื่องคุณเพราะห่วงดา แต่นี่คุณยังกล้าเข้ามาแล้วทำแบบนี้อีก ออกไปนะ รปภ.เชิญตัวผู้ชายคนนี้ออกไป”

อติเทพอ้างว่าตนแค่มาคุยกับดาหวันเท่านั้น ยียวนว่าคนรู้จักกันพูดคุยกันมันผิดด้วยหรือ กานต์โมโหชกเปรี้ยงที่หน้า อติเทพรู้ทันหลบพ้นแล้วเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ดาหวันบอก รปภ.ให้แยกพวกเขา พอ รปภ.แยกออกมาดาหวันรีบเข้ากั้นกลางขอร้องให้พอได้แล้ว

กานต์ประกาศว่านี่เป็นงานแต่งงานของตนและไม่ต้อนรับเขาไล่ให้อติเทพออกไปเสียถามว่าหรือจะให้ตำรวจมาเชิญตัวออกไป อติเทพท้าทายว่า จะจับข้อหาอะไร?

“ไอ้หน้าด้าน ก็ที่แกทำกับดาไง ที่แกจงใจปิดประตูขังดาไว้ ใช่ไหมดา เขาบังคับคุณ ใช้กำลังกับคุณใช่ไหม แค่นี้ผมก็เอาตำรวจลากคุณเข้าคุกได้แล้ว”

“เปล่า! เขาไม่ได้ทำอะไร เราแค่คุยกัน เขาไม่ได้บังคับฉัน” ดาหวันปกป้องอติเทพจนกานต์อึ้ง ดาหวันหันไปบอกอติเทพให้กลับไปเสีย ฝ่ายนั้นก็ทำเป็นเชื่อฟังว่า

ถ้าเป็นความต้องการของเธอก็ได้ แล้วมองกานต์กวนๆ ก่อนเดินออกไป ท่ามกลางความงุนงงของกานต์กับท่าทีของดาหวัน

อติเทพเดินหัวเสียออกมา เจอเพียงนภาเข้าพอดี เธอรี่เข้าไปถามว่าจะกลับแล้วหรือชวนอยู่ชิมเค้กแต่งงานกันก่อนข่าวว่าอร่อยมาก

เพียงนภาพยายามอ่อยอติเทพชวนให้คิดถึงความหลังโดยเฉพาะเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เธอปลอมเป็นดาหวันไปนอนกับเขา อ้างว่าตนเป็นเมียเขาแล้วและก็มีพยานรับรู้มากมาย ชวนว่างานนี้คุณแม่มาด้วยเขาควรจะไปขอตนกับท่านเสียเลย

“กลับไปกินยาเสียนภา จะได้เลิกเพ้อเจ้อเสียที ถึงคุณจะลงทุนเป็นตัวแทนของดา ลงทุนประจานตัวเอง แต่คุณก็ไม่ได้อะไรหรอก เพราะผมไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น” อติเทพดูถูก ไม่ยี่หระ

ต่างโต้เถียงกันจนอติเทพตบเพียงนภาหน้าหันทรุดลงไปกอง เพียงนภาทั้งตกใจและกลัว อติเทพตามไปจิกหัว

“ฉันจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของฉัน อย่าเข้ามาแส่อีก จำเอาไว้” แล้วเงื้อมือจะตบอีก พลันก็ชะงักสะดุ้งตัวอ่อนทรุดลงไปกับพื้น ที่ข้างหลังเขา วีรอรถือเครื่องช็อตไฟฟ้าทั้งขู่ทั้งด่า

“ไอ้ทุเรศ ถ้าแกกล้าแตะต้องลูกสาวฉันอีก แกตายแน่ เข้ามาสิ!” พออติเทพประคองตัวออกไป วีรอรก็โยนเครื่องช็อตไฟฟ้าทิ้งโผถามเพียงนภา “เจ็บไหมลูก ไม่เป็นไรแล้วนะ แม่ไม่ให้ใครมาทำอะไรหนูได้อีกเด็ดขาด ไม่ต้องกลัวนะ”

ooooooo

อรอุมาเข้าห้องน้ำชำระคราบเครื่องดื่ม ดึงเสื้อด้านหน้าให้หย่อนลงมาโชว์เนินอก แล้วมาดูแลธวัช เธอพยายามยั่วยวนและจะช่วยทำความสะอาดบริเวณเป้ากางเกงที่เลอะเครื่องดื่มของเขา

ธวัชเกร็งกับการจับต้องของอรอุมา แต่สำนึกด้านดีเตือนสติตัวเองว่าไม่ควรทำอะไรผิด แม้อรอุมาให้สัญญาว่าจะไม่บอกใคร แต่เขาก็ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำแล้วหนีออกจากห้องน้ำไป

“บ้า ผู้ชายที่ไหนปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือ” อรอุมาด่าอย่างหงุดหงิดที่อ่อยธวัชไม่สำเร็จ

ธวัชออกมาเจอเจนจิราเธอมองเขาแปลกๆ เมื่อเห็นอรอุมาตามออกมาในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เธอก็ยิ้มให้ทั้งสองทำนองรู้ทัน ธวัชจะชี้แจง อรอุมาก็ทำทีบอกว่าเจนจิราคงเข้าใจผิดตนสองคน แต่เจนจิราบอกว่าช่างเถอะแล้วเดินผ่านไป

เมื่อเข้ามาในงาน ธวัชเห็นเจนจิรายืนคุยอยู่กับแขก เขาอยากเข้าไปชี้แจงกับเธอแต่ก็ไม่กล้า

ฝ่ายกานต์กับดาหวันเดินกลับเข้ามาในงานอย่างหมางเมินใส่กัน ดาหวันนึกรังเกียจตัวเองตามที่ถูกอติเทพตอกย้ำเมื่อครู่ว่าเธอไม่สมควรใส่ชุดเจ้าสาวที่บริสุทธิ์เพราะเธอเป็นของเขาแล้ว ทำให้เธอพยายามห่างเหินกานต์ แต่กานต์กลับคิดว่าพอเธอได้เจออติเทพได้ทบทวนความหลังกันจึงหมางเมินกับตน

“ฉันรู้ว่าฉันทำอะไร อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยโกหก เหมือนคนบางคน”

กานต์งงว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ไม่ทันถาม ออร์กาไนซ์ก็มาตามตัวบอกว่า งานเริ่มแล้ว

งานดำเนินไปอย่างขลุกขลักเมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างปั้นปึ่งใส่กัน กานต์รู้ตัวว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะบอกดาหวันให้ยิ้มหวานๆ ขอให้คิดเสียว่าตนเป็นอติเทพก็แล้วกัน ถูกดาหวันประชดว่าได้ ขอให้เขาคิดเหมือนกันว่าตนเป็นครองขวัญก็แล้วกัน

ooooooo

ที่มุมแชมเปญกลางงาน ดาหวันกับกานต์ยืนรออยู่ เมื่อจุกขวดแชมเปญเปิดออก ดาหวันกับกานต์รินแชมเปญจากแก้วที่อยู่ด้านบนไหลลงแก้วด้านล่าง ขณะนั้นดาหวันเหลือบเห็นเหมือนอติเทพยืนยิ้มขยับปากพูดอยู่ไกลๆว่า “สัญญา”

ทำให้ดาหวันคิดถึงที่อติเทพพูดที่ห้องเก็บของว่า

“ดา...วันนี้ผมไม่ได้อยากทำงานแต่งงานดาล่มนะ ผมแค่อยากมาย้ำสัญญาของเราเท่านั้น ผมยอมให้คุณแต่งงานก็เพื่อพินัยกรรมสมบูรณ์ แต่ยังไงคุณก็ยังเป็นของผม ผมจะรอวันที่คุณหย่า แล้วเราก็จะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง หึๆๆ”

คำพูดนี้ทำให้ดาหวันระแวงจนเกิดภาพหลอนว่า แขกในงานต่างมองเธออย่างเหยียดหยาม ประณาม ดูถูก จนปวดหัวขึ้นมา ยืนโงนเงน มือปัดแก้วตกแตกกระจาย แขกในงานตกใจร้องกรี๊ด ดาหวันเองก็ตกใจ กานต์ถามว่าเป็นอะไร แต่ดาหวันไม่ทันได้พูดอะไรก็หมดสติในอ้อมแขนของกานต์แล้ว

รุ่งขึ้นดาหวันตื่นขึ้นมามองไปรอบๆ ไม่คุ้นกับห้องที่นอน เธอร้องเรียกนมมาลัยก็ไม่มีเสียงตอบรับ แต่มีเสียงของหล่น เธอตกใจคว้าของใกล้มือเป็นอาวุธ ค่อยๆ เดินไปผลักประตูห้องน้ำ แล้วเธอก็ต้องผงะเมื่อเห็นกานต์นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวอยู่ในห้องน้ำ กานต์ถามว่าตื่นแล้วหรือ

“คุณ? คือ... ฉันไม่คิดว่าจะเป็นคุณน่ะ” ดาหวันเห็นเขานุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวก็เขินไม่กล้ามอง ก้มมองตัวเองอยู่ในชุดนอนก็รีบขยับให้กระชับเรียบร้อย

กานต์บอกว่าที่นี่คือเรือนหอของเรา แต่เมื่อคืนเธอนอนหลับยาว ดาหวันขอโทษเรื่องเมื่อวาน แล้วจะออกไป กานต์ไม่ยอมให้ไปไหน อ้างว่าเราแต่งงานกันแล้ว เธอควรจะเรียนรู้หน้าที่ของภรรยา แล้วสอนให้เธอโกนหนวดให้ เธอไม่ยอมทำก็ถูกกานต์เคี่ยวเข็ญเลยยื้อยุดจนกลายเป็นหยอกล้อกัน

บรรยากาศกำลังจะดี สมรเมียของสมก็มาเคาะประตูห้องบอกดาหวันว่า มีแขกมาขอพบทั้งสองเลยผละจากกันเขินๆ

ooooooo

แขกที่มาคือ มารตี เพื่อนเก่าเจ้าของบลูคลับที่ดาหวันไปเที่ยวประจำนั่นเอง มารตีเอาของขวัญวันแต่งงานมาให้ แสดงความยินดีที่เธอแต่งงานกับกานต์

มารตีเล่าว่าจะไปงานแต่งคืนนั้นแต่ธนายงปวดท้องกะทันหันทำท่าจะแย่จึงต้องพาไปส่งโรงพยาบาล ดาหวันตกใจถามว่าหนักขนาดนั้นเลยหรือ มารตีถามว่ากานต์ไม่ได้เล่าให้ฟังหรือ เพราะคืนนั้นเจอกานต์ที่ไปเฝ้าครองขวัญนึกว่าเขาเล่าให้ฟังแล้ว ดาหวันได้รับการยืนยันจากมารตีว่ากานต์อยู่กับครองขวัญจริงๆ เธออึ้งไปจนมารตีถามว่าตนพูดอะไรผิดหรือเปล่า

“ไม่มีอะไรผิด แต่มันช่วยให้ฉันแน่ใจขึ้นเท่านั้น” แล้วตัดสินใจถาม “มารตี เรื่องวันก่อนที่ฉันให้เธอช่วยถามทนายเกี่ยวกับคำสั่งในพินัยกรรมของฉัน เธอถามให้แล้วหรือยัง”

มารตีพยักหน้ารับแทนคำตอบ

ooooooo

ครองขวัญกลับบ้านแล้ว เธอนั่งเอนกินผลไม้หัวเราะชอบใจขณะนั่งคุยกับรุจิกา

“ฮ่ะๆๆ ขวัญอุตส่าห์ลงทุนทำทุกทางเพื่อไม่ให้เกิดงาน แต่คนที่ทำงานแต่งงานพังก็คือยายดาหวันเอง ฮ่ะๆๆ”

รุจิกาหัวเราะผสมโรงบ่นเสียดายที่ตอนนั้นถ่ายคลิปเอาไว้ไม่ทัน นทีพี่ชายครองขวัญติติงน้องสาวว่า

“เห็นไหมสิ่งที่ขวัญพยายามทำเพื่อยื้อคุณกานต์ไม่มีประโยชน์ แถมยังอันตรายมาก เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

“แค่กินยาเกินขนาดนิดๆหน่อยๆ ไม่กี่เม็ด ไม่ถึงตายหรอกค่ะพี่นที น้องขวัญเขาศึกษามาแล้ว” รุจิกาแก้ต่างให้ เลยถูกนทีตำหนิว่า แทนที่จะช่วยกันห้าม กลับส่งเสริมให้ทำอะไรแบบนี้ รุจิกาเลยจ๋อยไป นทีเตือนครองขวัญว่า

“ขวัญก็เหมือนกัน คราวนี้คุณกานต์แต่งงานไปแล้ว ก็เลิกยุ่งกับเขาสองคนเสียทีเถอะ ถึงงานแต่งงานจะจบไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนนี้ทุกคนในสังคมก็รับรู้แล้วว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน”

“ไม่!” ครองขวัญแผดเสียง “ขวัญไม่ยอมรับ ขวัญตั้งใจแล้วว่าขวัญจะไม่ยอมเสียกานต์ไปอีก ขวัญจะไม่ยอม พลาดเหมือนครั้งที่แล้วอีก พี่นทีก็รู้นี่ พี่นทีห้ามขวัญแบบนี้ พี่นทีไม่รักขวัญ ไม่อยากดูแลขวัญเหมือนที่รับปากกับพ่อแม่ไว้ใช่ไหม งั้นก็ไม่ต้องมายุ่งกับขวัญอีก”

ครองขวัญยกมืออาละวาดทำให้เลือดไหลย้อนไปในสายน้ำเกลือ นทีต้องบอกให้อยู่เฉยๆ เลือดมันจะไหลย้อน ครองขวัญเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญว่าพี่ชายไม่รักตนไม่ต้องมายุ่งกับตนปล่อยให้ตนตายไปเลย

“อย่าขวัญ อย่าทำแบบนี้อีก พี่ไม่ว่าขวัญแล้ว ขวัญจะทำอะไรก็ตามใจ” นทีกอดน้องไว้ ครองขวัญแอบยิ้มสมใจที่ใช้วิธีนี้กับนทีทีไรได้ผลทุกที

ooooooo

ดาหวันลงมาถามสมว่ามีรถคันไหนจะให้ตนใช้ได้บ้างไหม สมบอกว่ามีแล้วจะไปหยิบกุญแจให้ กานต์มาถามว่าเธอจะไปไหนเดี๋ยวตนไปส่งเพราะเธอเป็นภรรยาตนแล้ว และพ่อสอนว่าเมื่อมีภรรยาแล้วก็ต้องเอาใจภรรยา

กานต์ให้ดาหวันขึ้นรถใส่เบลให้เสร็จก็โบกมือหย็อยๆ ให้ประจวบที่วิ่งออกกำลังกายอยู่ที่สนามใกล้ๆนั้น กานต์สั่งให้สมเปิดประตูรถตนจะพาเมียนั่งรถเล่น สมแอบหัวเราะคิกคักในขณะที่ดาหวันนั่งหน้าตึง

เวลาเดียวกัน พรรณีอยู่กับบรรดานายหน้าที่เอาเงินตอบแทนการลงทุนหุ้นน้ำมันมาให้ที่ร้านอาหาร เมื่อรับเงิน ค่าตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนในหนึ่งสัปดาห์แล้ว พรรณีก็เอาไปช็อปปิ้งซื้อของกลับมาฝากรุจิกามากมาย

รุจิกาถามว่าคุณแม่ไปรวยอะไรมาหรือ พรรณีบอกว่าได้เงินค่าขนมจากหุ้นน้ำมันนิดหน่อย พอธวัชได้ยินก็ติงแม่ว่า เป็นพวกแชร์น้ำมันที่เป็นข่าวกันหรือเปล่า แม่ต้องระวังเพราะมีพวกมิจฉาชีพเยอะ

พรรณีมั่นใจว่าพวกที่ลงทุนล้วนเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น ตนจะร่วมหุ้นกับเพื่อนซื้อสักบ่อก็แค่คนละ 10 ล้าน แค่นี้เราก็จะมีกินสบายๆไปตลอดไม่ต้องมาแบมือขอรับเงินเดือนกระจ้อยร่อยอยู่แบบนี้ ธวัชถามว่าแม่จะเอาเงิน 10 ล้านจากไหน

“เราไม่มี แต่เงินออฟฟิศออกเยอะแยะ แม่ไม่อยากพูดซ้ำซากหรอกนะ แต่แกก็รู้นี่ว่าต้องทำยังไงหรือแกจะรอให้นังดามันแบ่งสมบัติล่ะ”

ทั้งรุจิกาและพรรณีต่างพากันแช่งให้ดาหวันตายเร็วๆ จะได้เปิดพินัยกรรมแบ่งสมบัติกันให้เสร็จๆ ธวัชติงแม่กับน้องให้พูดกันเบาๆหน่อยเดี๋ยวใครมาได้ยินจะเข้าหูดาหวัน พรรณีบอกว่านี่เป็นบ้านตน ตนไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น

พอดีคนใช้เข้ามาบอกพรรณีว่า ดาหวันให้มาเชิญไปที่บ้านใหญ่ พรรณีอดตกใจไม่ได้ที่พอพูดถึง ดาหวันก็มา

ดาหวันเอากระเช้าผลไม้มาไหว้อาทั้งสอง ปรารภกับวีรอรว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้านนี้ วีรอรรีบแย้งทันทีว่าแต่งงานแล้วก็ควรอยู่บ้านสามี ส่วนที่นี่อย่างไรเสียก็เป็นบ้านของเธออยู่วันยังค่ำคิดถึงเมื่อไรก็แวะมาได้ กานต์สนับสนุนทันที วีรอรหัวเราะอย่างเอ็นดู ถามว่า

“เมื่อวานเห็นสร้อยมรกตที่คอพี่พรรณี รู้สึกคุ้นๆ อยู่เหมือนของแม่หนูนะ อาเคยเห็นแม่หนูใส่อยู่”

ดาหวันบอกว่าใช่เป็นสร้อยของแม่ที่อยู่ในเซฟ พรรณีกับรุจิกามาถึงได้ยินพอดี พรรณีเหน็บวีรอรว่าสนใจสร้อยเส้นนั้นเป็นพิเศษเลยนะ ข้องใจอะไรหรือ ในเมื่อดาหวันอยากให้ตนใส่

วีรอรดักคอว่าเมื่อใส่เสร็จงานแล้วก็รีบเอามาคืนดาหวันเสียจะได้เอาไปเก็บเข้าเซฟธนาคาร

“ค่ะ ดาก็คิดแบบนั้น” ดาหวันได้จังหวะเอ่ยขึ้น ถามแกมทวงว่า “แล้วสร้อยล่ะคะ”

พรรณีบอกว่าลืมหยิบมาคืน ถูกเพียงนภาดักคอว่าลืมไม่ได้หยิบมาหรือจงใจลืมตลอดไปกันแน่ รุจิกาออกโรงปรามเพียงนภาแทนแม่ว่าพูดอย่างนี้จะให้ดาหวันคิดใช่ไหมว่าแม่ตนจะฮุบสร้อยนั้นไว้เอง

เพียงนภากับรุจิกาโต้เถียงกัน พรรณีช่วยรุจิกาเถียงกับเพียงนภา พอถูกเพียงนภาจี้ใจดำว่าถ้าทั้งสองไม่มีเจตนาจะฮุบสร้อยเส้นนั้นก็ไม่เห็นต้องออกตัวอะไร พรรณีหาว่าเพียงนภาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ด่าว่าวีรอรไม่สั่งสอนลูกตนจะสั่งสอนให้เอง เลยกลายเป็นวีรอรออกมาปกป้องลูกมีปากเสียงกับพรรณีแทน ทำท่าจะลงมือกันจนกานต์ต้องออกไปกั้นกลางขอร้องให้พอเถอะ ดาหวันก็ขอร้องอย่าทะเลาะกันเองเลย

พรรณีฉวยโอกาสที่มีเรื่องกันพารุจิกากลับ ถูกเพียงนภาถามตามหลังว่า

“หาเรื่องโกรธกลับไป แล้วสร้อยล่ะเมื่อไหร่จะคืน”

ดาหวันเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน กานต์ได้แต่ยิ้มให้กำลังใจเธอ

พรรณีกลับถึงบ้านก็รีบเปิดลิ้นชักดูสร้อยมรกตที่ซ่อนไว้ รุจิกาถามว่าแม่จะเอาไปคืนดาหวันจริงๆหรือ พรรณีถามว่าจะคืนทำไมเก็บไว้เผื่อดาหวันลืมจะได้ฮุบเสียเลย รุจิกากลัวเปิดพินัยกรรมแล้วจะถูกไล่ออกจากบ้าน ยุแม่ว่าต้องรีบโกยเสีย ไม่อย่างนั้นเราแย่แน่ มองสร้อยแล้วตีราคาว่าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามสี่ล้าน

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย 10 ล้าน ที่จะเอามาลงทุนมันเป็นส่วนที่พี่แกต้องเอามา ส่วนสร้อยนี่จะขายทำไม เก็บเอาไว้ใส่สิ มันเป็นหน้าตาของเราในสังคม” ว่าแล้วพรรณีก็เอาสร้อยเข้าเซฟ หมุนเปิดเซฟไม่ทันสังเกตว่ารุจิกาแอบดูอยู่ตาไม่กะพริบ

ooooooo

นมมาลัยเตรียมเก็บของที่ใช้ชินมือไปอยู่กับดาหวันที่บ้านกานต์ พอลงมาที่รถนึกได้ว่าลืมกระเป๋าของดาหวันจึงขึ้นไปเอา เห็นกระเป๋าไปซุกอยู่ที่มุมหนึ่ง พอเดินไปเอาก็เหยียบน้ำมันที่ราดพื้นลื่นหกล้ม

ดาหวันเห็นนมมาลัยไปนานผิดปกติจึงให้เด็กไปตาม ครู่เดียวเด็กวิ่งมาบอกว่านมมาลัยหกล้มอยู่ข้างบน ดาหวันรีบขึ้นไปดูเห็นนมมาลัยกำลังพยายามลุกขึ้นแต่ลุกไม่ขึ้น กานต์บอกว่าอย่าเพิ่งเคลื่อนตัวเผื่อมีอะไรหักเราจะเคลื่อนย้ายผิดวิธีจึงโทร.เรียกศูนย์นเรนทรมารับไป

ปรากฏว่านมมาลัยแค่ขาแพลงอักเสบนิดหน่อยไม่ถึงกับหัก นมจึงขออยู่ที่นี่ไปก่อนเพราะคุ้นชินกับสถานที่ ดาหวันจะอยู่เป็นเพื่อน นมมาลัยไม่เห็นด้วย วีรอรบอกดาหวันว่าตนจะช่วยดูแลนมมาลัยอีกแรง ดาหวันจึงยอมกลับไปกับกานต์

วันนี้ขณะวีรอรกับเพียงนภาไปช็อปปิ้งในห้าง เพียงนภาบ่นแม่ว่าไปรับดูแลคนแก่ขาหักทำไม แม่ควรจะทุ่มเทดูแลตนมากกว่าเพราะตนเป็นลูกของแม่ วีรอรดุเพียงนภาว่าหยุดส่งเสียงดังได้แล้วเพราะนี่ไม่ใช่บ้านเรา และเลิกทำตัวขี้อิจฉา ที่อิจฉาแม้แต่นมมาลัยเสียที บอกเพียงนภาว่า

“แม่รักหนูคนเดียว แต่หัดคิดเสียบ้าง” แล้วลด เสียงลงแต่น้ำเสียงจริงจังขึ้น “ถ้าดาหวันไม่กลับมาที่บ้านอีก แล้วจะจัดการมันยังไง” เพียงนภาตาโตถามว่าหมายความว่ายังไง วีรอรก็ทำเสียงอ่อนลงว่า “ก็แม่หมายถึงเราจะ ทำคะแนนให้ดาหวันสงสารพวกเราได้ยังไง เราสู้พวกพรรณีไม่ไหวหรอกนะ”

เพียงนภายักไหล่ว่าไม่เห็นต้องแคร์ วีรอรย้ำเตือนว่านี่ก็ใกล้เวลาเปิดพินัยกรรมแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าดาหวันจะตัดสินใจอย่างไร เราต้องทำให้ดาหวันเห็นความดีของเราที่มีต่อนมมาลัยเพราะยังไงเราก็ไม่มีที่ไป

“ไหนแม่บอกลุงทวีเคยบอกจะยกสมบัติส่วนหนึ่งให้แม่ไง”

“พี่ทวีเคยสัญญากับแม่ เขาบอกว่าจะดูแลน้องสาวคนนี้ไปตลอด เราสองแม่ลูกไม่ใช่กาฝาก เราก็เป็นนันทิพัฒน์เหมือนดาหวัน เพราะฉะนั้นเรามีสิทธิ์ในสมบัติทุกอย่างได้ตามกฎหมายเหมือนกัน”

แต่เพียงนภาไม่ได้สนใจฟังเธอผละไปแล้ว พอวีรอรไม่เห็นเพียงนภาก็รีบตามหา

ooooooo

ที่แท้เพียงนภาเห็นหลังอติเทพเดินกับหญิงสาวในห้าง เธอรีบตามไปพอเห็นชัดๆ เธอก็ตะโกนเรียกเขาไม่สนใจว่าใครจะมอง คมกริชยืนซื้อกาแฟอยู่ก็หันไปดูด้วย


-------------ที่มา ไทยรัฐ