วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลงรักเพลงลำ ตอนที่ 13


โพยมยงดีใจที่ปกรณ์พลได้รับมรดกจากอรรถแต่ยังไม่พอใจติงว่ามันน้อยไป จึงต่อรองเพลงลำให้ช่วยเจรจากับอรรถใหม่เพราะเขายังมีผลประโยชน์จากธุรกิจปลีกย่อยอีกเยอะ ต้องแบ่งส่วนนี้ให้ปกรณ์พลด้วย ไม่เช่นนั้นตนไม่มีทางให้งามไฉไลแต่งงานกับเขา

เพลงลำหนักใจกับความไม่รู้จักพอของโพยมยงแต่ยังไงก็จะหาโอกาสพูดกับอรรถ ส่วนไข่กาเป็นเดือดเป็นแค้น เอาแต่ก่นด่าคุณนายว่างกและเค็มไม่มีใครเหมือน ด้านปกรณ์พลที่ตัดสินใจแน่แน่วแล้วว่าจะแต่งงานกับงามไฉไล เขาบอกโฉมตรูว่าแต่งแล้วจะอยู่บางลำต่อไป ใช้ชีวิตสมถะเรียบง่ายแบบคนชนบท ปลูกผักปลูกข้าวกินเอง

โฉมตรูกังวลว่างามไฉไลจะอยู่ไม่ได้ ปรากฏว่าเธอยืนยันหนักแน่นว่าอยู่ได้ขอแค่มีปกรณ์พล และเธอพร้อมจะทำทุกอย่างให้เขามีความสุขเมื่อเราแต่งงานกัน ฝาจุกอยู่หน้าห้องจะมาสอดแนมดูอาการงามไฉไลได้ยินอย่างนั้นตกใจถึงกับก้าวขาไม่ออก พอตั้งหลักได้ถอยออกมาก็เจอเพลงลำกับไข่กาที่ตั้งใจมาเยี่ยมงามไฉไลเช่นกัน

เมื่อได้ฟังเพลงลำยืนยันว่าการแต่งงานระหว่างปกรณ์พลกับงามไฉไลเป็นเรื่องจริง ฝาจุกเสียใจกลับมาร้องไห้กับพ่อกำนันเป็นวรรคเป็นเวรอย่างทำใจไม่ได้ ขณะที่เพลงลำก็เจ็บปวดเหมือนกัน เปลี่ยนใจไม่เข้าไปเยี่ยมงามไฉไลเพราะไม่ต้องการเผชิญหน้าปกรณ์พลที่อยู่ในห้องนั้น

ฝาจีบกับสมุนสองคนยังคงหลบซ่อนตัวในบางลำ คืนนี้เองโพยมยงขับรถจากกรุงเทพฯมาหางามไฉไล

ที่โรงพยาบาล ระหว่างทางเธอเห็นพวกฝาจีบวิ่งข้ามถนนหายไปในความมืด จึงมาเล่าให้ลูกสาวฟัง แต่งามไฉไลต้องการลืมเรื่องของฝาจีบให้หมดสิ้น ตัดบทว่าตนไม่อยากรับรู้

“ไม่รับรู้ไม่ได้นะลูก ก็ไหนว่านายฝาจีบกับพวกหนีไปแล้ว แต่แม่ยังเห็นนายฝาจีบอยู่เลย แม่ไม่ได้ตาฝาด ไม่ได้ไฟไหม้น้ำร้อนลวกเสียจนตาพร่า แม่เห็นมันจริงๆ”

“งามบอกแล้วไงคะ งามไม่สนใจ”

“ไม่สนใจไม่ได้ เพราะตราบใดที่นายฝาจีบยังมีชีวิตอยู่ มันจะเป็นมารคอยขัดความสุขของลูก ลูกรู้ไหมแม่กำลังต่อรองเรื่องผลประโยชน์ส่วนอื่นของคุณอรรถที่เขาจะแบ่งให้ปกรณ์พลอยู่”

“คุณแม่! นี่คุณแม่...”

“เปล่า แม่ไม่ได้พูดกับคุณอรรถหรอก แต่แม่ใช้นังเพลงลำเป็นกระบอกเสียง อยากจะทำตัวเป็นคนดีเป็นนางเอกผู้เสียสละ ก็ให้มันเสียสละให้คุ้ม ปกรณ์พลร่ำรวยแม่รับเป็นเขยได้ แต่เขาต้องรวยกว่านี้ เพราะ
แม่รู้ว่าลูกต้องใช้ชีวิตสุขสบาย นั่งๆ นอนๆ กินๆ เที่ยวๆ อยู่บนกองเงินกองทอง”

“งามแต่งงานกับพี่กรณ์แล้วจะอยู่บางลำค่ะ”

“อะไรนะ”

“งามแต่งงานแล้ว งามจะเปลี่ยนชีวิตใหม่ค่ะ งามจะเป็นแม่บ้าน เป็นภรรยาที่ดีของพี่กรณ์ งามจะเลิกฟุ้งเฟ้อใช้ชีวิตไร้สาระอย่างที่เคยเป็น งามสัญญากับพี่กรณ์ไว้แล้วค่ะคุณแม่ งามจะหยุดเป็นนางมารร้าย”

โพยมยงตะลึงอย่างคาดไม่ถึง ขณะเดียวกันนั้นฝาจุกกำลังโวยวายกับพ่อกำนันว่าตนไม่ยอมให้ปกรณ์พลกับงามไฉไลแต่งงานกัน พ่อกำนันต้องทำให้เขาไม่ได้ลงเอยกัน กำนันฝอยกลุ้มหนัก ไหนจะเรื่องฝาจีบกลายเป็นโจรถูกตำรวจตามล่า แล้วฝาจุกยังจะมาบีบบังคับด้วยอีกคน

ในที่สุดกำนันตัดสินใจเดินทางไปเจรจารอมชอมกับโพยมยงเรื่องไม่ให้เอาผิดฝาจีบก่อน โดยนำข้าวเปลือกจำนวนมากใส่รถบรรทุกไปกำนัล แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมโดนเธอไล่ตะเพิดด่าไม่เลี้ยง หูชากลับมาพร้อมความผิดหวัง

ถึงวันที่งามไฉไลออกจากโรงพยาบาล เธอเจาะจงมาอยู่บ้านเดียวกับปกรณ์พล...โฉมตรูกับดาหวันลำบากใจ แม้งามไฉไลจะดูอ่อนน้อมถ่อมตน ขอโทษที่เคยล่วงเกินทั้งคู่ สัญญาว่าจากนี้ไปเธอจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี จะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของปกรณ์พล

“ผมพางามมาอยู่ที่นี่ เพราะงามไม่พร้อมที่จะกลับกรุงเทพฯครับ”

“กรุณางามเถอะนะคะคุณป้า ถ้างามกลับไปอยู่กับคุณแม่ งามก็ทำเรื่องขายหน้าให้คุณแม่อีก งามอยากจะใช้ชีวิตเงียบๆ”

“แล้วจะอยู่ได้หรือ ชนบทน่ะดูเงียบสงบน่าอยู่ แต่พออยู่เข้าจริงๆ บางคนก็อยู่ไม่ได้”

“ใช่ค่ะ อยู่ที่นี่ไม่มีใครเป็นนายเป็นบ่าว ต้องช่วยตัวเองทำงานในสวนในครัว”

“งามทำได้ค่ะป้าดาหวัน งามสัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระของใครค่ะ”

“ให้งามอยู่ด้วยเถอะครับคุณแม่ คนบางลำจะได้รู้ว่าผมกับงามจะแต่งงานกัน”

โฉมตรูนิ่งคิดแล้วดึงมือปกรณ์พลลงจากเรือนมากระซิบถามด้วยความกังวล

“แล้วคุณโพยมยงล่ะ รู้หรือเปล่าว่าลูกรับงามไฉไลออกจากโรงพยาบาลแล้วมาอยู่ที่นี่ แล้วแน่ใจหรือว่าจะแต่งงานกับงามไฉไลจริงๆ”

“งามไม่อยากรอคุณป้าโพยมยงครับ รบเร้าให้ผมพากลับบ้าน อยากจะกลับมาพักฟื้นที่นี่”

“แม่ถามว่าแน่ใจแล้วหรือว่ากรณ์จะแต่งงานกับงามไฉไลได้”

“ครับ ผมเลือกคนที่รักผม ไม่เลือกคนที่ผมรักแล้วล่ะครับคุณแม่ ขอโทษนะครับ ผมจะพางามไปดูห้องใหม่ที่จัดไว้”

ปกรณ์พลกลับขึ้นเรือน โฉมตรูมองตามแล้วทอดถอนใจอย่างกังวล

ooooooo

สายวันเดียวกัน เพลงลำกับไข่กาตั้งใจมาเยี่ยมงามไฉไล แต่ภายในห้องผู้ป่วยว่างเปล่า ถามพยาบาลได้ความว่าปกรณ์พลมารับเธอกลับบ้านไปแล้วเมื่อเช้า

โพยมยงทราบเรื่องนี้ก็รีบมาที่บ้านโฉมตรูอย่างกระดากอายเพราะด่าเธอไว้มาก แต่แค่ไม่นานที่เผชิญหน้ากันโพยมยงก็ปากคอเราะร้ายได้อีก ดูถูกความเป็นอยู่ของโฉมตรูกับดาหวัน แล้วพยายามจะเอาตัวงามไฉไลกลับไปให้ได้ ไปจัดงานแต่งงานที่กรุงเทพฯให้หรูหราสมฐานะ แต่ไม่ว่าจะพูดหรือบังคับยังไง ลูกสาวก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่กลับ

บัวผ่องไม่สบาย เจิดโทร.ไปตามเพลงลำกับไข่กาเพราะยายบ่นถึง เพลงลำจึงขออนุญาตอรรถกลับบางลำในเย็นนั้น แต่กว่าจะเข้าเขตบางลำก็เย็นย่ำ เธอกับไข่กาเกือบถูกฝาจีบกับสมุนดักปล้น โชคดีที่พวกมันยังไม่พร้อมจึงรอคอยรถคันต่อไป โชคร้ายเลยมาตกที่โพยมยง

โพยมยงจะกลับกรุงเทพฯ โดนพวกฝาจีบพรางหน้าตาดักปล้นระหว่างทาง เอาเงินทองของมีค่าไปเกลี้ยงโดยไม่ทำร้ายอะไรเธอ เมื่อคนที่บ้านลำตัดทราบว่าโพยมยงถูกปล้นก็พากันสงสัย เพราะแต่ไหนแต่ไรบางลำไม่เคยมีโจร

บัวผ่องกำลังป่วยแต่กระตือรือร้นอยากรู้ว่าใครเป็นโจร เพลงลำบอกว่าตำรวจกำลังสืบอยู่ และยังต้องรอคำให้การของโพยมยง เจิดเสริมขึ้นว่าคุณนายตกอกตกใจขวัญเสียให้ปากคำไม่ถูก

“ตอนนี้คุณนายยังอยู่ที่สถานีตำรวจ คุณปกรณ์พลไปดูแล้ว ฉันก็เลยรีบมาส่งข่าว”

“ขอบใจมากจ้ะครู...บางลำไม่เคยมีเสือมีโจรมาตั้งนานแล้ว คดีอย่างมากก็แค่เกะกะเกเรเรื่องชกต่อยกัน แต่นี่ถึงกับปล้น”

“คนมันขี้เกียจทำงานแต่อยากรวย มันเลยต้องปล้น”

ขาดคำของบัวเผื่อน เจิดอาสาออกไปดูที่โรงพักแต่ไข่กาขัดขึ้นทันทีว่า

“ไม่ต้องหรอกพี่เจิด ไม่ใช่หน้าที่ของพี่สักหน่อย มีจี้มีปล้น คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือกำนันฝอย”

เวลาเดียวกันนั้น กำนันฝอยกำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจต่อหน้าฝาจุกที่สีหน้ามีแววกังวล

“สมน้ำหน้ายัยคุณนายโพยมยง ขอบใจจริงๆว่ะไอ้โจร ที่พวกเอ็งลงมือปล้นยัยคุณนายขี้งกนี่ ว่าแต่ข่มขืนหรือเปล่าวะ”

“เปล่า”

กำนันฝอยขัดใจ อยากให้โพยมยงโดนข่มขืนเสียด้วย หมั่นไส้มานานแล้ว ฝาจุกไม่ผสมโรงแต่เป็นกังวลว่าฝาจีบจะเดือดร้อนยิ่งขึ้นไปอีก

“พ่อรู้ไหม บางลำไม่เคยมีเสือมีโจร แล้วตอนนี้เกิดมีการปล้น ใครที่เข้าข่ายเป็นเสือลำบาก ไม่มีจะกิน หิวจนต้องปล้นน่ะใคร”

กำนันฝอยอ้าปากค้าง แววตาตื่นตระหนก อุทานชื่อลูกชายสีหน้าเคร่งเครียด

ooooooo

ฝาจีบกับสมุนได้เงินทองของมีค่าของโพยมยงมาแต่เอาไปซื้อข้าวกินไม่ได้ จะย้อนกลับไปที่บ้านก็ไม่ได้ เพราะตำรวจจ้องตะครุบตัว

“พี่ฝาจีบ เราไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้วนะ”

“เอายังงี้ ไปขโมยข้าวโพดในไร่ของชาวบ้านมาต้มกินแก้หิวไปก่อน ป่านนี้คุณนายโพยมยงคงแจ้งตำรวจว่าถูกโจรปล้น ไม่รู้ว่าคุณนายจะจำหน้าพวกเราได้หรือเปล่า”

“คงไม่ได้หรอกพี่ เราใส่โม่งกันทุกคน”

“ขอให้เป็นยังงั้นเถอะ นี่เป็นเพราะสมองอันชาญฉลาดของข้า คุณนายโพยมยงถึงจำเราไม่ได้”

แน่นอนว่าโพยมยงจำหน้าตาโจรไม่ได้ แต่เธอจำกลิ่นได้ พยายามนึกว่ากลิ่นนี้คุ้นๆ เคยได้กลิ่นจากใครบางคน เธอผุดลุกผุดนั่งอยู่บนโรงพัก แวดล้อมไปด้วยปกรณ์พล งามไฉไล เพลงลำ เจิด และทองน้ำงามที่ต่างแสดงความห่วงใยขณะเธอให้ปากคำกับตำรวจ

“ใครๆก็มีกลิ่นตัวทั้งนั้นแหละครับคุณนาย คุณนายต้องจำให้ได้ว่ากลิ่นตัวของใคร ตำรวจเขาจะได้ตามไปจับไอ้โจรที่ปล้นคุณนาย”

โพยมยงสูดกลิ่นแล้วทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับพยายามนึก แต่นึกยังไงก็จำไม่ได้ ทั้งหมดจึงลงจากโรงพักในเวลาต่อมา

“ทำไมฉันถึงนึกไม่ออกนะ ว่าไอ้กลิ่นที่มันติดอยู่ปลายจมูกของฉันนี่มันเป็นกลิ่นรักแร้ของใคร” โพยมยงบ่นตัวเองแล้วชะงักกึก มองไปเห็นกำนันฝอยกับฝาจุกเดินเข้ามาหน้าโรงพัก

“พ่อ...นั่นคุณปกรณ์พล” ฝาจุกกระซิบ

“ก็ช่างเขาปะไรล่ะ เราไม่ได้มาหาเขา แต่เรามาฟังข่าวเรื่องคุณนายโพยมยงที่เคารพถูกปล้น”

โพยมยงเดินเข้าไปจ้องหน้ากำนันฝอย ทั้งกลุ่มจึงก้าวตาม เธอดมกลิ่นรอบตัวกำนันฝอยก่อนชี้หน้าและแผดเสียง

“แก! กำนันฝอย!”

กำนันฝอยผงะ โดนกล่าวหาเป็นโจรเข้าไปเต็มๆ แต่เพราะมีหลักฐานยืนยันก็เลยรอดตัวกลับมาด้วยความ โมโห ส่วนฝาจุกหน้าตาเศร้าหมอง เพราะพบปกรณ์พลกับงามไฉไล

“ฮึ! หาว่าข้าเป็นโจร ทึกทักว่ากลิ่นของกำนันฝอยเป็นกลิ่นโจร กลิ่นน่ะมันของใครของมัน มันเป็นสมบัติส่วนตัว นี่ถ้าข้าไม่มีพยานยืนยันว่าอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปก่อเหตุที่ไหน มีหวังข้าติดคุกหัวโต” พูดแล้วหันมองลูกสาว ถามว่าลูกพ่อเป็นอะไร

“ช่างเถอะ พ่อไม่อยากรู้หรอกว่าฉันเป็นอะไร”

“พ่อก็ถามเอ็งอยู่นี่ไง ปกรณ์พลใช่ไหม เอ็งไปเจอเจ้าปกรณ์พลกับคุณงามไฉไลที่กำลังจะแต่งงานกันไหม”

“ฉันไม่รู้หรอกว่าไอ้เพลงลำมันทำใจได้ยังไง มันยอมให้คุณปกรณ์พลแต่งงานทั้งที่มันรักเขาจะเป็นจะตาย แต่ฉันทำใจอย่างมันไม่ได้หรอก ฉันจะไปฆ่าตัวตาย”

ฝาจุกวิ่งเข้าห้องปิดประตู กำนันฝอยรีบตามไปเคาะประตูร้องเรียกปากคอสั่น

“เฮ้ยๆๆ อย่านะโว้ย อย่าฆ่าตัวตายหนีพ่อ ไอ้ฝาจีบก็ไม่อยู่ เอ็งก็จะไม่อยู่อีกคน แล้วพ่อจะอยู่กับใครล่ะ ฝาจุก! ฝาจุกเอ๊ย อย่าคิดสั้นนะลูก พ่อตกลง พ่อยอมให้เอ็งรักคุณปกรณ์พล”

ผลัวะ! ประตูห้องเปิดออกทันใด ฝาจุกก้าวออกมายิ้มแฉ่ง...แต่คนที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายคือโพยมยง เธอเสียดายทรัพย์สินที่โจรปล้นไป โดยเฉพาะสร้อยเพชรเส้นโปรด

“อย่าไปเสียดายเลยค่ะคุณแม่ ถือเสียว่ามันเป็นของนอกกาย”

“เพราะมันเป็นของนอกกายน่ะสิ แม่ถึงต้องใส่ประดับเกียรติ คนวัยแม่เนื้อตัวโล่งโจ้ง คนมันก็ดูถูกตาย”

“คุณโพยมยงขา สร้อยเพชรน่ะมันซื้อเกียรติไม่ได้หรอกค่ะ ใครได้ไปไม่รู้ค่าของมันก็ยังงั้นๆแหละค่ะ หาของปลอมใส่ดีกว่า ใส่แล้วปลอดภัยหายห่วงค่ะ”

“ดาหวัน!” โฉมตรูปรามคนของตน

“ไม่ต้องมาเยาะเย้ยฉัน บางลำป่าเถื่อนออกยังงี้ หนูยังจะอยากอยู่ที่นี่อีกหรือ แต่งงานแล้วกลับไปอยู่กรุงเทพฯเถอะ บางลำน่ะมีแต่โจรกับลิง”

โพยมยงพูดเหมือนตาเห็น เวลานั้นสร้อยเพชรเส้นโปรดของเธอกลายเป็นของเล่นของลิงป่าไปแล้ว หลังจากฝาจีบโยนมันทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี

ooooooo

แม้รู้ว่าปกรณ์พลกำลังจะแต่งงานกับงามไฉไลแต่ฝาจุกก็ยังรักปักใจชายหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมีโอกาสเจอเพลงลำ ฝาจุกต่อว่าเธอหลายคำที่ใจกว้างปล่อยให้สองคนนั้นลงเอยกัน

ด้านงามไฉไลที่เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของปกรณ์พล เธอยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่าง จากที่ไม่เคยเข้าครัวทำอาหารก็มาเป็นลูกมือโฉมตรูกับดาหวัน ถึงจะดูเก้กังแต่ปกรณ์พลก็เห็นถึงความตั้งใจของเธอ

ฝาจุกทำใจไม่ได้หากต้องเสียปกรณ์พลไป คืนหนึ่งเธอจุดธูปเทียนบนบานศาลพระภูมิเจ้าที่ให้ช่วยเหลือ เพลงลำกับไข่กามาด้อมๆมองๆดูความเคลื่อนไหวของฝาจีบเห็นการกระทำของฝาจุกเข้าก็พากันสังเวช

นอกจากจะบนบานศาลกล่าวแล้วรุ่งขึ้นฝาจุกยังบอกพ่อกำนันว่าตนจะเชิญปกรณ์พลกับแม่มากินข้าวที่บ้าน กำนันฝอยทำเหมือนไม่สนใจแต่พอสองแม่ลูกมาถึงบ้านพร้อมงามไฉไลที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย กำนันก็หูตาวิบวับปิ๊งโฉมตรูขึ้นมาทันที

วันเดียวกัน เจิดออกไปหาปลาแล้วพบสร้อยเพชรจึงนำมามอบให้ตำรวจ เมื่อโพยมยงได้รับการติดต่อจากตำรวจก็รีบเดินทางมาและยืนยันว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของตนที่โดนโจรปล้นไป เธอซักถามเจิดว่าเจอที่ไหน แล้วแหวนกับนาฬิกาของมีค่าอย่างอื่นอยู่ไหน

เจิดพูดไปตามจริงว่าเจอสร้อยอย่างเดียวแต่โพยมยงหาว่าเขางุบงิบอย่างอื่นไว้ ทำมาทำไปเจิดเลยโดนแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์ ทั้งที่อุตส่าห์ตั้งใจดีอยากให้จับโจรได้ ทองน้ำงามเชื่อใจเจิดเลยเอาตำแหน่งครูประกันตัวเขา ต่อมาเมื่อเฉวียนแม่ของเธอทราบข่าวจึงตำหนิลูกสาวด้วยความไม่พอใจ และสั่งเจิดเลิกยุ่งกับลูกตน ถึงฝาจีบจะหนีคดีเข้าป่าแต่วันหนึ่งเขาต้องกลับมา ยังไงตนก็จะให้ทองน้ำงามแต่งงานกับฝาจีบ

เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เจิดปรึกษาเพลงลำก่อนจะพากันออกไปแถวป่าละเมาะที่เจอสร้อยเพชร ของโพยมยง แต่ไม่พบสิ่งของใดๆ เจิดยังมั่นใจว่าพวกฝาจีบต้องอยู่แถวนี้และเป็นโจรปล้นโพยมยงอย่างแน่นอน

บัวผ่องยังป่วยกระเสาะกระแสะ เดี๋ยวไอเดี๋ยวเพลียแต่ไม่ค่อยจะยอมกินยา เพลงลำกับไข่กาจึงยังไม่กลับกรุงเทพฯ อยู่ช่วยกันดูแลยาย แต่แล้วเย็นวันหนึ่งอยู่ดีๆ บัวผ่องก็อยากเห็นลำตัดคณะบัวสายทำการแสดง เพลงลำจึงเป็นตัวตั้งตัวตีจัดไป โดยไม่นึกว่าจะเป็นการแสดงต่อหน้ายายเป็นครั้งสุดท้าย

บัวผ่องจากไปอย่างสงบในตอนเช้ามืด เพลงลำกับไข่กาเข้ามาปลุกถึงได้รู้ว่าท่านหมดลมหายใจไปแล้ว เพลงลำสัญญาทั้งน้ำตาว่าจะสืบทอดลำตัดต่อไป

การจากไปของบัวผ่องยังความเศร้าโศกให้กับทุกคนในคณะ รวมทั้งชาวบ้านที่ให้ความเคารพนับถือ ฝ่ายปกรณ์พลพอทราบข่าวก็รีบไปช่วยจัดการเรื่องตั้งศพที่วัด ส่วนโฉมตรู ดาหวัน และงามไฉไลก็ตั้งใจจะไปเคารพศพด้วยเช่นกัน

เฉวียนแม่ครูทองน้ำงามก็ตั้งใจไป แต่จะไปเล่นไพ่เล่นไฮโลเป็นเพื่อนศพ ทองน้ำงามเตือนยังไงแม่ก็ไม่ฟัง อ้างว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเวลามีงานศพ

กำนันฝอยเป็นอีกคนที่กระตือรือร้นจะไปงานศพบัวผ่องเพราะแน่ใจว่าต้องเจอโฉมตรู กำนันตกพุ่มม่ายมานานพอเจอผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานก็ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น

งามไฉไลแสดงความเสียใจกับเพลงลำที่สูญเสียยาย และบอกด้วยว่าตนโทร.หาแม่แล้วแต่แม่ไม่รับสายเลยฝากกุชงค์ให้ไปดูที่บ้าน คิดว่าแม่ต้องมาร่วมงานศพแน่ๆ

ปรากฏว่าโพยมยงรับทราบข่าวการตายของบัวผ่องจากกุชงค์อย่างเฉยเมย บอกชายหนุ่มว่าตนไม่ไป ถึงจะเห็นแก่ลูกสาวที่พวกลำตัดเคยช่วยไว้ แต่ตนกำลังเครียดเรื่องถูกปล้น ไม่รู้ลูกของตนคิดยังไงถึงไปนอนพักฟื้นที่บ้านสวนของโฉมตรู

“ก็คงไม่คิดอะไรหรอกครับ นอกจากคิดว่าจะแต่งงานกับปกรณ์พลแล้วก็ต้องอยู่กับเขาที่บางลำ”

“ฉันไม่ยอมให้ลูกฉันอยู่ที่นั่นหรอก ปกรณ์พลมีเงิน ซื้อเรือนหอให้สักยี่สิบสามสิบล้านในกรุงเทพฯ ส่วนคุณโฉมตรูจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่อง นี่กุชงค์ เรื่องงามไฉไลจะแต่งงานฉันพอรับได้ เพราะคุณอรรถสัญญาว่าจะแบ่งเงินในกองมรดกของเขาให้ปกรณ์พลครึ่งหนึ่ง แต่ฉันกำลังคิดว่าทำยังไงถึงจะได้มากกว่านั้น”

“โธ่...คุณนายครับ ที่คุณพ่อแบ่งมรดกให้นายกรณ์ก็เป็นความกรุณาอย่างสูงเพราะท่านรัก...ไปแสดงน้ำใจกับคนลำตัดดีกว่าครับ คุณงามไฉไลขอร้องให้ผมมาพูดกับคุณนาย”

“ฉันไม่ไป นี่ถ้าลูกฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น ฉันก็ไม่อยากเหยียบบางลำหรอก ฉันกลัวโจร”

กุชงค์หน้าจ๋อยต้องถอยกลับไป เพราะโน้มน้าวยังไงก็ไม่ได้ผล

ooooooo

ในคืนที่กำนันฝอยกับฝาจุกไปฟังสวดศพบัวผ่องที่วัด ฝาจีบกับสมุนสองคนย้อนกลับมาบ้านด้วยความหิวโหย ไม่เจอใครแต่มีข้าวปลาอาหารหลายอย่างเลยโซ้ยกันซะเกลี้ยงก่อนจะเข้าไปนอนพักผ่อนกันในห้อง

กำนันฝอยได้เห็นโฉมตรูในงานศพคอยจับจ้องเธอตลอดเวลา แม้ไม่มีโอกาสพูดคุยแต่กำนันก็มีความสุข

ยิ้มประพิมประพรายราวกับหนุ่มน้อยเพิ่งเคยมีความรัก ส่วนฝาจุกอยากทักทายปกรณ์พลบ้างแต่ไม่มีโอกาสเหมือนกันเพราะงามไฉไลคอยประกบเขาตลอด

ฝาจุกกระฟัดกระเฟียดกลับบ้านด้วยความโกรธ ขณะที่กำนันฝอยเดินยิ้มฝันเฟื่องตามหลังมาไม่ได้ยินเสียงบ่นของลูกสาว

“ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปทักคุณปกรณ์พล ก็เพราะนังงามไฉไลมันคอยกันท่า มันนั่งขวาง แถมเวลายืนมันยังคล้องแขนเขา แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน...พ่อ! นี่พ่อใจลอยไปถึงไหน”

กำนันฝอยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนบอกว่าไม่ได้ใจลอย ฝาจุกไม่เชื่อ เอ่ยอย่างรู้ทันว่า

“พ่ออย่ามาโกหก พ่อเองก็ไม่ได้พูดกับคุณแม่คุณปกรณ์พลแม้แต่คำเดียว”

“คนมันเยอะ ยายบัวผ่องเป็นคนเก่าคนแก่ ผู้คนต่างบางที่เคยเป็นแม่ยกลำตัดก็เลยแห่กันมาฟังสวด ข้าก็เลยไม่ได้ทักทายคุณโฉมตรู”

ฝาจุกหน้ามุ่ย มองไปทางประตูครัวเห็นเปิดอ้าตกใจร้องลั่นว่าขโมยขึ้นบ้าน กำนันฝอยเต้นผางคำรามว่าใครบังอาจล้วงคองูเขียว สองพ่อลูกช่วยกันสำรวจว่ามีอะไรเสียหาย พอเห็นสภาพในครัวก็นึกรู้ว่าคงไม่ใช่โจรที่ไหนแต่เป็นโจรมือใหม่อย่างเจ้าฝาจีบ!

ทันทีที่พบหน้ากัน หัวอกคนเป็นพ่อถึงกับทำใจไม่ได้ที่สภาพลูกชายผอมโซ กำนันไม่ยอมให้ฝาจีบเร่ร่อนหนีตำรวจ อยากให้มอบตัว แต่ฝาจุกร้องเสียงหลงว่าไม่ได้ ขืนให้ฝาจีบมอบตัวตอนนี้คนทั้งบางลำต้องรู้ว่าเขาเป็นโจร แล้วถ้าประกันตัวไม่ได้อีกก็จะยุ่ง

คืนนั้นเพลงลำกลับเข้าบ้านพร้อมบัวสาย เห็นสภาพห้องและสิ่งของของบัวผ่องก็อดคิดถึงไม่ได้ สองแม่ลูกกอดกันด้วยความเศร้าหมอง ระลึกอยู่เสมอว่าบัวผ่องไม่ได้จากไปไหน ยังอยู่ในความทรงจำของลูกหลานตลอดไป

หลังจากผู้คนที่มาฟังสวดศพบัวผ่องกลับไปหมด เฉวียนก็จัดแจงชวนพวกแม่ครัวตั้งวงไพ่อยู่เป็นเพื่อนศพ บัวเผื่อนรู้เห็นไม่ค่อยชอบใจ เลยปลอมตัวเป็นผีมาหลอกเฉวียนจนหวาดกลัววิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไป

ด้านฝาจีบกับสมุนสองคนซึ่งกำนันฝอยและฝาจุกไม่ยอมให้ค้างบนเรือนเพราะกลัวตำรวจมาเจอ พวกเขาต้องออกจากบ้านกลางดึกเดินลัดเลาะไปทางท้ายวัดเพราะเกรงจะเจอผู้คนที่กลับจากงานศพ เดินไปคุยกันไปเรื่องบัวผ่องตาย จู่ๆก็ได้ยินเสียงร้องลำตัดดังแว่ว ต่างพนมมือท่วมหัวขอร้องยายอย่ามาหลอก พวกตนไม่ชอบลำตัดแต่ชอบเพลงสตริง
ขอร้องแล้วแต่เสียงร้องลำตัดยังไม่จางหาย พวกฝาจีบกลัวขาแข้งสั่นก่อนจะนิมนต์อาจารย์โกยเปิดแน่บจนป่าราบ แล้วดันไปจ๊ะเอ๋กับเฉวียนที่วิ่งหนีผีมาเหมือนกัน

เฉวียนเห็นพวกฝาจีบจะจะแต่ตามไม่ทัน กลับมาเล่าให้ทองน้ำงามฟังด้วยความดีใจ

“พ่อฝาจีบยังไม่ตาย ยังไม่ได้หนีไปไหน กำนันฝอยจะต้องหาทางให้พ่อฝาจีบกลับมา แล้วการแต่งงานก็จะมีขึ้น”

“แม่...นายฝาจีบเป็นโจรนะ ถึงคุณนายโพยมยงจะไม่สงสัย แต่เพลงลำกับเจิดก็สงสัยว่านายฝาจีบปล้นคุณนาย”

“ใครจะสงสัยก็ช่างปะไรล่ะ แต่ที่แน่ๆพ่อฝาจีบยังอยู่ในบางลำนี่ กำนันฝอยกับนังฝาจุกต้องรู้เห็นเป็นใจ กำนันจะต้องหาทางให้พ่อฝาจีบมอบตัวแล้วสู้คดี มีเงินซะอย่างเอาเงินล้มคดี มีหรือจะติดคุก”

“แต่ถ้านายฝาจีบยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในบางลำ คุณงามไฉไลจะเป็นอันตรายนะ”

“ใครจะเป็นจะตายไม่ต้องสนใจ เอ็งสนใจแค่เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของพ่อฝาจีบล้างหนี้ให้แม่ก่อน ส่วนจะยักยอกถ่ายเทยังไงแม่จะเป็นคนวางแผนหลังเอ็งเป็นสะใภ้ของกำนันฝอยแล้ว”

ฟังแม่ฝันเฟื่องแล้วครูสาวนิ่งไปอย่างเหนื่อยหน่าย

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น