วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลงรักเพลงลำ ตอนที่ 1


เพลงลำ...สาวสวยเผ็ดดุเป็นลูกสาวคนเดียวของบัวสาย แม่เพลงลำตัดคนดังของบ้านบางลำสุพรรณบุรี ตั้งแต่จำความได้เพลงลำมีเพียงแม่บัวสาย ยายบัวผ่อง และน้าบัวเผื่อนที่เลี้ยงดูเธอมา เธอไม่รู้จักพ่อ หรือที่จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเธอเป็นใคร นอกจากแม่บัวสายซึ่งไม่ยอมพูดถึงสักครั้ง

เพลงลำมีเพื่อนซี้วัยไล่เลี่ยกันชื่อไข่กาซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่บัวสายเก็บมาอุปการะ ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน รักใคร่กลมเกลียวยิ่งกว่าพี่น้องคลานตามกันมา เพลงลำสวยคมตากลมโต มีสง่า เสียงดีเหมาะจะหัดเล่นลำตัดแต่เธอกลับชอบที่จะหัดชกมวยไทยกับน้าบัวเผื่อนมากกว่าและทำได้ดีเสียด้วย ตรงข้ามกับไข่กาที่อยากเป็นลำตัดเหลือเกินทั้งที่คุณสมบัติไม่พร้อมเอาเสียเลย

คณะลำตัดของบัวสายชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่รุ่นแม่ มีเจิดหนุ่มหล่อล่ำสันเป็นพ่อเพลงที่เก่งมาก เจิดมาฝึกกับบัวสายตั้งแต่เด็ก เขาเป็นกำลังสำคัญของคณะ บัวสายเลี้ยงเจิดและคนอื่นๆเหมือนลูกหลาน บ้านนี้มีกฎระเบียบและข้อห้ามหลายอย่างเพราะมีคนมาก แต่ก็อยู่กันมาได้ เจิดรักเพลงลำมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม เขาอายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี แต่สำหรับเพลงลำแล้วเจิดเป็นพี่ชายที่แสนดีเท่านั้น

กำนันฝอยแห่งบ้านบางลำกับฝาจีบและฝาจุก ลูกชายและลูกสาวมักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพลงลำอยู่เนืองๆด้วยเรื่องที่สามคนพ่อลูกชอบเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แถมฝาจีบก็กะลิ้มกะเหลี่ยจะลวนลามเพลงลำอยู่เรื่อยๆ

แล้ววันนี้ฝาจีบกับสมุนก็โดนเพลงลำกับไข่กาเอาโคลนปาใส่เลอะเทอะไปทั้งตัว โทษฐานที่มาเกาะแกะแถมร้องลำตัดล้อเลียนทั้งที่รู้ว่าเพลงลำไม่ชอบเอามากๆ

ขณะที่สองฝ่ายสาดโคลนใส่กัน ปกรณ์พล นักศึกษาปริญญาโทตั้งใจทำวิทยานิพนธ์เรื่องลำตัดเพลงพื้นบ้านของไทยได้ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล ชายหนุ่มมาประสบเหตุโดยบังเอิญโดนลูกหลงจนลืมตาไม่ขึ้น พอปาดโคลนออกจากหน้าก็พบว่าสองสาวจอมแก่นเผ่นแผล็วหายไป ส่วนพวกฝาจีบหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว

เพลงลำกับไข่กาหลบไปซุ่มสังเกตชายแปลกหน้าแล้วตัดสินใจเข้ามาคุยด้วยครู่หนึ่งก่อนจะพากันจากไปโดยที่ปกรณ์พลไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับลำตัด ฝ่ายฝาจีบกลับบ้านมาฟ้องกำนันฝอยว่าโดนเพลงลำรังแก กำนันโกรธมากจะไปลากเพลงลำมาคุกเข่าขอโทษลูกชายตน แต่กลายเป็นว่าพอแห่กันไปถึงกลับต้องจ่ายเงินแปดหมื่นเป็นค่าทำขวัญให้เพลงลำตามที่บัวผ่องเรียกร้อง

เพลงลำกับไข่กายิ้มร่ากับเงินก้อนใหญ่ที่ได้มาแบบฟลุกๆ หลังจากทั้งคู่ช่วยกันบีบน้ำตาเล่าเป็นตุเป็นตะว่าเกือบถูกพวกฝาจีบนับสิบคนปลุกปล้ำข่มขืนขณะพายเรือเก็บสายบัวในบึง

ooooooo

กำนันฝอยเสียเงินและเสียหน้ากลับไปบ้านก็ระดมเขกหัวลูกชายกับสมุนไม่ยั้ง ทั้งเขกหัวทั้งก่นด่าด้วยความโมโห

“แปดหมื่น นี่แน่ะ นี่ๆๆหาเรื่องให้เสื่อมเสียมาถึงชื่อเสียงกำนันยังไม่พอ ยังหาเรื่องเสียทรัพย์อีกต่างหาก นี่ๆๆ”

“โอ๊ยพ่อ...เจ็บนะ หนูกะโหลกร้าวไปจะทำยังไง”

“ทำยังไง...ไม่น่าถาม ก็เอาขวานมาจามให้แบะเป็นสองซีกน่ะสิโว้ย ดีนะ ไอ้เพลงลำมันไม่เอาความ แค่ให้จ่ายค่าสึกหรอแปดหมื่น...แปดหมื่น โธ่ๆๆซื้อทั้งควายเหล็กแถมเมียอีกคนยังได้เลย ทำไมเอ็งถึงได้โง่ยังงี้วะไอ้ฝาจีบ”

“คือ...คือว่ายังงี้จ้ะพ่อ”

“ข้าไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เพราะพวกเอ็งขยันทำแต่เรื่องยุ่งๆ ข้าถึงได้เสียเงินค่าทำขวัญไปแปดหมื่น ไม่เสียก็ไม่ได้ เพราะยายบัวผ่องกับไอ้เพลงลำมันจะเอาเอ็งเข้าคุก”

ฝาจุกคิดแล้วคิดอีกก่อนตั้งข้อสังเกตว่า “พ่อ...ฉันว่าเรื่องนี้มันยังไงๆอยู่นะ”

“ยังไง? เสียไปแปดหมื่นค่าทำขวัญ ซ้ำไอ้ฝาจีบยังมอมแมมกลับมาเหมือนหมาตกรางรถไฟยังงี้จะยังไงอะไรอีก”

“ฟังก่อนสิพ่อ ที่ฉันว่าเรื่องนี้มันมีอะไรยังไงก็เพราะคนอย่างไอ้เพลงลำใครจะทำปู้ยี่ปู้ยำกับมันได้ล่ะ มันเรียนมวยไทยจากน้าบัวเผื่อน เป็นตัวล่อเป้าให้นักมวยในค่าย ไหนมันจะเรียนเอกวิชาพลศึกษา เป็นนักกีฬาเทควันโด”

กำนันฝอยชะงัก ครุ่นคิดตาม ฝาจีบได้ทีผสมโรงกับน้องสาวทันที

“ใช่...มันยังไงอย่างที่นังฝาจุกว่าจริงๆนะพ่อ ไอ้เพลงลำมันมือไวตีนไวแถมปากไวอีกต่างหาก ฉันกับไอ้พวกนี้จะไปทำอะไรมันได้ ไม่เชื่อพ่อถามไอ้แสบดูสิ”

“จริงจ้ะพ่อกำนัน ฉันกับพี่ฝาจีบแค่อ้าปากร้องลำตัดล้อแม่มันเท่านั้นแหละ ไม่รู้โคลนมาจากไหนลอยละลิ่วเข้ามานี่...โปะทั้งหน้าทั้งปาก”

“แค่นั้นยังไม่พอนะพ่อ สาดเข้ามายังกับโลกถล่ม ฉันลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเลย นี่ดีนะมีคนแบ่งบุญไปด้วย ไม่ยังงั้นโดนเต็มๆ”

“ใช่! ไอ้หนุ่มที่โผล่พรวดพราดมามันก็โดนอย่างฉันสองคนนี่แหละ”

ฝาจีบกับสมุนช่วยกันยืนยันขันแข็ง กำนันฝอยกับฝาจุกสงสัยนักหนาไอ้หนุ่มที่ว่านั่นคือใคร?

เวลาเดียวกัน เขาคนนั้นเพิ่งกลับถึงบ้านหลังใหญ่ในกรุงเทพฯ ปกรณ์พลเสื้อผ้ามอมแมมโดนดาหวันสาวใช้ซักไซ้เป็นการใหญ่เลยต้องตอบติดตลกว่าตนเดินเซ่อไปชนตอมา...

ปกรณ์พลเป็นลูกชายคนเดียวของอรรถและโฉมตรู อรรถเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมาก แต่ปกรณ์พลไม่เคยสนใจกิจการของพ่อ ชายหนุ่มชอบดนตรีและงานศิลปวัฒนธรรมทุกประเภท เขามีเพื่อนสนิทชื่อกุชงค์ซึ่งเข้ามาช่วยอรรถทำงานมากกว่าเขาเสียอีก

เมื่อกุชงค์ทราบว่าเพื่อนจะหาข้อมูลเรื่องลำตัดเพื่อทำวิทยานิพนธ์ก็อดห่วงไม่ได้เพราะต้องไปไกลถึงสุพรรณบุรี อีกทั้งเชื่อว่างามไฉไลไฮโซสาวสวยคงไม่ยอมง่ายๆ งามไฉไลเป็นลูกสาวคนเดียวของโพยมยงนักธุรกิจม่ายสาวที่รวยมาก

ครอบครัวอรรถกับโฉมตรูสนิทสนมกับโพยมยงและสามีมานานจนกระทั่งสามีเธอตายจากไป ทั้งสองครอบครัวก็ยังเป็นมิตรที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะงามไฉไลที่ติดปกรณ์พลมาตั้งแต่เด็ก เพราะเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกันที่ตามใจเธอ ชายหนุ่มเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาว แต่เธอไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เธอรักเขา และพยายามประกาศตัวว่าเป็นคู่รักของเขาเสมอ

ooooooo

เพียงเช้าวันถัดมา เพลงลำก็แบ่งเงินแปดหมื่นที่ได้จากกำนันฝอยให้ยายบัวผ่องหนึ่งหมื่นเป็นค่าหมากค่าพลู แม่บัวสายสองหมื่นไว้หนุนนอนแทนหมอน ส่วนที่เหลือตัวเองเก็บไว้เป็นทุนเรียนต่อ

บัวผ่องยิ้มย่องรับเงินมาพร้อมกับชื่นชมหลานสาวทำดี ต่างจากบัวสายที่ไม่รับเงินแถมแสดงท่าทีโมโหจะตีเพลงลำที่แก่นแก้วเกินงาม แต่ไข่กาออกรับแทนพูดไปพูดมาจนน่าเวียนหัว สุดท้ายเพลงลำก็ลอยนวล หยิบยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ไข่กาเอาไปซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่มาเลี้ยงฉลอง

บัวสายโกรธจนพูดไม่ออก เดินดุ่มไประบายอารมณ์กับบัวเผื่อนน้องชายที่ค่ายมวย

“เพราะเอ็งนั่นแหละเลี้ยงไอ้เพลงลำให้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง แทนที่จะหัดลำตัดสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านมันกลับไปหัดมวย แล้วเป็นยังไง”

“เป็นยังไง มันก็มีวิชาความรู้ไว้ปกป้องตัวเองน่ะสิ”

“เป็นอันธพาลน่ะสิไม่ว่า พี่จะจับมันหัดลำตัด เอ็งก็รู้ว่าพี่ไม่มีใครนอกจากเพลงลำ”

“ฉันก็ไม่มีใครรับมรดกค่ายมวย มีไอ้เพลงลำคนเดียว”

“แต่เพลงลำเป็นลูกของพี่”

“มันก็เป็นหลานของฉัน ฉันเป็นคนแบกมันขึ้นหลังตอนมันร้องไห้งอแง ตอนที่พี่ตระเวนไปเล่นลำตัด ก็ฉันนี่แหละเลี้ยงมันมาจนโต”

“เอ็งจะเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องไปถึงไหน”

สองพี่น้องทุ่มเถียงกันเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าบัวผ่องเดินมาหยุดยืนฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วก่อนจะปรากฏตัวเตือนกึ่งด่าบัวสายว่า

“เด็กน่ะมันรักทางไหนต้องให้มันไปทางนั้น หมดสมัยแล้วที่จะจับมันหันซ้ายหันขวา เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเราไม่เปลี่ยนตามโลกเราก็จะขวางโลกอยู่ยังงี้แหละ เหมือนเอ็ง!”

“แม่...ฉันรักลูกนะ ถึงแม่จะไม่เห็นด้วยที่จะให้เพลงลำหัดลำตัด แต่ฉันเป็นแม่”

“เอ๊ะ แล้วข้าเป็นใครวะ ข้าไม่ได้หอบท้องเอ็งแล้วเบ่งออกมาหรือวะนังบัวสาย”

“เอาน่ะ เป็นมวยมันเสียหายตรงไหน มวยก็เป็นศิลปะ มวยเป็นวัฒนธรรมของคนไทยมาแต่ดั้งเดิม เด็กที่มาฝึกมวยก็ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เอาเวลาไปเกะกะเกเร”

“เอ็งจะให้ไอ้เพลงลำเป็นลำตัด ไม่กลัวหรือว่ามันจะท้องไม่มีพ่อเหมือนเอ็ง”

บัวผ่องเผลอปากประชดออกไป บัวสายสะเทือนใจถึงกับร้องไห้เดินหนี ขณะที่บัวเผื่อนหน้าเจื่อนติงแม่ว่าไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย บัวผ่องได้ฟังก็เสียใจที่ตัวเองปากไวไม่คิดหน้าคิดหลัง

“ไม่น่าเล้ย...แม่ไม่น่าทำให้นังบัวสายมันเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าเลย ปากนะปาก มันอดไม่ได้เพราะใจมันยังเจ็บ ข้าไม่ให้ไอ้เพลงลำมันหัดลำตัดเพราะข้าไม่อยากให้มันเหมือนแม่มัน”

“แม่...ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนะ เด็กสมัยนี้กับสมัยที่พี่บัวสายเป็นสาวน่ะมันไม่เหมือนกัน”

“ผู้หญิงก็คือผู้หญิง ข้าถึงต้องร้องลำตัดสอนผู้หญิงให้รักนวลสงวนตัวไงล่ะ บัวเผื่อน...เอ็งว่าพรหมจรรย์มีค่ามั้ย”

“อ้าว...ถามฉันได้ยังไง ฉันผู้ชายนะยะ”

“ที่ข้าถามเพราะอยากให้เอ็งรู้ว่าพรหมจรรย์มีค่าสำหรับผู้หญิง มันไม่มีอะไหล่ มันเสียแล้วเสียเลย” พูดจบบัวผ่องก็ทอดถอนใจอย่างเศร้าหมอง

ooooooo

ด้านไข่กาที่รับเงินจากเพลงลำไปซื้ออาหารมาเลี้ยงฉลอง ไม่นึกว่าจะไปเจอพวกฝาจีบที่ร้านค้าแต่ไข่กาก็ทำใจดีสู้เสือปากกล้าใส่พวกเขาที่ท่าทางโกรธแค้นมาก

หลังจากทิ้งความแค้นไว้ให้พวกฝาจีบแล้วไข่กาก็เชิดหน้านวยนาดกลับมาบ้านในสภาพขาสั่นพั่บๆ เล่าว่าเจอพวกฝาจีบท่าทางมันแค้นเหมือนคนบ้า เจิดสีหน้ากังวลสบตาเพลงลำด้วยความเป็นห่วง

“พี่ว่าแล้วว่ามันต้องเป็นเรื่อง ไอ้ฝาจีบมันคงแค้นที่เสียรู้เพลงลำ มีเจ้ากรรมนายเวรเสียแล้วล่ะ”

ไข่การ้อนใจถามเพลงลำว่าเอายังไงดี เพลงลำตอบทันทีว่ามีสมองจะไปกลัวอะไร มีปัญหาก็ไปแก้เอาข้างหน้า ไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะไม่รอด บอกเจิดให้เลิกทำหน้าเหมือนขี้วิ่งขึ้นไปอยู่บนหัวเสียที พ่อเพลงลำตัดได้ฟังถึงกับสะดุ้ง พูดอ้อมแอ้มว่าพี่เป็นห่วงเพลงลำ

“ห่วงทำไม มีหมัดเด็ด เข่าอยู่ว่างๆ ศอกนี่ก็ใช้การได้ หน้านี่เป็นอาวุธร้ายแรง พี่เจิดไม่ต้องห่วง...รอด!”

เพลงลำคุยโว เจิดพยักหน้าน้อยๆอย่างยอมรับว่าเธอเก่ง...ตกกลางคืน เพลงลำกับไข่กาไปดูลำตัดคณะของบัวสายแสดงที่วัดใกล้บ้าน คนดูส่วนใหญ่สูงวัย ต่างปรบมือชอบใจคารมลำตัดของทั้งสองฝ่าย ที่ต่อว่าต่อขานเสียดสีกันด้วยท่วงทำนองสนุกสนาน เพลงลำมองยายกับแม่บนเวที รู้ซึ้งว่าทั้งคู่รักลำตัดเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าอายุจะมากขึ้นแค่ไหนก็ยังเล่น แต่แล้วจู่ๆไข่กาก็ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาจนเพลงลำชะงักกึก

“พี่เคยสงสัยไหมว่าทำไมแม่กับยายไม่รับงานลำตัดที่กรุงเทพฯ”

ในเวลาเดียวกันนั้นที่กรุงเทพฯ ปกรณ์พลบอกพ่อกับแม่ที่ร่วมโต๊ะอาหารกันที่บ้านว่าพรุ่งนี้ตนจะไปสุพรรณบุรีเพื่อหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ งามไฉไลที่มาเป็นแขกรีบอ้อนขอไปด้วย อาสาจะขับรถให้ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะเชื่อว่าที่นั่นไม่ใช่ที่ที่เธอจะสนุก

“มีพี่กรณ์ ไฉก็สนุกแล้วล่ะค่ะ ไฉอยู่ว่างๆไม่ได้ไปร้านเพชรกับคุณแม่เหงาจะตาย ไปดูแฟชั่นก็ไม่เห็นมีอะไรใหม่ไปทะเลก็ยังงั้นแหละ ไม่มีเพื่อนร่วมก๊วนถูกใจไฉสักคน”

“ปกรณ์เขาไปทำงาน เรื่องงานคงไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับหนูหรอก ลุงว่าปล่อยเขาไปเถอะ วิทยานิพนธ์ที่ว่านี่เกี่ยวกับเรื่องอะไร”

“เพลงพื้นบ้านภาคกลางครับ...ลำตัด”

ได้ยินคำว่าลำตัด...อรรถถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที

ooooooo

แม้จะปลื้มที่แม่กับยายอนุรักษ์ลำตัดเพลงพื้นบ้านที่มีมายาวนานแต่เพลงลำก็เชื่อว่าปัจจุบันคนนิยมชมชอบลำตัดน้อยลงทุกที ที่ยังเหนียวแน่นก็เห็นจะมีแต่คนแก่ พวกหนุ่มสาวเขาหันไปสนใจสตริงกันหมดแล้ว

บัวสายรักลำตัดเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อได้ยินเพลงลำวิพากษ์วิจารณ์ลำตัดว่าล้าหลังก็อดเสียใจไม่ได้ เจิดพยายามจะไกล่เกลี่ยประสานรอยร้าวให้สองแม่ลูกแต่เพลงลำก็เอาแต่หลบหน้าหนีไปขลุกอยู่ค่ายมวยน้าบัวเผื่อนซึ่งอยากให้หลานสาวเป็นนักมวยมากกว่าเล่นลำตัด

จนมืดค่ำเพลงลำถึงยอมกลับบ้านย่องขึ้นไปทางครัวเจอไข่กาออกมาจากเรือนใหญ่ถามอย่างห่วงใยว่าไปไหนมา พี่เจิดเป็นห่วงจนไม่เป็นอันต่อกลอนกับแม่ เมื่อสักครู่แม่ยังเขกหัวพี่เจิดว่าไม่รู้จักจำกลอนใหม่ๆ

เพลงลำตอบตรงๆว่าไปค่ายมวย แล้วถามไข่กาว่ามีอะไรกินบ้าง พลันเสียงบัวสายตวาดแว้ดขึ้นมาว่าไม่ต้องกิน เพลงลำสะดุ้งโหยงแต่ทำใจดีสู้เสืออ้อนวอนแม่ขอกินข้าวก่อนตนหิวจนไส้กิ่วแล้ว เรื่องอื่นค่อยพูดกันทีหลัง

บัวผ่องสงสารหลานปราดเข้ามาบอกบัวสายให้เพลงลำกินข้าวก่อนแต่บัวสายไม่ยอม ซ้ำยังสั่งไข่กาเอาข้าวที่เหลือไปเทให้หมา ถ้าเพลงลำไม่ยอมต่อกลอนลำตัดก็ไม่ต้องกินอะไรทั้งนั้น

เพลงลำโอดครวญว่าแม่ทำไมทำแบบนี้ ส่วนบัวผ่องทำท่าจะเอ็ดลูกสาว แต่เจ้าตัวสวนขึ้นเสียก่อนว่า

“ฉันจะทำยังงี้แหละ...ไข่กา บอกให้เอาไปเททิ้งให้หมด เด็กดื้อด้านอย่างไอ้เพลงลำน่ะไม่ต้องเหลืออะไรไว้ให้มันกินหรอก มันยโสโอหัง นึกจะอยู่จะไปมันบอกแม่สักคำที่ไหน นี่กี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ผู้หญิงดีๆเขากลับบ้านกันเหรอสามสี่ทุ่มน่ะ เอ้า! ไอ้พวกนั้นน่ะแยกย้ายกันไปนอน จะมาจับกลุ่มดูอะไรกันอีกล่ะ เอ็งด้วย...เจิด...ไปได้แล้ว”

บัวสายโวยวายใส่ชาวคณะลำตัดของตนที่ออกมายืนออ เพลงลำหน้างอโกรธแม่วิ่งลงจากเรือนไป บัวผ่องจะตามไปง้อก็ไม่ยอมให้ไป ย้ำว่าถ้ามันไม่รักจะเล่นลำตัดก็ไม่ต้องมาเป็นลูกตน

เพลงลำไปนั่งกอดเข่าอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ สักครู่เจิดตามมาจุดยากันยุง แต่เธอประชดว่าไม่ต้องมาใส่ใจตน ยังไงเขาก็อยู่ข้างแม่อยู่แล้ว

“แม่หวังดี เห็นแนวทางที่จะรักษาสมบัติไว้ให้ลูกหลานคนไทย ลำตัดอาจจะไม่ใช่ไร่นาที่แม่มี แต่ลำตัดก็อยู่กับเราตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย เหมือนสมบัติของเราทุกคน”

“อย่ามาหว่านล้อมฉันเลยเสียเวลาเปล่าๆ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเล่นลำตัดเหมือนแม่นะ ทวดเป็นลำตัดมาตั้งแต่ครั้งกรุงเทพฯยังเป็นแค่บางกอก ยายเล่นลำตัดตอนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงจากบางกอกเป็นรัตนโกสินทร์ แม่เล่นลำตัดมาตั้งแต่ครั้งเขาเปลี่ยนให้รัตนโกสินทร์เป็นกรุงเทพฯ ฉันก็เห็นแต่คนดูลำตัดลดน้อยลงไปเรื่อยๆ”

“เพลงลำ...ที่เพลงลำเกลียดลำตัดเพราะเกลียดแม่ใช่ไหม”

หญิงสาวนิ่งงันไม่ตอบ นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวดเพราะตนเองไม่มีพ่อ บัวสายท้องหลังไปเล่นลำตัดฉลองรัตนโกสินทร์ จนเพลงลำเกิดก็ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของพ่อเลยสักนิด

ooooooo

ปกรณ์พลออกเดินทางไปสุพรรณบุรีตั้งแต่ตีห้า

งามไฉไลมาถึงตอนเช้าจึงคลาดกัน เธอบ่นอย่างหงุดหงิดก่อนกระฟัดกระเฟียดกลับไปด้วยความผิดหวัง

ปกรณ์พลขับรถไปเกือบถึงบ้านบัวสายแต่แล้วรถเสียกลางทาง เขาโชคดีที่เพลงลำขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านมาเจอ เขาและเธอจำกันได้ เพลงลำอาสาพาปกรณ์พลไปหาช่างเอื้องโดยให้เขาซ้อนท้าย กำชับให้เกาะแน่นๆ ตกลงไปตนไม่รับผิดชอบ

ชายหนุ่มเกาะเอวเธอแน่น พอถึงร้านช่างเอื้อง เพลงลำเบรกรถตัวโก่งทำให้หัวคนซ้อนท้ายกระแทกหมวกกันน็อกของเธออย่างแรงร้องโอ๊ย!

ไอ้แสบสมุนของฝาจีบนั่งมองจากมุมหนึ่ง เห็นช่างเอื้องในชุดมอมแมมไปด้วยน้ำมันเครื่องเดินมาถามเพลงลำว่ามีอะไรให้รับใช้

“รถคุณคนนี้เสีย จอดทิ้งไว้ที่ถนนใหญ่โน่น ไปดูให้หน่อยได้มั้ย สงเคราะห์เขาหน่อย เขาจะได้ไม่ต้องกินข้าวลิง”

“ช่างเอื้องสร้อยพร้อมบริการพี่เพลงลำ” ช่างพูดขาดคำ ปกรณ์พลพึมพำชื่อเพลงลำเบาๆอย่างจดจำ

เวลาเดียวกันนั้นที่บ้านกำนันฝอย กำนันนอนให้หมอนวดแผนโบราณจับเส้นอย่างเพลิดเพลิน แต่พอเห็นฝาจุกลูกสาวเดินหน้ามุ่ยมากระแทกตัวนั่งใกล้ๆ กำนันก็รีบไล่หมอนวดกลับไปโดยไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้าง

“นี่พ่อ ทำไมหมู่บ้านเรามันถึงได้เงียบยังงี้ ไม่มีรถฉายหนังเร่ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว”

“โธ่...นังฝาจุก รถฉายหนังเร่น่ะเขาเลิกไปตั้งนานแล้ว หาอะไรทำสิวะ ไร่นาก็ไม่ทำอ้างว่าเหนื่อยร้อน”

“ก็ฉันเป็นลูกคนรวย กำนันฝอยมีที่ดินตั้งครึ่งค่อนตำบล ยึดจากจำนองบ้าง ยึดจากขายฝากบ้าง ทำไมฉันกับพี่ฝาจีบต้องทำตัวลำบาก”

กำนันฝอยพรวดพราดลุกขึ้นนั่งเหมือนนึกได้ ถามหาฝาจีบว่าไปไหน?

ขณะนั้นฝาจีบในชุดเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดออกจากบ้านไปท่ามกลางแดดเปรี้ยง มุ่งหน้าไปร้านประจำหวังเจอเพลงลำผู้หญิงที่อยากได้เป็นเมีย...

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

เรื่องย่อ ละครเพลงรักเพลงลำ


เพลงลำ สาวสวยเข้มดุเป็นลูกสาวคนเดียวของ บัวสาย แม่เพลงลำตัดคนดังของบ้านบางลำสุพรรณบุรี ตั้งแต่จำความได้เพลงลำมีเพียงแม่บัวสายกับ น้าบัวเผื่อน ที่เลี้ยงดูเธอมา เธอไม่รู้จักพ่อ หรือที่จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าพ่อของเธอเป็นใคร นอกจากแม่บัวสายซึ่งไม่ยอมพูดถึงสักครั้ง วันหนึ่งเมื่อเพลงลำยังเด็กบัวสายกลับจากเล่นลำตัด พบเด็กหญิงวัยแบเบาะคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ที่พุ่มไม้หน้าบ้าน บัวสายสงสารจึงอุปการะเลี้ยงดูเรื่อยมา เธอตั้งชื่อให้ว่า ไข่กา เด็กทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่และน้อง เพลงลำสวย มีสง่าเสียงดีเหมาะที่จะหัดเล่นลำตัด แต่เธอไม่ยอม ไม่ว่าบัวสายจะบังคับอย่างไรก็ตาม เพลงลำกลับชอบที่จะหัดชกมวยไทยกับน้าบัวเผื่อนมากกว่าและทำได้ดีเสียด้วย นอกจากนั้นยังเก่งเรื่องเครื่องยนต์รถ ไถนาและอุปกรณ์ต่างๆ เพราะเป็นลูกมือให้น้ามาตั้งแต่เด็กๆ ตรงข้ามกับไข่กาที่อยากจะเป็นลำตัดเหลือเกินทั้งที่ไม่สวยและเสียงไม่ดี บัวสายมีคณะลำตัดที่มีชื่อเสียงมาก ครอบครัวนี้และชาวบ้านใกล้เคียงทำนาด้วยวิธีดั้งเดิมไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้รถไถ ไม่ใช้รถเกี่ยวข้าว ทำให้ กำนันฝอย กับลูกคือ ฝาจีบ และฝาจุก ลูกชายและลูกสาวไม่ค่อยพอใจนัก เพราะครอบครัวกำนัยฝอยทำกิจการค้าปุ๋ยเคมี และมีรถเกี่ยวข้าวให้เช่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ของบางลำมีหนี้สินกับครอบครัวนี้มากจนถูกยึดนาไปหลายราย เพราะเชื่อใจกำนันฝอยที่ทำเหมือนใจดีให้พวกเขาซื้อปุ๋ยในราคาเงินเชื่อ ตกลงว่าขายข้าวได้แล้วจะเอามาคืน จากแค่ซื้อปุ๋ยก็จะโดนบังคับให้เช่ารถเกี่ยวข้าวในราคาสูงลิบจนต้องหมดตัวไปตามๆกัน แต่ไม่ใช่ครอบครัวของบัวสาย และชาวบ้านใกล้เคียงทำให้ ครอบครัวกำนันฝอยไม่พอใจนัก ที่จริงแล้วกำนันฝอยเคยหลงรักบัวสายตั้งแต่เริ่มเป็นสาวรุ่น แต่เมื่อบัวสายไปเล่นลำตัดที่กรุงเทพแล้วท้องกลับมาโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อทำให้กำนันฝอยอกหักกินเหล้าจนพ่อกับแม่ต้องจับให้แต่งงานกับแม่เพลงลำตัดสาวสวยคู่ปรับกับบัวสายจนมีลูกสองคน กำนันฝอยเป็นม่ายเพราะเมียตายมาหลายปีแล้ว ทั้งฝาจีบและฝาจุกทำตัวเป็นนักเลงประจำหมู่บ้านมาตั้งแต่เด็กจึงเป็นคู่ปรับกับเพลงลำ และไข่กาตลอดมา แม้ฝาจุกจะเป็นผู้หญิงแต่ก็เจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากฝาจีบซึ่งเป็นพี่ชายสักนิดอาจจะร้ายกว่าเสียด้วยซ้ำ จะอย่างไรก็ตามครอบครัวกำนันฝอยทำอะไรครอบครัวบัวสายไม่ได้มากนัก เพราะครอบครัวนี้เป็นที่รักของชาวบ้านมากกว่า ทั้งเรื่องของการฝึกลำตัดให้เด็กๆที่สนใจหรือจะฝึกมวยกับเพลงลำในหน้าแล้งเป็นการสอนให้เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เพลงลำเป็นคนฉลาด กล้า ไม่กลัวใครเมื่อโดนแกล้งจึงตอบโต้จนกำนันฝอยต้องเสียเงินมากมาย ในคณะฯของบัวสายมี เจิด เป็นพ่อเพลงที่เก่งมากอยู่ด้วย เจิดมาฝึกกับบัวสายตั้งแต่เด็กเขาเป็นกำลังสำคัญของคณะฯ บัวสายเลี้ยงเจิด และคนอื่นๆเหมือนลูกหลาน บ้านนี้มีกฎระเบียบและข้อห้ามหลายอย่าง เพราะมีคนมาก แต่ก็อยู่กันมาได้ เจิดนั้นรักเพลงลำมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม เขาอายุมากกว่าเพลงลำไม่กี่ปี แต่สำหรับเธอแล้ว เจิดเป็นพี่ชายที่แสนดีเท่านั้น

ปกรณ์พล นักศึกษาปริญญาโท ตั้งใจจะทำวิทยานิพนธ์ เรื่องลำตัดเพลงพื้นบ้านของไทย จึงต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล เมื่อลำตัดคณะแม่บัวสายมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศเขาจึงต้องไปบางลำ ปกรณ์พลเป็นลูกชายคนเดียวของ อรรถ และ โฉมตรู พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงด้านการสื่อสารในระดับนานาชาติ ร่ำรวยมาก แต่ปกรณ์พลไม่เคยสนใจกิจการของพ่อเขาเลย ชายหนุ่มชอบดนตรี และงานศิลปวัฒนธรรมทุกประเภทเขาเหมือนกับโฉมตรูมากกว่า ชายหนุ่มมีเพื่อนสนิทชื่อ กุชงค์ ซึ่งเข้ามาช่วย อรรถทำงานมากกว่าปกรณ์พลเสียอีก เมื่อกุชงค์รู้ว่าเพื่อนจะต้องไปอยู่บางลำเขาก็อดห่วงไม่ได้ เขากังวลว่าปกรณ์พลจะหาข้อมูลได้ไม่ดีนัก เพราะ งามไฉไล ไฮโซสาวสวยคงไม่ยอมง่ายๆ งามไฉไลเป็นลูกสาวคนเดียวของ โพยมยง นักธุรกิจม่ายสาวที่รวยมาก ครอบครัวนี้รวยจากการค้าเพชรและเล่นหุ้น ครอบครัวอรรถกับโฉมตรูสนิทสนมกับโพยมยงและสามีมานานจนกระทั่งสามีเธอตายจากไป ทั้งสองครอบครัวก็ยังเป็นมิตรที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะงามไฉไลที่ติดปกรณ์พลมาตั้งแต่เด็ก เพราะเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกันที่ตามใจเธอ ชายหนุ่มเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาว แต่งามไฉไลไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น เธอรักเขา และพยายามประกาศตัวว่าเป็นคู่รักของเขาเสมอ เธอไม่ยอมรับว่าเธอกับปกรณ์พลไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย ขณะที่ชายหนุ่มชอบศิลปวัฒนธรรมไทย ชอบมีชีวิตที่เรียบง่าย งามไฉไลกลับชอบความหรูหรา ฟุ่มเฟือย วางอำนาจ อวดรวย เธอจึงไม่ค่อยน่ารักอีกแล้วในสายตาของปกรณ์พล ดังนั้นคนในบ้านจึงไม่แปลกใจนักเมื่อเขารีบออกไปบางลำแต่เช้าก่อนที่งามไฉไลจะมาขอตามไปด้วย ปกรณ์พลขับรถไปเกือบถึงบ้านบัวสายแต่แล้วรถเสียกลางทาง เขาโชคดีที่เพลงลำขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดีเธอจึงพาเขาไปส่งที่อู่รถของ ช่างเอื้อง เมื่อย้อนกลับมายังรถที่จอดอยู่ ปกรณ์พลหนักใจเมื่อรู้ว่าต้องรออะไหล่หลายวันเขาไม่กลับกรุงเทพฯ แต่เลือกที่จะไปนอนค้างที่วัดตามที่ช่างเอื้องแนะนำมากกว่า ค่ำแล้วเมื่อปกรณ์พลเดินเกือบถึงวัด เขาเห็นเพลงลำถูกรุมทำร้าย แม้จะเก่งเรื่องต่อสู้ป้องกันตัวแต่การที่เธอถูกรุมจากฝาจีบและลูกน้องก็ไม่ง่ายที่เธอจะจัดการพวกมันได้ ปกรณ์พลมาช่วยทันเวลาเขาใช้ไม้ท่อนใหญ่ตีจนพวกนั้นหนีกระเจิง เจ็บกันหลายคนโดยเฉพาะฝาจีบกับนายแสบคนสนิทที่ถูกฟาดหัวอย่างแรง เพลงลำจึงพาเขาไปพักที่ค่ายมวยของน้าบัวเผื่อน เธอไม่กล้าปล่อยเขาไว้ตามลำพังเพราะรู้ดีว่าฝาจีบคงพาพวกมาล้างแค้นแน่นอน เช้าวันต่อมาปกรณ์พลต้องตอบคำถามมากมายเรื่องการมาทำวิทยานิพนธ์ของเขา ชายหนุ่มแปลกใจที่บัวเผื่อนแนะนำให้เขาไปที่อื่นรวมทั้งเพลงลำกับไข่กาด้วย แต่เมื่อเขายืนยันว่าเขาต้องการมาเป็นลูกศิษย์แม่บัวสายต้องการข้อมูลของที่นี่จริงๆเพลงลำจึงยอมพาไปพบบัวสาย แต่เขากลับต้องวิ่งหนีออกจากบ้านแทบไม่ทันเมื่อ บัวสายปล่อยหมาเฝ้าบ้านนับสิบตัวออกมาไล่เขา แม้กระนั้นปกรณ์พลก็ไม่ยอมแพ้ เพลงลำนึกชอบที่เขา ใจสู้ เธอกับไข่กาจึงพาเขาไปหาเจิดให้ช่วยพูดกับบัวสายอีกครั้ง เจิดเป็นลูกศิษย์คนโปรดของบัวสาย เขามีวิธีพูดให้บัวสายใจอ่อนยอมรับปกรณ์พลให้อยู่เรียนรู้เรื่องลำตัดได้ แต่เขาต้องผ่านบททดสอบของเธอก่อน ปกรณ์พลดีใจขณะที่เพลงลำกับไข่กากลุ้มใจแทนเพราะรู้ว่าบททดสอบของบัวสายนั้นคืออะไร

วันรุ่งขึ้น ปกรณ์พลถูกปลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เขาต้องออกไปช่วยทำนาตามบททดสอบของบัวสาย ครอบครัวนี้จะทำนาในหน้านา และจะรับงานลำตัดเมื่อหลังการเก็บเกี่ยว เพลงลำคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มเต็มใจทำงานแม้จะเงอะงะบ้าง แต่ความตั้งใจจริงของเขาก็ทำให้เพลงลำพอใจ แต่ลึกลงไปในใจแล้วเพลงลำรู้สึกว่าเขามีบุญคุณที่มาช่วยเธอจากพวกฝาจีบได้ทันเวลา มิฉะนั้นเธออาจพลาดถูกพวกมันฉุดไปแล้ว พฤติกรรมที่เลวร้ายของฝาจีบอีกอย่างคือชอบฉุดสาวๆที่พอใจไปปล้ำแล้วยังถ่ายคลิปเก็บไว้แบล็คเมล์ ขู่ไม่ให้แจ้งความเสียอีก เพลงลำจึงนึกขอบใจปกรณ์พลที่ช่วยเธอไว้ อะไรที่เธอพอจะช่วยเขาได้เธอก็อยากช่วย ความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองคนเริ่มมีความรู้สึกดีๆต่อกัน ทว่าความที่ไม่เคยชินกับงานหนักกลางแดดจัดๆ ปกรณ์พลหมดแรงเป็นลมไปตั้งแต่ก่อนเที่ยง เพลงลำ เจิด และไข่กาต้องช่วยกันพาเขากลับไปพักกับบัวเผื่อนโดยไม่ให้บัวสายรู้ ชายหนุ่มไข้ขึ้นสูงทั้งคืนเพลงลำเป็นทุกข์เป็นร้อนห่วงใยเขามากจนไข่กาผิดสังเกต เธอบอกไข่กาว่ากลัวปกรณ์พลจะมาตายที่นี่แล้จะเกิดเรื่องใหญ่ แต่ไข่กากับเจิดไม่ค่อยเชื่อนัก อย่างไรก็ตามเพลงลำตัดสินใจค้นโทรศัพท์มือถือของเขามาเปิดเพื่อหาหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อทางบ้าน ทันทีที่เปิดเครื่องเสียงเรียกก็ดังขึ้น เพลงลำรับสายจึงต้องฟังงามไฉไลโวยวายต่อว่าอยู่หลายคำกว่าจะพูดกันรู้เรื่องว่าให้ไปรับปกรณ์พลที่โรงพยาบาลในอำเภอ

เมื่อถึงโรงพยาบาล ไข่กาแยกกลับบ้านกับเจิดก่อนที่บัวสายจะสงสัย เพลงลำอยู่กับปกรณ์พลตลอดเวลาจนกระทั่งงามไฉไลกับโพยมยงซึ่งเป็นแม่มาถึงโรงพยาบาล เธอประกาศตัวเป็นแฟนของ ปกรณ์พลอย่างชัดเจน เมื่อชายหนุ่มเพ้อถึงเพลงลำทำให้งามไฉไลนั่งไม่ติดเธอตามไปอาละวาดกับเพลงลำอีก ประกาศตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของจนเพลงลำเข้าใจผิด งามไฉไลพาปกรณ์พลกลับกรุงเทพฯ เธอพยายามอาสามาดูแลชายหนุ่มแต่เขาก็หลบเลี่ยงตลอดเวลา ในช่วงเวลาเดียวกันที่บางลำ กำนันฝอยจัดงานเปิดตัว ฝาจีบลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน คนใหม่แทนคนเก่าที่แกบีบจนลาออกไปเอง เพลงลำรู้ทันจึงเสนอ ชื่อเจิดลงสมัครแข่งขันด้วย ฝาจีบจึงเปิดศึกตัดกำลังบ้านเสียงของเจิด เริ่มต้นด้วยการใช้รถเกี่ยวข้าวแอบไปขโมยเกี่ยวข้าวที่ออกรวงงามๆของนา นางสำอาง เพื่อนบ้านของบัวสายจนหมดเพียงชั่วข้ามคืน เพลงลำระแวงอยู่แล้วจึงชวน ไข่กา เจิด และคนอื่นๆ ไปค้นเหล็กท่อนใหญ่ๆจากอู่ช่างเอื้องตัดเป็นท่อนให้มีความยาวประมาณต้นข้าว เธอกับพวกนำท่อนเหล็กเหล่านั้นไปปักเป็นแนวตั้งแทรกปนไปกับต้นข้าวรอบแนวคันนาที่รถเกี่ยวจะลงได้ กลางดึกคืนนั้น เพลงลำ เจิด ไข่กา ไปเฝ้าดูเหตุการณ์อย่างมั่นใจว่าต้องได้ตัวคนร้ายแน่ๆ ดึกมากแล้วเมื่อเสียงรถเกี่ยวข้าวดังขึ้นแต่ไกล ไม่นานนักก็เห็นเงารถเลื่อนลงนา เสียงดังกระทบกันของโลหะ และเสียงฝาจีบกับพวกโวยวายลั่น เมื่อรถเกี่ยวเกี่ยวเหล็กท่อนเข้าไปจนพังหมด รถเกี่ยวพัง ทำให้กำนันฝอยโกรธพวกเพลงลำมากขึ้นไปอีก ส่วนปกรณ์พลเมื่อฟื้นไข้เขาก็หนีกลับไปบางลำอีก คราวนี้ไม่ใช่เพื่องานวิจัยอย่างเดียว แต่เพื่อหัวใจด้วยเขารักเพลงลำ และรู้ดีว่าต้องพิสูจน์ตัวเองกับบัวสายมากเพียงใดแต่เขาก็พร้อมจะสู้ เพลงลำดีใจมากเมื่อพบปกรณ์พลอีกครั้ง เธอไม่อยากหลอกตัวเองอีกต่อไป เพลงลำเองก็รักเขามากเช่นกัน ทว่าความรักของทั้งคู่มีอุปสรรคมากมาย เริ่มจากงามไฉไลที่มาตามเขาไม่เลิกรา แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ อรรถพ่อของปกรณ์พลเมื่อเขารู้ว่าลูกชายมาบางลำมาอยู่กับคณะลำตัดบัวสาย อรรถก็อยู่ไม่ติดออกมาตามปกรณ์พลกลับไปด้วยตัวเอง

ที่บ้านบัวสายเธอต้อนรับอรรถด้วยปืนลูกซองมาดเข้มดุ ไม่ทำให้อรรถกลัวแต่แววตาที่หมางเมิน เกลียดชังทำให้อรรถต้องยอมถอยกลับไป เพลงลำงงที่เห็นบัวสายโกรธแค้นอรรถมากขนาดนั้น คนที่เข้าใจสถานการณ์ดีที่สุดคือบัวเผื่อน เขาจำอรรถได้ว่าเคยไปเฝ้าดูบัวสายเล่นลำตัดที่กรุงเทพฯ เมื่อก่อนที่เธอจะท้องกลับมา บัวเผื่อนนึกรู้ทันทีว่าอรรถเป็นพ่อของปกรณ์พล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้บัวสายยื่นคำขาดห้ามเพลงลำติดต่อกับปกรณ์พลโดยไม่บอกเหตุผลที่เธอรู้แก่ใจว่าพี่กับน้องจะแต่งงานกันได้อย่างไร เพลงลำเป็นลูกของอรรถเหมือนกับปกรณ์พล งามไฉไลตามรังควานเพลงลำกับบัวสายอย่างน่ารำคาญ ลำพังเพลงลำเธอทนได้ แต่เธอทนให้ใครมาดูถูกแม่ไม่ได้ หญิงสาวจึงขอร้องให้ปกรณ์พลกลับไป ทั้งเธอและเขาต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ หน้าที่ของลูกที่ดี ปกรณ์พลยอมกลับกรุงเทพฯ และยอมหมั้นกับงามไฉไลตามความต้องการของอรรถ เขากลับมาคราวนี้เหมือนคนที่ไม่มีหัวใจ โฉมตรูเห็นลูกแล้วสงสารจับใจ เธอแปลกใจที่อรรถเคี่ยวเข็ญลูกชายอย่างไม่เคยทำมาก่อน ส่วนเพลงลำยอมหัดลำตัดเพื่อประชันในงาน สืบสานศิลปวัฒนธรรมงานใหญ่ของจังหวัดโดยมีฝาจีบเป็นคู่ประชัน กำนันฝอยยอมเสียเงินมากมายเพื่อให้ลูกชายชนะ แม้จะต้องโกงคะแนนก็ตาม คนที่เข้ามาเพิ่มความวุ่นวายคืองามไฉไลกับโพยมยงที่ตามมาช่วยสบทบเงินค่าจ้างหน้าม้ามาโห่ฮาเพลงลำ

เช้าวันงาน บัวสายป่วยต้องผ่าตัดไส้ติ่งกระทันหัน เพลงลำไม่มั่นใจในการขึ้นเวที แต่เจิดช่วยเป็นกำลังใจให้ ส่วนปกรณ์พลแปลกใจเมื่องามไฉไลกุลีกุจอพาเขามาดูการประชันลำตัด เขาไม่รู้ว่าอรรถตามมาดูด้วย เมื่อผลการประชันออกมาว่าเพลงลำชนะฝาจีบอย่างงดงาม เขาหายสงสัยทันทีเมื่องามไฉไลกับโพยมยงตามไปต่อว่ากำนันฝอยกับลูกที่ทำงานไม่สำเร็จ เพลงลำกับคณะไม่แพ้และโดนฉีกหน้าให้อายอย่างที่ตกลงกันไว้ ตัวตนของว่าที่คู่หมั้นกับแม่ทำให้ปกรณ์พลกลุ้มใจมาก ส่วนอรรถตามมาเยี่ยมบัวสาย ที่โรงพยาบาล เขาถามบัวสายว่าเพลงลำเป็นลูกของเขาใช่หรือไม่ แต่เธอไม่ตอบ บัวสายเมินหนีทั้งที่น้ำตากลบตา แต่ไม่นานนักก็อดใจไม่ได้เธอเหน็บแนมต่อว่าเขาเรื่องศักดิ์ศรีผู้ดี และความต่ำต้อยของการเป็นแม่เพลงลำตัดของเธอ เพียงเท่านี้อรรถก็เข้าใจ เขาได้แต่ขอโทษที่ปล่อยให้เธอต้องอุ้มท้องกลับบางลำ และเลี้ยงลูกคนเดียว ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเพลงลำกลับมาจากงานประชันแล้วและยืนอยู่ที่หน้าห้องนั้นเอง เธอได้ยินทุกอย่าง หญิงสาวรีบหลบไปก่อนที่อรรถจะออกมาพบเธอเข้า หญิงสาวเข้าไปพบบัวสายเมื่อเห็นว่าอรรถกลับไปแล้ว เพลงลำตั้งใจว่าจะทำให้แม่มีความสุขที่สุดจึงไม่พูดถึงพ่ออรรถสักคำ เธอตั้งใจจะเป็นแม่เพลงลำตัดที่ดีให้ได้

ที่กรุงเทพโฉมตรูได้ต้อนรับ ดัสกร เพื่อนเก่าเมื่อครั้งที่เธอไปเรียนที่สวิสเซอร์แลนด์ ที่จริงดัสกรคือคนรักของเธอก่อนจะแต่งงานกับอรรถ ดัสกรมาพบเธอเพื่อลาเพราะเขาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่เหนือ กว่าอะไรทั้งหมดคือเขาอยากพบลูกโฉมตรูปฏิเสธไม่ยอมให้พบปกรณ์พล แต่ดัสกรก็พบกับปกรณ์พลจนได้ในวันหนึ่ง แม่ปริก คนรับใช้เก่าแก่ที่ตามโฉมตรูไปสวิสด้วยรู้ความจริงดีว่าปกรณ์พลเป็นลูกดัสกรกับโฉมตรู เป็นความจริงที่เป็นความลับบอกใครไม่ได้

ก่อนงานหมั้นงามไฉไลกับโพยมยงไปพบกำนันฝอยที่บ้านเธอต้องการทำลายเพลงลำกับแม่ให้ถึงที่สุด หญิงสาวจ้างฝาจีบให้ไปเผาบ้านของบัวสาย ฝาจีบนั้นเมื่อพบงามไฉไลเขาหลงรักเธอทันที และตั้งใจจะต้องแต่งงานกับเธอให้ได้ บ้านบัวสายถูกเผาตามแผน ในช่วงเวลาเดียวกันงามไฉไลติดต่อจ้างคณะลำตัดบัวสายไปแสดงในงานหมั้นของเธอกับปกรณ์พล เธอต้องการประจานเพลงลำกับแม่ให้ได้อายกลางงาน บัวสายไม่อยากให้เพลงลำรับงาน แต่เพลงลำยอมรับงานนี้โดยบอกว่า “แม่สอนอยู่เสมอว่าเราต้องทำหน้าที่ของศิลปินพื้นบ้านให้ดีที่สุด สง่างามที่สุด เพื่อจะสืบสานมรดกชิ้นนี้ไว้ให้กับลูกหลานสืบไป” งานคราวนี้ก็เป็นงานแสดงครั้งหนึ่งเท่านั้น หลังจากงานนี้เพลงลำบอกบัวสายว่าเธอจะแต่งงานกับเจิดเพื่อช่วยกันทำงานรักษาศิลปวัฒนธรรมเพลงพื้นบ้านต่อไป บัวสายสงสารลูกสาวมากเพลงลำทำทุกอย่างเหมือนเป็นหน้าที่ เท่านั้น เพลงลำมีชีวิต มีวิญญาณ แต่ไม่มีจิตใจ งานครั้งนี้เพลงลำเรียกค่าจ้างหนึ่งล้านบาท โพยมยงกับ งามไฉไลยอมตกลง ข่าวงานหมั้นของปกรณ์พลและงามไฉไลทำให้ฝาจีบ กับฝาจุกกลุ้มใจ ร้อนใจมากที่สุด ฝาจีบรักงามไฉไล ส่วนฝาจุกรักปกรณ์พล สองพี่น้องวางแผนจับตัวทั้งสองคนกลางงานหมั้นเพื่อจัดงานแต่งงานของตนแทน ที่วุ่นวายคือสองพี่น้องยุให้กำนันฝอยจับโพยมยง และรวบรัดเป็นเมียด้วยเสียอีกคน ที่โรงแรมหรูกลางกรุงเทพฯ งานหมั้นจัดอย่างหรูหรา งามไฉไลรอเวลาแสดงลำตัดอย่างตื่นเต้น ส่วน เพลงลำข่มใจให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดทั้งที่เธอเจ็บปวดเหลือเกิน บัวสายสงสารลูกสาวแต่ก็ดีใจที่เพลงลำเข้มแข็งเหมือนเธอ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน งามไฉไลฉวยโอกาสขึ้นเวทีขณะกำลังแสดง เธอประจานเพลงลำเสียๆหาย แต่การที่เธอลามดูถูกไปถึงการเป็น “คนลำตัด” กลับทำให้เพลงลำกับบัวสายได้รับความเห็นใจจากแขกในงานมากขึ้น ก่อนเหตุการณ์จะลุกลามต่อไป ฝาจีบกับพวกจัดการดับไฟความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นทันที เพลงลำโดนปกรณ์พลฉุดลงจากเวทีให้ไปหลบใต้โต๊ะด้วยกัน เจิดกับบัวเผื่อนช่วยบัวสายหลบไปหลังเวที เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าไฟจะเปิดอีกครั้ง โพยมยงตกใจแทบสิ้นสติเมื่อรู้ว่างามไฉไลหายไป ส่วนฝาจีบอารามรีบร้อนเขาจึงทิ้งกำนันฝอย และฝาจุกอยู่ที่โรงแรมนั่นเอง งามไฉไลตกใจมากเมื่อรู้ว่าฝาจีบจับตัวเธอมา หญิงสาวพยายามต่อรองให้เขาปล่อยเธอไปโดยเสนอเงินจำนวนมากให้แต่ฝาจีบไม่สนใจเขาพูดชัดเจนว่าเขาต้องการตัวเธอเท่านั้น

ดึกมากแล้วเมื่อกุชงค์กับปกรณ์พลพาเพลงลำกลับบ้านที่บางลำอย่างปลอดภัย ทั้งสองคนสงสัย ฝาจีบว่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ พวกเขาไปรับบัวเผื่อนให้ไปตามฝาจีบด้วยกัน บัวเผื่อนนึกรู้ว่าฝาจีบต้องไปที่กระท่อมร้างกลางนาไม่ไกลนักแน่ๆ ที่นาแห่งนี้กำนันฝอยยึดมาจากลูกหนี้คนหนึ่ง เกือบเช้าแล้วเมื่อปกรณ์พลกับกุชงค์และน้าบัวเผื่อนตามไปช่วยงามไฉไล ทั้งสามคนแปลกใจที่ไม่พบหญิงสาวที่นั่นมีเพียงฝาจีบกับพวกเท่านั้น ทว่าระหว่างทางที่ย้อนกลับไป ทั้งสามคนก็พบงามไฉไลนอนสิ้นสติอยู่บนคันนา สภาพของเธอบอกได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ปกรณ์พลกับกุชงค์รีบพาเธอส่งโรงพยาบาลเขาบอกกุชงค์ว่า ที่เขาช่วยงามไฉไลก็เพราะเธอเป็นเหมือนน้องสาวของเขามากกว่า งามไฉไลรักษาตัวอยู่หลายวันโดยไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น เธออ้างว่าจำไม่ได้อย่างเดียว ปกรณ์พลได้พบดัสกรบ่อยครั้งขึ้น ความสนใจในเรื่องดนตรีเหมือนกันทำให้ทั้งสองคนมีความสุขทุกครั้งที่ได้พบกัน ดัสกรรู้ทันทีว่าปกรณ์พลคือลูกชายของเขาแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงนำกีตาร์ตัวโปรดไปฝากไว้ที่โฉมตรูโดยบอกว่าฝากให้ลูกชายของเขาด้วย ดัสกรกำลังจะจากไป แต่งามไฉไลกลับย้อนมาวุ่นวายกับปกรณ์พลอีกครั้ง
---------
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 14


ชิดชบาไปเยี่ยมปฐวีที่เรือนจำตามคำแนะนำของตลับนาค แต่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นพ่อของเด็กในท้องเธอ แต่ต้องการจะไปดูสภาพของเขาว่าเป็นอย่างไร ทุกข์ทรมานเหมือนตอนที่เธอถูกคุมขังหรือไม่ เธอนั่งรออยู่ที่ห้องเยี่ยมญาติสักพัก เจ้าหน้าที่เรือนจำนำตัวปฐวีเข้ามา

“ฉันรู้ว่าคุณโสมสุภางค์ตายเพราะอะไร ฉันกำลังรอให้คุณคุกเข่าลงแล้วขอร้องให้ฉันพูดความจริง มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มันเป็นการ...ฆ่า” ชิดชบามองเขาด้วยสายตาอาฆาต ปฐวีนิ่งไปอึดใจก่อนจะพูดขึ้นว่า

“คุณเป็นอย่างไรบ้าง คุณกับลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำเอาชิดชบาถึงกับอึ้ง

ครู่ต่อมา ชิดชบาออกจากเรือนจำตรงไปยังรถของตัวเอง โดยไม่รู้ว่าชัยญากับถกลจับตาดูอยู่ ขณะเธอกำลังจะไขกุญแจรถ ธวัชพงษ์แย่งมันไปจากมือ ก่อนจะพยักพเยิดไปทางชัยญากับสมุนที่จอดรถซุ่มดูอยู่ แล้วอาสาขับรถให้เพื่อคุ้มครองเธอไปในตัว ชัยญากับถกลได้แต่มองตามเจ็บใจ...

เมื่อชัยยงค์รู้ข่าวชิดชบาไปเยี่ยมปฐวีถึงเรือนจำก็ร้อนใจมาก สั่งการให้ถกลบอกคนของเขาที่อยู่ในเรือนจำจัดการปฐวีให้เร็วที่สุด อย่าให้โอกาสได้แก้ต่างความผิด ชัยญาบ่นอุบ เรื่องนี้ชักจะไม่เป็นตามแผนการที่เราวางไว้ ชัยยงค์เองก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

“บ้านหลังนี้ไม่มีชื่อของโสมสุภางค์ เพราะโสมสุภางค์ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส คุณเถาว์เครือไม่รู้จะทำอย่างไร เลยย้ายกลับบ้านเดิม ตอนนี้เราทำได้แค่พยายามปกป้องตัวเอง อย่าให้ติดคุก”

“พ่อ ผมพอจะเห็นประโยชน์ที่เราจะได้จากเรื่องนี้ ดิสเครดิตของปฐวี พอเขาเป็นข่าวดัง เรื่องสร้างบ่อนพนันกลางเมืองก็ต้องยกเลิก และถ้าปฐวีเข้าคุกจริงๆ มันก็ปิดโอกาสที่เขาจะเข้าไปเล่นการเมือง”

ชัยยงค์พยักหน้าด้วยความพอใจ แม้แผนการที่วางไว้จะล่ม แต่อย่างน้อยก็ได้เล่นงานปฐวี...

คำสั่งตายไปถึงนักโทษหน้าเหี้ยมคนของถกลในเวลาอันรวดเร็ว เขารอจังหวะที่ผู้คุมพาปฐวีกลับมาแดนขัง เอาไม้แหลมที่เตรียมไว้เข้าไปยืนประจันหน้าอย่างท้าทาย ปฐวีมองตอบไม่เกรงกลัว

“ฉันรู้ว่าแกติดคดีฆ่าคนตาย แต่ฉันสาบานไว้ ถ้าเล็บฉันหักหรือผิวถลอกสักนิด คนที่อยู่นอกคุก คนที่รักแก คนที่แกรัก เดือดร้อนแน่ แกรู้นะว่าคนพวกนั้นเป็นใคร” คำขู่ของปฐวีทำให้นักโทษคนนั้นถึงกับหน้าถอดสี
ooooooo

ธวัชพงษ์พาชิดชบาไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เล่าถึงหลักฐานที่เขารวบรวมได้จากกล้องสอดแนมซึ่งติดตั้งไว้ภายในห้องพักของชัยยงค์ อาจทำให้ชิดชบาหลุดข้อสงสัยเรื่องโสมสุภางค์ แต่ยังไม่หลุดข้อกล่าวคดีฆ่าบุญถิ่น เขากับเฉวียงกำลังรวบรวมหลักฐานใหม่เพื่อยื่นต่อศาล

“ภาพกับเสียงในคลิป จะยืนยันสถานะของคุณนายเถาว์เครือว่าเป็นพวกเดียวกับพวกของนายชัยยงค์”

“ชัดเจนพอจะทำให้ศาลเชื่อได้ไหมว่าพวกมันวางแผนฆ่าบุญถิ่น”

หากหลักฐานยังไม่ชัดเจนพอ ธวัชพงษ์ยังมีปอนเป็นพยานอีกปากหนึ่งที่จะซัดทอดคนของชัยยงค์ แล้วถามเธอว่าไปเยี่ยมปฐวีทำไม เธอแค่อยากจะตอบแทนที่เขาเคยไปเยี่ยมเธอตอนที่ถูกคุมขัง ธวัชพงษ์ไม่เชื่อ คาดคั้นให้ชิดชบาบอกความจริง

“ก็ได้ ฉันมาแสดงตัวตนของคนที่ถือไพ่เหนือกว่าเขา เกมพนันเกมนี้มันเริ่มพลิก เขาเคยถือแต้มที่สูงกว่าพ่อ จนพ่อต้องเป็นฝ่ายแพ้ แต่ตอนนี้ลูกของพ่อ ถือแต้มสูงสุด มันอยู่ที่ฉันจะให้ทางเลือกเขาว่าเขาจะตายแบบไหน” สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังของชิดชบา ทำให้ธวัชพงษ์แอบหวั่นใจแทนปฐวี...

ไม่ได้มีแต่นักโทษหน้าเหี้ยมเท่านั้นที่ถูกส่งมากำจัดปฐวี ยังมีนักโทษร่างยักษ์กล้ามใหญ่ราวกับก้ามปูอลาสก้าที่เป็นคนของถกล นักโทษคนอื่นๆต่างรู้งาน กรูเข้าล้อมกรอบทั้งสองคนเอาไว้กันไม่ให้ผู้คุมเห็น จากนั้น ทั้งคู่เปิดฉากต่อสู้กัน ปฐวีที่ตัวเล็กกว่าเหมือนจะเสียเปรียบ แต่กลับใช้วิชาป้องกันตัวจัดการนักโทษร่างยักษ์หมอบราบคาบ นักโทษคนอื่นๆจึงยอมศิโรราบให้เขาไปโดยปริยาย...

ขณะที่ปฐวีกลายเป็นขาใหญ่คนใหม่ของเรือนจำ ชัยญาโทร.หาอุราศรีที่เพิ่งจะเลิกงาน ทีแรกเธอลังเลที่จะรับสาย แต่พอเห็นอรุณณรงค์เปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เธอตัดสินใจรับสาย

“ค่ะ กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” พูดจบอุราศรีคว้ากระเป๋าถือออกจากห้อง อรุณณรงค์วิ่งตามจนทันกันที่ลานจอดรถ รั้งแขนเธอไว้ถามว่าจะไปไหน เธอโวยใส่จะมารั้งไว้ทำไม ชัยญาปรี่เข้ามาด้วยท่าทางยียวน

“ใช่ครับ คุณชายอรุณณรงค์ทำแบบนี้เสียภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษนะครับ กรุณาปล่อยคุณหญิงอุราศรี เพราะว่าวันนี้ผมขอนัดแบบเฉพาะกิจ ระหว่างผมกับคุณหญิงสองคน”

อรุณณรงค์อ้างสิทธิ์ในการเป็นคู่หมั้นของอุราศรีพร้อมกับยกมือเธอข้างที่สวมแหวนหมั้นให้ดูเพื่อยืนยันคำพูด ไม่อนุญาตให้เธอไปไหนกับชัยญาทั้งนั้น โดยเฉพาะไปผับหรือร้านเหล้าแบบที่มีบริการพิเศษผสมยานอนหลับในเหล้า แล้วดึงอุราศรีไปที่รถของเขา เพื่อพาไปส่งบ้านโดยไม่สนใจท่าทีที่ไม่พอใจของชัยญา

ooooooo

ในเมื่อโสมสุภางค์ตายจากกันไปแล้ว แพรวาจึงเก็บข้าวของกลับบ้านตัวเอง โดยไม่ลืมแวะลาชิดชบา และบอกว่าหมดหน้าที่ของตนแล้ว ส่วนเธอคงต้องอยู่ต่อไปถ้าคิดว่าเกมนี้ยังไม่จบ แล้วเตือนว่าความแค้นก็เหมือนไฟสุมอกเผาใจทุกวันทุกคืน และคนที่จะดับมันได้ก็มีแต่ตัวเธอเองเท่านั้น

“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของคุณหมอ ฉันรู้ค่ะว่าฉันต้องการอะไร”

“ชิดชบา...ลูกล้างใจคุณไม่ได้เลยหรือ แกกำลังจะเกิดมาตอนที่คุณส่งพ่อของแกไปลงนรก”

ชิดชบาดักคอว่าแพรวาจะขอร้องตนเองให้การเป็นประโยชน์กับคดีของปฐวีเหมือนอย่างที่โสมสุภางค์ให้การว่าคดีของตนเป็นอุบัติเหตุใช่ไหม คุณหมอสาวก้าวมายืนประจันหน้า

“ขึ้นอยู่กับความจริงที่คุณกำมันไว้ ฉันมองตาคุณ ฉันเห็นแต่ความแค้น ไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ความจริง” แพรวาคว้ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าเดินจากไป ชิดชบามองตามถอนใจ แล้วหันไปดูรอบๆบ้านอันกว้างใหญ่

“ไม่ นี่คือเกม นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้บ้านหลังนี้กลับมาเป็นของฉัน มันเป็นโอกาสเดียว”...

แพรวาไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่แวะไปดูเถาว์เครือที่บ้านของฝ่ายหลัง เห็นกำลังคร่ำครวญหวนไห้ถึงการจากไปไม่มีวันกลับของลูกสาว เธอหันมาเจอคุณหมอสาวถึงกับสะดุ้ง รีบปาดน้ำตาทิ้ง ถามเสียงห้วนว่ามา ทำไม เธอเป็นห่วง รู้ว่าท่านอยู่คนเดียวก็เลยแวะมาดู

“ไม่ต้องมาให้ฉันสังเวชตัวเอง เพราะฉันจะมีชีวิตใหม่”

“คุณแม่จะมีชีวิตใหม่กับผู้ชายที่มีเบื้องหลังสารเลวคนนั้นน่ะหรือคะ นี่ใช่ไหมคะที่ทำให้คุณแม่ทะเลาะกับโสมสุภางค์วันนั้น” คำพูดแทงใจดำทำให้เถาว์เครือไม่พอใจ สั่งห้ามเธอพูดถึงเรื่องนี้อีก แพรวาแนะให้ท่านพูดความจริงต่อศาล ไม่อย่างนั้นจะต้องแบกมันไปตลอดชีวิต เถาว์เครือฟิวส์ขาดชี้หน้าตวาดลั่น

“ออกไป...ฉันบอกให้ออกไป”

ทันทีที่แพรวาลับสายตา เถาว์เครือร่ำไห้เรียกหาชัยยงค์ให้ช่วยตนด้วยอย่างคนอับจนหนทาง

ooooooo

ชัยยงค์เล่นงานถกลยกใหญ่ที่คนของเขาจัดการปฐวีไม่สำเร็จอย่างที่คุยเอาไว้ ชัยญาขอร้องพ่ออย่าเพิ่งโมโห คนอย่างปฐวีถ้าฆ่าได้ง่ายๆ ป่านนี้คงตายไปนานแล้ว ไม่อยู่มาจนมีกำลังบีบชิดชงค์ให้ฆ่าตัวตายได้

“มันไม่ได้หนังหนาไปกว่าแรดหรอก รีบฆ่าปิดปากซะ ถ้ามันออกจากคุกเมื่อไหร่ พวกเราทั้งหมดรวมทั้งคุณนายเถาว์เครือจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในคุกแทน” ชัยยงค์หันไปชี้หน้าถกล “คดีบุญถิ่น แก่ก็ทำชุ่ยจนเด็กหนีไปอยู่ในความคุ้มครองของศาลแล้ว ฉันมองไม่เห็นเงาหัวของแกเลยนะถกล...เฮ้ย ทำไมแอร์มันร้อนยังงี้วะ”

“แอร์เสียมั้งครับนาย”

ชัยยงค์ด่าถกลเสร็จ พาลชี้หน้าด่าชัยญาว่าอย่าเสียเวลากับผู้หญิงคนนั้น หาทางส่งคนเข้าไปเก็บปฐวีจะดีกว่า ตอนนี้เถาว์เครือย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว สิ่งที่เราเคยหวังเหลือแต่ซากล้วนๆ ยิ่งบ่นก็ยิ่งร้อนมองไปที่เครื่องปรับอากาศซึ่งธวัชพงษ์ซ่อนกล้องสอดแนมเอาไว้อย่างอารมณ์เสีย

“แอร์เสียหรือ เรียกช่างแอร์มาซ่อมสิวะ”

ธวัชพงษ์ซึ่งกำลังดูภาพจากกล้องสอดแนมที่อยู่ในห้องของชัยยงค์ผ่านทางมือถือตัวเองเห็นท่าไม่ดี รีบยัดมือถือใส่กางเกง แล้วถอดเสื้อคลุมช่างออก เตรียมจะหนี ชัยญาและถกลเดินออกจากลิฟต์เห็นเขาพอดี จำได้ว่าเป็นนักข่าว ชัยญาเอะใจ หรือว่าแอร์เสียเพราะฝีมือไอ้หมอนี่ สั่งถกลจับตัวมาให้ได้ ธวัชพงษ์เผ่นแน่บไปยังอาคารจอดรถ โดยมีทั้งคู่ไล่ตามไปติดๆ พร้อมกับยิงปืนใส่ แต่เขาไวทายาดหนีรอดไปได้...

-----------------
ที่มา ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 13


ตลับนาคเห็นดึกมากแล้วชิดชบายังไม่กลับมาสักที ออกมารอที่หน้าตัวตึกด้วยความเป็นห่วง ปฐวีเดินออกมาเจอเธอเข้า ต่างคนต่างกระอักกระอ่วนใจ เขาทักว่ายังไม่นอนอีกหรือ เธอรอชิดชบาอยู่

“ชิดชบาคงจะหลบหน้าผม จริงๆแล้วไม่จำเป็นเลย ผมเคารพการตัดสินของศาลท่าน”

“หลานสาวฉันคงลำบากใจที่จะพบพวกคุณ คุณเองยังต้องหนีหน้าไปอยู่ที่อื่น ทั้งที่ควรจะอยู่ดูแลคุณโสมสุภางค์ภรรยาของคุณ ใครดูแลหรือจะเท่ากับสามีดูแล...คนเราน่ะ มันอยู่ที่ใจค่ะ ถ้าใจบริสุทธิ์เสียอย่างทำไมต้องหวั่นไหวกับคำกล่าวหาของใคร คุณหมอแพรวาเป็นผู้หญิง อ่อนไหวต่อความเสียหายยิ่งกว่าคุณที่เป็นผู้ชายอีก ฉันว่าคุณกลับมาอยู่ที่นี่เสียเถอะ จะดีต่อภรรยาของคุณ”

ตลับนาคว่าแล้วเดินขึ้นตึก ปล่อยให้ปฐวีใคร่ครวญครุ่นคิดกับคำแนะนำของเธอ...

ขณะที่ปฐวีลังเลว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้านดีหรือไม่ ชิดชบาขับรถมาจอดหน้าบ้านอุราศรี แล้วเปิดล็อกประตูให้ลง พร้อมกับบอกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เธอควรจะถามตัวเองว่าควรเสี่ยงไหม

“คุณเป็นผู้หญิง ซ้ำยังมีหน้าที่การงานมีเกียรติ มีชาติตระกูล มีต้นทุนชีวิตสูง เสี่ยงแล้วคุ้มไหม ตามสถานบริการหลายแห่งมีบริการมอมยา ผู้หญิงดีๆที่ทำเก่ง เสียตัวเพราะยาผสมเหล้ามาเยอะแล้ว ฉันเตือนในฐานะที่ฉันเที่ยวมามากกว่าคุณ เข้าบ้านเถอะค่ะ” ชิดชบารอจนอุราศีเข้าตัวบ้านเรียบร้อย ถึงได้กลับ

จากนั้นไม่นาน ชิดชบากลับถึงบ้านตัวเอง ยังไม่ทันจะเดินเข้าตัวตึก ปฐวีมาดักหน้าไว้ ถามเสียงเข้มไปไหนมาจนดึกดื่น คุณป้าตลับนาคเพิ่งขึ้นไปเมื่อครู่นี้เองเป็นห่วงหลานสาวแทบแย่ เธอเสียงเขียวกลับ จะไปไหนก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเขา ทั้งคู่มีปากเสียงเถียงกันเช่นเคย ต่างประกาศว่าเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ เพราะคุณกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว ภรรยาผมจะปลอดภัยไหม ลำพังคุณหมอแพรวาคงสู้รบตบมือกับคุณไม่ไหวหรอก คุณหมอเป็นคนดีๆมักจะแพ้ฤทธิ์พวกซาตาน”

“เชิญ จะคิดว่าฉันเป็นอะไรก็ตามใจ บ้านหลังนี้ยังไม่ได้เป็นของใคร ใครพอใจจะอยู่จะไป ใครจะห้ามได้ ฉันจะไปนอน” ชิดชบาเดินลิ่วเข้าตัวตึก ปฐวีมองตามหงุดหงิดใจ

ooooooo

ธวัชพงษ์กำลังทำงานอยู่ตรงโถงทางเดินไปยังห้องพักของชัยยงค์ เห็นชัยญาเดินมากับถกล รีบหลบมุม ได้ยินเขาบ่นว่าเป็นเพราะชิดชบาคนเดียว ไม่อย่างนั้นอุราศรีเสร็จเขาไปแล้ว ชัยญากำลังจะกดกริ่งห้องพ่อ แต่เถาว์เครือเปิดประตูออกมาเสียก่อน ชัยยงค์ที่เดินมาส่งเธอนิ่วหน้าเมื่อเห็นลูกชายกับสมุน

“เจอเด็กแล้วหรือ”

“เดี๋ยวนี้คุณนายเถาว์เครือเหมาจ่ายแบบค้างคืนแล้วหรือครับ”

ชัยยงค์เตือนไม่ให้ลูกชายพูดมาก ให้ตอบมาก่อนว่าเจอเด็กนั่นหรือยัง ถกลอึกๆอักๆว่ายังไม่เจอ เขาเร่งให้ตามหาให้เจอและฆ่าปิดปากให้ได้ เด็กตัวแค่นั้น ยังทำอะไรไม่ได้ก็ควรจะไปตายให้รู้แล้วรู้รอด เล่นงานถกลเสร็จ หันมาจะเอาเรื่องลูกชาย แต่พอเขาบอกว่าเมื่อคืนนี้เจอชิดชบา ชัยยงค์สั่งให้เข้ามาคุยข้างในแล้วรีบปิดประตูตามหลัง ธวัชพงษ์ออกจากที่ซ่อน หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูภาพจากกล้องสอดแนมที่แอบติดตั้งไว้

ในห้องของชัยยงค์ เผื่อมีอะไรใช้เป็นหลักฐานได้...

ขณะที่ธวัชพงษ์พยายามทำทุกทางเพื่อช่วยให้ชิดชบาพ้นผิด ยุวดีทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจกลับไปที่ปั๊มน้ำมันเพื่อหาเบาะแส เห็นถกลมาด้อมๆมองๆอยู่แถวนั้น เธอตัดสินใจเข้าไปแอบดูใกล้ๆ เมื่อได้เห็นเขาเต็มสองตาก็จำได้ว่าเคยเจอในงานแต่งงานของปฐวี

“ไอ้หมอนี่มันเป็นลูกน้องนายชัยยงค์กับนายชัยญาสองพ่อลูกที่เป็นพวกคุณนายเถาว์เครือ”...

ที่สวนสวยบ้านปฐวี ขณะแพรวากำลังคุยกับปฐวีเรื่องที่เธอเหลือเวลาพักร้อนอีกไม่กี่วันที่จะอยู่ดูแล โสมสุภางค์ เถาว์เครือกลับเข้ามาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า แต่ต้องชะงักเมื่อเจอทั้งคู่ยืนอยู่

“ปฐวี ฉันแปลกใจจริงๆที่เห็นคุณยังอยู่ในเสื้อลำลอง”

“อ๋อ เมื่อคืนผมมากินข้าวกับโสมสุภางค์แล้วไม่ได้กลับครับ ว่าแต่คุณแม่ไปไหนมาทั้งคืน” เจอคำถามนี้เข้าไป เถาว์เครือถึงกับอึกอักไปไม่เป็น...

อีกมุมหนึ่งในห้องชิดชบา กลิ่นกระเทียมเจียวที่อยู่ในข้าวต้มซึ่งตลับนาคยกขึ้นมาให้ ทำให้ชิดชบาคลื่นไส้จะอาเจียน ต้องผลักชามข้าวต้มออกห่าง ตลับนาคมัวแต่พูดเรื่องปฐวีนอนค้างที่นี่เมื่อคืนและเห็นว่าจะกลับมาอยู่เลยไม่กลับไปที่คอนโดฯอีกก็เลยไม่ทันสังเกตเห็น แถมยังเม้าท์อีกว่า
“แล้วเมื่อคืนคุณเถาว์เครือก็ไม่กลับอีกแล้ว”

“เอ่อ หนูขอแค่น้ำส้มแก้วเดียวได้ไหมคะ หนูเหม็นกลิ่นกระเทียมเจียวค่ะ”

ตลับนาคมองหลานสาวอย่างแปลกใจที่อยู่ๆเกิดเหม็นกลิ่นของที่เคยชอบ...

เถาว์เครือหงุดหงิดมากที่นั่งร่วมโต๊ะอาหาร แต่ไม่มีใครแล เนื่องจากทั้งปฐวีและแพรวาคอยแต่เอาใจใส่โสมสุภางค์ที่กินอาหารได้มากขึ้น เพราะมีสามีคอยให้กำลังใจ ถึงกับบ่นเสียงดังประชด

“นี่จะไม่มีใครเห็นหัวฉันเลยหรือ สายจนป่านนี้แล้วยังไม่ตั้งของให้ฉันอีก บ้านนี้ไม่มีคนรับใช้เพราะนังคนรับใช้มันทำตัวเป็นนายหรือว่านายเยอะ” ไม่พูดเปล่าเถาว์เครือปรายตามองแพรวา “นังจำเรียงเลยทำตัวเป็นกบเลือกนาย”

ooooooo

ยุวดีอับจนหนทางไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตัดสินใจมาที่บ้านของปฐวี เห็นจำเรียงเดินหลังไวๆอยู่ในสวน ตะโกนเรียกแค่พอให้ได้ยิน ก่อนจะถามว่าเถาว์เครืออยู่ไหม จำเรียงดักคอ ที่ถามถึงคุณนายเพราะจะมาเป็นทีมเสริมช่วยไล่แพรวาออกจากที่นี่ใช่ไหม ยุวดีถึงบางอ้อทันที ด้วยเหตุนี้นี่เองที่เธอตื๊อให้ตนมาอยู่ด้วย

“นี่ๆๆๆ พูดแล้วคันปาก ใครจะไปนึกว่าคนอย่างคุณนายเถาว์เครือทั้งแก่ทั้งเค็มทั้งหนังเหนียวออกอย่างนั้น กำลังจะสร้างตำนานรักกับนายชัยยงค์ พ่อของนายชัยญา”

แขกผู้มาเยือนสีหน้าครุ่นคิดสงสัย เริ่มลำดับความเกี่ยวดองของเถาว์เครือ ชัยยงค์และชัยญา...

อรุณณรงค์แวะมาหาอุราศรีที่ห้องทำงาน เห็นเธอนั่งนิ่งมองมือถือที่มีสายเรียกเข้าจากชัยญาซึ่งโชว์เบอร์บนหน้าจอก็ทักว่าทำไมไม่รับสาย เธอรีบปิดมือถือ แล้วสั่งเขาไม่ให้มายุ่งเรื่องของตน

“คุณปฏิเสธหม่อมแม่ เอ่อ ผมหมายถึงบ่ายเบี่ยงหม่อมแม่ อะไรทำให้คุณลังเล เขาหรือ ชัยญาหรือ”

“นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณนะคะคุณชายเอี่ยว แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของชิดชบาด้วย บอกชิดชบาว่าฉันจะตัดสินใจว่าใครดีใครชั่วได้ ไม่ต้องเอาความคิดตัวเองมาใส่สมองของฉัน” อุราศรีว่าแล้วคว้ากระเป๋าถือลุกออกไป อรุณณรงค์แปลกใจชิดชบามาเกี่ยวอะไรด้วย ครู่ต่อมาอุราศรีมาที่รถของตัวเอง เจอชัยญาดักรออยู่ ชวนเธอดื่มกาแฟไปคุยปรับความเข้าใจเรื่องเมื่อคืนกันไป ทีแรกเธอจะไม่ยอมไปด้วยแต่เขาตื๊อจนเธอใจอ่อน

ชัยญาแต่งเรื่องว่าชิดชบาไม่ชอบขี้หน้าเขากับพ่อของเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยใส่ไฟเรื่องเมื่อคืนจน อุราศรีเข้าใจเขาผิดๆ เขาคงพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับชิดชบามากกว่านี้ไม่ได้เพราะเขาไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง

“เราอย่าพูดถึงมันอีกเลย เอาเป็นว่าเราพร้อมใจกันลืมเรื่องคืนนั้นดีกว่า ฉันเองก็งงๆน่ะค่ะ”

“ขอบคุณครับที่คุณหญิงยังให้โอกาสผมได้ทำตัวเป็นมนุษย์ค้างคาวผู้พิทักษ์โลก”

ooooooo

ปฐวีเห็นชิดชบาวิ่งออกมาอาเจียนที่ระเบียงหน้าบ้าน จึงเดินไปหยิบแก้วใส่น้ำแล้วเอามายื่นให้เธอบ้วนปาก เธอปฏิเสธว่าไม่ต้อง เขารู้แก่ใจดีว่าเราสองคนเกลียดกัน แต่เรายังอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ดังนั้นควรจะดูดำดูดีกันบ้างไม่ใช่หรือ เธอรับแก้วน้ำมาบ้วนปากอย่างเสียไม่ได้ แล้วส่งคืน ทำท่าจะเข้าข้างใน เขาขวางไว้

“คุณเป็นอะไร หวังว่าคงไม่ได้แพ้ท้องนะ เพราะคนแพ้ท้องไม่ควรจะออกเที่ยวตามผับตามร้านเหล้าทุกคืน...

คืนก่อนคุณก็กลับบ้านดึกไม่ใช่หรือ”

“นี่...ฉันจะเป็นอะไรก็ช่างฉัน ชีวิตฉัน ลมหายใจของฉัน อนาคตของฉัน หลีก”

“คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไร”

ชิดชบาไม่ตอบคำถามใดๆ สั่งให้หลีกอีกครั้ง แต่เขายืนนิ่งก็เลยผลักพ้นทางแล้วเดินเข้าข้างใน เถาว์เครือซึ่งแอบฟังอยู่ถอนใจโล่งอกที่ชิดชบาไม่ได้บอกปฐวีว่าท้องกับเขาแต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้...

อาการของโสมสุภางค์ดีขึ้นมากเพราะได้ปฐวีมาช่วยดูแลและคอยเป็นกำลังใจให้ แพรวาเองก็พลอยดีใจที่แววตาของเพื่อนรักเปล่งประกายความสุขให้เห็น เนื่องจากวันนี้นักกายภาพไม่มา เธอจะพาโสมสุภางค์หัดเดินเอง จังหวะนั้น เถาว์เครือเข้ามาในห้องด้วยท่าทีร้อนใจ สั่งให้พยาบาลพิเศษออกไปก่อน รวมทั้งแพรวาด้วย เธอติงว่าธุระของคุณแม่เป็นความลับด้วยหรือ ตอนนี้โสมสุภางค์ไม่ควรรับรู้เรื่องที่จะทำให้ไม่สบายใจ

“ฉันเป็นแม่ของโสมสุภางค์ ฉันรู้ว่าลูกของฉันมีขีดจำกัดรับได้แค่ไหน”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของโสมสุภางค์ เอาไว้ก่อนไม่ดีกว่าหรือคะ โสมสุภางค์กำลังดีขึ้น วันนี้หนูจะพาโสมสุภางค์ลุกขึ้นยืน เราจะเริ่มก้าวเดินกันค่ะ หรือว่า...คุณแม่ไม่อยากเห็นโสมสุภางค์เดินได้เป็นปกติคะ” คำพูดดักคอของแพรวาทำให้
เถาว์เครือจำนน ไม่กล้าเล่าเรื่องชิดชบาท้องให้ฟัง...

ในเวลาเดียวกัน ที่คอนโดฯที่พักของชัยยงค์ธวัชพงษ์เห็นชัยญาเดินคุยมากับถกล รีบหันหลังทำทีซ่อมโน่นซ่อมนี่ ถกลรายงานเจ้านายว่ายุวดีที่เคยเป็นคนของเถาว์เครือ พาลูกของบุญถิ่นหนี เขาโวยวายทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ ทีแรกถกลไม่แน่ใจว่านังนี่ไปเกี่ยวข้องกับเด็กได้อย่างไร แต่ตอนที่เขาเจอเด็กที่ปั๊มน้ำมัน ยุวดีเป็นคนพาเด็กหนีไป ทั้งสองคนมาหยุดคุยกันใกล้ๆจุดที่ธวัชพงษ์ยืนอยู่

“แกต้องจับมันให้ได้ทั้งสองคน ถ้ามันถึงมือตำรวจเมื่อไหร่ ตำรวจโยงมาถึงเราแน่ ไปที่ปั๊มนั่นแล้วถามผู้จัดการร้านสะดวกซื้อว่าบ้านยุวดีอยู่ที่ไหน จากนั้นแกก็เก็บซะ เด็กด้วย อ้อ ไปดูที่บ้านคุณนายเถาว์เครือด้วย เผื่อยุวดีจะไปที่นั่น” สั่งเสร็จชัยญาตรงไปยังโถงหน้าลิฟต์ ส่วนถกลแยกไปทำตามคำสั่งเจ้านาย ขณะที่ธวัชพงษ์ค่อยๆหันมองตามสีหน้าเป็นกังวล...

หลังจากประมวลเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน ยุวดีพอจะเดาได้ว่าเด็กชายที่ตัวเองช่วยเหลือเอาไว้เป็นลูกของบุญถิ่นที่ถูกฆ่าตาย เรื่องนี้ใหญ่เกินไปสำหรับตัวเอง ตัดสินใจบอกเด็กน้อยให้รับรู้ว่าแม่ของเขาตายแล้ว

“คนที่จับตัวน้องมา มันต้องเกี่ยวข้องกับการตายของแม่น้องด้วย พรุ่งนี้พี่จะพาน้องไปหาตำรวจ”

“ไม่เอา ไม่ไป หนูจะอยู่กับพี่” เด็กน้อยร้องไห้งอแง ยุวดีต้องดึงตัวมากอดแนบอก

“อยู่ไม่ได้ พี่ไม่มีกำลังดูแลน้องหรอก เอาอย่างนี้ ถ้าไม่อยากไปหาตำรวจ พี่จะพาน้องไปหาคุณปฐวี”

ooooooo

ปฐวีเดินมาหยุดที่โถงเหนือบันได มองลงไปเห็นแพรวากำลังดึงมือโสมสุภางค์ให้ลุกจากรถเข็น โดยมีพยาบาลคอยลุ้นอยู่ใกล้ๆ เขายิ้มมีความสุขขยับจะลงไปหาแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงชิดชบาอาเจียนดังขึ้น ปฐวีเปลี่ยนใจเข้าไปดูชิดชบาที่กำลังอาเจียนอยู่ในห้องน้ำ เธอไม่ทันมองคิดว่าเขาเป็นตลับนาค

“หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณป้า ตอนออกจากคุกคงเครียด แต่ตอนนี้คงเป็นเพราะกินไม่เป็นเวลาน่ะค่ะ มันก็เลยคลื่นไส้อาเจียน เห็นว่าคุณป้าจะไปตลาด อย่าลืมซื้อมะยมดองให้หนูด้วยนะคะ เดี๋ยวหนูจะออกไปหาคุณลุงเฉวียงค่ะ” เธอหันมาเห็นปฐวีก็ตกใจ รีบตวาดกลบเกลื่อนว่าเข้ามาทำไม เขาได้ยินเสียงโอ้กอ้ากก็เลยเข้ามาดู หวังว่าเธอคงไม่ได้แสร้งส่งเสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ เพราะเช้านี้แพรวาเริ่มฝึกให้โสมสุภางค์ ลุกจากรถเข็นได้แล้ว ชิดชบาไม่เห็นต้องทำแบบนั้น โสมสุภางค์เดินได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเธอกับเขา

“ฉันอยู่ที่นี่เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้รอด ถ้าบ้านหลังนี้ตกเป็นของคุณคุณยังนอนตาหลับได้ ฉันก็เชื่อแล้วว่าคุณน่ะ มันซาตานตัวจริง” ด่าเสร็จ ชิดชบาเข้ามาจ้องหน้าปฐวีอย่างชิงชังแล้วเดินจากไป...

ยุวดีพาปอนมาซุ่มรอปฐวีอยู่นอกประตูรั้ว แต่กลับเป็นชิดชบาที่ค่อยเคลื่อนรถออกมาจากในบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับถกลขับรถมาจอดฝั่งตรงข้ามพอดี เห็นยุวดีกับปอนยืนลับๆล่อๆอยู่ รีบลงจากรถอย่างประสงค์ร้าย เธอหันมาเห็นเขาพุ่งเข้าหาก็ตกใจรีบดึงมือปอนวิ่งไปทุบกระจกรถของชิดชบา

“ช่วยด้วย...เปิดประตูค่ะ เปิดๆให้หน่อยเปิด”

ทันทีที่ชิดชบาปลดล็อก ยุวดีเปิดประตูหลังผลักปอนเข้าไปแล้วโดดขึ้นตาม รีบบอกให้ออกรถ มันตามเด็กมา แล้วหันไปมองด้านหลังเห็นถกลเข้ามาจะถึงตัวรถเร่งให้รีบไป ชิดชบาไม่รอให้พูดซ้ำ เหยียบคันเร่งมิด ถกลเจ็บใจมากที่ไม่ได้ตัวเป้าหมาย รีบกลับไปขึ้นรถตัวเองขับตามไปอย่างรวดเร็ว จำเรียงเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ได้แต่ยืนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

ชิดชบาขับรถหนีการไล่ล่าของถกลไปตามถนนอย่างน่าหวาดเสียว แซงซ้ายป่ายขวาจนในที่สุดก็สลัดเขาหลุด เธอมองทางกระจกส่องหลังไม่เห็นรถของถกลตามมาจึงลดความเร็วลง พร้อมกับถอนใจโล่งอก ถามยุวดีว่าเด็กนั่นเป็นใคร พอรู้ว่าเป็นลูกของบุญถิ่นที่ตำรวจกำลังตามหาตัว กระแทกเบรกหัวทิ่ม เหลียวไปมอง

“ลูกของบุญถิ่นหรือ” ชิดชบาสีหน้าตื่นตระหนก

ooooooo

เพื่อความปลอดภัยของเด็กน้อยและยุวดี ชิดชบาพาไปที่บ้านสวนของตลับนาค บอกให้ทั้งคู่หลบอยู่ที่นี่ก่อนถ้ายังไม่อยากไปหาตำรวจตอนนี้ เพราะตนเองก็ยังจบต้นชนปลายเรื่องนี้ไม่ถูก ยุวดีขอร้องให้ช่วยพวกตนด้วย เด็กอยู่ในอันตราย เธอไม่รู้จะหันไปหาใคร

“ฉันเข้าใจว่าเธอติดร่างแหของเกมนี้ไปด้วย ไม่ไว้ใจใครน่ะถูกแล้ว เข้าไปในบ้านก่อน” ชิดชบาพูดจบ เดินนำยุวดีที่จูงมือปอนตามเข้ามาในตัวบ้าน ถามว่าอยู่กันได้ไหม เมื่อตนกลับไปถึงบ้านจะบอกปฐวีให้ ยุวดีร้องห้ามเสียงหลงว่าอย่า เธออยู่ที่นี่ได้ ชิดชบาจะให้คนเฝ้าสวนจัดอาหารการกินมาให้ และให้เธอเมมเบอร์ส่วนตัวของตนไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน แล้วหันไปบอกปอนให้อยู่ที่นี่กับยุวดี อย่าไปไหนเพราะเขาเป็นพยานปากสำคัญที่จะเอาคนชั่วที่ฆ่าแม่ของเขาเข้าคุก

“ใช่ค่ะ น้องผ่านอะไรๆมามาก ล้วนเป็นเรื่องที่เด็กรับไม่ได้ คุณต้องให้เวลาเด็กสักพัก”

“แล้วคุณปฐวีล่ะ”

ยุวดีไม่ได้อยากยุ่งกับปฐวีเท่าใดนัก ถ้าไม่จนมุมจริงๆก็คงไม่นึกถึงเขา ที่สำคัญเด็กคนนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขาแต่มีประโยชน์กับชิดชบามากกว่า เธอดึงยุวดีออกห่างจากเด็กน้อย แล้วกระซิบเบาๆ

“ใช่ เพราะอย่างนี้แหละ พวกมันถึงได้พยายามฆ่าเด็กเพื่อปิดปาก”...

ขณะที่ยุวดีและปอนปลอดภัยอยู่ที่บ้านสวนของตลับนาค โสมสุภางค์ไม่ใช่แค่ลุกขึ้นยืน ยังสามารถก้าวสั้นๆมาหาปฐวีก่อนจะซวนเซล้มลงในอ้อมแขนของเขา ท่ามกลางความยินดีของแพรวา...

ชัยยงค์โกรธจัดที่ถกลทำงานพลาดอีกครั้ง แถมคราวนี้ชิดชบายังเข้ามาเกี่ยวข้อง ช่วยเด็กน้อยกับยุวดีหนีไปได้อีกด้วย เขาไม่สนว่ายุวดีจะรู้ตื้นลึกหนาบางอะไรบ้างและไปที่บ้านของปฐวีทำไม เขาแค่ต้องการให้ปิดปากทั้งเด็กและยุวดี อย่าให้รอดมาจนสาวมาถึงพวกเราได้ ทั้งชัยยงค์ ชัยญาและถกลไม่รู้ว่าการสนทนาครั้งนี้ ธวัชพงษ์รู้เห็นผ่านกล้องสอดแนมที่ไปปรากฏบนมือถือของเขาโดยตลอด จังหวะนั้น ชิดชบาโทร.มานัดให้เขาไปพบมีเรื่องร้อนใจจะปรึกษา ไม่นานนักธวัชพงษ์มาถึงสถานที่ตามนัด ชิดชบารอท่าอยู่ก่อนแล้ว

“ฉันไม่กล้าใช้โทรศัพท์ เพราะเรื่องมันยาว”

ธวัชพงษ์รู้จากกล้องสอดแนมในคอนโดฯที่พักของชัยยงค์แล้วว่าเธอได้ตัวเด็กกับยุวดีไว้แล้วและยังรู้อีกว่าทั้งคู่กำลังตกอยู่ในอันตราย ชิดชบาไม่อยากใช้ประโยชน์จากเด็กคนนี้ แต่เธอไม่มีทางเลือกเพราะแกเป็นพยานปากสำคัญที่จะโยงไปถึงการตายของบุญถิ่น แล้วถามธวัชพงษ์ว่าเธอควรทำอย่างไรดี

“คุณต้องรักษาชีวิตของเด็กกับยุวดีไว้ อย่าติดต่อกับเด็กอีก เพราะตอนนี้มันต้องจ้องมาที่คุณ”

“ฉันหรือ!” สีหน้าแววตาของชิดชบาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

จากนั้นไม่นาน ชิดชบากลับถึงบ้าน เจอโสมสุภางค์นั่งอยู่บนรถเข็นเพียงลำพังที่โถงบันไดชั้นล่าง ก็อดทักทายไม่ได้ว่าเธอดูดีขึ้นมาก คงเป็นเพราะปฐวีกลับมาดูแลใกล้ชิด โสมสุภางค์ไม่กล้าสบตาด้วย เอาแต่ก้มหน้าหลบ หวาดกลัวความผิดที่ตัวเองกล่าวหาชิดชบาเรื่องตกบันได ชิดชบากลับคิดว่าเธอกลัวตนเอง

“อย่ากลัวไปเลยค่ะ คุณก็รู้ว่าคนที่คุณควรกลัวคือใคร เสร็จคดีนี้ ถ้าฉันฟอกตัวเองให้เป็นผู้บริสุทธิ์ได้ ฉันจะกลับฝรั่งเศส บ้านหลังนี้คงจะตกเป็นของคุณ รักษามันไว้ดีๆนะคะ มันมีเรื่องราวมากมายเหมือนอย่างที่

ฉันเคยมี” ชิดชบาพูดพลางมองไปรอบบ้านด้วยสายตาเศร้าหมอง “แล้วเรื่องราวที่ผ่านมามันก็มีค่า มันทำให้เรารักคนที่รักเรา ฉันจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับ...” ชิดชบาเผลอก้มมองท้องตัวเอง “...กับอะไรใหม่ๆในที่ที่ไม่มีคนรู้จัก หรือแยแสว่าฉันมีอดีตอย่างไร” พูดจบเธอขึ้นบันไดโสมสุภางค์มองตามแปลกใจ

แพรวาก้าวออกจากหลืบพร้อมกับเครื่องดื่มร้อนๆในมือ มองตามชิดชบาด้วยความแปลกใจไม่แพ้ โสมสุภางค์เช่นกัน เพราะไม่เคยเห็นมุมอ่อนโยนของชิดชบามาก่อน

ooooooo

อรุณณรงค์ร้อนใจมาก ขอร้องให้หม่อมแม่ไปทาบทามสู่ขออุราศรีอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอที่มีชัยญาเข้ามาวุ่นวายแต่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ให้ท่านฟัง หม่อมจรัสเรืองงงไม่หาย ทำไมลูกถึงมารีบร้อนเอาป่านนี้ หรือว่ากลัวอะไร เขายอมรับว่ากลัวอุราศรีจะตัดสินใจผิด

“แหม ผู้หญิงสมัยนี้ตัดสินใจอะไรผิดแล้วเขาก็เริ่มใหม่ได้”

“แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ครับ...ผมพร้อมแล้ว ถ้าคุณหญิงอุราศรีตกลง ผมรู้แล้วว่าผมควรจะทำอย่างไร”...

ขณะที่อรุณณรงค์ตัดสินใจจะแต่งงานกับอุราศรีเพื่อกันท่าไม่ให้ชัยญาเข้ามาวุ่นวายกับเธอ เฉวียงไปพบปฐวีที่ออฟฟิศเพื่อแจ้งให้ทราบว่าทางตนกำลังเตรียมหลักฐานใหม่ๆเพื่อยื่นประกอบในการแก้ต่างให้ ชิดชบา และที่มาแจ้งครั้งนี้ก็เพราะไม่ได้คิดว่าปฐวีเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่คิดว่าเราควรร่วมมือกันหาคนผิด

“ผมยินดี คุณเฉวียงก็รู้ว่าผมแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อลูกความของคุณอย่างยุติธรรม ผมดีใจนะที่คุณบอกว่าคุณมีหลักฐานใหม่ๆ สำหรับผมไม่เคยอยากให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเลยนะ เรื่องบ้านเรื่องแก้แค้นชิดชบา มันเลยเถิดมากเกินไป ถ้าศาลพิสูจน์แล้วตัดสินว่า
ชิดชบาผิดจริง บ้านหลังนี้จะไม่ได้เป็นของผมคนเดียว”...

ด้านเถาว์เครือรีบร้อนลงมาจากบนบ้านเพื่อจะไปหาชัยยงค์ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นโสมสุภางค์กำลังหัดเดินอยู่กลางห้องโถงตรงตีนบันได โดยมีแพรวากับพยาบาลคอยตามประกบไม่ห่างด้วยเกรงจะล้ม เธออ้างว่ามีธุระต้องไปทำ ฝากแพรวาดูแลโสมสุภางค์ให้ด้วย คุณหมอสาวสวนทันทีคืนนี้จะกลับไหม

“ทำไมฉันจะไม่กลับ หมอนี่พูดแปลกๆ ลูกของฉันอยู่ที่นี่ทั้งคน ฉันจะไม่กลับมาได้อย่างไร”

โสมสุภางค์ชะงักเท้า สีหน้าสลดเพราะรู้แก่ใจดีว่าแม่ออกไปหาชัยยงค์ เถาว์เครือแต่งเรื่องว่าต้องแวะไปธนาคารไปพบคุณกระจ่างศรี คุยเรื่องที่ดินที่ศรีราชา แล้วจะเลยไปซื้อของ ลูกจะเอาอะไรไหม โสมสุภางค์ไม่อยากได้อะไร เถาว์เครือเข้ามาจะหอมลูก แต่เธอเมินหน้าหนี คุณนายตัวแสบเลยเดินหน้าเจื่อนออกไป พอแม่คล้อยหลังเท่านั้น น้ำตาแห่งความน้อยใจไหลอาบแก้มโสมสุภางค์ แพรวาต้องเข้ามากอดปลอบใจ...

บ่ายวันเดียวกัน ชิดชบาเข้ามาในครัวจะหาอะไรเปรี้ยวๆกินแก้คลื่นไส้ เห็นตลับนาคเตรียมจะกลับบ้านสวนไปดูผลหมากรากไม้ที่ปลูกเอาไว้ ก็ร้องห้ามเสียงหลง แล้วลากแขนท่านออกไปที่สนามหญ้าหน้าบ้าน จำเรียงซึ่งกำลังช่วยตลับนาคจัดอาหารสำหรับไปกินที่บ้านสวน มองตามอย่างสงสัย

ทีแรกชิดชบาไม่ยอมบอกเหตุผลที่ห้ามตลับนาคกลับบ้านสวน แต่พอถูกท่านต่อว่าว่าเดี๋ยวนี้ไม่ไว้ใจกันแล้วหรือ เธอตัดสินใจเล่าเรื่องยุวดีกับปอน ลูกชายของบุญถิ่นให้ฟัง

“หนูซ่อนพยานปากสำคัญไว้ที่นั่น ยุวดีกับลูกชายของบุญถิ่นที่ตำรวจกำลังตามตัว ถ้าคุณป้าไปที่นั่น พวกคนร้ายอาจจะสะกดรอยตามไปจนเจอเด็ก หนูยังไม่กล้าไปบ้านสวน ก็เพราะกลัวพวกมันจะรู้ที่ซ่อนของเด็กคุณป้าดูนั่นสิคะ” ชิดชบาชี้ให้ตลับนาคดูวินมอเตอร์ไซค์ที่จอดซ่อมรถอยู่นอกรั้วซึ่งคอยมองเข้ามาในบ้านตลอดเวลา “มันต้องเป็นพวกนายชัยยงค์ส่งมาสะกดรอยตามเราไปฆ่าปิดปากเด็ก”

“โอ...แล้วใครดูแลเด็กกับยุวดี”

คนที่ตลับนาคถามถึงคือธวัชพงษ์นั่นเอง ยุวดี จำเขาได้ก็เลยเปิดประตูรับ เขาแจ้งว่าชิดชบาให้เอาของกินของใช้มาให้ และมาดูว่าเธอกับเด็กเป็นอย่างไรบ้าง ได้ความว่าสบายดีตอนนี้ปอนหลับอยู่ ธวัชพงษ์อยู่นานไม่ได้ ส่งข้าวของให้ยุวดีเรียบร้อยทำท่าจะกลับ จังหวะนั้นมีสัญญาณเตือนมาจากมือถือ ธวัชพงษ์รีบเปิดดู เป็นภาพจากกล้องสอดแนม เห็นชัยยงค์เดินไปเปิดประตูรับเถาว์เครือ ยุวดีสนใจยื่นมาดูด้วย

“นั่นคุณนายเถาว์เครือนี่ คุณนายเถาว์เครือเป็นพวกเดียวกับนายชัยยงค์จริงๆหรือ”

ooooooo

นอกจากจะให้ถกลกับชัยญาตามหายุวดีกับปอนแล้ว ชัยยงค์ยังขอให้เถาว์เครือช่วยตามหาอีกแรงหนึ่ง เพราะอย่างน้อยยุวดีก็เคยเป็นคนของเธอมาก่อน เถาว์เครืออดแปลกใจไม่ได้ ยุวดีไปเจอเด็กได้อย่างไร

“ผมก็ไม่รู้รู้แต่ว่าตอนนี้มันกับเด็กอยู่ในมือชิดชบา ถ้ามันรอดไปให้การในศาล เราทั้งหมดรวมทั้งคุณ จะต้องย้ายที่อยู่เข้าไปอยู่ในคุก” ชัยยงค์หน้าเครียด ขณะที่เถาว์เครือขบกรามแน่นด้วยความแค้น

“นังยุวดี แกนี่มันหาเรื่องตายจริงๆ”...

อาการแพ้ท้องของชิดชบาเริ่มเป็นมากขึ้น อยากกินของเปรี้ยวตลอดเวลา บ่ายนี้ก็เช่นกันสั่งให้จำเรียงไปซื้อมะยมเพื่อเอามาจิ้มกะปิกิน เธออดมองเจ้านายสาวด้วยความสงสัยไม่ได้...

ในเวลาต่อมา ปฐวีกลับจากทำงาน เห็นชิดชบานั่งกอดหมอนหลับอยู่ที่โซฟาตรงโถงบันไดชั้นล่าง กำลังจะเดินผ่านขึ้นข้างบน แต่เหลือบเห็นมะยมกับกะปิที่วางอยู่ถึงกับหยุดกึก ชิดชบาค่อยๆปรือตามอง เห็นเขาจ้องอยู่ ลุกพรวดขึ้นยืนเอาหมอนมาปิดท้องตัวเอง ปฐวีหยิบมะยมขึ้นมาดู
-----------
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 12


ณ เรือนจำหญิง ชิดชบาเดินโผเผออกจากห้องพยาบาลท่าทางอิดโรยเต็มที โดยมีขาใหญ่แอบมองอยู่ห่างๆ เธอยังทำใจไม่ได้ที่รู้ว่าตั้งท้อง

“ท้องหรือ นี่หมายความว่าฉันท้อง...กับ...” พูดได้แค่นั้น ชิดชบาวิ่งไปอาเจียน...

ขณะที่ปฐวี แพรวา ตลับนาคและเถาว์เครือก้มหน้า ก้มตากินอาหารเช้าโดยไม่มีใครพูดกับใคร ในที่สุดปฐวีก็ทำลายความเงียบ โดยบอกกับทุกคนว่าแพรวาจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลโสมสุภางค์ซึ่งอาจทำให้ดูไม่เหมาะสมนัก ดังนั้นเขาจะย้ายไปอยู่คอนโดฯสักพักจะได้ไม่เป็นที่ครหา แพรวาขอโทษด้วยที่ทำให้เขาต้องลำบากใจ

“คนที่ลำบากใจน่ะ ไม่ใช่ปฐวีหรอก คุณตลับนาคสิน่าจะลำบากใจกว่าใคร” เถาว์เครือแขวะ

ตลับนาคงง ไปเกี่ยวอะไรด้วย ปฐวีรู้ทันเถาว์เครือที่พยายามจะแดกดันเรื่องชิดชบา รีบเปลี่ยนเรื่องพูดว่าไม่ต้องเตรียมอาหารค่ำเผื่อ ตนจะไปนอนคอนโดฯตั้งแต่วันนี้เลย แล้วลุกออกไป เถาว์เครือหันไปโทษแพรวาที่ทำให้ผัวเมียต้องแยกกันอยู่ ตลับนาคกลับเห็นตรงกันข้ามดีเสียอีกโสมสุภางค์จะได้มีหมออยู่ใกล้ๆ เถาว์เครือไม่พอใจที่ตลับนาคเข้าข้างแพรวาก็เลยพาลไล่เธอไปดูแลหลานที่อยู่ในคุกดีกว่ามายุ่งเรื่องคนอื่น เธอโต้ไม่ยอมแพ้ว่าดูแลหลานตัวเองอยู่แล้ว เถาว์เครือก็อย่าลืมดูแลลูกก็แล้วกัน แล้วลุกหนี

“หมั่นไส้คุณตลับนาคนัก ถ้าฉันเป็นเธอป่านนี้ฉันเก็บของกลับบ้านสวนไปแล้ว ไม่รู้จะอยู่ทำไม”

“คุณแม่ไม่ต้องการให้ใครอยู่ในบ้านนี้เลยหรือคะ”

เถาว์เครืออึกอัก แก้ตัวว่าเท่าที่ดูแล้วไม่มีใคร หวังดีกับลูกของตนสักคน แพรวาขอพิสูจน์ว่าตนเอง หวังดีกับโสมสุภางค์อย่างจริงใจ ไม่ใช่มาอยู่ที่นี่เพื่อแย่งสามีของเพื่อน...

เถาว์เครือนำเรื่องที่ปฐวีจะกลับไปนอนคอนโดฯมาฟ้องโสมสุภางค์ โดยใส่ไฟว่าหากปฐวีไม่ได้คิดอะไรกับแพรวา แล้วทำไมต้องทำตัวเป็นตุ๊กแกกินปูนร้อนท้องด้วย ตนเชื่อว่าเขาทั้งคู่ต้องมีอะไรกัน

“หมอแพรวาเห็นนิ่งๆยังงั้น แต่ไหลลึกนะ แล้วน้ำที่ไหลลึกน่ะ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าอันตรายแค่ไหน โสมสุภางค์ อย่าเชื่อใจเพื่อนนะลูก หนูต้องเชื่อแม่คนเดียว แม่คือคนที่รักและหวังดีต่อลูก แม่จะทำทุกวิถีทาง สิทธิในการครอบครองบ้านหลังนี้จะต้องเป็นของลูก นังชิดชบาจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วเพราะมันต้องติดคุกคดีฆ่าบุญถิ่น แล้วไหนจะคดีที่มันผลักลูกตกจากบันไดอีก เอ้อ โสมสุภางค์ ลูกเข้าใจในสิ่งที่แม่พูดใช่ไหม มันฆ่าปิดปากบุญถิ่นเพราะมันไม่ต้องการให้บุญถิ่นพูดความจริงเรื่องที่หนูตกบันได ใช่ไหมลูก ใช่ไหม”

โสมสุภางค์ไม่ตอบ ได้แต่หลบสายตาแม่เพราะเริ่มสำนึกผิดที่ทำให้คนบริสุทธิ์ต้องติดคุก

ooooooo

ยุวดียังคงดูแลปอนอย่างดี นอกจากจะซื้อข้าวซื้อปลาให้กิน พอเห็นเด็กน้อยลูบๆคลำๆปืนพลาสติกด้วยความอยากได้ แม้ตัวเองมีเงินแทบจะไม่พอใจใช้

เธอยังอุตส่าห์สละเงินซื้อของเล่นให้ เด็กน้อยเริ่มยิ้มออก พลอยทำให้ยุวดียิ้มไปด้วย จากนั้นทั้งคู่พากันไปที่ร้านสะดวกซื้อเนื่องจากวันนี้เธอเข้าเวรตอนเช้า

“เดี๋ยวพี่ทำงานก่อน น้องนั่งเล่นอยู่แถวๆนี้นะ อย่าออกไปตากแดด อย่าออกไปเล่นซนหลังถังแก๊สนะ ออกเวรแล้วค่อยกลับห้องพร้อมกัน เข้าใจตามนี้นะ”

จังหวะนั้นถกลขับรถเข้ามาเติมน้ำมัน ปอนเห็นเข้าก็กลัวตัวสั่นรีบไปแอบหลังยุวดีซึ่งมองตามสายตาของเด็กน้อย เห็นถกลยืนอยู่ ชักเอะใจ หรือว่าปอนจะกลัวผู้ชายคนนั้น

“เอ๊ะ เราเคยเห็นหน้าไอ้หมอนี่ที่ไหนนะ” ยุวดีจำไม่ได้ว่าเคยเห็นถกลในงานแต่งงานของปฐวี...

ที่ห้องน้ำนักโทษหญิงภายในเรือนจำ ชิดชบาแอบมาอาเจียนน้ำหูน้ำตาเล็ด ขาใหญ่ตามเข้ามามองๆ ก่อนจะแนะให้ไปขอยาแก้แพ้ที่ห้องพยาบาลกิน เธอตวาดแว้ดว่าไม่ต้องมายุ่ง แล้วตั้งหน้าตั้งตาอาเจียนต่อไป ขาใหญ่ทนดูไม่ไหว เดินไปขอยาแก้แพ้จากห้องพยาบาลมาให้พร้อมกับแก้วใส่น้ำดื่ม

“เอ้า กินยาแก้แพ้นี่ซะ มันช่วยได้เยอะ”

ชิดชบาถามทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่าช่วยเหลือตนทำไม ขาใหญ่เคยท้อง เคยมีลูกไม่มีพ่อมาก่อน รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของเธอดี แล้วบอกว่ายาชนิดนี้ไปขอได้ที่ห้องพยาบาล เรื่องนักโทษหญิงท้องในคุก ไม่ใช่เรื่องแปลก เธอส่ายหน้าไม่ยอมกิน อยากให้ชีวิตตัวเองกระอักกระอ่วนแบบนี้จนกว่าจะสิ้นใจตาย

“โง่ ตายทำไม ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ชีวิตบัดซบน่ะ เราทุกคนที่นี่ก็ถูกความบัดซบส่งมาอยู่ด้วยกัน กินยานี่ซะ” ขาใหญ่ยัดยากับแก้วน้ำใส่มือชิดชบาแล้วผละจากไป เธอมองตามแปลกใจ...

ค่ำวันเดียวกัน แพรวาตัดสินใจโทร.ไปหาปฐวี ชวนให้กลับมาอยู่กับโสมสุภางค์ อย่าต้องลำบากแยกไปอยู่ต่างหาก เธอไม่ห่วงว่าใครจะคิดอย่างไร เธอนับถือในความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ปฐวีไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อใคร แค่อยากมีเวลาอยู่คนเดียวเท่านั้น ฝากเธอช่วยดูโสมสุภางค์ให้เขาด้วย แล้วตัดสายทันที

แพรวาออกจะผิดหวังไม่น้อยที่ปฐวีตัดบทไปเสียก่อน แต่แล้วต้องชะงักเมื่อหันมาเห็นเถาว์เครือยืนจ้องอยู่ พร้อมกับเย้ยหยันว่าปฐวีอุตส่าห์แสดงความบริสุทธิ์ใจแยกไปนอนที่คอนโดฯที่พัก แต่เธอยังไม่วายโทร.ไปหาอีก เธอพยายามอธิบายว่าท่านเข้าใจผิด เธอก็แค่ห่วงว่าเขาอยู่คนเดียวจะมีอะไรกินหรือเปล่า

เถาว์เครือหาเรื่องด่าว่าเธอต่างๆนานาเป็นทำนองคิดจะแย่งผัวเพื่อนซึ่งพิการ แพรวาทนอับอายไม่ไหว เพราะจำเรียงกำลังจัดอาหารอยู่แถวนั้น ผลุนผลันออกไปทันที จำเรียงอดสงสารเธอไม่ได้ที่ถูกเถาว์เครือพาล

ด่าว่า คุณนายตัวแสบยังด่าไม่หนำใจ แพรวาก็มาหนีไปเสียก่อน ก็เลยหันไปเล่นงานจำเรียงแทนที่

“ยืนเซ่ออยู่ทำไมยะ นังจำเรียง เอาอาหารขึ้นไปให้พยาบาลป้อนลูกสาวฉัน แล้วบอกพยาบาลด้วยว่าต่อไปนี้ไม่ต้องฟังคำสั่งของใครทั้งนั้น นอกจากฉัน”

ครู่ต่อมาแพรวามานั่งทำใจอยู่ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน เสียใจที่ถูกเถาว์เครือด่าว่า ธวัชพงษ์ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ บอกว่าถ้าเป็นตนเองจะไม่ร้องไห้ให้เสียเวลาเพราะไม่ได้แย่งสามีใครอย่างที่เถาว์เครือกล่าวหา

“คุณมีเจตนาดี คิดถึงเจตนานั้นไว้สิครับ ผมน่ะอาจจะต้องทำตัวเป็นคนเช็ดกระจกคอนโดฯ เพื่อจะเข้าไปติดเครื่องดักฟังบนระเบียงห้องนายชัยยงค์ ภาพกับเสียงจะได้มาพร้อมๆกัน”

แพรวาเตือนว่าทำอย่างนั้นอันตรายมากๆ เขาไม่มีทางเลือก ถ้าเราต้องการหลักฐานมัดพวกนั้น ก็ต้องเสี่ยง ในเมื่อเขาเข้าใกล้คนพวกนั้นไม่ได้ เนื่องจากพวกมันจำหน้าเขาได้ เขาก็ต้องหาวิธีที่จะได้คลิปเสียง เผื่อจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับคดี แล้วบอกแพรวาให้กลับไปที่บ้านปฐวี จะอ้างเหตุผลอะไรก็ได้ แล้วพูดติดตลกว่ายกเว้นแย่งสามี เพราะถ้าทำจริงๆจะเป็นบาป แพรวาฉุนขาด ตบเขาฉาดใหญ่ฐานดูหมิ่นศักดิ์ศรีกันเกินไป

“นี่ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น คุณหมอไปตบเขาอย่างนี้ เขาอาจจะจูบคุณหมอ แบบตบแล้วจูบ” คำพูดของธวัชพงษ์เล่นเอาแพรวาถอยห่าง กลัวเขาจะทำจริง ธวัชพงษ์รีบยกมือไหว้ “แต่ผมไม่ ขอบคุณครับ แล้วผมจะจำไว้ว่าคุณหมอแพรวาเคยตบผมด้วยความหวังดี” คำพูดแปลกๆ ของเขาทำให้แพรวางงเป็นไก่ตาแตก

ooooooo

ชิดชบาแอบมานั่งเศร้าอยู่ที่สวนหย่อมของเรือนจำ ขาใหญ่เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่า

ดีขึ้นไหม เธอรู้สึกดีขึ้น แต่ยังกระอักกระอ่วนจนนอนไม่หลับ ขาใหญ่ปลอบว่ายาแก้แพ้ก็เป็นแบบนี้เอง หมอถึงไม่จ่ายให้ใครง่ายๆ ตอนนี้เธอกำลังท้องต้องกินอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้มากๆ ที่สำคัญอย่าคิดเยอะ

“นายคิดอะไร ทำไมนายถึงได้กลับมาดีกับฉัน”

ห้าวหรือขาใหญ่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าเด็กไม่มีความผิด ไม่ควรรับบาปของผู้ใหญ่ ชิดชบาลูบท้องน้อยตัวเองสีหน้าครุ่นคิด ห้าวอดถามไม่ได้จะเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวหรือ ชิดชบาน้ำตาคลอเบ้า พยายามกลั้นสะอื้นแต่ไม่สำเร็จ ถึงกับปล่อยโฮอย่างหมดความอดกลั้น...

ขณะที่ชิดชบาลังเลกับเรื่องเด็กในท้อง แพรวาแวะเอาอาหารไปให้ปฐวีที่คอนโดฯที่พักเผื่อแช่ตู้เย็นไว้อุ่นไมโครเวฟกิน และบอกเขาว่าไม่ต้องห่วงโสมสุภางค์ ตนจะดูแลให้เอง รับรองไม่คลาดสายตา แล้วส่งกล่องใส่อาหารให้เขา ก่อนหันหลังจะกลับ...

ด้านชัยยงค์โกรธมากที่ไม่มีข่าวการตายของชิดชบา ไหนชัยญาคุยหนักคุยหนาว่าคนข้างในพร้อมเก็บนังนั่นได้ทุกเมื่อ เขาก็รู้ว่าต้องตัดไฟแต่ต้นลม ขืนปล่อยชิดชบาสู้คดีแล้วรอดออกมาได้ พวกเราจะไม่มีที่ยืนในสังคม เร่งให้เขารีบจัดการตอนที่เธอมีชื่อเป็นหัวโจกก่อเหตุวิวาทในเรือนจำ จะได้จับมือใครดมไม่ได้ ชัยญารับปากจะรีบจัดการให้ ชัยยงค์บ่นอย่างหงุดหงิด ตอนนี้เอียนนังเถาว์เครือนั่นเต็มทีแล้ว

“ฉันอยากจะให้เรื่องมันจบ ถ้าสาวไปถึงปฐวีได้ยิ่งดี มันจะได้โยงไปถึงการสร้างบ่อนพนันกลางเมืองของมัน เห็นไหมว่าฉันวางแผนไว้กี่ชั้น แกต้องฆ่าชิดชบาให้ได้” ชัยยงค์กำชับเสียงเข้ม...

ในเวลาเดียวกัน ที่ห้องเช่าของยุวดี ปอนยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมบอกยุวดีว่าทำไมเขาถึงกลัวผู้ชายคนที่เข้ามาเติมน้ำมันคนนั้น พอถูกคาดคั้นก็ร้องไห้โฮจะหาแม่ เธอสงสารเด็กน้อยจับใจดึงตัวมากอดปลอบใจ...

เฉวียงมาแจ้งชิดชบาเรื่องที่ยังหาลูกชายของบุญถิ่นที่เกิดกับผัวเก่าไม่พบ ตำรวจส่งเรื่องไปที่มูลนิธิเด็ก เพื่อให้ช่วยค้นหาอีกทางหนึ่ง และเชื่อว่าเด็กถูกหลอกมาจากต่างจังหวัดเพื่อบีบบุญถิ่นเรื่องคำให้การ

“คนที่ฆ่าบุญถิ่นต้องการให้หนูติดคุก เขาต้องได้ประโยชน์กับการติดคุกของหนู...บ้าน คนที่ต้องการบ้านหลังนั้น นอกจากนายปฐวีแล้ว จะมีใคร”

“ตอนนี้คุณปฐวีเขาขอให้คุณนายเถาว์เครือถอนคัดค้านการประกันตัว ที่สำคัญ ผมหาคนที่ยืนยันไม่ได้ว่าคุณหนูอยู่ที่ผับ คนมันเยอะ ไม่มีใครสนใจใคร คนที่จำได้ก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากยุ่ง”

ชิดชบาแปลกใจทำไมปฐวีถึงต้องทำแบบนั้น เฉวียงได้ยินมาว่าเขาต้องการให้ฝ่ายเราพิสูจน์ตัวเองอย่างยุติธรรมในศาล...

ฝ่ายปฐวีกลับบ้านมาเยี่ยมโสมสุภางค์หลังเลิกงาน พบว่าแพรวากำลังอบรมพยาบาลเพื่อให้คอยผลัดเปลี่ยนเวรกันดูแลคนป่วยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่กลับไม่เจอเถาว์เครือที่นั่น ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้า...


คนที่ปฐวีถามหากำลังปรึกษาหารือกับชัยยงค์อยู่ในห้องพักถึงเรื่องที่ต้องเร่งสังหารชิดชบาให้สิ้นซาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องลูกของบุญถิ่นที่หายตัวไป ไม่รู้ชัยญา กับถกลทำท่าไหนถึงปล่อยให้เด็กรอดไปได้ ตอนนี้ตำรวจส่งเรื่องไปให้หน่วยงานที่ทำเรื่องเด็กหายจัดการ เถาว์เครือถึงกับหน้าถอดสี

“นี่หมายความว่า ลูกนังบุญถิ่นยังไม่ตายอีกหรือ ฉันนึกว่า...”

“ผมก็นึกอย่างคุณ ถึงต้องเร่งมือสังหารให้จัดการชิดชบาในคุก”

“งั้นก็อย่าช้าเลยค่ะ ทำอะไรก็ทำเถอะ ก่อนที่เรื่องมันจะพัวพันมาถึงตัวเรา ฉันไม่รู้ว่าปฐวีเขาคิดอะไร แต่เขากลับลำไม่เห็นด้วยที่ฉันคัดค้านการประกันตัวของทนายเฉวียง”

ชัยยงค์พลอยใจไม่ดีไปด้วยเพราะนั่นเท่ากับปฐวี อาจพบพิรุธจากการตายของบุญถิ่น จังหวะนั้นมีเสียงมือถือของชัยยงค์ดังขึ้น ชัยญาโทร.มาหาจากสนามแข่งรถ โดยลุกมาคุยอีกมุมหนึ่งห่างจากอุราศรีที่นั่งดูการแข่งขัน รถอยู่ด้วย ชัยยงค์อยากรู้เรื่องจัดการชิดชบาไปถึงไหนแล้ว เขายังพูดอะไรตอนนี้ไม่ได้ แต่รับรองว่าจัดการได้แน่นอน พ่อไม่ต้องเป็นห่วง วางสายแล้วหันไปสั่งการ ให้ถกลรีบไปจัดการเรื่องชิดชบาทันที

จากนั้นไม่นาน ถกลมานั่งอยู่ตรงหน้าขาใหญ่ภายใน ห้องเยี่ยมญาติของเรือนจำ ต่อว่าเธอว่าทำไมป่านนี้แล้วยังทำงานไม่สำเร็จ เจ้านายเร่งรัดมาแล้ว ห้าวทำไม่ได้ เพราะที่ตกลงกันไว้ให้ฆ่าชิดชบาคนเดียวไม่ใช่สองคน แล้วชี้ไปที่ท้องน้อยของตัวเอง ถกลถึงบางอ้อทันที

ooooooo

พยาบาลกำลังดูแลโสมสุภางค์อยู่ในห้องหอเห็นปฐวีเข้ามา รีบเดินเลี่ยงออกไป เขาเดินมาหยุดตรงหน้ารถเข็นของโสมสุภางค์ วางมือบนไหล่เธอซึ่งนั่งนิ่งไม่หือไม่อือ แล้วเล่าว่าเขากลับไปนอนที่คอนโดฯที่พักเนื่องจากงานยุ่ง หวังว่าแพรวากับพยาบาลคงดูแลเธอเป็นอย่างดี

“เรื่องคดียังไม่ไปถึงไหน ทนายฝ่ายจำเลยกำลังหาหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของลูกความ มันยังมีเรื่องเด็ก...เอ่อ ช่างเถอะ คุณรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณทำใจให้สบายนะ ผมไม่เคยอยากจากคุณเลย แต่เพื่อความสบายใจของทุกคน ผมจำเป็นต้องทำ” ปฐวีรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วของโสมสุภางค์สัมผัสนิ้วตัวเองก็ดีใจ

“คุณต้องขยันทำกายภาพนะ ผมเชื่อว่าคุณต้องกลับมาเดินได้อีก แล้วจากนั้นเราจะจดทะเบียน แล้วไปปารีสกันอีก เราจะไปปารีสกันอีก เราจะไปปารีสกัน ตามลำพัง” ปฐวีกอดโสมสุภางค์ไว้อย่างอ่อนโยน ไม่ทันเห็นแพรวาเปิดประตูห้องเข้ามาเจอภาพบาดตาถึงกับหน้าเศร้า...

เถาว์เครือตกใจอุทานเสียงลั่นเมื่อรู้จากถกลว่าชิดชบาท้อง คนของเขาในเรือนจำจึงไม่ยอมฆ่าเธอ อ้างว่า ไม่ได้ตกลงกันไว้จะให้ฆ่าทีเดียวทั้งแม่ทั้งลูก ชัยยงค์แนะให้เพิ่มเงินให้มือสังหาร อยากได้เท่าไหร่ให้ว่ามา ชัยญาบอกพ่อว่าไม่ต้องเป็นห่วง ในเรือนจำไม่ได้มีแค่ ไอ้ห้าวขาใหญ่เท่านั้นที่เป็นคนของเรา ชัยยงค์รู้สึกว่าเรื่องนี้จะมีคนรู้มากไปเท่ากับมีพยานที่พร้อมจะสาวมาถึงเราเพิ่มขึ้น

“เพราะฉะนั้น แกไอ้ถกล แกรู้ว่าต้องทำอย่างไร”

ถกลรับคำสีหน้าเหี้ยม เถาว์เครือชักจะหวั่นๆกับความเหี้ยมโหดของชัยยงค์ที่เพิ่มมากขึ้น ยิ่งนึกถึงคำพูด ของแพรวาที่พูดกับปฐวี หากยังหยุดเรื่องนี้ไม่ได้ จะต้องมีคนตายเพิ่มขึ้นอีกก็ยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง...

ตั้งแต่รู้ว่าชิดชบาตั้งท้อง ความรู้สึกที่ห้าวมีต่อเธอก็เปลี่ยนไป จากเคยเกลียดชังก็เปลี่ยนเป็นเห็นใจ คืนหนึ่งเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง เธอเล่าเรื่องราวในอดีตว่าทำไมถึงต้องมาติดคุกให้ชิดชบาฟังว่าถูกชายหกคนรุมโทรมทั้งๆที่รู้ว่าเธอเป็นทอม ทั้งหกคนโฉดชั่วนั่นพากันหัวเราะสนุกสนานที่ได้ข่มขืนทอม เธอเกิดฮึดสู้ขึ้นมา แทงหนึ่งในชายพวกนั้นตาย ส่วนอีกห้าคนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง

“ฉันถูกจับ ฉันไม่ได้บอกใครว่าถูกข่มขืน แล้วฉันก็ถูกส่งเข้ามาอยู่ที่นี่ ชีวิตน่ะ คุณจะอยู่ในหรือนอกคุก มีสิทธิ์ได้รับความโหดเท่าๆกัน คุณยังดีที่คุณเป็นผู้หญิงที่ท้องกับผู้ชาย แต่ฉัน...เป็นผู้ชายที่ท้องกับผู้ชาย” พูดได้แค่นั้น ห้าวก็พูดต่อไปอีกไม่ได้เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ รีบลุกหนี ชิดชบาตามมาจะถามเรื่องลูกของเธอ

ห้าวเดินมาถึงมุมมืดเพื่อจะกลับเรือนนอนแต่ถูกใครบางคนดักแทงด้วยเหล็กแหลม ชิดชบาตามมาเห็นเธอล้มฟุบ ร้องเอะอะขอให้คนมาช่วย ก่อนจะรีบประคองร่างโชกเลือดของห้าวไว้

“ห้าว นายเป็นอย่างไรบ้าง ไม่นะ นายต้องไม่ตาย นายต้องอยู่ นายมีลูก นายต้องเลี้ยงลูกให้โต ห้าว...ลืมตา ลืมตาเดี๋ยวนี้นะ” ชิดชบาพยายามเขย่าให้ห้าวรู้สึกตัว อึดใจความช่วยเหลือก็มาถึง ห้าวถูกพาส่งห้องฉุกเฉิน ท่ามกลางสายตาของเหล่านักโทษที่ทั้งแช่งให้ตายและที่ภาวนาให้เธอรอด...

คำภาวนาเป็นผล ห้าวรอดตายหวุดหวิด ข่าวนี้ทำให้ชัยยงค์เต้นเป็นเจ้าเข้า ด่าลูกชายและถกลไม่ยั้งเพราะนอกจากจะกำจัดชิดชบาไม่สำเร็จ ยังปล่อยให้พยานปากเอกรอดชีวิตไปได้ ครู่ต่อมาชัยญาลงลิฟต์มากับถกลด้วยสีหน้าหงุดหงิด ธวัชพงษ์ในคราบสารพัดช่างกำลังซ่อมไฟอยู่แถวนั้น ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินชัยญาตะคอกใส่หน้าสมุนมือขวาของตัวเอง ไหนว่ายังมีคนในสังกัดอยู่ในเรือนจำ แล้วทำไมยังปล่อยให้มันรอดมาได้ ถกลเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มันคงดวงดี

“ถ้าอย่างนั้นดวงของฉันก็กำลังจะแย่น่ะสิ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างในสายตาของพ่อ แม้แต่เรื่องเลวๆ”

ถกลขอโอกาสอีกครั้ง รับรองคราวนี้ชิดชบาตายสมใจแน่ ชัยญานิ่งคิดอึดใจ ก่อนจะเร่งให้เขารีบไปจัดการชิดชบาให้เร็วที่สุด ธวัชพงษ์ได้ยินเต็มสองหูถึงกับตะลึง รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้ปฐวีรับทราบ แต่เขาไม่ยอมเชื่อจนกว่าจะมีหลักฐานแน่ชัดเสียก่อน ธวัชพงษ์ร้อนใจมาก ปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อเขา ถ้าไม่ยอมช่วย รับรองชิดชบาไม่รอดแน่ และเขาก็จะไม่รู้เลยว่าเธอผิดจริงหรือไม่ ปฐวีดึงมือธวัชพงษ์ออก

“เอาเป็นว่าผมจะรับฟังไว้ แต่จะเชื่อหรือไม่นี่ ให้ผมเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองดีไหม”

ธวัชพงษ์กลับไปอย่างหัวเสีย ขณะที่ปฐวีเริ่มเป็นห่วง ความปลอดภัยของชิดชบาเช่นกัน

ooooooo

ชิดชบาได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยมห้าวที่โรงพยาบาลตามคำขอของคนป่วย ห้าวเตือนว่ามีคนจะ ฆ่าเธอในคุก เธอต้องออกไป ไม่อย่างนั้นชีวิตจะหาไม่

“มันเกี่ยวกับคดีของคุณ ฉันให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่สอบสวนไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้ระบุว่าใครจ้างวาน ความจริง อาจจะทำให้คุณหลุดออกไปจากที่นี่”...

จากการให้ปากคำของห้าวทำให้ชิดชบาได้รับการประกันตัว เฉวียงกับทนายผู้ช่วยมารอรับที่หน้าคุก เธอดีใจมากที่ได้เห็นท้องฟ้านอกกำแพงคุกอีกครั้ง ขอบคุณเฉวียงที่ช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ให้

“ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ยังมีคนอื่นที่เขาหวังดีกับคุณหนูจริงๆ เชิญครับ” เฉวียงเปิดประตูรถให้ชิดชบาขึ้นนั่ง จากนั้นรถของเขาก็เคลื่อนออกไป ผ่านรถของอรุณณรงค์ที่จอดอยู่ เจ้าของรถมองตามเศร้าใจ แม้จะรักชิดชบาเพียงใด แต่เกียรติยศและหน้าที่ค้ำคออยู่ทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปเยี่ยมเธอในคุก...

ไม่นานนัก ชิดชบาถึงบ้าน ตลับนาคโผกอดปลอบขวัญหลานรักที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เธอขอบคุณคุณป้ามากที่คอยเป็นกำลังใจ รวมทั้งเฉวียงและธวัชพงษ์ที่คอยช่วยเหลือให้พ้นจากคุก ตลับนาคเตือน อย่าลืมปฐวีอีกคนหนึ่งที่ช่วยขอร้องเถาว์เครือให้ล้มเลิกคำขอคัดค้านการประกันตัว ชิดชบาหน้าตึงทันที

“เขาคงจะรู้ว่าคดีจะพัวพันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นวัวพันหลัก คำให้การของเพื่อนนักโทษที่ถูกแทงอาจจะโยงไปถึงจอมบงการที่มีคำสั่งให้ฆ่าหนูในคุก”

“ป้าเชื่อว่ามันยังมีทางออก ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลที่ปลายอุโมงค์โน่น แต่มันก็เป็นทางออกนะ”

“ค่ะ หนูจะออกทางนั้น” สองป้าหลานกอดกันร้องไห้ด้วยความปีติ เถาว์เครือก้าวมายืนด้านหลังแพรวาที่ยืนดูทั้งคู่อยู่ก่อนแล้ว รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก กลัวความผิดที่ทำไว้จะตามทัน ทนอยู่เฉยไม่ได้ รีบแจ้นไปหาชัยยงค์ที่คอนโดฯที่พักเพื่อแจ้งเรื่องชิดชบาถูกปล่อยตัวออกจากคุก เขาบ่นอุบ ทำไมลูกชายตนเองถึงทำงานพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ เถาว์เครือไม่สบายใจมาก เร่งชัยยงค์จะทำอะไรก็ให้รีบทำ

“เมื่อก่อนนี้ฉันไม่เห็นด้วยที่เราต้องฆ่าใครต่อใคร แต่ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าถ้าเราไม่ชิงลงมือ เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ไม่รู้ว่าหลักฐานใหม่ที่ทนายเฉวียงเตรียมยื่นขอการคุ้มครองชิดชบาคืออะไร”

ชัยยงค์ปลอบ อาจไม่มีอะไรก็ได้ เฉวียงแค่ขู่ เถาว์เครือปลอบใจตัวเองว่าอาจเป็นอย่างที่เขาว่า แต่ตอนนี้ตนทนสบสายตากับแพรวาไม่ได้ รู้สึกเหมือนเธอรู้ว่าตนกำลังทำอะไรอยู่...

ด้านชิดชบาลูบราวบันไดขึ้นบ้านด้วยความคิดถึงที่ห่างหายกันไปนาน กวาดตามองไปรอบบ้านด้วยความรัก แต่ต้องชะงักเมื่อเจอแพรวายืนจ้องอยู่ที่โถงเหนือบันได คุณหมอสาวรีบออกตัวว่ามาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลโสมสุภางค์ซึ่งอาการดีขึ้น ถ้าไม่มีอะไรทำให้สะเทือนใจอีก ชิดชบาสัญญาจะอยู่ห่างๆโสมสุภางค์ ที่เธอต้องกลับมาที่นี่ก็เพราะเกมยังไม่จบ แพรวาตกใจ นี่เธอคิดว่ามันเป็นเกมอย่างนั้นหรือ

“มันเป็นเกมที่นักพนันสองคนกำลังจะลงเดิมพัน...” ชิดชบาชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นปฐวีก้าวเข้ามา “...ด้วยชีวิต” พูดจบเดินผ่านแพรวากลับห้องตัวเอง

ooooooo

อรุณณรงค์เดินใจลอยกลับเข้าวัง สวนกับหม่อมแม่โดยไม่ทักทายสักคำ ท่านต้องร้องเรียกไว้ ถามว่าไปไหนมา โทร.หาอุราศรีก็บอกว่าเขาไม่ได้ไปหา อรุณณรงค์ไปเยี่ยมชิดชบาที่คุก แต่ช้าไป

“ผมควรจะกล้ามากกว่านี้ ถ้าผมรักชิดชบา แต่นี่ผมรู้สึกรักตัวเอง รักชื่อเสียงเกียรติยศของผมมากกว่า ชิดชบาออกจากคุกแล้วล่ะครับ” อรุณณรงค์ขึ้นห้องอย่างคนไม่มีกะจิตกะใจ หม่อมจรัสเรืองตื่นตระหนกที่รู้ข่าวนี้ พอตั้งสติได้รีบวิ่งไปขวางหน้าลูกชาย ประกาศลั่นหากผู้หญิงคนนั้นออกจากคุกจริงๆ ท่านคงต้องรวบรัดการแต่งงานระหว่างเขากับอุราศรีให้เร็วขึ้น อรุณณรงค์อ้าปากจะค้าน แต่ท่านชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ก็ไหนชายเอี่ยวบอกแม่ว่า รักตัวเองมากกว่าชิดชบาไงล่ะ คนรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ต้องทำทุกอย่างเพื่อตัวเองสิ แต่งงานกับคุณหญิงอุราศรี เรื่องมันจะได้จบๆ” หม่อมจรัสเรืองเห็นลูกไม่ตอบอะไรก็ยิ่งร้อนใจ...

ตลับนาคตามชิดชบามายังห้องนอนเพื่อจะคุยด้วย แต่คุยกันได้ไม่กี่คำ เธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียน ตลับนาคมายืนมองที่หน้าประตูห้องน้ำด้วยความสงสัยว่าเป็นอะไร เธอโกหกว่าไม่ได้เป็นอะไร คงเครียดเพราะเพิ่งได้ออกจากคุก ขอเวลาปรับตัวอีกสักหน่อย อาการคงจะดีขึ้น

“ขอให้ไม่เป็นอะไรจริงๆเถอะ เพราะชีวิตของหนูน่ะ มันมีอะไรๆเกิดขึ้นมากเกินไปแล้ว แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร” ตลับนาคเห็นหลานสาวพยักรับคำให้ก็โล่งใจ “งั้นก็แล้วไป เดี๋ยวป้าจะลงไปเตรียมอาหารให้ ยังไม่ต้องลงไปร่วมโต๊ะกับคุณหมอแพรวาหรือ

คุณเถาว์เครือหรอก” ตลับนาคพูดจบ ออกจากห้อง ชิดชบาคลื่นไส้ อาเจียนออกมาอีก พยายามบังคับให้เสียงเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ตลับนาคสงสัย...

ปฐวีแวะมาเยี่ยมโสมสุภางค์หลังเลิกงาน เห็นเธอกินมื้อค่ำได้มากขึ้นก็ยิ้มพอใจ แล้วขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้แพรวาบอกว่าจะทำกายภาพบำบัดให้เธอแต่เช้า เขาเชื่อว่าอีกไม่นานเธอต้องอาการดีขึ้น โสมสุภางค์ค่อยๆขยับไปจับมือเขาไว้ ปฐวีกระชับมือตอบ ย้ำให้เธอร่วมมือกับแพรวาด้วย

“คุณต้องคิดเหมือนผมว่าเราต้องดีขึ้น ผมต้องไปแล้ว พรุ่งนี้ผมมีประชุมเช้า คุณนอนให้หลับนะ”

ปฐวีหอมเส้นผมโสมสุภางค์ แล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนจะออกจากห้อง ขณะเดินลงบันไดนึกถึงชิดชบาขึ้นมาได้ ตรงไปที่ห้องงานปั้น เธอเห็นเขาเข้ามาในห้อง จัดแจงจะลุกหนี เขาขวางไว้ เกลียดกันมากขนาดทนมองหน้าเขาไม่ได้เลยหรือ เธอยอมรับว่าเกลียดเขายิ่งกว่าของสกปรก และไม่เชื่อว่าเขาขอให้เถาว์เครือถอนคัดค้านคำขอประกันตัวของเธอเพราะต้องการให้ออกมาสู้คดีอย่างยุติธรรม

“คุณส่งคนไปฆ่าฉันในคุก พอไม่สำเร็จ คุณก็ใช้วิธีปล่อยฉันออกมาเพื่อเก็บฉัน ฆ่าฉันนอกคุกง่ายกว่า โอกาสตายมีมากกว่าในคุก ฉันไม่โง่จนเห็นคุณเป็นพ่อพระหรอก ไปลงนรกซะไอ้เลว”

ooooooo

วันนี้ยุวดีมีเข้าเวรที่ร้านสะดวกซื้อแต่เช้า พอมาถึงร้านก็เห็นป้ายประกาศเด็กหายจากมูลนิธิช่วยเหลือเด็กติดอยู่หน้าประตูทางเข้า รีบดึงกระดาษแผ่นนั้นมาพิจารณา มั่นใจว่าเป็นเด็กคนเดียวกันกับที่ตัวเองอุปการะ รีบกลับไปยังห้องเช่า ยื่นกระดาษในมือให้ปอนดู

“เกิดอะไรขึ้น น้องไม่ได้หนีออกจากบ้านใช่ไหม เล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่าน้องกลัวผู้ชายคนนั้นทำไม มันจับตัวน้องมาใช่ไหม ไป...พี่จะพาไปหาตำรวจ”

ปอนกลัวตัวสั่นไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น ยุวดีขู่ถ้าอยากกลับบ้านไปหาแม่ต้องเล่าความจริงมาให้หมด คราวนี้เด็กน้อยปล่อยโฮ คร่ำครวญว่ากลัวซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ยุวดีต้องปลอบว่าไม่ต้องกลัว เราจะไปหาตำรวจด้วยกัน แต่ต้องแวะไปลางานกับผู้จัดการร้านก่อน ปอนพยักหน้ารับคำ

เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง หลังจากยุวดีลางานเสร็จ กำลังจะพาปอนไปสถานีตำรวจ บังเอิญถกลขับรถเข้ามาเติมน้ำมันที่ปั๊ม เหลือบเห็นเด็กน้อยพอดี ปอนเห็นเขาวิ่งมาหาก็ตกใจ กระตุกแขนยุวดีให้หนี เธอหันไปเจอถกลพุ่งมาทางนี้ รีบคว้ามือปอนวิ่งหนีไม่คิดชีวิต เขาตามไม่ทันเพราะทั้งคู่ไปซ่อนตัวที่พุ่มไม้ด้านหลัง ถกลรีบโทร.แจ้งชัยญาเรื่องที่เจอเด็กน้อยแล้ว แต่ยังจับตัวไม่ได้ เขาถึงกับหน้าเครียด

“แกปล่อยให้มันหนีรอดไปยังไง แกรู้ไหมว่าเราสองคนเริ่มจะไม่มีเงาหัวแล้ว จับมันให้ได้ จะจับเป็นหรือจับตาย แกต้องจับมันให้ได้” ชัยญาวางสายอย่างหงุดหงิด อุราศรีซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกันนักเข้ามาถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เขาโกหกว่าไม่มีอะไร ลูกน้องของเขาแอบเอารถแข่งอีกคันไปพังในสนาม โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร แล้วรีบตัดบทชวนเธอไปหาอะไรกินกันดีกว่า เธอเห็นดีด้วย แต่มื้อนี้เธอขอเป็นเจ้ามือเอง

“ยินดีครับ ขอบคุณครับเจ้าภาพ เชิญครับ” ชัยญาผายมือ แสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้อุราศรีตายใจ...

ตลับนาคชักเอะใจเมื่อยกอาหารกลางวันขึ้นมาให้ชิดชบาที่ห้องนอน ได้ยินเสียงเธออาเจียนอยู่ในห้องน้ำ พอเดินไปดูเธอรีบเช็ดปากกลบเกลื่อนว่าคุณป้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นได้ยินเสียง ตลับนาคเห็นสีหน้าท่าทางเธอไม่สู้ดีนัก แนะให้ไปหาหมอ เธอปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไร แค่ยังไม่หายเครียดเท่านั้น

“ชิดชบา แน่ใจนะลูกว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

“ค่ะ หนูสบายดี วันนี้หนูมีนัดกับธวัชพงษ์ค่ะ” ชิดชบาว่าแล้วปิดประตูห้องน้ำเพื่อตัดบท ตลับนาครู้สึกเหมือนถูกไล่ทางอ้อมจึงต้องออกจากห้องอย่างเคลือบแคลงสงสัย...

ขณะที่ยุวดีกับปอนรีบกลับมาเก็บข้าวของที่ห้องเช่าเพื่อหนีการไล่ล่าของถกล เถาว์เครือมากดกริ่งประตูห้องจะชวนยุวดีกลับไปอยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยกันกำจัดชิดชบาและแพรวา เธอยืนกรานไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด แล้วปิดประตูใส่หน้า เถาว์เครือฉุนขาดตะโกนด่าว่าเธอต่างๆนานา ก่อนจะกลับไปอย่างหัวเสีย...

ฝ่ายอรุณณรงค์กำลังจะขึ้นรถกลับบ้าน มองไปยังร้านอาหารใกล้ๆ เห็นอุราศรีกำลังนั่งกินอาหารอยู่กับชัยญา ท่าทีของฝ่ายชายคอยเอาอกเอาใจเธอทุกอย่าง เขาเห็นแล้วไม่สบายใจมาก ห่วงความปลอดภัยของเธอ เพราะกิตติศัพท์ของชัยญาเป็นไปในทางไม่สู้ดีนัก...

ชัยยงค์ได้รับรายงานเรื่องลูกของบุญถิ่นจากถกลแล้วถึงกับปวดขมับ สั่งให้เขาพลิกแผ่นดินหาเด็กน้อยมาให้ได้ ส่วนชิดชบาก็ให้จัดการให้สิ้นซาก แต่ต้องทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ ประมาณชนแล้วหนี ตำรวจจะได้โยงมาถึงเราไม่ได้ กำชับว่าคราวนี้ห้ามพลาดอีก ถนนหนทางกว้างขวาง อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

“ครับ...ผมจะทำให้เป็นอุบัติเหตุ” ถกลรับคำแข็งขัน

ooooooo

ตลับนาครู้ว่าชิดชบาถูกปองร้ายจึงไม่อยากให้ออกจากบ้านตามลำพัง แนะให้เรียกธวัชพงษ์มาเจอที่บ้าน เธอทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะกำลังให้เขาสืบเรื่องชัยยงค์กับชัยญาอยู่ ขืนมาที่นี่แล้วเถาว์เครือได้ยิน ต้องเป็นเรื่องแน่ ตลับนาคแปลกใจ สองพ่อลูกนั่นเกี่ยวอะไรกับคดีนี้ด้วย ชิดชบาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

“แต่ข้อสงสัยของธวัชพงษ์ฟังได้ เราฟังไว้หลายทางอาจจะเป็นประโยชน์กับเราก็ได้ค่ะ”

“ขับรถดีๆนะ ระวังหน้าระวังหลังไว้บ้าง ป้าไม่ไว้ใจใครเลย”

หญิงสาวรับคำ แล้วขึ้นรถขับออกไปโดยไม่รู้เลยว่าถกลจอดรถซุ่มดูอยู่นอกรั้ว ก่อนจะสะกดรอยตาม ไม่นานนักชิดชบาขับรถมาจอดที่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟซึ่งนัดกับธวัชพงษ์ไว้ ก้าวลงจากทางเท้าเพื่อจะข้ามถนนไปร้านกาแฟ ปฐวีออกมาจากร้านขายดอกไม้ไม่ห่างจากจุดที่ชิดชบายืนอยู่ เห็นรถของถกลพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว โยนดอกไม้ทิ้งโดดรวบตัวชิดชบารอดจากถูกรถชนหวุดหวิด ธวัชพงษ์วิ่งออกจากร้านกาแฟเข้ามาถามชิดชบาซึ่งยังอยู่ในอ้อมแขนของปฐวีด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

“มันจงใจขับรถชนคุณนะ” ธวัชพงษ์ประคองให้ชิดชบาลุกขึ้น “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”

ชิดชบาส่ายหน้าแทนคำตอบ ธวัชพงษ์แนะให้ไปแจ้งความเพราะรถคันนั้นตั้งใจจะฆ่าเธอ แต่เธอไม่ยอมไป ดึงมือเขาข้ามถนนไปที่ร้านกาแฟ ปฐวีได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วง ธวัชพงษ์เห็นรอยถลอกที่ข้อศอกของชิดชบา ถามย้ำอีกครั้งว่าไม่เป็นอะไรแน่หรือ เธอไม่เป็นอะไร แค่ศอกกระแทกตอนที่ปฐวีช่วยเท่านั้น

“ฉันไม่เข้าใจว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม ตั้งแต่ออกจากคุก ฉันพบเขาที่บ้านตอนที่เขาไปเยี่ยมคุณโสมสุภางค์ เขาไม่ได้อยู่ในบ้านแล้ว คุณหมอแพรวามาอยู่แทน”

“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาทิ้งคุณโสมสุภางค์ตอนนี้ เขาแต่งงานแล้ว คุณโสมสุภางค์ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้ว ตอนนี้ก็...”

ชิดชบาประชดว่าปฐวีคงไม่อยากเจอหน้าคนขี้คุกอย่างเธอ ธวัชพงษ์เริ่มไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นอย่างที่เธอว่าเพราะเมื่อครู่นี้เขาช่วยชีวิตเธอไว้ ชิดชบาเองก็ยังงงไม่หาย...

คนที่ชิดชบากับธวัชพงษ์พูดถึงเพิ่งกลับถึงคอนโดฯที่พัก เห็นถุงใส่กล่องอาหารจากร้านอาหารชั้นเลิศห้อยอยู่หน้าประตูห้อง คาดว่าคงเป็นอาหารที่แพรวาส่งมาให้เช่นเคย รีบโทร.ไปขอบคุณ แพรวายิ้มอย่างมีความสุข

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเห็นว่าคุณยุ่งก็เลยโทร.สั่งทางร้านให้เอาไปส่งคุณที่นั่น ไม่ต้องห่วงโสมสุภางค์หรอกค่ะ ฉันจัดนักกายภาพมาทำกายภาพบำบัดให้โสมสุภางค์ทุกวัน เธอจะต้องดีขึ้นค่ะ คุณเองก็รักษาจิตใจของคุณให้ดีๆนะคะ เพราะจิตใจน่ะ มันส่งผลถึงร่างกาย คุณยังต้องใช้พลังอีกมากกับปัญหาของคุณ” พูดจบแพรวาวางสาย หันมาเห็นจำเรียงจ้องมองอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ทีหลังถ้าอยากรู้อะไรที่เกี่ยวกับฉันก็ถามได้เลยนะ ฉันไม่มีความลับ พร้อมจะแสดงความโปร่งใสว่าไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อแย่งอะไรของใคร” แพรวายิ้มให้จำเรียงก่อนจะเดินขึ้นข้างบน

ooooooo

ชัยยงค์เล่นงานถกลยกใหญ่ที่ทำงานพลาด พาลเล่นงานชัยญาด้วยที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง เขากลับคุยอวดว่าตอนนี้เขากำลังจะทำความสำเร็จให้ชีวิตด้วยการมีเมียรวย ชัยยงค์เตือน ผู้หญิงรวยสมัยนี้เลิกโง่ไปนานแล้ว เขาไม่คิดอย่างนั้น ที่รวยแล้วโง่เหมือนอย่างเถาว์เครือก็ยังมีให้เห็น

“ผมจะรวบรัดคุณหญิงอุราศรี ถึงตอนนั้นคงฉลาดไม่ทันแล้วล่ะมั้ง ว่าแต่พ่อเถอะ ถึงตอนสลัดคุณนายเถาว์เครือ พ่อจะสลัดหลุดไหม...ไม่ต้องห่วงเรื่องชิดชบา อุบัติเหตุน่ะมันเกิดได้หลายครั้ง คราวที่แล้วรอด แต่คราวหน้า ตายแน่” ชัยญายิ้มมาดมั่น...

หลังจากคุยธุระเสร็จ ธวัชพงษ์อาสาจะไปส่งชิดชบาที่บ้าน แต่เธอไม่ยอม เขาก็เลยทำได้แต่เดินมาส่งที่รถ เตือนให้เธอระวังตัวไว้บ้าง อย่าพยายามออกไปไหนตาม ลำพัง นี่ถ้าปฐวีไม่ช่วยเอาไว้ป่านนี้เธอคงไม่ได้มายืนอยู่อย่างนี้ ชิดชบารับปากจะหาทางขอบคุณเขาเอง ธวัชพงษ์ไม่ต้องย้ำเรื่องนี้บ่อยนัก

“ว่าแต่คุณเถอะ จะเข้าไปติดกล้องวงจรปิดในคอนโดฯนายชัยยงค์ได้อย่างไร ฉันฟังจากพฤติกรรมที่คุณเล่า คนคนนี้เป็นมนุษย์ลวงโลกทั้งพ่อทั้งลูก”

“ผมกำลังหาทางอยู่ ผมยังเชื่อว่าข้อสงสัยของผมไม่ผิด ผมเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมเห็นวันนี้มันจะไม่น่าเชื่อว่าคุณปฐวีเขาช่วยชีวิตคุณ... คุณขับรถระวังๆนะ”

ชิดชบาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะขึ้นรถขับออกไป แต่ไม่ได้ตรงกลับบ้าน เธอแวะไปขอบคุณปฐวีที่ช่วยชีวิตตนเองที่คอนโดฯที่พักของเขา แล้วขยับจะกลับ ปฐวีเรียกไว้ เตือนว่าเกมยังไม่จบ แม้เขาจะช่วยชีวิตเธอไว้ แต่เขายังยืนยันว่าจะต้องเอาตัวคนทำผิดเข้าคุกให้ได้

ooooooo

อรุณณรงค์เริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของอุราศรีกลัวจะเสียทีให้ชัยญา พอเจอกันที่กระทรวงต่างประเทศ จึงเข้าไปเตือนด้วยความหวังดีและเป็นห่วงอย่างจริงใจ เธอกลับไม่เห็นค่า ไล่ให้เขาไปห่วงชิดชบาที่เพิ่งออกจากคุกไม่ดีกว่าหรือ เพราะยังต้องสู้คดีกันอีกซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะรอดหรือเปล่า

“ผมไม่เข้าใจว่าคุณกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณหญิงอุราศรีที่ผมเคยรู้จักคือผู้หญิงที่มีเมตตา”

“ก็เหมือนคุณชายอรุณณรงค์ที่ฉันเคยรู้จัก สง่าภาคภูมิเป็นที่นับถือ แต่ตอนนี้เป็น งั่ง”...

ทางด้านเถาว์เครือกล่อมยุวดีให้กลับมาช่วยกันกำจัดทั้งแพรวาและชิดชบาไม่สำเร็จ จึงคิดจะจ้างจำเรียงมาเป็นพวก แม้จะได้เงินดี แต่เธอก็ไม่รับทำงานนี้ กลัวจะลงเอยแบบบุญถิ่นจนป่านนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ เธอขออยู่อย่างไร้เงินดีกว่าไร้ลมหายใจ...

ฝ่ายหม่อมจรัสเรืองทราบข่าวชิดชบาออกจากคุกก็ร้อนใจมาก ปรึกษากับอรุณณรงค์ว่าพรุ่งนี้จะไปพบผู้ใหญ่ฝ่ายอุราศรีเพื่อทาบทามเรื่องแต่งงาน เขาไม่ขัดข้อง พร้อมจะแต่งงานกับเธอตามที่หม่อมแม่ต้องการ หม่อมจรัสเรืองมองลูกชายอย่างไม่อยากจะเชื่อ ที่ยอมตัดชิดชบาออกจากใจจนได้...

ในเวลาเดียวกัน ชิดชบาเดินผ่านหน้าห้องหอ เห็นแพรวากำลังควบคุมดูแลให้นักกายภาพทำกายภาพบำบัดให้โสมสุภางค์ ก็หยุดมองด้วยความสนใจ โสมสุภางค์เงยหน้าเห็นเธอจ้องอยู่ สีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัดเพราะละอายใจเรื่องที่เธอถูกกล่าวหาว่าผลักตนเองทั้งๆที่ไม่ได้ทำผิด แพรวาเห็นสีหน้าเพื่อนรักไม่สู้ดีนัก เดินมางับประตูห้อง ชิดชบาถอนใจเหนื่อยใจ ขยับจะไป แต่เถาว์เครือปราดมาขวางไว้ เตือนให้อยู่ห่างๆลูกของตน ไม่อย่างนั้นจะฟ้องปฐวีว่าเธอพยายามข่มขวัญโสมสุภางค์

“คุณนายน่าจะก้มลงมองตัวเองนะคะว่าคุณนายมีส่วนทำร้ายคุณโสมสุภางค์หรือเปล่า คุณนายรู้อยู่แก่ใจว่าคุณโสมสุภางค์ตกลงมาจากบันไดได้อย่างไร”

“แกอย่ามากล่าวหาฉันนะ ไม่มีใครเชื่อแกหรอกว่าโสมสุภางค์ตกบันไดเพราะฉัน จะต้องมีการพิสูจน์ในศาล แล้วคดีมันจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่แกฆ่าปิดปากบุญถิ่น แกจะต้องกลับเข้าไปอยู่ในคุกอีกนังชิดชบา”...

ค่ำวันเดียวกัน ธวัชพงษ์อาศัยจังหวะที่ช่างไฟตัวจริงลาไปช่วยเมียคลอดลูก แอบสับคัตเอาต์ตัดไฟฟ้าห้องพักของชัยยงค์ รอจนเจ้าของห้องทนร้อนไม่ไหว เผ่นแน่บไปหาที่คลายร้อน จึงแอบเข้าไปติดตั้งกล้องสอดแนมทั้งที่ในห้องและที่ระเบียง

ooooooo

ชิดชบาพยายามจะอธิบายให้สมควรเข้าใจว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของบุญถิ่น แต่เขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าเธอมีส่วน จึงไม่อยากจะเสวนาด้วย เดินหนีไปหน้าตาเฉย ตลับนาคต้องเข้ามาปลอบหลานสาวว่าอย่าไปถือสา คนเพิ่งเสียเมียไปก็เลยคิดเปะปะเรื่อยเปื่อย

“อดทนนะชิดชบา จนกว่าหนูจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าหนูบริสุทธิ์”

“มันคงไม่ง่ายหรอกค่ะ เพราะจนป่านนี้ตำรวจก็ยังตามตัวเด็กที่เป็นลูกบุญถิ่นไม่พบ ตราบใดที่ยังไม่พบศพเด็ก ยังเชื่อได้ว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่...แต่อยู่ที่ไหน” ชิดชบาว่าแล้วถอนใจ หนักใจ...

ยุวดีไม่รู้จะพาปอนไปซ่อนตัวที่ไหน นึกถึงน้าสาวขึ้นมาได้ จึงพาไปที่นั่นซึ่งเป็นบ้านเก่าโทรมๆอยู่ในสลัม และเพื่อตัดปัญหายุ่งยาก เธอโกหกน้าว่าปอนเป็นลูกของเธอเอง โดยจ่ายเงินให้น้าห้าร้อยบาทแลกกับการอาศัยอยู่ที่นี่ น้าสาวถึงสงบปากสงบคำเลิกซักโน่นถามนี่...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน หม่อมจรัสเรืองไปพบพ่อและแม่ของอุราศรีเพื่อทาบทามลูกสาวของทั้งคู่มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน ทั้งพ่อและแม่ของเธอไม่ขัดข้อง เพราะรักใคร่สนิทสนมกับทางหม่อมจรัสเรืองและอรุณณรงค์มานานแล้ว แต่เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ พ่อของเธอจึงอยากให้เธอเป็นคนตัดสินใจเอง แล้วหันไปถามอุราศรี

“ว่าไง ลูกยินดีจะแต่งงานกับชายเอี่ยวเขาไหม พ่อจะได้ตอบหม่อมจรัสเรืองไป”

“เอ่อ หนูขอคิดดูก่อนค่ะ” คำตอบของอุราศรี สร้างความประหลาดใจให้หม่อมจรัสเรืองเป็นอย่างมาก

ครู่ต่อมา หม่อมจรัสเรืองกลับถึงวังตัวเองอย่างผิดหวังและหงุดหงิด บอกกับอรุณณรงค์ว่าอุราศรีบ่ายเบี่ยงเรื่องการแต่งงาน ท่านไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อก่อนเธอเคยไปเคยมาทุกวัน พักหลังๆกลับห่างไป

“ชายเอี่ยวไปพูดอะไรให้คุณหญิงอุราศรีหมดใจหรือเปล่า ต้องเป็นชายเอี่ยวแน่ แม่ไม่เชื่อหรอกว่าใครจะเปลี่ยนใจคุณหญิงอุราศรีได้ ชายเอี่ยวต้องทำอะไรสักอย่างนะ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงดีๆคนหนึ่งจะหลุดมือลูกไป...ชิดชบาใช่ไหม” หม่อมจรัสเรืองมองหน้าลูกชายอย่างรอคำตอบ พอเขาปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็ถึงกับอึ้ง

“ถ้ายังงั้นใครทำให้คุณหญิงอุราศรีเปลี่ยนไป”...

ชิดชบาแต่งตัวเตรียมจะออกจากบ้าน เจอโสมสุภางค์นั่งอยู่บนรถเข็นเพียงลำพัง จึงเดินเข้าไปหา

“ฉันไม่เคยอยากเห็นคุณในสภาพนี้เลย คุณรู้ไหม ฉันเจ็บไม่ต่างไปจากคุณหรอก มันไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะ...” ชิดชบาพูดได้แค่นั้น ก็หยุดกึกเพราะแพรวาเดินยิ้มแย้มเข้ามาเสียก่อน

“โสม...เอ่อ คุณ เอ่อ แค่จะมาบอกโสมสุภางค์ว่าคืนนี้คุณปฐวีจะมากินมื้อค่ำด้วย เธอต้องอยู่ร่วมโต๊ะกับเขานะโสมสุภางค์ คุณปฐวีเขาอยู่คนเดียว เขาคงจะเหงา คงจะห่วงเธอ เขาถึงได้มา อาจจะเป็นวันแรกที่เราได้อยู่กันพร้อมหน้า เอ้อ คุณ...” แพรวาหันมองชิดชบา

“ฉันจะออกไปข้างนอกค่ะ” ชิดชบาพูดจบเดินไปขึ้นรถ แพรวามองตามจนเธอลับสายตา แล้วหันมาเห็นเพื่อนรักน้ำตาคลอเบ้าก็ตกใจ ถามว่าเป็นอะไร โสมสุภางค์ส่ายหน้า

“คุณแม่ล่ะ”...

คนที่โสมสุภางค์ถามหาไปลอยหน้าอยู่ที่ห้องพักของชัยยงค์ แต่เขาไม่อยู่ เจอแต่ถกล ตัดสินใจจะรอจนเขากลับ ควักเงินให้ถกลยี่สิบบาทเอาไปกินข้าว แล้วเดินเข้าไปรอในห้อง ถกลมองเงินในมือเหยียดๆ

“แก่ง่าย ตายช้า แถมหนังเหนียวอีกต่างหาก ยัยคุณนายเถาว์เครือ”...

ขณะชิดชบานั่งจิบเหล้าอยู่ที่มุมมืดของเคาน์เตอร์บาร์มองไปยังอุราศรีที่นั่งหมุนแก้วเหล้าอยู่อีกมุมหนึ่งของผับด้วยสีหน้าเศร้าหมอง สักพักชัยญาเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้บาร์เทนเดอร์เป็นทำนองให้ผสมยานอนหลับในเครื่องดื่ม แล้วหันมาทางอุราศรี

“พอคุณหญิงโทร.บอกผมว่าอยู่ที่นี่ผมก็รีบมาทันทีครับ”

“ฉันรบกวนหรือเปล่าคะ”

“ผมเคยบอกคุณหญิงตั้งแต่พบกันครั้งแรกแล้วว่าผมคือมนุษย์ค้างคาวที่อยู่ในตู้โทรศัพท์ มีหน้าที่ช่วยผู้หญิงและเด็ก ผมพร้อมจะทำงานแล้วครับ” ชัยญาว่าแล้วดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้บาร์เทนเดอร์ซึ่งส่งเครื่องดื่มผสมยานอนหลับให้บริกรอีกทอดหนึ่งเอาไปวางตรงหน้าหญิงสาว ส่วนแก้วของเขาไม่ได้ใส่ยา จากนั้นซาตานในคราบสุภาพบุรุษก็ชวนเธอดื่มด้วยกัน เหล้ายังไม่ทันจะเข้าปาก ชิดชบาถลาเข้ามาปัดแก้วในมืออุราศรีตกแตก ผลักชัยญาและโต๊ะล้มคว่ำ แล้วฉุดเธอให้ลุกขึ้น เธอสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน

“ไปกับฉัน” ชิดชบากระชากร่างอุราศรีออกจากผับ ชัยญาตั้งหลักได้รีบวิ่งตาม ชิดชบาเร่งฝีเท้ามาที่รถของตัวเองผลักอุราศรีเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ

“ชิดชบา นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉันถามว่าเรื่องอะไร”

“ฉันจะพาคุณกลับไปส่งบ้าน คุณกำลังจะถูกมอมยา” พูดจบ ชิดชบาวิ่งไปนั่งประจำที่คนขับ กดล็อกประตูเรียบร้อย แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ooooooo

ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 15(อวสาน)


วิภาดาตัดสินใจขายบ้านร้างเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของบรรจบ ส่วนเงินค่าเช่าทั้งปีที่เฟื่องขจรรับมาจากแพรวพรรณก็ให้คืนเธอไป แต่วิศิษฏ์ทักท้วงว่า

“คิดให้ดีก่อนนะครับพี่วิ คุณแพรวจะเสียความรู้สึก คุณแม่จะเสียผู้ใหญ่ด้วย”

“จะเก็บบ้านนั้นไว้ให้เป็นสุสานผีของแกหรือไงตาศิษฏ์”

วิภาดาแว้ดใส่ วิศิษฏ์เหนื่อยใจตัดบทให้พี่สาวกลับไปก่อนเพราะค่ำแล้ว เฟื่องขจรเห็นด้วย ขืนวิภาดายังอยู่ก็รังแต่สร้างเรื่องปวดหัวให้ตน...

ผ่านไปแค่ข้ามคืน บรรจบก็แจ้นไปเอาหน้ากับแพรวพรรณ บอกเธออย่างภาคภูมิใจว่า

“พี่ซื้อบ้านร้างหลังนั้นเป็นของขวัญวันเกิดให้น้องแพรว ต่อไปน้องแพรวจะทุบแล้วสร้างใหม่ก็ได้นะ”

“แต่แพรวไม่อยากได้”

“พี่เขามีน้ำใจ แพรวก็รับไว้เถอะ ขอบคุณพี่เขาสิแพรว”

หญิงสาวเชิดหน้าไม่ใส่ใจคำพูดของแม่...บรรจบเริ่มไม่พอใจแต่ระงับท่าทีเอาไว้ เอ่ยอย่างใจเย็นว่า

“พี่ให้ในโอกาสที่เราสองคนกำลังจะ...”

“แพรวยังทำงานไม่เสร็จ แพรวยังไม่ตกลงค่ะ” เธอสวนทันควันจนบรรจบชะงัก งามเนตรหน้าเสีย ร้องเรียกลูกสาวที่เดินหนีให้กลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่สุรเดชขัดขึ้นว่า

“ยัยแพรวพูดชัดเจนแล้วครับ ไม่มีอะไรต้องอธิบายอีก ถ้างานที่ยัยแพรวทำเสร็จแล้วเราค่อยพูดกันอีกที”

บรรจบชักสีหน้า เดินออกไปอย่างหัวเสีย งามเนตรหงุดหงิดต่อว่าสุรเดชเข้าข้างลูกในทางที่ผิด แต่พอสามียอกย้อนกลับมาก็อึ้งไป

“แล้วการเป็นคนเห็นแก่ได้ของคุณนี่มันไม่ผิดเหรอ”

ooooooo

ตั้งแต่ได้แหวนนาคราชมาแพรวพรรณฝันเห็นผู้หญิงหน้าตาเหมือนตัวเองบ่อยครั้ง พอบอกเรืองรุ้งก็ได้คำตอบว่าแหวนวงนี้จะช่วยทำให้เธอเข้าใจทุกอย่าง

แพรวพรรณอึดอัดคับแค้น พูดท้าทายแหวนนาคราชรู้อะไรให้บอกมาเลย ตนรับได้ทุกอย่าง ตนไม่กลัวอะไรทั้งนั้น...เธอตะเบ็งเสียงจนหอบตัวโยน เจ็บหน้าอกต้องร้องขอยาโรคหัวใจจากสาวใช้อย่างเร่งด่วน

พิศรู้เห็นและเศร้าใจกับการกระทำของน้องสาว กาฬกับนิลปรากฏตัวต่อหน้าพิศ กาฬเอ่ยอย่างมั่นใจว่าแม่แพรวไม่ละความพยาบาทง่ายๆหรอก เยี่ยงนี้แล้วจะให้ตนอโหสิกรรมให้แม่แพรวได้ยังไง แต่นิลกลับบ่นสงสารแม่แพรว พิศมองหนูน้อยทั้งสองแล้วดึงตัวมากอด ย้ำว่า

“เราต้องช่วยทำให้แม่แพรวสำนึกผิดในบาปกรรมที่ก่อไว้”

“จะคร่ำครวญกับกรรมของคนอื่นทำไมกัน” เทียนส่งเสียงก่อนปรากฏตัว พิศจำได้ว่าเขาคือท่านพระครูในอดีตชาติ “กงล้อแห่งกรรมกำลังหมุนวนกลับมาอีกครั้งแล้วนะ ระวังตัวด้วยแม่พิศ...กุมารน้อยเอ๊ย บุญของเจ้าหมดแล้ว ไปผุดไปเกิดเถอะนะ”

นิลใจหายวาบ กอดพิศแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน จากนั้นหันมาบอกลากาฬก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นควันสีเทาเลือนหายไปบนท้องฟ้า

“ขอให้เจ้าทั้งสองทำงานนี้ให้สำเร็จนะ” เทียนอวยพรพิศและกาฬก่อนหายวับไป พิศมาหาวิศิษฏ์ที่บ้านในตอนค่ำ รำพันอย่างเศร้าใจว่าอีกไม่นานเธอคงไม่ได้พบเขาอีก ชายหนุ่มตกใจสวมกอดเธอไว้แนบอก

“ผมไม่ยอมให้คุณพิศจากผมไปไหน...ต่อให้ผมตายผมก็ยอม ขอเพียงได้อยู่ใกล้คุณพิศเท่านั้นก็พอ

“ฉันฝืนกฎของสวรรค์ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ฉันไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนคุณเด๋อ”

“ถ้าอย่างนั้นรับปากผมได้ไหมว่าเวลาที่เหลืออยู่คุณพิศจะอยู่กับผมให้มากที่สุด นานที่สุด”

“แม่แพรวคือตัวแทนของฉัน...เธอรักคุณเด๋อมากนะ เจ้าคะ”

“ใครก็แทนคุณพิศไม่ได้” วิศิษฏ์เน้นย้ำทั้งน้ำตา...

เช้าขึ้นมาเขายังเก็บเรื่องนี้มาคิดจนไม่เป็นอันทำงาน เพื่อนๆต่างพากันสงสัย แต่ดูเหมือนจะมีภาณุเพียงคนเดียวที่รู้ปัญหาของเขา

“ข้าพอจะรู้เรื่องของเอ็งมาจากคุณรุ้งบ้าง ทำไมเอ็งไม่ลองปรึกษาคุณรุ้งดูล่ะวะ”

วิศิษฏ์นึกได้ผลุนผลันออกไปทันที

ooooooo

ขณะที่โรคหัวใจของแพรวพรรณกำเริบทำให้เธอต้องนอนพักผ่อนมากเป็นพิเศษ...ยามนั้นแหวนนาคราชทำให้เธอได้เห็นอดีตที่เคยร้ายกาจกับพิศอย่างไม่น่าให้อภัย

ด้านวิศิษฏ์ที่อยากรู้ความเป็นไปในอดีตชาติ เขามาหาเรืองรุ้งและพยายามคาดคั้นเอาความจริง แต่หญิงสาว กลับบอกว่า

“รุ้งไม่อยากยุ่งเรื่องของคุณสามคน รุ้งไม่มีบารมีพอที่จะเปิดเผยความลับของใคร คุณศิษฏ์ต้องไปพบใครบางคนที่มีบารมีมากพอ”

“มีบารมีมากพอ แล้วจะเป็นใครล่ะครับ”

“ก็ต้องเป็นระดับครูบาอาจารย์ของคุณศิษฏ์น่ะค่ะ”

วิศิษฏ์นึกถึงอาจารย์เทียนขึ้นมาทันที เขาดั้นด้นไปพบแล้วนั่งสมาธิตามที่ท่านบอก

“คุณต้องปฏิบัติสมาธิแล้วรู้ด้วยกำลังสมาธิของตนเอง อำนาจบุญบารมีที่สะสมมาจากชาติปางก่อนจะช่วยคุณได้”

ในระหว่างที่วิศิษฏ์นั่งสมาธิ เทียนไปขอร้องพิศให้เปิดอดีตให้เขารู้

“ข้าจะเปิดให้เขารู้ แต่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า แม่แพรวก็ยังไม่ยอมรับในกรรมที่ก่อไว้เลย...หาสำนึกในกรรมแต่น้อยไม่”

“ตัวแม่พิศเองก็ต้องยอมรับกรรมด้วย”

“ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ บารมีข้าลดลง บางทีอาจกลับสู่เบื้องบนไม่ได้ ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”

“ความรักทำให้เป็นทุกข์ รู้แล้วหรือยัง”

“รู้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะเปิดอดีตให้เจ้าคุณพี่เอง”

“แล้วจะจากเขาไปเลยหรือเปล่า”

“ข้าตัดบ่วงนี้ออกไม่ได้...ข้ารักเขา ข้าขอวนเวียนอยู่รอบๆเขา เหมือนที่ข้าตัดแม่แพรวออกจากชีวิตข้าไม่ได้เจ้าค่ะ”

พิศร่ำไห้แล้วมาปรากฏตัวยืนตรงหน้าวิศิษฏ์ที่ยังนั่งสมาธิ...พลันภาพในอดีตผุดขึ้นหลายอย่าง ผ่านไปพักใหญ่วิศิษฏ์ลืมตาเห็นเทียนยืนอยู่เบื้องหน้า

“อาจารย์...ผม...เห็นตัวผมเอง”

“คุณได้ทวนสู่อดีตชาติ...ผู้หญิงที่เห็นในสมาธิ คุณรู้จักดีใช่ไหม”

“คุณแพรว...กับคุณพิศ”

“ใช่ คนหนึ่งต้องชดใช้กรรมที่ฆ่าพี่สาวและทำบาปหลายชนิดในนรกมายาวนาน เพิ่งได้เกิดเป็นคนในชาตินี้ เธอเกิดด้วยแรงปรารถนาที่จะได้พบคุณ”

“แล้วอีกคนล่ะครับ”

“มาเพื่อช่วยน้องสาวให้สมหวังในความรัก แต่ความรักที่มีต่อคุณก็ไม่เคยเสื่อมคลาย”

“ผมควรจะทำยังไงดีครับ ผมรักคุณพิศ ไม่ได้รักคุณแพรว”

“เคยครองคู่ เคยทำบุญด้วยกัน เคยอธิษฐานรักร่วมกันมา ยังไงก็หนีกันไม่พ้นหรอก” เทียนทิ้งท้าย...ร่างเลือนหายไป

ooooooo

แพรวพรรณสื่อสารกับพิศผ่านแหวนนาคราชที่ได้มา แต่ไม่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาเธอชัดๆ เพราะพิศทราบดีว่า

“เธอไม่ได้อยากเห็นฉันด้วยเจตนาบริสุทธิ์”

“รู้ได้ยังไง...เราน่าจะพูดคุยกันให้รู้เรื่อง ฉันอยากรู้ว่าคุณต้องการอะไร”

“ภาพที่เธอเห็นในความฝันยังไม่พอที่จะเข้าใจอีกรึแม่แพรว เธอฆ่าฉันตายเพียงเพื่อต้องการสมหวังในความรัก ทั้งที่เจ้าคุณพี่ก็รักเธอ และฉันก็ไม่เคยกีดกัน”

“นั่นมันชาติที่แล้ว...ฉันต้องการรู้ว่าชาตินี้คุณตามฉันมาทำไม...คุณต้องการอะไร”

แพรวพรรณโวยวาย สองมือกำหมัดแน่นเข้าหากัน ริมฝีปากเม้มอย่างแค้นเคือง

“จิตของเธอยังไม่ละความอาฆาตแค้นพยาบาท ตราบใดที่เธอยังไม่สำนึกผิด ตราบนั้นเธอก็ยังไม่มีความสุข”

ขาดคำพิศวูบหายไป แพรวพรรณลืมตาขึ้นเหลียวมองรอบห้อง ส่งเสียงท้าทายอย่างถือดี

“อยู่ไหนล่ะ มาให้ฉันเห็นสิ ออกมาให้ฉันเห็น คิดเหรอว่าฉันกลัว ฉันไม่ยอมแพ้หรอก ฉันเกิดมาเพื่อรักผู้ชายคนนี้ ยิ่งรู้ว่าฉันตามเขามาแต่ชาติปางก่อน ฉันยิ่งมีพลังที่จะแย่งชิงเขามาจากเธอ”

ความรักระหว่างวิศิษฏ์กับพิศใกล้จะหมดเวลาลงในไม่ช้า เพราะเขาและเธออยู่คนละภพชาติกัน อีกทั้งพิศก็ต้องการให้แพรวพรรณหรือแม่แพรวได้ลงเอยสมหวังกับวิศิษฏ์ แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับแพรวพรรณจะสำนึกผิดต่อบาปตามที่พิศปรารถนาหรือไม่

ด้านความสัมพันธ์ระหว่างภาณุกับเรืองรุ้งราบรื่นไร้ปัญหา ทั้งคู่เข้าใจกันดีทุกเรื่อง ขณะที่แสวงกับวิภาดาก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ค่อยๆสานสัมพันธ์โดยคนใกล้ชิดรับรู้และไม่มีใครขัดขวาง แม้ว่าแสวงจะมีอายุน้อยกว่าวิภาดาก็ตาม

ขณะที่ภาณุกับแสวงมีความสุข แต่สำหรับวิศิษฏ์นั้นกำลังซึมเศร้าเพราะทราบดีว่าอีกไม่นานพิศต้องจากไป เมื่อใดที่มีโอกาสใกล้ชิดพิศ ไม่ว่าที่บ้านหรือที่ทำงาน ชายหนุ่มจึงตักตวงความสุขหยอกล้อคุยเล่นกับเธอจนบางทีลืมไปว่าคนอื่นอาจรู้เห็นหรือสงสัย

วันนี้ก็เช่นกัน ขณะที่เขาหยอกล้อกับพิศอยู่ในห้องทำงาน แพรวพรรณพรวดพราดเข้ามาเห็นเต็มตา หึงหวงถึงกับพูดโพล่งว่า “แหวนนาคราชทำให้ฉันพบคุณ แต่ไม่น่าต้องมีคนอื่นอยู่ด้วยเลย...ปรากฏตัวตอนกลางวันแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”

วิศิษฏ์กับพิศตกตะลึง ครู่หนึ่งร่างพิศเลือนหายไป แพรวพรรณส่งเสียงเรียกหาอย่างไม่สบอารมณ์

“หายไปไหนล่ะ หายไปไหน มาคุยกันให้รู้เรื่องสิ”

“คุณแพรว...นี่คุณทราบ?”

“เรื่องของเราสามคน...แพรวรู้หมดแล้ว และเชื่อว่าคุณก็รู้เช่นกัน คุณศิษฏ์ใช้ชีวิตอยู่กับเขาไม่ได้หรอกนะคะ ผีกับคนอยู่ร่วมกันไม่ได้หรอกค่ะ”

แพรวพรรณเดินตาแดงๆหนีไป กำลังจะผ่านกลุ่มของภาณุก็รู้สึกเจ็บร้าวที่หน้าอกจนซวนเซทรงตัวไม่อยู่ พวกภาณุตกใจตรงเข้าประคอง วิศิษฏ์ตามออกมาเห็นและทำตามที่เขียวบอกให้พาหญิงสาวเข้าไปปฐมพยาบาลในห้องประชุมก่อน

แพรวพรรณเจ็บปวดแต่ยังรู้สติดี เธอบอกวิศิษฏ์ให้หยิบยาในกระเป๋าสะพาย ชายหนุ่มรีบค้นหาและนำยาให้เธออมใต้ลิ้น ขณะที่ระรินถามทุกคนว่าจะให้ตนตามหมอดีไหม

“นั่นสิ เอาไง หรือไม่ก็ควรโทร.บอกพ่อแม่เขานะโว้ย”

วิศิษฏ์มองแสวงกับระรินที่รอคำตอบ แล้วตัดสินใจให้ทุกคนอออกไปก่อน เดี๋ยวแพรวพรรณหายใจไม่ออก

หลังจากคนอื่นๆออกไปแล้ว ในห้องประชุมเหลือเพียงวิศิษฏ์กับแพรวพรรณ พิศปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง บอกวิศิษฏ์ว่า

“คุณออกไปก่อน ฉันจะพูดกับน้องสาวฉัน”

วิศิษฏ์อึดอัดไม่รู้จะทำยังไง จำใจออกไป แพรวพรรณอาการดีขึ้นลืมตามองพิศอย่างชิงชัง

“วิเศษนักเหรอ”

“พี่ไม่เคยคิดแย่งเจ้าคุณพี่ไปจากแม่แพรว มีแต่จะทำให้เขารักแม่แพรวมากขึ้น มีทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะรักแม่แพรว”

“อะไร”

“สำนึกในกรรม...ขอโทษพี่ซะ...บุญที่แม่แพรวเคยทำบุญร่วมกับเจ้าคุณพี่จะส่งผลให้ความรักของแม่แพรวสมหวัง”

“นั่นมันชาติที่แล้ว ไม่เกี่ยวกับชาตินี้” แพรวพรรณสะบัดเสียงแล้วเมินหน้าหนี พิศเสียใจเลือนหายไปอย่างจนใจ

ooooooo

ออกจากที่ทำงานวิศิษฏ์...แพรวพรรณตัดสินใจโทร.หาบรรจบ ขอร้องให้เขาพาเธอไปพบหมอผี บรรจบรับปากและเดินทางมาหาเธออย่างรวดเร็วทันใจ ก่อนจะพากันไปที่สำนักของสัตตะ

แพรวพรรณอ้างกับบรรจบว่าตนโดนผีทำร้ายเลยอยากเจอหมอผี บรรจบไม่ค่อยไว้ใจ เตือนเธอก่อนจะเข้าไปพบสัตตะ

“เขาอาจจะไม่ใช่คนดี น้องแพรวต้องระวังตัวด้วย พี่เป็นห่วง”

“ขอบคุณค่ะ แต่แพรวมีเรื่องจะขอร้องพี่บรรจบด้วย แพรวขอพบหมอผีเป็นการส่วนตัว”

“น้องแพรวมีความลับกับพี่ด้วยเหรอ”

“ก็...แพรวอายนี่คะ กลัวพี่บรรจบจะหาว่าแพรวอ่อนแอ”

“โธ่เอ๊ย...แต่เอาเถอะ ถ้าน้องแพรวต้องการอย่างนั้นพี่ก็โอเค”

แพรวพรรณเข้าไปข้างในคนเดียว บรรจบนั่งรออย่างกระวนกระวาย มองไปที่ห้องซึ่งปิดประตูมิดชิด...

สัตตะหลงใหลรูปร่างหน้าตาแพรวพรรณมานานอยากได้เป็นเมีย แน่นอนว่าเขาต้องไม่ช่วยเหลือเธอโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

หลังจากแพรวพรรณเล่าปัญหาของตนให้สัตตะฟังแล้ว เขาส่งขวดแก้วเล็กๆให้เธอ บอกว่ามันคือน้ำตาหมา ในทางคุณไสยวิเศษมาก เอาป้ายตาแล้วนั่งสมาธิส่งจิตไปถึงคนที่เราอยากเห็นก็จะได้เห็นทุกอย่าง

แพรวพรรณยิ้มย่องรับของมาแล้วส่งเงินจำนวนหนึ่งให้แต่สัตตะไม่รับ บอกว่าถ้าได้ผลค่อยว่ากันอีกที...

ทันทีที่เธอกลับออกมา บรรจบปรี่ไปหาด้วยความเป็นห่วง “ทำไมนานจัง...พี่แทบบ้าเลยนะ กลัวไอ้หมอผีมันจะทำอะไรแพรว ถ้าเสร็จธุระแล้วก็ไปกันเถอะ”

หญิงสาวไม่พูดอะไร เดินนำเขาออกไปขึ้นรถ สัตตะก้าวออกมามองตามแพรวพรรณ มาดหมายว่าคราวนี้เธอไม่รอดมือตนแน่!

ooooooo

คืนนั้นเอง แพรวพรรณใช้น้ำตาหมาของสัตตะป้ายตาตัวเองทำให้เห็นวิศิษฏ์กับพิศอยู่ด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาพูดคุยอะไรกันบ้าง รู้แต่ว่าทั้งคู่รักกันมาก...

เพียงแค่เห็นภาพ แพรวพรรณก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่พิศเองก็เจ็บปวดร้าวรานหากต้องจากวิศิษฏ์ไปในไม่ช้านี้

“วันเวลาของฉันเหลือน้อยเต็มทีแล้วค่ะคุณเด๋อ อีกไม่นานเราก็คงต้องจากกัน”

“ให้ผมไปอยู่กับคุณพิศด้วยได้ไหม ผมจะฆ่าตัวตายจะได้เป็นวิญญาณตามคุณพิศไปทุกหนทุกแห่ง”

“อย่าพูดอย่างนี้...การฆ่าตัวตายเป็นบาปนะคุณเด๋อ”

“ก็ผมรักคุณพิศนี่”

พิศฟังแล้วซึ้งใจ...ทั้งคู่โผเข้ากอดกันร้องไห้อย่างยากจะทำใจ...

ทางด้านบรรจบที่พาแพรวพรรณไปพบสัตตะมาเมื่อวาน...เช้าวันนี้เขาเล่าให้บุรีฟังอย่างเป็นกังวล

“ผมบอกตรงๆนะว่าไม่ไว้ใจไอ้อาจารย์สัตตะเลย มันเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้ ผมคิดผิดที่พาน้องแพรวไปพบมัน”

“แล้วหนูแพรวเขามีปัญหาอะไร ถึงต้องพึ่งหมอผี”

“เขาว่าเขาถูกผีรังควานครับ”

“พ่อกลัวว่าจะเป็นผีของมันเองน่ะสิ ทำใส่หนูแพรวเพื่อให้หนูแพรวกลัวจนต้องไปหามัน”

“ผมก็คิดอย่างนั้นครับ เราจะทำยังไงกันดี”

บรรจบว้าวุ่น แต่แล้วกลายเป็นโมโหเมื่อรู้เห็นว่านงรามท้องได้สองเดือน เขาไม่อยากมีลูกจะให้เธอไปทำแท้งแต่เธอไม่เล่นด้วย ร้องไห้ฟูมฟายตัดพ้อต่อว่าจนสร้างความไม่พอให้เขายิ่งขึ้นไปอีก ถึงกับลงมือกับเธออย่างไร้ความปรานี บุรีห้ามปรามก็ไม่ฟัง จะวิ่งไล่ตาม นงรามที่หนีออกไปจากบ้านทั้งน้ำตานองหน้า

“บรรจบ! พอแล้ว! เรื่องมันจะไปกันใหญ่”

“คุณพ่ออย่าห้ามผม ผมจะฆ่ามันวันนี้แหละ”

“มีสติหน่อย เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”

“ใหญ่แน่ครับ ผมเพิ่งดีกับน้องแพรว ถ้านังนี่มันอ้างเรื่องท้องน้องแพรวก็จะไม่ยอมแต่งงานกับผมอีก ปล่อยผมครับคุณพ่อ”

“ถ้ารุนแรงไป นังนั่นมันแจ้งความ ระวังตำรวจจะรื้อคดีเก่าๆของแกขึ้นมานะบรรจบ”

บรรจบอึ้ง แต่สีหน้ายังเคร่งเครียดหงุดหงิด...ด้านนงรามที่ขับรถออกจากบ้านไปด้วยความเสียใจ เธอโทรศัพท์บอกสุนทรีว่าตัวเองท้อง แต่ไม่ยอมบอกว่าบรรจบไม่รับแถมทำร้ายร่างกายเธอ เอาแต่ร้องไห้จนโดนสุนทรีดุซ้ำอย่างหงุดหงิด

นงรามยิ่งเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้น ดวงตาพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาจนรถแล่นกินเลนโดนรถบรรทุกที่สวนมาชนตายคาที่!

สุนทรีกับองุ่นเสียใจมากกับการจากไปอย่างกะทันหันของนงราม...ที่ผ่านมาสุนทรียอมรับและสำนึกผิดว่าบีบบังคับลูกสาวเกินไป แต่นึกไม่ถึงว่าลูกจะต้องพบกับจุดจบแบบนี้

ooooooo

แพรวพรรณมีแหวนนาคราชจึงได้รู้เห็นอดีตชาติของตนเองกับพิศและคุณพระ โดยเฉพาะเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอทำร้ายพิศ แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้เธอสำนึกผิด กลับหาทางแย่งชิงวิศิษฏ์ที่กำลังหลงรักพิศซึ่งไม่ใช่มนุษย์อย่างหัวปักหัวปํา

นอกจากแหวนนาคราชแล้วแพรวพรรณยังมีน้ำตาหมาของสัตตะที่ทำให้เธอรู้เห็นความเคลื่อนไหวของพิศและวิศิษฏ์ แต่ยิ่งรู้ก็ยิ่งร้อนรนด้วยความริษยา ถึงกับทนอยู่เฉยไม่ไหว บุกไปถึงที่ทำงานของวิศิษฏ์ อ้างว่าเอางานมาให้เขาดู แล้วทำทีเป็นขอโทษเพราะเข้ามาในจังหวะที่พิศกำลังจะจูบวิศิษฏ์พอดี

พิศตกใจวูบหายไป ส่วนแพรวพรรณแก้เก้อด้วยการขอโทษวิศิษฏ์แล้วออกไปรอข้างนอก...พิศหายไปเจอเรืองรุ้ง เล่าเรื่องหนักใจที่แพรวพรรณยุ่งเกี่ยวกับมนต์ดำไสยศาสตร์จะทำให้กรรมยิ่งตามทันและลงโทษเธอ

เรืองรุ้งรับฟังและรับปากเมื่อพิศขอร้องให้เธอร่วมมือกับเพื่อนช่วยเหลือแพรวพรรณ ขณะเดียวกันนั้นแพรวพรรณยังอยู่ที่สำนักงานของวิศิษฏ์ เธอต้องการคุยกับพิศจึงเอาน้ำตาหมาป้ายขอบตาแล้วหลับตา มือข้างหนึ่งจับหัวแหวนนาคราช ปากพูดพึมพำว่าตนขอเห็นแม่พิศ ไม่กี่อึดใจ แพรวพรรณลืมตาก็เห็นพิศยืนตรงหน้าสมดังใจ

“ขอให้แม่แพรวเชื่อเถอะว่าพี่มาดี พี่จะช่วยให้เธอสมหวังในความรัก”

“ด้วยการอยู่กับเขาตลอดเวลา...คิดว่าฉันโง่เหรอ เลิกพูดถ้อยคำสวยๆ งามๆ ได้แล้ว จำไว้ด้วยว่าฉันไม่กลัวเธอ”

“ฟังพี่ก่อน พี่รู้นะว่าแม่แพรวจะมา แต่ไม่คิดว่า...”

“ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นภาพบาดตา”

“ถึงที่สุดแล้วพี่ก็ไม่มีวันได้อยู่กับเขา ชาตินี้เจ้าคุณพี่จะได้ครองรักกับแม่แพรว แต่พี่ขอร้องว่าแม่แพรวอย่าสร้างกรรมเพิ่ม เมื่อรู้แล้วว่าอดีตชาติทำอะไรไว้ก็สำนึกผิดเสีย”

“จำเป็นที่ฉันต้องฟังและปฏิบัติตามหรือเปล่า ถ้าคิดว่าจำเป็นก็เลิกคิดซะ ฉันไม่มีวันขอโทษคนที่เป็นคู่แข่งกับฉัน”

พิศน้ำตาคลอด้วยความเสียใจ แต่ยังไม่ปล่อยแพรวพรรณไปตามอำเภอใจ หายตัวมาดักหน้าเธอไว้ทำให้แพรวพรรณยิ่งโกรธมากขึ้น แหวใส่อย่างท้าทาย

“ถ้าคิดว่าจะใช้อิทธิฤทธิ์ให้ฉันรู้สึกกลัว ขอบอกว่าเธอคิดผิด ความตายฉันยังไม่กลัว แล้วฉันจะกลัวอย่างอื่นงั้นรึ...คิดเสียใหม่”

“พี่อยากขอร้องว่าเลิกยุ่งกับมนต์ดำ...มันไม่ดี”

“ที่ฉันเห็นเธอ และกล้าพูดต่อหน้าเธอนี่ก็เพราะมนต์ดำ รู้ไว้ด้วย...หลีกไป!”

พิศอัดอั้น ร่างเลือนหายไป แพรวพรรณยิ้มสะใจ ก้าวเดินเข้าไปในห้องทำงานวิศิษฏ์ นำเสนอความคืบหน้าของงานที่รับทำ แต่ดูเหมือนไม่มีสมาธิ มัวแต่เหลียวมองซ้ายขวาหาใครสักคน

แพรวพรรณรู้ทันว่าเขามองหาพิศแต่ไม่แสดงออก กลับไปบ่นกับตัวเองที่บ้านว่าท่าทางเขาอึดอัดเวลาอยู่กับเธอ แสดงว่าเธอหมดหวังในตัวเขาแล้วใช่ไหม?

พอเจองามเนตรซักถามว่าไปไหนมาและพูดถึงบรรจบ แพรวพรรณเลยอารมณ์เสียใส่

“คุณแม่คะ เลิกพูดเรื่องนี้ได้ไหม สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาสิคะ ถ้าแพรวยังทำงานไม่เสร็จ แพรวจะไม่ยอมพูดเรื่องแต่งงานอีกเลย อย่าบังคับแพรว...แพรวขอร้อง”

“แพรวเปลี่ยนไปมากรู้ตัวมั้ย ใครก็เข้าหน้าไม่ติด มีปัญหาอะไรคุยกับแม่ได้นะแพรว”

แพรวพรรณหันข้างให้ พูดด้วยความไม่พอใจว่าตนอยากอยู่คนเดียว งามเนตรถอนใจหันไปสบตากับขวัญก่อนพากันออกจากห้อง แล้วงามเนตรก็แอบโทร.หาบรรจบ เล่าว่าตั้งแต่ย้ายออกจากบ้านร้างมาแพรวพรรณแปลกไป สงสัยจะถูกผีจากบ้านหลังนั้นตามเล่นงาน

“น้องแพรวมาปรึกษาผมอยู่เหมือนกัน”

“จริงเหรอคะ ยัยแพรวไม่เคยเล่าอะไรให้น้าฟังเลย ตอนนี้แกเปลี่ยนไปมาก เจ้าอารมณ์หงุดหงิดบ่อย ขนาดยัยขวัญยังเข้าหน้าไม่ติด”

“ผมก็พาไปหาหมอผีที่เก่งที่สุดให้ช่วยแล้วนะครับ ยังไม่ดีขึ้นเหรอครับ”

“ยัยแพรวน่ะเหรอไปหาหมอผี” งามเนตรทวนคำด้วยความตกใจ

ขณะเดียวกันนั้น แพรวพรรณคุยโทรศัพท์กับเรืองรุ้ง เธอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าไปหาหมอผีมา

“ฉันเจอผีก็ต้องใช้หมอผีปราบสิรุ้ง”

“แพรว...เลิกซะ ถ้าคิดจะทำอะไรก็หยุดอยู่ที่ความคิดนะ อย่าทำอะไรต่อ”

“เพิ่งรู้นะว่าเธอเป็นพวกเดียวกับผี เขาคงกล่อมเธอว่ามาช่วยฉัน เหมือนกับที่เขาบอกฉันใช่ไหม...เธอรู้มั้ยเขาไม่เคยห่างจากคุณศิษฏ์เลย แล้วอย่างนี้จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าเขามาช่วยให้ฉันสมหวัง แค่นี้นะ ฉันอยากพักผ่อน”

แพรวพรรณตัดสายอย่างเชื่อมั่นใจตัวเอง ต่างจากเรืองรุ้งที่หนักใจ ไม่สบายใจเอาเสียเลย

ooooooo

ตกกลางคืน วิศิษฏ์มีปากเสียงกับวิภาดาเรื่องผีที่พี่สาวเข้าใจมาตลอดว่าเขาเลี้ยงเอาไว้ แถมเลี้ยงไว้เป็นเมียเสียด้วย

ครั้งนี้วิศิษฏ์เบื่อหน่ายเต็มที ยอมรับว่าตนเลี้ยงผีไว้เป็นเมีย เฟื่องขจรได้ยินถึงกับตะลึงลาน พูดปากคอสั่นว่า “ศิษฏ์ล้อแม่กับพี่วิเล่นใช่ไหมลูก”

“ผมพูดจริงครับ พี่วิจะได้เลิกสงสัยผมซะที ทีนี้รู้แล้วจะไปหาหมอผีที่ไหนมาทำพิธีก็เชิญเลย...ออกไปได้แล้ว ผมจะอยู่กับเมียผม...ไปสิ”

วิภาดากลัวลนลานมองไปรอบๆ รีบรุนหลังเฟื่องขจรออกนอกห้อง “ไปกันเถอะค่ะคุณแม่ ก่อนที่ตาศิษฏ์จะถูกผีเข้าแล้วบีบคอเรา”

พอทั้งคู่ลับกาย วิศิษฏ์นั่งลงน้ำตาไหล รำพึงถึงพิศที่หายไป กลัวเธอจะจากไปแล้วจริงๆ

พิศคุยอยู่กับลิ้นจี่และกาฬที่หน้าบ้าน ทุกคนต่างเศร้าใจที่วันเวลาของพิศใกล้หมดแล้ว เธอต้องจากคนรักไปในไม่ช้า...วิศิษฏ์ก็เศร้าพอกัน ร้องไห้จนพิศต้องปรากฏตัว ปลอบใจว่าเขายังมีแม่ที่ต้องดูแล อย่าคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวอย่างเด็ดขาด

คราวนี้วิภาดาโกรธมากถึงกับร่วมมือกับงามเนตรวางแผนขโมยแหวนนาคราชจากวิศิษฏ์ตามคำแนะนำของสัตตะ โดยมีแสวงร่วมด้วย วิศิษฏ์สูญเสียแหวนไปแล้วก็เข้าใจว่าพิศจากตนไป เอาแต่เศร้าเสียใจแทบไม่เป็นอันทำอะไร

เมื่อแพรวพรรณรู้ว่าสัตตะได้แหวนนาคราชไป จึงไปหาเขาเพื่อฟังข่าวดีว่าปราบพิศสำเร็จแล้ว กลายเป็นว่าเธอถูกเขาใช้กำลังปลุกปล้ำ แต่พิศกับกาฬมาช่วยไว้ได้ สัตตะถูกกาฬเล่นงานโดยใช้มงกุฎเหล็กแทง แต่พิศกำลังจะหมดบารมี ร่างกายไม่มีแรง เทียนมาช่วยทันเวลา ดูดพลังมนต์ดำของสัตตะจนหมดและขาดใจตายในที่สุด

บรรจบมาที่สำนักของสัตตะด้วยความหึงและห่วงแพรวพรรณ พอเห็นเธอหมดสติอยู่คิดฉวยโอกาสปลุกปล้ำแต่เธอฮึดสู้จนตัวเองแน่นิ่ง บรรจบคิดว่าเธอตายจึงขับรถหนีแล้วไปเจอวิญญาณนงรามกับลูกยืนขวาง อารามตกใจกลัวทำให้เขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างสยดสยอง

เทียนบอกพิศที่กำลังจะหมดบารมีให้ภาวนาขอไปสู่ภพภูมิที่ปรารถนา วิญญาณของแพรวพรรณกับพิศสวนทางกัน พิศใช้โอกาสนั้นเข้าร่างแพรวพรรณได้สำเร็จ ส่วนกาฬถูกนำไปอยู่กับเทียนรอคอยเวลาที่จะมาปฏิสนธิเป็นลูกของวิศิษฏ์อีกครั้งหนึ่ง

วิศิษฏ์ไม่รู้เรื่องนี้ จนกระทั่งวันที่เขาแต่งงานกับแพรวพรรณทั้งที่ยังตัดใจจากพิศไม่ได้ แพรวพรรณจึงเปิดเผยว่าตนคือพิศด้วยการยืนยันในการกระทำหลายๆ อย่างที่ตนเองเคยปฏิบัติเมื่อครั้งได้ใกล้ชิดวิศิษฏ์ ซึ่งช่วงเวลานั้นเธอมีความสุขมาก แต่เวลานี้จะให้เธอหายตัวไปมาหรือเก่งกาจสามารถเหมือนก่อนไม่ได้แล้ว เพราะเธอไม่ใช่ผีหรือนางฟ้า แต่เป็นคนอย่างสมบูรณ์แบบ

“จริงเหรอเนี่ย” วิศิษฏ์ครางอย่างเหลือเชื่อ

“จริงค่ะ ตอนนี้ฉันเป็นมนุษย์เหมือนคุณแล้ว ฉันทำอะไรเหมือนก่อนไม่ได้ แหวนนาคราชทั้งสองวงหายสาบสูญไปแล้วด้วย ฉันเหลือเพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นนางฟ้าแสนสวย ไม่สนใจบัญชาสวรรค์ รอคอยชายคนรักในอดีตชาติ”

“คุณพิศ...” วิศิษฏ์ดีใจสุดขีด ดึงเธอมากอดและหอมพัลวัน

“ฉันชื่อแพรว อย่าเผลอเรียกชื่อฉันผิดล่ะคุณเด๋อ” เธอสำทับยิ้มๆ แล้วหัวเราะไปด้วยกันอย่างมีความสุข

ส่วนคู่รักอีกสองคู่คือเรืองรุ้งกับภาณุและวิภาดากับแสวงก็ลงเอยกันด้วยดี ทุกคนล้วนมีความสุขกันถ้วนหน้า

ooooooo

–อวสาน–
ที่มาไทยรัฐ