วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร ดั่งสวรรค์สาป ตอนที่ 6


ประจวบนอนให้หมอนวดนวดให้ ครางออกมาเป็นระยะเมื่อรู้สึกสบาย ครู่เดียวประจวบก็หลับ

หมอนวดฝากสมให้ดูแลสักครู่ตนจะไปเข้าห้องน้ำ ย้ำอย่าให้ประจวบตื่นเป็นอันขาด แต่สมมาเฝ้าอยู่ครู่เดียว ประจวบก็ตื่น บอกให้นวดตรงโน้นตรงนี้ สมตกใจตาโตแต่ก็เอาตัวรอดนวดหลังที่ประจวบบอกว่าตึงให้ไปมั่วๆ

“อืม...ดี...ๆ” ประจวบทำเสียงงึมงำแล้วหลับต่อ สมชักได้ใจบอกตัวเองว่า ไม่ยาก เผื่อจะได้อาชีพใหม่แล้วยกแขนประจวบขึ้นดึงให้แอ่นตัวไปข้างหลัง ตัวเองเอาเข่าดันไว้ แรกๆประจวบก็สบาย แต่ครู่เดียวก็ร้องจ๊าก สมตกใจปล่อยมือ ประจวบพลิกตัวมาเห็นเป็นสมไม่ใช่หมอนวดก็ของขึ้นทันที
ประจวบไล่เตะสมไปรอบบ้าน กานต์กลับมาเจอถามว่าสองคนเล่นอะไรกัน ประจวบบอกว่าไม่ได้เล่น ฟ้องว่าสมหักกระดูกตน บอกกานต์ให้ช่วยจับตัวไว้

“เอาน่าพ่อ ยังวิ่งได้ กระดูกยังไม่หัก ปล่อยมันไปเถอะ คิดว่าสงสารลูกหมาตาดำๆก็แล้วกัน”

สมผสมโรงกะล่อนเอาตัวรอดไปได้ ประจวบเลยไล่ไปให้ไกลๆ ก่อนตนจะเปลี่ยนใจ

ประจวบถามกานต์ว่าเรื่องนมมาลัยล้มเป็นอย่างไรบ้าง ถามว่า “แกแน่ใจนะว่าเป็นอุบัติเหตุ” กานต์คิดว่าเป็นอย่างนั้นเพราะที่พื้นก็ไม่เห็นรอยอะไรเลย ประจวบทำท่าจะเชื่อ กานต์จึงพูดต่อว่า

“แต่นั่น...คือหลังจากที่ผมพานมมาลัยกลับจากโรงพยาบาลมาแล้วนะ ผมลองถามนมมาลัยดู แกก็บอกว่ารู้สึกเหยียบอะไรลื่นๆ ถามย้ำว่าน้ำมันหรือเปล่าแกก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

เมื่อยังไม่ได้หลักฐานอะไร กานต์ก็สรุปว่า “เราคงระแวงเกินไป แต่จริงๆแล้วคนบ้านนั้นก็โคตรน่ากลัวเลย”

ประจวบเห็นด้วย ยิ่งใกล้เปิดพินัยกรรมก็ยิ่งห่วงดาหวัน บอกกานต์ให้ดูแลเธอให้ดีด้วย แล้วถามเป็นนัยว่า “แล้วนี่แกกับหนูดาเป็นไง” กานต์ตอบมั่วๆว่าก็โอเค “หึๆมันต้องให้ได้อย่างนี้สิ อย่าลืมพ่อรอหลานอยู่ ด่วนที่สุดนะเจ้ากานต์”

ดังนั้น...คืนนี้กานต์จึงวางแผนเตรียมพร้อมเต็มที่ จากเคยแปรงฟันวันละสองครั้ง ก็เพิ่มรอบก่อนนอนอีกครั้งหนึ่ง

ฝ่ายดาหวันก็รู้แกว แทนที่คืนนี้จะใส่ชุดนอนเซ็กซี่ที่นมมาลัยจัดให้เท่านั้น ก็แอบใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นไว้ข้างใน ซ้ำพอจะนอนก็ยังลุกขึ้นมาทำข้อตกลงกันก่อนอีก กานต์พูดอย่างรู้ทันว่ามุกนี้เห็นใช้กันแต่ในละคร

บนเตียง ถูกแบ่งเขตกันตามข้อตกลง โดยมีทั้งหมอนหนุนและหมอนข้างกั้นเป็นกำแพงสูง ผ่านไปครู่หนึ่งดาหวันชะโงกดูเห็นว่ากานต์หายไป ปรากฏว่า กานต์ลงไปนอนคุดคู้อยู่พื้นข้างเตียงทำท่าปวดท้องมาก

ดาหวันลงไปดูด้วยความเป็นห่วง ถูกเขาตู่ว่าเธอข้ามเขตตนมาแล้ว แล้วโมเมจะสาธิตบทบาทสามีให้สมจริง ทำมั่วว่า ก่อนนอนก็ต้องมีกู๊ดไนท์คิสกันก่อน ดาหวันกลั้นใจปล่อยให้เขาจูบหน้าผาก พอลืมตามองต่างสบตากันในระยะใกล้จนใจเต้นตูมตาม แล้วกานต์ก็พูดเรียบๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า

“ผมรู้ว่าการแต่งงานของเราก็คือการเล่นละครเหมือนกัน”

“เมื่อเราเข้าใจกันดีแล้ว ฉันก็กลับไปนอนที่ของฉันได้แล้วสินะ”

กานต์ปล่อยมือดาหวันแล้วกลับไปนอนที่ของตัวเองนอนตะแคงหันหลังให้เอ่ย “ไนท์...ไนท์...” แล้วนอน

ดาหวันนอนหันหลังให้ น้ำตาคลอ ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ดีพอก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก

ooooooo

อติเทพพาเพียงนภาเข้าม่านรูด จนเช้าเขาจะกลับ เพียงนภาอ้อนไม่อยากให้เขาไป อติเทพเห็นช่องทางถามว่าถ้าตนไม่ไปทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่ากินค่าบ้านค่ารถ

“ได้ๆ เดี๋ยวนภาจะเอาเงินมาให้เทพเอง แต่เทพรักนภาใช่ไหม” อติเทพจูบเธอแทนคำตอบ ถามว่าเธอกลัวตนจะกลับไปหาดาหวันหรือ “เทพ! ไม่นะ...ไม่ๆๆๆ” เพียงนภาร้องอย่างตระหนก

อติเทพปากหวานว่าตนรักเธอมาตลอดแต่ที่จำเป็นต้องทำเพื่อความมั่นคงในชีวิต ตนจะเอาเธอมาลำบากด้วยได้อย่างไร ปะเหลาะว่า

“ถ้าผมจะกลับไปหาดาหวันอีก ก็เพราะผมต้องการเงินจากดา เพื่อชีวิตของเราในอนาคต แต่ผมไม่ได้รักดาหวันเลย”

เพียงเท่านั้น เพียงนภาก็เพ้อฝันว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า อติเทพย้ำว่าเพราะฉะนั้นเธอจะต้องใจเย็น และก็ช่วยตน เพียงนภาพยักหน้ารับราวกับต้องมนต์ แต่พออติเทพจะกลับเธอก็ไม่ยอมให้กลับอีก เลยถูก อติเทพดุว่าอย่าทำตัวเรื่องมาก ตนไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้น่ารำคาญ เพียงนภาก็รีบบอกว่าเดี๋ยวตนกลับเองได้

“ต้องแบบนี้สิถึงจะน่ารัก” อติเทพเปลี่ยนเป็นอ่อนหวาน แล้วพาไปโบกแท็กซี่ให้เธอกลับไปเอง

ครองขวัญขับรถพลางคุยโทรศัพท์ผ่านมาเห็นพอดี เธอวางโทรศัพท์ทันที เห็นอติเทพหอมแก้มเพียงนภาก่อนส่งเธอขึ้นแท็กซี่แล้วเดินกลับไปเอารถตัวเอง ครองขวัญก็โทร.เข้ามือถือเขาทันที

เมื่อไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟเล็กๆแถวนั้น ครองขวัญถามว่าเขากลับไปกินของเก่าหรือ ติดใจคืนนั้นใช่ไหม อติเทพแสยะยิ้มพูดอย่างเหยียดหยามว่าของไล่แจกฟรีแถมเงินให้อีกไม่เอาก็โง่แล้ว

“อ๋อ...นี่แปลว่าคนที่ติดใจเป็นยายนภาสินะ แต่คุณถอดใจง่ายๆแบบนี้ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด ยังไงยายนภาก็เป็นได้แค่พวกเหลือบ ริ้นไร ที่ได้แต่อาศัยเกาะยายดาหวันกินเท่านั้น” อติเทพย้อนเย้ยว่า แล้วเธออุตส่าห์ลงทุนกินยาฆ่าตัวตายก็ยังหยุดกานต์ให้แต่งงานไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ “แต่งได้ก็ใช่ว่าจะอยู่กันตลอดไปจนตาย แต่คนอย่างฉันไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงฉันก็จะเอากานต์กลับมา”

“คุณคงพลาดไม่ได้แวะไปร่วมแสดงความยินดีกับเขาสองคน ดูซินี่ของชำร่วยในงาน สวยดีนะ” อติเทพเอาตุ๊กตาเซรามิกเล็กๆหญิงชายออกมาโชว์บอกว่ามันเป็นงานสนุกมากจริงๆ แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นโหด บอกเธอว่า “สิ่งที่ผมควรทำ ผมได้ทำไปแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่เก็บเกี่ยวผล”

อติเทพปาตุ๊กตาเซรามิกแตกทำเป็นตกใจว่าตุ๊กตาบ่าวสาวแตกเสียแล้ว ครองขวัญอ่านออกว่าเขาต้องการบอกว่าเขาก็จะไม่ยอมปล่อยดาหวันเหมือนกัน

ooooooo

เพียงนภากลับถึงบ้านอย่างอารมณ์ดีมีความสุข วีรอรถามว่าไปไหนมาทั้งคืนรู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงมากโทร.ก็ไม่ยอมรับสาย เพียงนภาโกหกว่าแบตหมด
วีรอรคาดคั้นว่าไปไหน กับใคร ทำไมถึงนั่งแท็กซี่กลับมาให้แม่จ่ายแบบนี้ เธอตอบอย่างไม่แยแสว่าเงินของตน จะจ่ายอย่างไรก็เรื่องของตน ตนไม่ใช่เด็กแล้วอย่ามาเซ้าซี้ได้ไหม บ่นว่าง่วง แล้วฮัมเพลงขึ้นข้างบนอย่างอารมณ์ดี

วีรอรเห็นผิดปกติมากตามขึ้นไปคาดคั้นจนรู้ว่าเมื่อคืนเธอไปค้างกับอติเทพ ซ้ำอวดว่า “เทพเขารักนภานะแม่” วีรอรของขึ้นถามว่านี่ไปเสียตัวแล้วยังเสียเงินอีกหรือ เพียงนภาลอยหน้าบอกว่าเรื่องเงินไม่มีความหมายสำหรับตน อติเทพอยากได้ตนก็ให้ได้ขอแต่ให้เขารักตนก็พอแล้ว

“แต่มันมีความหมายสำหรับฉัน ถ้าไม่มีเงินแกจะอยู่ยังไง แกรวยนักเหรอ งานการก็ไม่ได้ทำ รู้ไหมว่าทุกวันนี้ฉันต้องทำอะไรบ้างเพื่อหาเงินมาเลี้ยงแก แต่แกกลับเอาเงินที่ฉันหามาได้ไปให้ผู้ชาย ผู้ชายเลวๆ เสียด้วย ตาสว่างเสียที”

“แม่อิจฉานภาใช่ไหมที่มีคนรักนภา เทพรักนภา เขาสัญญาว่าจะอยู่กับนภา ไม่เหมือนพ่อที่ทิ้งแม่ไปหรอก”

เพียงนภาถูกวีรอรตบหน้าเพียะ! เพียงนภาแผดเสียงกรี๊ด “นภาเกลียดแม่ นภาจะไปอยู่กับเทพ นภาจะไม่อยู่บ้านนี้อีกแล้ว นภาเกลียดทุกคน เกลียดป้าพรรณี เกลียดพี่รุ เกลียดนังดาหวัน เกลียดมันมากที่สุด เกลียดนังนมหนังเหนียวด้วย ทำไมมันไม่คอหักตายแทนที่จะขาหัก”

วีรอรพุ่งเข้าปิดปากเพียงนภาตวาดให้พอ เลิกกรี๊ดและทำตัวงี่เง่าแบบนี้เสียที เพียงนภาแกะมือวีรอรออกบอกว่าจะไปหาอติเทพ วีรอรเห็นอาการเพียงนภากำลังจะคลั่ง หันไปหยิบโซ่คล้องกุญแจที่วางอยู่ในกล่องหลังตู้ พอเพียงนภาเห็นโซ่คล้องกุญแจเท่านั้นก็หยุดกึก ถอยหนีลนลานไปซุกที่มุมห้อง ร้องเสียงสั่น

“ไม่นะแม่...ไม่...ไม่...อย่า...นภาไม่ดื้อแล้ว”

เพียงนภาถูกจับไปขังไว้ในห้องเก็บของเล็กๆใต้บันได วีรอรเดินผละไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเพียงนภาที่ตะโกนให้เปิดประตู...เปิดประตู วีรอรตะโกนตอบเข้าไปว่า

“อยู่ในนั้นจนกว่าหนูจะคิดได้ว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่าแบบนั้นกับแม่อีก” แล้วเดินหน้าเรียบเฉยไปบอกเด็กรับใช้ที่มาเมียงๆมองๆอยู่ว่า “ได้เวลาอาหารว่างของนมมาลัยแล้วใช่ไหม ไป...เดี๋ยวฉันเตรียมเอง”

ooooooo

เพียงนภายังตะโกนเรียกวีรอรให้เปิดประตู บอกว่าตนจะไม่ทำให้แม่โกรธอีกแล้ว โทษว่าดาหวันต่างหากที่ทำให้แม่โกรธ พลันเรื่องราวในอดีตก็ฟุ้งซ่านขึ้นมาในความคิด...

เหตุเกิดเพราะเพียงนภาทิ้งงานไปกินอาหารกับอติเทพ ดาหวันรู้เข้าถามว่าทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน เพียงนภาอ้างว่าตนลาป่วยแล้ว แต่อาการระริกระรี้ของเพียงนภาฟ้องว่าเธอไม่เป็นอะไร ดาหวันจึงสั่งไล่เธอออกจากงานฐานทำตัวไม่คุ้มกับค่าจ้าง

เพียงนภากับวีรอรไปฟ้องทวีว่าถูกดาหวันแกล้งไล่เพียงนภาออกจากงาน เพียงนภาก็ฟ้องว่าตนถูกดาหวันข่มจนคนทั้งออฟฟิศกลัวที่เธอแสดงอำนาจบาตรใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ญาติ ดาหวันที่ให้อาหารมูมู่ลูกหมาน่ารักอยู่ พูดแทรกขึ้นว่า

“ดามาทำเพราะอยากให้ออฟฟิศดีขึ้น พ่อเป็นคนอยากให้ดามาทำงาน พ่อก็ต้องเชื่อการตัดสินใจของดาเหมือนกัน ดาอยากสร้างคนใหม่ ถ้าพี่นภากับอาอรยังอยู่ มันจะเอาคนที่มีความสามารถที่ดีกว่าขึ้นมาได้ยังไง” สองแม่ลูกยังโต้เถียงหาว่าดาหวันจงใจแกล้งเพียงนภา ถ้าพวกตนไม่ทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ ดาหวันสวนทันทีว่า “ทุกวันนี้อาอรกับพี่นภาก็กินกงสีอยู่แล้วนี่คะ ไม่เห็นต้องใช้เงินอะไร พ่อคะ...ดาเซ็นคำสั่งไปแล้ว ถ้าพ่อมีคำสั่งออกไปใหม่ ต่อไปใครจะเชื่อดาอีก ดาขี้เกียจเสียเวลาพูดมากแล้ว พ่อเลือกเอา...ถ้ามีพี่นภาอยู่ ดาก็จะไม่ทำงานที่ออฟฟิศอีก”

ทวีจึงตัดสินใจให้วีรอรกับเพียงนภาไม่ต้องไปทำงานอีก ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงตนจะให้เงินเดือนไว้ใช้จ่ายทั้งสองคน ดาหวันจึงหันไปให้อาหารมูมู่ลูกหมาวัยขวบเศษที่เธอรักมากจนเอาไปนอนด้วยที่เตียงทุกคืน

วันต่อมา ดาหวันไปตามหามูมู่ปรากฏว่ามันตายแล้ว ที่ชามอาหารมันมีซุปฟักทองวางไว้ผิดที่ ข้างชามมีอ้วกของมูมู่ ดาหวันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก แต่พอจับตัวปรากฏว่ามูมู่ตายแล้ว เด็กรับใช้บอกว่าไอ้ด่างบ้านตนก็มีอาการแบบนี้เพราะโดนยาเบื่อ

“ซุปฟักทองในชามนั้นใครเป็นคนเอาให้มูมู่กิน แกเหรอ!” ดาหวันเอาเรื่องกับเด็กรับใช้ เด็กตกใจบอกว่าตนเห็นแว่บๆแต่ว่าไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า ดาหวันตวาดลั่น “บอกมาซิ ใคร!!”

ดาหวันลิ่วไปตบเพียงนภาจนนมมาลัยร้องห้ามเสียงหลง เพียงนภาด่าดาหวันว่าบ้าไปแล้วถึงได้ไล่ตบคนอื่นแบบนี้

“เออ...ฉันมันบ้า แต่ก็ไม่เลวพอจะฆ่าหมาตัวเล็กๆ หรอก”

เพียงนภาหัวเราะสะใจเมื่อรู้ว่ามูมู่ตายแล้ว ดาหวันสั่งเด็กรับใช้ให้ไปเอาชามซุปฟักทองมาแล้วจะกรอกปากเพียงนภาแต่เพียงนภาดิ้นจึงกรอกไม่ถนัดเลยคว่ำใส่หัวยีจนทั่วหัว เพียงนภาตกใจร้องไห้โฮออกมาเพราะตนไม่รู้เรื่องจริงๆ

ดาหวันฟังนมมาลัยเล่าเรื่องมูมู่ที่เธอความจำเสื่อมจนเลือนๆไปแล้ว นึกดีใจที่วันนั้นตนไม่ได้เอาซุปฟักทองกรอกปากเพียงนภา

“แต่คุณนภาก็ยังเสียงแข็งนะคะว่าไม่ได้วางยามัน จนสุดท้ายคุณท่านต้องออกโรงมาขอให้ยุติเรื่องไว้แค่นี้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรว่าคุณนภาเป็นคนทำ”

“อาก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ” เสียงวีรอรแทรกเข้ามาพร้อมกับถือชามซุปฟักทองเข้ามาให้นมมาลัย ดาหวันทักว่ามาเงียบๆตกใจหมด “ขอโทษค่ะ ยืนฟังเรื่องมูมู่แล้วเหมือนเหตุการณ์มันย้อนกลับมาตรงหน้า อารู้ว่าทุกคนคิดว่าเป็นฝีมือของนภา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อาจะไม่ให้นภาทำแบบนั้นเด็ดขาด อาขอโทษนะจ๊ะดา”

“เรื่องมันแล้วไปแล้ว ช่างเถอะค่ะ อาอรอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ”

“ใช่ค่ะ บางทีอาจจะไม่ใช่คุณนภาจริงๆ ก็ได้นะคะ อาจจะเป็นฝีมือคนนอกก็ได้ มูมู่มันเห่าคนแถวนั้นประจำ เขาอาจจะไม่พอใจมันอยู่” ดาหวันเห็นด้วยกับนมมาลัย มองวีรอรถามว่าเอาอะไรมาให้นมหรือน่าทานจัง

“ซุปฟักทองค่ะ รีบทานดีกว่านะ เดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย” วีรอรจัดแจงป้อนซุปฟักทองให้นมมาลัย

เมื่อคุยกันถึงมูมู่ ดาหวันจึงจำได้ เดินเข้าไปในสวนเพื่อหาที่ฝังร่างมูมู่ แต่เดินหาอย่างไรก็ไม่เจอเพราะจำที่ฝังไม่ได้ ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกมีใครเดินตามตนอยู่แต่พอหันมองก็ไม่เห็นใคร

ดาหวันใจไม่ดีเลยวิ่งหนี ส้นรองเท้าติดในร่องไม้สะดุดจะล้ม พลันก็มีมือมาช้อนไว้ ดาหวันมองกานต์อุทาน

“คุณนี่เอง นี่จะแกล้งฉันเหรอ” ดาหวันมองแง่ร้ายคิดว่ากานต์จะแกล้งตน บอกว่าตนรู้สึกมีคนเดินตาม ที่แท้ก็เขานี่เอง บ่นงอนๆ ว่าถ้าตนหกล้มขาหักไปจะทำอย่างไร กานต์หัวเราะขำๆ บอกว่าตนออกไปออฟฟิศแป๊บเดียวเธอก็หนีมาที่นี่ย้ำว่า บอกแล้วไงว่าถ้าจะไปไหนให้บอก ตนจะไปด้วย ดาหวันชี้แจงว่า

“ฉันแค่ความจำหายไปบางส่วนไม่ได้พิการเสียหน่อยแล้วนี่ก็บ้านของฉันด้วยไม่เห็นมีอะไร”

กานต์เสียงแข็งว่าไม่ได้ เธอเสียงแข็งสวนไปว่าทำไมจะไม่ได้ กานต์อ้างมั่วๆ ว่าเพราะเธอเป็นภรรยาตน แล้วทำท่าจะหอมเอาดื้อๆ แล้วกานต์ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงกิ่งไม้หัก เขามองขวับร้องถาม “นั่นใคร!” กานต์ปล่อยดาหวันแล้ววิ่งไปดู

ดาหวันตามไปด้วย พบว่ามีผลไม้ตกลงมาโดนกิ่งไม้หัก เธอบ่นว่าทำตนตกใจหมด แต่กานต์บอกว่าไม่ใช่ ดาหวันถามว่าทำไมดูเขาซีเรียสจัง กานต์นิ่งชั่งใจก่อนตัดสินใจบอกว่า

“ผมว่าคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องรู้ อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทำให้คุณความจำเสื่อม จริงๆแล้วมันไม่ใช่...”

กานต์จะบอกว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่พูดไม่ทันจบ ดาหวันเหลือบเห็นหลุมฝังศพมูมู่ เธอถลาไปทันที เธอปัดกิ่งไม้ใบหญ้าที่กลบหลุมฝังมูมู่ออก บอกกานต์ว่า นมบอกว่าตนฝังมูมู่ไว้ที่นี่และหลังจากนั้นตนก็ไม่ได้มาเยี่ยมมูมู่อีกเลย กานต์ถามว่า ตกลงเจ้ามูมู่โดนยาเบื่อหรือ

“ก็ไม่รู้สิ ฉันก็จำไม่ได้เสียด้วย ฟังแต่ที่นมเล่าให้ฟัง เหมือนมันไม่ชัดนะ แต่อาอรก็ยืนยันนะว่าพี่นภาไม่ได้เป็นคนทำ” กานต์ถามว่าเธอเชื่อหรือ “จะมีประโยชน์อะไรที่จะรื้อฟื้น ฉันเชื่ออาอร” กานต์ติงว่า แล้วถ้ามันเปลี่ยนจากหมาตัวเล็กๆ มาเป็นคนล่ะ? “นี่คุณกำลังพยายามพูดเรื่องอะไรกับฉันอยู่...ญาติๆ ฉันอาจจะดูไม่ถูกกันหรือไม่ชอบกัน แต่ก็ไม่มีใครใจร้ายพอที่จะคิดฆ่ากันหรอก มันไม่มีเหตุผลเพียงพอ อย่าเอาความคิดแบบนี้มาใส่หัวฉัน ฉันไม่อยากได้ยิน ขอร้องล่ะ”

“โอเค” กานต์รับปากเมื่อดาหวันเดินหนีไป เขาตระหนักว่า ดาหวันไม่ยอมฟังสิ่งที่ตนพยายามเตือนเลย

ooooooo

เพราะพรรณีสั่งธวัชให้หาเงิน 10 ล้านไปซื้อหุ้นน้ำมัน ธวัชจึงนัดแม่ไปที่ธนาคารเพื่อเซ็นสัญญาเป็นผู้กู้ร่วมกับตน พอพรรณีรู้ก็โวยวายไม่ยอมเซ็น

บอกว่าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้เด็ดขาด แล้วลุกเดินหนีออกไป

ธวัชตามมาชี้แจงก็ถูกด่าว่านัดตนมาฉีกหน้าชัดๆ ตนต้องการเงิน 10 ล้าน แต่ไม่ใช่ให้ไปขอกู้แล้วยังเอาชื่อตนไปเป็นผู้กู้ร่วมอีกถามว่า “รู้ไหมว่าแบงก์นี้เพื่อนฉัน มีหุ้นอยู่ รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น”

ธวัชชี้แจงว่าถ้าไม่ใช้วิธีนี้ตนก็ไม่รู้จะไปเอาเงินจากที่ไหนเพราะเงินในบัญชีตนก็หมดแล้วพร้อมกับเอาสมุดเงินฝากให้ดู พรรณีบอกให้ไปเอาจากงบไหนก็ได้เหมือนทุกครั้งที่เขาเคยทำให้

“มันไม่เคยมีเงินจากงบส่วนไหนของออฟฟิศหรอก เป็นเงินส่วนตัวของผมเองทั้งนั้น แล้วตอนนี้มันไม่มีแล้วด้วย ผมไม่รู้จะเอาเงินจากไหนมาให้แม่อีกแล้ว”

“โง่! โง่ที่สุด!! นี่แกเป็นลูกฉันได้ยังไง แกทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ได้ยังไง” ธวัชบอกว่าตนโกงบริษัทไม่ได้ “ทำไมไม่ได้ อยากเป็นคนดี หึๆ แม่จะบอกให้นะ การเป็นคนดีกับคนโง่มันไม่ต่างกันหรอก เงินแค่ 10 ล้านบริษัทนังดามัน

ไม่ล่มจมหรอก แต่ถ้านังดามันมีสิทธิ์ในพินัยกรรมสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกเรานี่แหละที่จะต้องแย่ ฉันต้องการเงินเพื่อซื้อหลักประกันในอนาคตของฉัน เข้าใจไหม แล้วถ้าแกยังอยากเรียกฉันว่าแม่ก็ไปเอาเงินมาให้ฉัน”

พรรณีสะบัดออกไปอย่างหงุดหงิด ทิ้งธวัชให้อยู่กับความกดดันตรงนั้น

ธวัชเครียดจนโรคกระเพาะกำเริบปวดท้องอย่างหนักขับรถไม่ไหวจนต้องจอดรถขวางทางในตึก เจนจิราซื้อของเข็นรถมาผ่านไปไม่ได้ เดินไปบอกให้ขยับรถ เจอธวัชปวดท้องขับไม่ไหว เจนจิราพาไปหาที่นั่งพักและซื้อยามาให้กิน เธอแนะว่าเขาควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาล ธวัชบอกว่าไปมาแล้ว หมอบอกว่าโรคกระเพาะแบบนี้ไม่หายขาด เวลาเครียดก็เป็นอีก

เจนจิราเดาว่าผู้ชายมีเครียดอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเรื่องงาน ธวัชส่ายหน้า เธอเดาต่อว่า อีกหนึ่งก็คือเรื่องทำ ผู้หญิงท้อง ถามดักว่าอรอุมาใช่ไหม เพราะวันนั้นเห็นเขา ออกจากห้องน้ำมากับอรอุมาในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ธวัชปฏิเสธว่าตนกับอรอุมาไม่มีอะไรกัน ตนไม่ได้ชอบอรอุมาเพราะตนมีคนที่ชอบอยู่แล้ว

“ใครคะ” เจนจิราซัก ธวัชบอกว่าอย่ารู้เลยให้เขาอยู่ตรงนั้นดีแล้ว “ทำไมล่ะคะ พูดเหมือนพี่ธวัชไม่สู้เลย พี่ธวัชออกจะเป็นคนดี สู้ๆสิคะ ชอบก็บอกเขาไปเลย”

“เพิ่งมีคนบอกพี่ว่า คนดีกับคนโง่เหมือนกัน พี่ก็ไม่รู้นะว่ามันจริงอย่างที่เขาบอกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ พี่ไม่อยากดึงเขาลงมา...” ธวัชอยากจะบอกว่าไม่อยากดึง ลงมาเกลือกกลั้วกับครอบครัวตนแต่ก็ไม่พูด ตัดบทว่า “พี่...พี่ไม่เหมาะกับเขาหรอก ให้เขาอยู่ในที่ที่ดีแบบเดิมน่ะดีแล้ว พี่ดีขึ้นแล้วล่ะ คงต้องกลับไปทำงานแล้ว ขอบใจน้องเจนมาก”

“พี่ธวัช...” เจนจิราร้องเรียกพูดให้กำลังใจ “พี่ต้องเชื่อมั่นในความดีนะคะ เจนเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้หญิงคนนั้นเขาต้องเห็นค่าความดีของพี่แน่นอน”
ธวัชได้แต่ยิ้มเศร้าๆกับความรักที่ต้องปิดบังของตัวเอง แม้เธอคนนั้นจะยืนอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่กล้าบอก

ooooooo

วันนี้ดาหวันมาเยี่ยมนมมาลัย พอเธอจะกลับวีรอรก็เอาสตูว์ไก่มาให้บอกว่าทำเอง ดาหวันขอบคุณชมว่าอาอรทำอาหารเก่งวันหลังตนจะมาเรียนบ้าง
วีรอรได้ช่องบอกว่าเธอแต่งงานแล้วก็คงตั้งใจจะเป็นแม่บ้านเต็มที่ใช่ไหม ดาหวันบอกว่าไม่ใช่เพราะตนต้องดูงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม วีรอรทำเป็นแปลกใจถามว่ากานต์จะยอมหรือ แล้วทำเป็นนึกได้ว่า “แต่ก็นั่นแหละนะคะ แค่คุณดาแต่งงานแค่นี้ คุณประจวบก็โอเคแล้ว” ดาหวันถามว่าทำไมหรือ?

“อาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะคะ แต่เพื่อนๆก็บอกว่าหลังงานแต่งคุณดา ตอนนี้คุณกานต์เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว และทันทีที่เปิดขายหุ้นปั๊บก็หมดในพริบตา นักธุรกิจยังไงก็คือนักธุรกิจนะคะ คิดกำไรขาดทุนเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ ยิ่งตอนนี้ก็เหมือนมีบริษัทเราเป็นแบ็กให้ก็ยิ่งดูมั่นคง จะเปิดพินัยกรรมหรือไม่เปิดก็ไม่สำคัญสำหรับทางโน้นแล้วล่ะมั้ง”

วีรอรเสี้ยมดาหวันเนียนๆ เมื่อกลับไปทานอาหารที่บ้าน เธอได้ยินประจวบคุยกับกานต์ที่โต๊ะอาหารเกี่ยวกับการเปิดตลาดในจีนและทางเอเชียทั้งหมดในทันทีที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ กานต์คาดหวังว่า

“ผมคิดว่าถ้ามาร์เก็ตแชร์เราดีขึ้นแบบนี้ โดยไม่มีอะไรทำให้สะดุด ในไตรมาสหน้าเราก็จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ครับ”

สองคนพ่อลูกคุยกันถึงธุรกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นจนลืมไปว่าดาหวันนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย จนประจวบนึกได้ขอโทษดาหวัน พูดออกตัวว่าพวกตนเอาเรื่องงานมาคุยกันที่โต๊ะอาหารเลยทำให้ทานข้าวไม่ลงใช่ไหม ดาหวันรีบแก้ตัวว่าตนฟังเพลินต่างหากแล้วชวนให้ชิมสตูว์ไก่ที่ วีรอรทำให้ ประจวบชมว่าอร่อยดี แล้วเปลี่ยนเรื่องถามว่า ตกลงนัดเปิดพินัยกรรมหรือยัง

“เรียบร้อยแล้วค่ะ วันศุกร์นี้” กานต์บอกว่าตนมีประชุมพอดีเดี๋ยวจะขอให้เขาเลื่อนไปก่อน ดาหวันบอกว่าไม่เป็นไรตนไปคนเดียวก็ได้ ประจวบติงว่าไม่ได้ กานต์จะปล่อยให้เธอไปคนเดียวได้อย่างไร กานต์จึงจะเลื่อนการประชุมออกไปก่อนเพื่อตนจะได้ไปเป็นเพื่อนดาหวัน

ดาหวันคิดถึงคำเสี้ยมของวีรอรกอปรกับความเอาจริงเอาจังของกานต์ที่จะไปฟังการอ่านพินัยกรรม ทำให้เธออดระแวงไม่ได้ วันต่อมาจึงนัดคุยกับมารตีเพื่อนสนิท มารตีติงว่าเธอคิดมากไปหรือเปล่า เธอรู้แต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือว่าที่แต่งงานกับกานต์ก็เพื่อทั้งสองบริษัทแล้วจะสงสัยอะไรอีก

“ก็ใช่...แต่...มันก็อดคิดไม่ได้ว่าทุกคนต้องการผลประโยชน์จากฉันถึงได้ทำดีกับฉัน”

“ดา...ฉันให้คำตอบเธอไม่ได้หรอกนะ แต่สิ่งที่เธอต้องยอมรับก่อนก็คือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะพินัยกรรม ทุกคนรอบตัวเธอล้วนมีผลกับเรื่องนี้”

“พินัยกรรมๆๆ แล้วความรู้สึกฉันจริงๆล่ะ มีใครสนใจบ้าง” ดาหวันพูดอย่างอัดอั้นหยิบหนังสือเดินออกไป มารตีมองตามเพื่อนไปอย่างสงสารแต่ก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร พอดีธนายงเดินเข้ามาถามว่าตกลงเธอคุยกับดาหวันเรื่องเราจะปรับปรุงผับใหม่หรือยัง

พอมารตีบอกว่ายัง เขาก็บ่นว่าทำไมไม่คุย นี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้วเพราะเราจะได้ไม่ต้องไปเที่ยววิ่งหาเงินจากที่อื่น ดาหวันเองก็เคยปรารภว่าจะมาร่วมทุนกับเรา มารตีบอกว่านั่นมันก่อนที่ดาหวันจะความจำเสื่อม แต่ธนายงก็ยังบ่นจนมารตีตวาดให้พอ อย่าพูดเรื่องนี้อีก

ooooooo

รุจิกาควงนทีไปหาซื้อกระเป๋าถือ เขาหงุดหงิดที่ชวนมาทำเรื่องไร้สาระเพราะตนกำลังเครียดเรื่องจะทำให้โปรเจกต์ของตนผ่านได้อย่างไร

ระหว่างนั้นรุจิกาเห็นดาหวันเดินหิ้วถุงหนังสือออกจากห้าง เธอฉุกคิดได้จึงพานทีไปหาธวัชให้ช่วยอนุมัติโครงการ เธอหว่านล้อมพี่ชายว่าโปรเจกต์ของนทีน่าสนใจและเงินสินเชื่อก็ไม่ได้สูงอะไรให้พี่ชายอนุมัติไปเลย

แต่ธวัชบอกว่าโปรเจกต์ดูลอยๆ ไปหน่อยตนคงต้องให้ฝ่ายวางแผนวิเคราะห์อีกที นทีอ้างว่า รุจิกาบอกว่าเรื่องนี้เขารับผิดชอบโดยตรงพี่น้องกันก็ไม่น่าจะมีปัญหา

“ผมทำงานเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของนายจ้าง ไม่ใช่ทำงานให้พี่น้องหรือครอบครัว ถ้าคุณอยากให้โปรเจกต์ผ่านก็ไปทบทวนโปรเจกต์มาใหม่”
นทีไม่พอใจบอกว่าถ้าต้องเสียเวลาแบบนี้ตนไม่เอาดีกว่าหรือไม่ก็ไปยื่นที่อื่น

“นทีเขาเป็นแฟนรุ ให้เขาไปยื่นขอที่อื่นมันจะตลกไหม รุไม่ฉีกหน้าตัวเองเหมือนที่พี่ธวัชทำกับแม่หรอก อยู่บริษัทเงินทุนแท้ๆ แต่ไปขอสินเชื่อกับที่อื่น” ธวัชบอกว่าเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ตนเลยไม่อยากทำ “พี่ธวัช เรื่องแค่นี้เอง นี่รุไม่ได้ขอพี่ฟรีๆนะ รุหาลูกค้ามาให้พี่เหมือนกัน”

ธวัชขอให้รุจิกามีเหตุผลหน่อย ถึงตนให้ผ่านก็ต้องผ่านคณะกรรมการและถ้าดาหวันไม่ให้ผ่านมันก็ผ่านไม่ได้อยู่ดี

พอดีดาหวันมาเคาะประตู สังเกตเห็นบรรยากาศไม่ปกติถามว่ามีอะไรกันหรือเปล่า พอรู้เรื่องเธอบอกว่าถ้าธวัชเห็นควรก็อนุมัติได้เลยเงินไม่ถึง 30 ล้านไม่ต้องผ่านตนหรอก รุจิกาได้ทีรุกธวัชให้เซ็น ธวัชตกลงแต่ทุกอย่างต้องผ่านตามขั้นตอน

“ไม่มีปัญหาครับ” นทีรีบแทรกแล้วหันไป ขอบคุณดาหวัน มองดาหวันอย่างสนใจเป็นพิเศษ แต่เธอไม่รู้ตัว

เมื่อคุยกันได้ข้อยุติแล้ว ดาหวันจึงเอาหนังสือที่ซื้อมาให้ธวัชบอกว่าตนอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลยต้องมาถามเขา แต่ไม่ทันคุยอะไรกัน กานต์ก็เข้ามาอาสาจะติวให้เธอแบบตัวต่อตัวเลย ธวัชตอบยิ้มๆ แซวๆ ว่า “จัดหนักได้เลยครับ” กานต์หัวเราะชอบใจหันไปเห็นนทีเขาไหว้ทัก ดาหวันถามว่ารู้จักกันด้วยหรือ รุจิกาแนะนำว่านทีเป็นพี่ชายของครองขวัญ นทีถามดักคอว่า “หวังว่าคงไม่มีผลกับโปรเจกต์ของผมนะครับ”

“เราทำการค้านะคะ ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวอยู่แล้ว ต่อให้เป็นคุณขวัญเองถ้าสนใจเป็นลูกค้าของดา ดาก็ยินดีต้อนรับค่ะ”

นทีหัวเราะชอบใจ ในขณะที่กานต์เริ่มสังเกตท่าทีของนทีที่มีต่อดาหวันด้วยสายตาของผู้ชายด้วยกันที่ดูกันออก

ooooooo

กานต์ตามดูแลดาหวันจนเธอบอกว่าตนดูแลตัวเองได้ บ่นว่าทำเหมือนตนเป็นเด็ก ตนเป็นผู้บริหารควรจะ...กานต์คว้ามือเธอไปจูงพูดต่อให้ว่า

“กฎข้อหนึ่งของการบริหารที่ควรรู้ คือเราไม่ควรทำตัวแบ่งแยกกับลูกน้อง ให้ลูกน้องรู้สึกจับต้องได้ และรู้สึกอบอุ่น” แล้วจูงมือดาหวันเดินไปจนพนักงานพากันมองแล้วอมยิ้ม กานต์พูดอย่างพอใจว่า “ดาหวันคนเก่าไม่มีแล้ว ผมชอบที่คุณเป็นดาหวันแบบนี้มากกว่า”

ปรากฏว่าไม่เพียงพนักงานพากันมองและยิ้ม แต่รุจิกาก็แอบตามถ่ายรูปกานต์จูงมือดาหวันโดยมีนทียืนอยู่ใกล้ๆ เขาเปรยๆว่า ดูเหมาะสมกันดีนะ ถูกรุจิกาดุ “นที! อย่าพูดแบบนี้ให้ครองขวัญได้ยินนะคะ เธอโกรธตายเลย”

ooooooo

เมื่อพรรณีไม่ได้เงินจากธวัชจึงไปกู้เงินจากมาเฟียบอกว่ากู้ไม่เกินสองเดือนเดี๋ยวลูกชายก็หามาคืนให้

ได้เงินแล้วพรรณีนัดนายหน้ามารับเช็คที่บ้าน ให้คนใช้คอยดูต้นทางไว้ เมื่อคนใช้เข้ามาบอกว่าคุณๆ กลับมาแล้ว พรรณีให้นายหน้าหลบออกไปด้านหลังแล้วตัวเองก็เดินปึ่งออกไปรับหน้าธวัช เขาถามว่าวันนี้แม่ไม่ไปไหนหรือ ก็ถูกประชดว่าจะไปไหนได้ ตอนนี้ก็รอแค่ดาหวันจะไล่ออกจากบ้านเมื่อไหร่เท่านั้น พูดเรื่องเงินจนธวัชรู้สึกกดดันปวดขมับจี๊ดขึ้นมา

ooooooo

ยิ่งใกล้วันเปิดพินัยกรรม ทั้งพรรณีและวีรอรก็วิตกกังวลกลัวจะถูกดาหวันไล่ออกจากบ้าน เพราะก่อนหน้าที่เธอจะความจำเสื่อมเธอถูกอาทั้งสองเหน็บแนมกระแนะกระแหนจนเธอบอกทั้งสองให้ไปสั่งสอนลูกตัวเองดีกว่า ปรามว่า

“กินเงินเดือนดาอยู่ก็ขยันทำงานให้ดีล่ะ ให้คุ้มกับเงินเดือนบ้าง ไม่งั้นดาจะเอาออกเหมือนพี่นภา แล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับดา นี่บ้านของดา ดาคือเจ้าของบ้าน ออกไปจากบ้านดาได้แล้ว”

พรรณีประกาศว่าตนไม่ไปเพราะทวีประกาศไว้และคุณสิทธิเป็นพยานว่าให้พวกตนมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ได้เธอไม่มีสิทธิ์ไล่

“งั้นวันไหนที่ดามีสิทธิ์เป็นเจ้าของบ้านเต็มที่ ดาจะเป็นคนพิจารณาเองว่าใครควรจะอยู่บ้านหลังนี้บ้าง”

คิดถึงท่าทีของดาหวันวันนั้นแล้วก็อดเสียวสันหลังไม่ได้ พรรณีภาวนาให้ดาหวันความจำเสื่อมตลอดไปจะได้จำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่วีรอรติงว่าหมอบอกแล้วว่า ความจำของดาหวันจะค่อยๆกลับมา

“นั่นสิ ใครจะไปรู้ล่ะว่าความจำมันจะกลับมาตอนไหน ไว้ใจไม่ได้หรอกนะ เผลอๆ มันอาจจะแกล้งให้เราตายใจ แต่จริงๆ มันก็คือนังดาหวันคนเก่าที่เที่ยวกัดไปทั่วนั่นแหละ”

“คงไม่มังคะ เพราะไม่งั้นสร้อยมรกตก็คงไม่อยู่ในมือคุณพี่แบบนี้หรอก อย่างน้อยๆ ถ้าพี่พรรณโดนไล่ออกจากบ้านจริงก็คงพอมีทรัพย์สินออกไปตั้งตัวได้อยู่บ้าง”

วีรอรเหน็บพี่สาว พรรณีอ้างว่า ดาหวันยื่นให้ตนกับมือ ถ้าไม่ทวงจะต้องคืนทำไม ของแบบนี้ ใครดีใครได้

ooooooo

คืนนี้ดาหวันนอนฝันว่า กานต์พาตนไปปิกนิกเพื่อให้เธอหายเครียด ในฝัน กานต์จัดอาหารไว้แล้วหยิบช่อกุหลาบขาวให้ ดาหวันถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนชอบกุหลาบขาว

แต่คนที่ตอบ กลับเป็นอติเทพ เขาเดินเข้าหาเธออย่างคุกคาม ดาหวันลุกวิ่งหนี ถูกอติเทพไล่ตามไปจนถึงสะพานไม้แขวน เธอลังเลแต่ได้ยินเสียงกานต์ร้องบอกให้วิ่งมาเลยตนอยู่ทางนี้ มองไปเห็นกานต์ยืนรออยู่อีกฝั่งของสะพาน หันมองข้างหลังเห็นอติเทพวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปหากานต์ แต่ขาตกลงไปในร่องสะพาน อติเทพตามมาคว้ามือเธอจ้องมองอย่างเหี้ยมโหด แล้วก็ปรากฏใบหน้าของบรรดาคนในบ้านที่ไม่เป็นมิตรลอยรอบตัวไปหมด เธอตกใจหมดแรงจนร่วงลงไปในน้ำ

ดาหวันตกใจตื่น กานต์ได้ยินเสียงร้องเรียกจนเธอบอกว่าตนฝันร้าย กานต์ยื่นหน้าเข้าไปให้เธอเล่าฝันร้ายให้ฟังเพราะเชื่อตามฝรั่งว่าฝันร้ายแล้วเล่าให้คนอื่นฟังจะกลายเป็นดี

ดาหวันไม่ยอมเล่าแต่ยังผวากับฝันร้ายไม่อาจนอนต่อได้ ขอร้องกานต์ให้นั่งเป็นเพื่อน เขาจึงนั่งเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟัง หันมองอีกทีเห็นดาหวันนั่งกอดหมอนหลับไปแล้ว

ooooooo

รุ่งขึ้น ดาหวันกับกานต์ตื่นมาตักบาตรเพราะเธอโทร.เล่าให้นมมาลัยฟัง นมแนะนำว่าคนไทยใช้วิธีตักบาตรกันไม่ใช่แบบฝรั่งที่เที่ยวเล่าให้คนโน้นคนนี้ฟัง

“ก็โอเค...ผมก็ไม่เห็นอยากรู้ความฝันของคุณเลย คนเราทำดีก็ไม่ค่อยได้ดี อุตส่าห์นั่งเป็นเพื่อนทั้งคืน พูดจนเสียงแหบก็ไม่มีคนเห็นค่าเลย” ดาหวันเลยขอบคุณ กานต์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดาหวันพูดดังขึ้น เขาก็ยังบอกว่าไม่ได้ยินอีก ดาหวันเลยเรียกเขาเข้าใกล้ แล้วตะโกนใส่หู

“ขอบคุณค่ะ ได้ยินหรือยัง”

“โห...หูแทบแตก นี่แกล้งกันใช่ไหม”

“เปล่า...ฉันพูดเบาๆ แบบปกติ” ดาหวันทำหน้าตาย

“หึๆ ปกติเหรอ มา! เดี๋ยวผมจะทำให้คุณดูบ้าง” แล้วกานต์ก็วิ่งไล่จับดาหวันที่วิ่งหนี ทั้งสองวิ่งไล่จับหัวเราะกันอย่างร่าเริง จนกานต์คว้าเอวเธอไว้ได้

“กานต์คะ” เสียงครองขวัญเรียก ทั้งสองหันมอง เห็นครองขวัญโบกมือให้กานต์แล้วเดินเข้าแทรกกลางเบียดดาหวันออกไป คล้องแขนกานต์พาเดินไป หันยิ้มให้ดาหวันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอเรียน: เรามีทุกประเภทของเงินให้กู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่ 3% กรุณา
    ส่งอีเมลถึงเราสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้วันนี้ถ้าสนใจ เรามีเงินให้สินเชื่อ
    ผู้ประกันตนได้ดีสำหรับการรักษาความปลอดภัยสูงสุดที่มีความสำคัญและ 100% ถูกต้องตามกฎหมายของเรา
    และเรามีการลงทะเบียนกันอีเมล์: raphealjefferyfinance@gmail.com
    ชื่อ:
    ที่อยู่:
    หมายเลขโทรศัพท์:
    จํานวนเงินที่จำเป็น:
    ระยะเวลา:
    อายุ:
    เพศ:
    ซีอีโอ / อีเมล์: raphealjefferyfinance@gmail.com
    ขอแสดงความนับถือ
    คุณชาย Rapheal

    ตอบลบ