วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลิงตะวัน ตอนที่ 9


คืนแรกที่กลับมานอนบ้านวัฒนา ตะวันฝันถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นปรางค์ทอง แม้ภาพในฝันจะเป็นภาพสั้นๆไม่ต่อเนื่องกัน แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงวัยเด็กอันขมขื่นของตัวเองที่มีพ่อชาวต่างชาติซึ่งเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเอาแม่กับเธอมาขายซ่อง ทรงพลพ่อคนใหม่ช่วยซื้อตัวสองแม่ลูกออกมาและเลี้ยงดูอย่างดี

เธอกับเปลวอาศัยอยู่กับทรงพลอย่างมีความสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับหมายศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ทรงพลตะโกนอย่างบ้าคลั่ง จนเปลวตกใจรีบเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“หมดแล้วเปลว ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรแล้ว” ทรงพลกอดเปลวไว้อย่างต้องการที่พึ่ง ด.ญ.ปรางค์ทองแอบมองอยู่ห่างๆด้วยความสงสาร จากนั้นเป็นต้นมา ด้วยความแค้นที่อัดแน่น ทรงพลฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงให้ปรางค์ทองตั้งแต่เล็กจนโต หวังจะให้เธอแก้แค้นพวกที่ทำกับเขาให้สาสม ปรางค์ทองในคราบตะวันนอนกระสับกระส่าย ก่อนจะรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เห็นทรงพลยืนอยู่ปลายเตียงท่ามกลางความมืดสลัว

“แก้แค้นให้พ่อนะลูก แก้แค้นให้พ่อ”

ภาพเบลอๆของทรงพล ทำให้ตะวันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นแค่ความฝันหรือเป็นเรื่องจริง

ooooooo

ตะวันลงมาเตรียมอาหารเช้าตั้งแต่ไก่โห่เช่นเคย อึ่งทักท้วง ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ปกติเธอทำเองได้อยู่แล้ว

“ให้ตะวันทำเถอะค่ะ แบบนี้สบายใจกว่าค่ะ”

กันเกราแอบมองอยู่หน้าห้องครัว พลางถอนใจ ผู้หญิงที่เธอเห็นขณะนี้ต่างจากนังงูเห่าที่เธอเคยรู้จักราวกับเป็นคนละคน แล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าครุ่นคิด นันทาหันมาเห็นเธอเข้า ก็โวยวายว่านังงูเห่านั่นกล้ากลับมาได้อย่างไร ท่านเจ้าสัวยังนอนอยู่โรงพยาบาลแท้ๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรบ้างเลยหรือ

เธอแนะนันทาลองให้โอกาสตะวันดูบ้าง นันทาถึงกับปรี๊ดแตกเล่นงานกันเกรายกใหญ่ที่ใจอ่อน รู้ไม่เท่าทันคน ชีวิตถึงต้องมาจมปลักอยู่ที่นี่ไม่มีทางไป กันเกราน้อยใจแต่เดินน้ำตาซึมออกมา นันทารู้สึกตัวว่าพูดรุนแรงเกินไป ตามมาขอโทษเธอที่เวลาตัวเองโมโหก็มักจะพูดอะไรไม่ยั้งคิด

“พี่เสียใจที่พูดจาทำร้ายน้ำใจเธอ พี่แค่รู้สึกน้อยใจว่านังนี่มันกำลังจะเอาคนรอบตัวพี่ไปหมด แม้แต่หนูยุริญยังหลงกลมัน แล้วนี่เธอยังจะเอนเอียงไปอีกคน”

“เวลาคนเราโมโหมักจะพูดจาขาดสติแบบนี้ น้องเข้าใจ แต่น้องแค่อยากเตือนสติคุณพี่เท่านั้น อย่าให้อารมณ์ความโกรธ ความโมโหมันมาทำลายความดีงามทุกอย่างของเรา...เราลองอโหสิและให้โอกาสเธอสักครั้งไหมคะคุณพี่ มันอาจทำให้บ้านเราสงบขึ้นก็ได้นะคะ”

นันทาพยักหน้าเหมือนจะยอมทำตาม แต่พอกันเกราไปพ้นสายตาเท่านั้น สีหน้าเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “แกทำฉันเอาไว้มาก จะให้อภัยกันง่ายๆเหรอ ไม่มีทาง”...

อีกมุมหนึ่งของบ้าน ตะวันพยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้อยู่ว่าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เนื่องจากกลับมาคราวนี้ ธงไทยไม่ได้มาด้วย เธอทำงานเพลินไม่ทันดูข้างหลัง ถอยชนพิชิตที่ยืนอยู่ เธอขอโทษเขา แล้วขยับจะไป เขากลับคว้าตัวไว้แล้วดันติดกำแพง ตะวันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขอร้องให้ปล่อย

“เธอเป็นบ้าอะไร กลับมาทำไมอีก หรือว่าลืมบรรดาผัวเก่าไม่ลง ขอบอกนะว่าที่นี่ไม่มีใครเขาสนใจผู้หญิงเลวๆอย่างเธอแล้ว... คุณวัฒน์ไม่ได้โง่ เขามีคุณยุริญแล้ว ที่นี่ไม่มีใครต้องการเธอ” คำพูดของเขาปลุกปีศาจในตัวเธอขึ้นมา ซึ่งมันมีอำนาจเหนือการควบคุม เธอจ้องตาพิชิตด้วยสายตาท้าทายพร้อมกับขยับเข้าหา

“แน่ใจเหรอว่าไม่มีใครต้องการฉัน...แน่ใจนะว่านายไม่ต้องการฉัน” ตะวันเห็นเขาเริ่มเหงื่อตกและปล่อยมือที่เกาะกุมเธอไว้ แถมขยับตัวออกห่าง ก็ยิ่งสนุก

รุกไล่เขาหนักข้อขึ้น “เห็นไหมว่านายมันไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก เพราะนายรักฉัน พิชิตคนดีของฉัน นายเคยทำทุกอย่างเพื่อฉันไม่ใช่หรือ”

พิชิตผลักเธอออกห่าง “ไม่จริง ฉันไม่เคยรักเธอเลย แล้วก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อเธอด้วย”

“จริงเหรอ แล้วที่มันเกิดขึ้นล่ะ คืออะไร” ไม่พูดเปล่า ตะวันลูบไล้ใบหน้าพิชิตไปด้วย เขาโมโหจนขาดสติ คว้าคอเธอบีบ เธอกลับไม่ยี่หระ ยังคงยิ้มยั่วยวนให้ เขายิ่งโกรธ ออกแรงบีบหนักมือขึ้นจนเธอหายใจไม่ออก แววตาของเธอเปลี่ยนจากท้าทายเป็นหวาดกลัว พยายามร้องขอชีวิต แต่เขาไม่สนใจ

จังหวะนั้นนันทวัฒน์ผ่านมาเห็นพอดี สั่งให้พิชิตปล่อยมือ แต่เขาหน้ามืดไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นันทวัฒน์ต้องต่อยหน้าหนึ่งหมัด เขาถึงยอมปล่อยมือ

ตะวันทรุดฮวบลงกับพื้นสลบเหมือด ครู่ต่อมาเธอถูกนำตัวมาวางบนโซฟาในห้องรับแขก กันเกรารู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต่อว่าพิชิตว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เขาได้แต่ยืนก้มหน้าไม่ตอบ นันทวัฒน์ฉุนขาดจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่นันทาขวางไว้ อ้างพิชิตไม่ได้ทำอะไรผิด

“มันเป็นคนอื่นแท้ๆ ยังรู้จักดูแลครอบครัวของเรา อย่างน้อยมันก็แยกดีแยกชั่วได้”

“คุณพี่คะ คุณพี่จะปล่อยให้มีการเอาชีวิตกันในบ้านนี้หรือคะ น้องรับไม่ได้นะคะ...พิชิต ทีหลังอย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก”

พิชิตพยักหน้ารับคำ นันทวัฒน์โกรธจัดที่ไม่สามารถจัดการอะไรๆได้ดั่งใจตัวเอง...

หลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นันทวัฒน์ตัดสินใจไปดักรอพิชิตที่หน้าห้องพัก เขาเห็นเจ้านายยืนหน้าเครียดรอท่าอยู่ เตรียมตัวรับอารมณ์เต็มที่ แต่เขาคาดผิด

“ฉัน...ขอบใจนะ ฉันรู้ว่านายรักและเป็นห่วงฉันกับครอบครัว แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าปรางค์คือดวงใจของฉัน ในสายตาคนอื่นเธอจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจ แต่สำหรับฉัน เธอคือที่สุดในชีวิต ถ้านายเอาชีวิตเธอ นั่นหมายถึงนายลงมือฆ่าฉันทั้งเป็น” พูดจบนันทวัฒน์

หันหลังจากไป พิชิตอึดอัดใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงระบายอารมณ์ด้วยการต่อยผนังห้องไม่ยั้ง

ooooooo

ณ ไร่นวลตะวัน ธงไทยเอาแต่เหม่อใจลอย ตั้งแต่ตะวันจากมา นวลเห็นแล้วอดสงสารลูกชายไม่ได้ แนะให้เขาตามเธอไป ท่านยินดีทุกอย่างหากเขาทำแล้วมีความสุข

“ผมพอแล้วครับแม่นวล ผมพยายามทุกอย่างแล้ว ตะวันเธอเลือกแล้วครับ” ใจจริงแล้ว ธงไทยอยากตามตะวันไปทุกที่ แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อไร่นวลตะวันและผู้คนที่นี่ทำให้เขาไม่อาจทิ้งไปไหนได้อีก...

มยุริญใจกว้างเป็นแม่น้ำอย่างเหลือเชื่อมาช่วยดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ตะวันจนรู้สึกตัวได้สติ ทันทีที่เห็นหน้ามยุริญ เธอโผกอดร้องไห้โฮ คร่ำครวญให้ช่วยเธอด้วย มยุริญไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่กอดตอบปลอบใจ ส่วนนันทวัฒน์ยืนมองตะวันด้วยความสงสาร เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้

มยุริญอยู่ปลอบใจตะวันจนเห็นควรแก่เวลาจึงขอตัวกลับ นันทวัฒน์เดินมาส่งที่รถซึ่งจอดรออยู่หน้าบ้าน

“เธอคงกลัวและไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว นอกจากน้องยุริญ”

“ยุริญเข้าใจนะคะ แล้วจะแวะมาบ่อยๆค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณที่สุด” นันทวัฒน์เผลอตัวคว้ามือเธอมากุมไว้ มยุริญเหลือบมองมือเขาที่จับมือตัวเอง เขารู้สึกตัวรีบชักมือออก แต่เธอใช้อีกมือหนึ่งคว้ามือเขาไว้

“ไม่เป็นไรค่ะ ยุริญยินดีช่วยเสมอค่ะ พี่ชาย”

นันทวัฒน์ยิ้มให้มยุริญด้วยความโล่งใจ ทั้งคู่ไม่เห็นตะวันมองลงมาจากหน้าต่างห้องด้วยสายตากร้าวและเต็มไปด้วยความริษยา...

ค่ำวันเดียวกัน คีรินจับได้ว่ารันขโมยเงินที่ตนเองเก็บหอมรอมริบไว้สำหรับรักษาดวงตาให้แม่ไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม ก็บันดาลโทสะ จับกระเป๋าใบนั้นขว้างใส่หน้าแล้วตามเข้าไปตบซ้ำ แม่ได้ยินเสียงเอะอะคลำทางเข้ามาในห้อง ถามว่าเกิดอะไรขึ้น รันร้องไห้โฮวิ่งไปหลบหลังแม่พร้อมกับฟ้องว่าโดนพี่รินตบ

“แม่หลบไป วันนี้ฉันจะสั่งสอนให้มันหายปัญญาอ่อนสักที แม่รู้ไหมมันเอาเงินที่ฉันเก็บไว้รักษาตาแม่ไปซื้อกระเป๋า” คีรินฟ้องคืนให้บ้าง แม่กลับต่อว่าเธอว่ากระเป๋าราคาไม่กี่ร้อยบาทถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเลยหรือ

คีรินน้อยใจมากที่แม่คอยปกป้องน้องตลอด เดินเลี่ยงออกไปทั้งน้ำตา ขณะที่รันถึงกับสะอึก หากแม่รู้ว่ากระเป๋าแบรนด์เนมของเธอใบละเท่าไหร่ คงเป็นลมไปหลายตลบ

ทางด้านคีรินมองเงินเก็บในกระป๋องที่เหลือไม่ถึงครึ่งแล้วท้อใจ ยกมือถือขึ้นมาเปิดดูอีเมลที่เฮียฮุยส่งข้อมูลของเป้าหมายมาให้ แต่พอหวนคิดถึงเหยื่อรายล่าสุดที่เธอลงมือสังหารต่อหน้าลูกของเหยื่อ คีรินทำใจไม่ได้ ขว้างมือถือทิ้งเฉี่ยวแม่ที่กำลังเดินเข้ามาหวุดหวิด เธอตกใจถามว่าโดนหรือเปล่า

แม่ส่ายหน้า แล้วคลำหามือถือจนเจอ เห็นเพียงแสงจากหน้าจอลางๆไม่เห็นว่าเป็นรูปของตะวันปรากฏอยู่ พริบตาเดียวภาพก็ดับวูบ

“อ้าว ดับไปซะแล้ว เสียหรือเปล่าเนี่ย รินดูสิ” แม่ว่าแล้วยื่นมือถือให้ คีรินลองเปิดเครื่องก็ไม่ติด

“โมโหอะไรขนาดนั้นล่ะริน มีกันอยู่แค่นี้ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้น้องมันเถอะนะ เงินทองมันของนอกกาย ไม่ตายเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” คำพูดปกป้องน้องของแม่ทำเอาคีรินถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ooooooo

ทรงพลคิดจะเอาใจเปลว ลงมือเข้าครัวทำอาหารให้กิน เธอเห็นท่าทางทุลักทุเลของเขาแล้วเข้ามาแย่งหม้อซุปจะไปทำเอง แต่เขายื้อไว้ไม่ยอมปล่อย เธอไม่อยากเสียอารมณ์ก็เลยปล่อยมือ ทรงพลไม่ทันระวังทำซุปร้อนๆในหม้อหกรดมือตัวเองร้องโอ๊ยลั่น เปลวคิดว่าเขาแกล้งเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“หยุดทำแบบนี้สักทีเถอะ ท่านต้องการอะไรอีก ทำให้ฉันรู้สึกบาปงั้นเหรอ เอาสิ ตายไปซะเลยไหม ฉันจะได้มีบาปติดตัวไปจนตาย”

“เปลวทำไมพูดกับฉันแบบนี้ เปลวไม่สงสารฉันแล้วหรือเปลว” ทรงพลพยายามเข้าไปกอด เปลวโกรธมากไล่ให้เขาตายๆไปสักที ทันใดนั้นมีเสียงตะวันดังขึ้นด้านหลัง

“ทำไมพูดกับคุณพ่อแบบนั้นล่ะคะ ท่านเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของเราไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่”

“ปรางค์! หนูจำได้แล้ว” เปลวตกใจกับสายตากร้าวของลูกสาว...

เปลวทิ้งให้สองพ่อลูกได้อยู่กันตามลำพัง แล้วออกมานั่งคุยกับนันทวัฒน์ที่โต๊ะสนาม ต่อว่าเขาว่าพาลูกของเธอกลับมาที่นี่ทำไม เขาอ้างว่าตะวันไม่ค่อยสบายใจ เขาก็แค่อยากพามาหาเปลวเผื่อเธอจะดีขึ้น

“คุณคิดผิดแล้วคุณนันทวัฒน์ การที่คุณพาเธอมาที่นี่ เท่ากับเป็นการปลุกผี เปิดขุมนรกเลยทีเดียว” คำพูดจริงจังของเปลวทำเอานันทวัฒน์เริ่มเป็นกังวล...

อีกมุมหนึ่งของบ้าน ตะวันนั่งทำแผลโดนน้ำร้อนลวกให้ทรงพลที่ยิ้มเศร้าๆมาให้ พลางตัดพ้อถ้ารู้ว่าเจ็บตัวแล้วเธอจะมาหาแบบนี้ เขายอมเจ็บมากกว่านี้อีก ตะวันขอร้องอย่าพูดแบบนั้น ท่านก็รู้ว่าเธอยังจำอะไรไม่ได้ จำได้แค่ว่าท่านคือผู้มีพระคุณสูงสุดและจำได้ว่าพวกบ้านวัฒนาทำอะไรกับท่านไว้บ้าง

“แก้แค้นให้พ่อนะปรางค์”

“หนูไม่รู้ว่าหนูทำอะไรไว้กับคนบ้านนั้นบ้าง แต่เจ้าสัวก็ได้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้ว เรา...”

“ไม่ได้ มันต้องฉิบหายกันทั้งครอบครัว”

“แต่ถึงยังไงหนูกับคุณนันทวัฒน์ มันเป็นพรหมลิขิต...”

ทรงพลคำรามรอดไรฟัน ไม่มีพรหมลิขิตบ้าบออะไรทั้งนั้น การที่เธอกับนันทวัฒน์ได้มาพบเจอกันที่ญี่ปุ่นล้วนเป็นแผนการของเขาทั้งสิ้น เขาให้เธอวางเหยื่อล่อนันทวัฒน์มาติดกับและให้เธอใช้เสน่ห์ล่อหลอกทำให้มันหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น

“พ่อเหลือแต่ปรางค์คนเดียวนะลูก ที่จะทวงถามความยุติธรรมให้พ่อได้ อย่าทำให้พ่อผิดหวังนะลูก”

“ค่ะ...คุณพ่อ” ตะวันมองนันทวัฒน์ที่นั่งคุยอยู่กับเปลวที่อีกมุมหนึ่งของบ้านด้วยสายตากร้าว ไม่เหมือนตะวันคนเดิมอีกต่อไป คล้ายกับคนถูกสะกดจิต...

เมื่อได้อยู่ตามลำพังกับพี่สาว รันสัญญาจะหาเงินมาคืนให้ แต่อย่าถามว่าเมื่อไหร่ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ มีเมื่อไหร่ก็จะคืนรอหน่อยก็แล้วกัน คีรินถามประชดว่าดวงตาของแม่รอได้ไหม รันขอร้องอย่าทำเหมือนเธอเป็นผู้ร้าย แม่เองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนี้สักหน่อย มีแต่พี่รินเท่านั้นที่วุ่นวายไปเอง คีรินฉุนขาด

“จะบอกอะไรให้นะ สิ่งเดียวที่แม่อยากเห็นที่สุดในชีวิตก็คือ เห็นแกใส่ชุดรับปริญญา จำใส่สมองนิ่มๆของแกไว้” พูดจบคีรินเดินกระแทกเท้าจากไป

ooooooo

มยุริญหยิบเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ออกจากในถุงที่วางเรียงรายอยู่บนเตียงมาให้ตะวันดู

“พี่วัฒน์เห็นว่าคุณปรางค์...”

“เรียกตะวันดีกว่านะคะ ตะวันยังไม่ชินเลยค่ะ”

“ค่ะ คุณตะวัน พี่วัฒน์เห็นว่าคุณเอาข้าวของมาน้อย เลยให้ยุริญไปหามาให้น่ะค่ะ ยุริญคิดว่าคงกะไซส์ของคุณตะวันไม่พลาดนะคะ คงใส่ได้พอดี”

ขาดคำ อึ่งหอบถุงช็อปปิ้งเต็มสองมือเข้ามาวางให้อีก ตะวันหยิบชุดขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะบอกว่าสวยทุกชุด แต่คงไม่เหมาะกับเธอ ถ้าให้ใส่คงเดินขาขวิดแน่นอน เพราะเธอขี้อาย แล้วขอโทษยุริญที่ทำให้เสียทั้งเวลาและเงินทองไปซื้อหามา

“ไม่ต้องห่วงค่ะของส่วนใหญ่จะมาจากร้านประจำของยุริญ เดี๋ยวยุริญจัดการได้ค่ะ” มยุริญพูดจบหันไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่ถุงอย่างเดิม ตะวันปรายตามองเสื้อผ้าเหล่านั้นสายตาเหยียดหยาม อึ่งหันมาเห็นพอดีแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ...

ค่ำวันเดียวกัน คีรินบังเอิญขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้านอาหารที่ตัวเองเคยร้องเพลง เห็นเปิดให้บริการตามปกติก็ดีใจที่จะได้กลับมาทำงาน รีบจอดรถลงไปถามไถ่ ปรากฏว่าร้านเปิดได้สักพักหนึ่งแล้ว และเจ้าของร้านจ้างนักร้องหญิงหน้าตาสะสวยมาทำงานแทนเธอ

คีรินเดินคอตกออกมาด้วยความผิดหวัง

ในเมื่องานประจำก็ไม่มีทำ คีรินนึกถึงงานที่เฮียฮุยเฝ้าอ้อนวอนให้เธอกลับไปทำ จัดแจงหยิบมือถือที่ตัวเองขว้างพังเสียหายขึ้นมางัดเอาซิมการ์ดออกจากเครื่อง จะไปซื้อมือถือเครื่องใหม่เอามาเปิดดูข้อมูลของเป้าหมาย แต่แล้วความดีในตัวทำให้เธอเปลี่ยนใจ ยัดซิมการ์ดกลับไปในมือถือเหมือนเดิม

ooooooo

วันรุ่งขึ้นนันทวัฒน์พาตะวันไปที่ห้างสรรพสินค้าให้เลือกซื้อเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบโดยหนีบมยุริญไปช่วยเธอด้วย เธอหยิบชุดโน้นชุดนี้ที่ขายกันดาษดื่นมาทาบกับตัวแต่ไม่ถูกใจสักชุด อ้างว่าแบบเหมือน ตัวเดิมๆที่เคยมี อยากได้แบบอื่นที่แตกต่างไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเงินเปล่าประโยชน์ ทั้งคู่ยิ้มให้กับความใสซื่อของเธอ

“คุณตะวันใช้เวลาเต็มที่เลยนะคะ เลือกแบบที่ชอบเลยค่ะ”

“ตะวันเกรงใจน่ะค่ะ เอาอย่างนี้นะคะคุณวัฒน์กับคุณมยุริญนั่งพักดื่มน้ำที่ร้านแถวนี้รอตะวันก็ได้นะคะ”

มยุริญเห็นดีด้วย ตะวันจะได้เลือกแบบเสื้อที่ตัวเองต้องการได้อย่างสบายใจ นันทวัฒน์ไม่อยากขัดใจเธอเช่นกัน จัดแจงหยิบบัตรเครดิตยื่นให้ตะวันซึ่งตีหน้าซื่อถามว่าให้ทำไม

“บัตรเครดิตของปรางค์ ใบใหม่เพิ่งส่งมาครับ ปรางค์เซ็นชื่อตรงแถบขาวข้างหลังแล้วก็ใช้ได้เลยครับ”

“ขอบคุณคุณวัฒน์มากนะคะ ตะวันเกรงใจจังค่ะ” ปากบอกว่าเกรงใจ แต่พอคล้อยหลังเท่านั้น ตะวันคนที่ใสซื่อเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเฉิดฉายและมาดมั่น เดินเข้าแต่ร้านแบรนด์เนมราคาแพงระยับ รูดบัตรเครดิตซื้อ

ทุกอย่างไม่มียั้งจนแทบจะถือข้าวของเหล่านั้นไม่ไหว มัวแต่ช็อปปิ้งเพลินไม่ทันเห็นวิวที่แอบเดินตามเพราะสะดุดกับบุคลิกไม่เหมือนตะวันที่ตนเองเคยรู้จักแถมใช้เงินมือเติบ โดยไม่ลืมถ่ายคลิปเก็บไว้

ช็อปปิ้งจนหิ้วไม่ไหว ตะวันจึงเดินกลับไปหานันทวัฒน์กับมยุริญที่ร้านกาแฟ มยุริญเห็นแต่ละถุงในมือเธอล้วนยี่ห้อแพงๆทั้งนั้นถึงกับชมเปาะว่า
เลือกของเก่งถึงได้มาแต่ของแบรนด์เนม

“ตะวันไม่รู้จักเลยสักร้านค่ะ เห็นว่าเป็นเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อย ใส่ได้นานก็เลือกมาค่ะจะได้ไม่ต้องซื้อบ่อยเสียดายเงินน่ะค่ะ แค่ของวันนี้ตะวันก็เกรงใจจะแย่แล้วค่ะ ไม่รู้ว่าใช้เงินไปกี่พันบาท ตะวันดูราคาไม่เป็นค่ะ ไม่รู้ว่าเขาดูตรงไหน เลยส่งการ์ดให้ทางร้านจัดการให้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าตัวไหนที่ปรางค์ชอบก็ซื้อไปเถอะนะครับ”

“ตะวันขอฝากของไว้ก่อนนะคะ พอดีตะวันยังขาดของใช้จำเป็นอีกสองสามอย่างน่ะค่ะ” ตะวันพูดจบเดินจากไป มยุริญกับนันทวัฒน์มองตามก่อนจะหันมายิ้มให้กัน

“ท่างทางปรางค์ตัวจริงจะกลับมาแล้วนะครับเนี่ย พวกนี้นี่แบรนด์โปรดของปรางค์ล้วนๆ”

มยุริญกลับไม่คิดเช่นนั้น ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นแค่จิตใต้สำนึกที่ตะวันทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่เธอคาดผิด ตะวันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร ทันทีที่คล้อยหลัง เธอมองบัตรเครดิตในมือพร้อมกับเบ้ปาก

“วงเงิน 1 ล้านบาท...อยากลองใช้เต็มวงเงินจังเลย”

วิวซึ่งแอบสะกดรอยตามได้ยินเต็มสองหูถึงกับอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือตะวันที่ตัวเองรู้จัก...

ขณะที่ตะวันเริ่มแผนแก้แค้นคนบ้านวัฒนาอีกครั้ง การมองเห็นของแม่ของคีรินแย่ลงเรื่อยๆจะหั่นหมู

ดันพลาดมีดถูกนิ้วตัวเองถึงกับเลือดสาด คีรินจะพาไปหาหมอท่านก็ไม่ยอมไป ขอร้องให้หยุดพักขายของ

ให้แผลหายอักเสบก่อนท่านก็ไม่ยอมหยุดอ้างเสียดายเงินที่จะได้จากการขายของ คีรินเครียดหนักที่ตัวเองตกงาน ขี่มอเตอร์ไซค์ไปสมัครร้องเพลงตามร้านอาหารต่างๆ หลายแห่ง แต่ไม่มีใครรับ ทำให้เธอท้อใจมาก...

ฝ่ายรันอุตส่าห์ถือกระเป๋าใบใหม่ไปอวดเพื่อนที่มหาวิทยาลัยกลับพบว่ากระเป๋าที่ตัวเองซื้อมาราคาแพงระยับเป็นของก๊อปเกรดเอ เธอทั้งโกรธทั้งอาย แทบจะแทรกแผ่นดินหนี

ooooooo

นันทาเห็นนันทวัฒน์เดินนำมยุริญและตะวันพร้อมด้วยถุงใส่ข้าวของมากมายเข้ามาในบ้าน ปรี่เข้ามาต่อว่าว่าทำไมวันนี้เขาไม่ไปดูแลพ่อ มยุริญรีบออกรับ แทนว่าตนเองเห็นตะวันเอาของใช้มาไม่ครบก็เลยชวนกันไปหาซื้อข้าวของ แต่บังเอิญรถติดมากถึงได้กลับมาช้า นันทาตวัดตามองตะวันก่อนจะถามว่าได้ของครบไหม

“ยังไม่ทราบเลยค่ะ แต่ตะวันก็ซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้มาก่อนน่ะค่ะ”

“ของใช้จำเป็นหรือ” ไม่พูดเปล่านันทาปรายตามองถุงใส่ของแบรนด์เนมอย่างไม่สบอารมณ์ ตะวันทำเป็นก้มหน้างุด นันทวัฒน์สงสารเธอมาก สั่งให้อึ่งช่วยเอาถุงพวกนี้ขึ้นไปไว้ที่ห้องของเธอด้วย แล้วบอกให้ตะวันไปพักผ่อนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เธอพยักหน้ารับคำ หยิบบัตรเครดิตคืนให้ เขาบอกให้เธอเก็บไว้ใช้ก่อน

“ขอบคุณคุณวัฒน์มากนะคะ แต่ว่าตอนที่จะซื้อของร้านสุดท้ายพนักงานพูดว่า...อะไรสักอย่างน่ะค่ะ เต็มวงเงินอะไรประมาณนี้ ตะวันก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
นันทาแทบจะลมจับเพราะนั่นเท่ากับนังงูเห่าซื้อของไปเป็นล้านบาท มยุริญต้องช่วยพยุงไว้ นันทวัฒน์ กลับบอกตะวันว่าไม่ต้องเป็นกังวลไป พรุ่งนี้เขาจะจัดการให้ เธอขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วเดินขึ้นห้อง นันทวัฒน์มองตามยิ้มมีความสุข นันทาอดหมั่นไส้ไม่ได้

“จะยิ้มอีกนานไหม รีบไปเปลี่ยนน้ากันเกราที่โรงพยาบาลสิ เธอเฝ้ามาทั้งวันแล้วนะ” นันทาว่าแล้วถอนใจเซ็งจัดที่ลูกชายไม่ได้ดั่งใจ...

อึ่งเอาถุงมากมายมาวางไว้บนเตียงในห้องพักของตะวัน แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เช็กว่ากระดาษชำระในห้องน้ำหมดหรือเปล่าจึงเข้าไปดู เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา นึกว่าไม่มีใครอยู่โยนถุงใส่ของอีกหอบใหญ่ลงบนเตียงรวมกับของที่อึ่งถือขึ้นมาด้วยสีหน้าสะใจ

“นี่มันแค่เริ่มต้นนะอีแก่ ยังต้องเจอกันอีกเยอะ” พูดจบตะวันหันไปจะเข้าห้องน้ำ เห็นอึ่งยืนตะลึงอยู่ที่ประตู แสร้งตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อ้าว...พี่อึ่งอยู่นี่เอง ตะวันยังห่วงอยู่ว่าถือไหวหรือเปล่า”

“เช็กทิชชูค่ะ...ว่า...หมดหรือยัง...เอ่อ ไม่ได้ยินอะไรค่ะ” อึ่งว่าแล้วรีบออกจากห้อง...

ทันทีที่ต๋องขับมอเตอร์ไซค์มาส่งหน้าบ้าน รันเอากระเป๋าใบใหม่ของตัวเองฟาดเขาไม่ยั้ง พลางด่าว่า

ที่เขาเอากระเป๋าปลอมมาหลอกขายให้ แล้วสั่งให้เอาเงินมาคืน เขาอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นกระเป๋าปลอม เขาเองก็โดนหลอกเหมือนกัน ใบแรกที่เขาซื้อให้เธอจำได้หรือเปล่า รันพยักหน้ารับ

“เจ็บใจนัก ยัยผู้หญิงคนนั้นมันต้องเป็นพวกหลอกลวง เสียรู้มันได้ อย่าให้เจอนะแม่จะจัดหนักเลย”

ต๋องโล่งใจที่รันหลงเชื่อ จังหวะนั้นคีรินขี่มอเตอร์ไซค์กลับจากหางานพอดี ต๋องไม่อยากถูกด่าว่ารีบชิ่งหนี

รันเห็นพี่สาวตัวเองก็ยิ่งอารมณ์เสีย เดินสะบัดหน้าเข้าบ้าน คีรินได้แต่มองตามหนักใจ...

ตะวันนอนกระสับกระส่ายไปมา ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นลักษณะเหมือนเมายาค้าง ภาพในห้องพักเบลอไปหมด เห็นทรงพลยืนอยู่ปลายเตียง ชมไม่หยุดปากว่าเก่งมาก เธอนอนอมยิ้มมีความสุข

“หนูทำดีใช่ไหมคะ หนูทำดีใช่ไหม”

ooooooo

วิวขับรถจากกรุงเทพฯมาหาธงไทยถึงไร่นวลตะวัน เล่าเรื่องที่ไปเจอตะวันกลางห้างหรู กำลังช็อปปิ้งแต่ของแบรนด์เนม แถมเปิดคลิปแอบถ่ายให้ดูเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง ธงไทยชักหงุดหงิด

“อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมาเล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือวิว”

“อะไรทำให้ไทยเป็นไปได้ขนาดนี้นะ เธอทิ้งไทยไว้ที่นี่ ไทยยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ”

“ใช่ ไทยไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจว่าทำไมวิวถึงเป็นแบบนี้ ไทยมีคนที่ดีที่ไทยรัก เรามีความสุขกันดีอยู่แล้ว ทำไมวิวต้องมากวนน้ำให้ขุ่น วิวต้องการอะไร ไทยรักตะวันไม่มีทางมองคนอื่นอีก ไม่ว่าวิวจะทำยังไงก็ตาม”

“ไทยบ้าไปแล้ว” วิวน้อยใจมากที่เขาคิดแบบนี้เดินจากไปทั้งน้ำตา ธงไทยได้แต่มองตามหน้าเครียด...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน นันทากับกันเกรามาถึงห้องพักฟื้นของวัฒนาเห็นมยุริญกำลังบีบนวดเนื้อตัวแขนขาให้เขาอยู่ แต่ไม่เห็นนันทวัฒน์อยู่ด้วยก็ถามหา ปรากฏว่าลูกชายตัวดีพานังงูเห่าไปเดินห้างฯ ปล่อยให้มยุริญอยู่เฝ้าไข้พ่อตัวเองเพียงลำพัง นันทาโกรธมาก เจอตัวเมื่อไหร่จะเล่นงานให้สาสม...

ฝ่ายอึ่งถือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ค่อนข้างโชว์เนื้อหนังของตะวันที่เพิ่งซักรีดเสร็จ จะเอาขึ้นไปเก็บข้างบนตึกผ่านหน้าพิชิตซึ่งนั่งนิ่งเป็นปูนปั้น อดลอยหน้าลอยตาพูดล้อเลียนเจ้าของเสื้อไม่ได้

“ตะวันไม่ค่อยกล้าใส่ชุดที่มันหวือหวา...โธ่เอ๊ย แรงกว่าคุณนาอีก นี่คุณพิชิต เดี๋ยวนี้ทำไมไม่ตามคุณวัฒน์ไปไหนเลย รู้จักไปดูแลเจ้านายบ้างนะ ฉันล่ะเป็นห่วงคุณวัฒน์จริงๆ”

พิชิตเอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่ใช่เขาไม่ห่วงเจ้านาย แต่เป็นเพราะเขาอยากหนีหน้าผู้หญิงคนนั้นต่างหาก...

บังเอิญเหลือเกินที่คีรินไปเดินห้างฯเดียวกับที่ตะวันไป แถมเดินชนเธอที่กำลังเดินออกจากร้านอาหารพร้อมกับนันทวัฒน์ คีรินดีใจมากคว้ามือเธอมากุมไว้ อีกฝ่ายดึงมือกลับ ไม่มีทีท่ายินดียินร้ายด้วย

“ตะวัน หายไปเลยนะ แม่แกบ่นถึงตะวันตลอดเลย ว่างๆก็แวะไปบ้างนะ”

“อืม...ถ้ามีเวลาจะไปนะ ไปเถอะค่ะพี่วัฒน์”

คีรินมองตามตะวันที่เดินกอดแขนนันทวัฒน์ออกไปด้วยสายตาปวดร้าว ตะวันน้องสาวที่น่ารักคนนั้นหายไปไหน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เย็นชาและไม่น่ารักเอาเสียเลย...

ระหว่างเดินไปยังลานจอดรถ ตะวันเอาแต่เงียบขรึมเพราะการเจอคีรินครั้งนี้ทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีกันยุ่งเหยิงภายในจิตใจของเธอ นันทวัฒน์เห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดีนัก มั่นใจว่าคงต้องเกี่ยวพันกับผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้ รีบออกตัวว่าเสียดายแทนเธอที่เขาต้องรีบไป ไม่อย่างนั้นเธอคงได้อยู่คุยกับเพื่อนต่อไปได้

“ไม่เป็นไรค่ะพี่วัฒน์ วันหลังคงได้เจอกันอีก” ตะวันเห็นนันทวัฒน์มองหน้าเธอแล้วยิ้มแย้มมีความสุข ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เขาเฉลยว่าที่ยิ้มไม่หุบเพราะวันนี้เธอเรียกเขาว่าพี่วัฒน์ซึ่งเขาชอบมาก

“คงจะดีกว่านี้ถ้าปรางค์จะเรียกตัวเองว่าปรางค์”

“ขอเวลาตะวันหน่อยนะคะ ตะวันเชื่อว่าวันหนึ่ง ตะวันจะจำทุกอย่างได้ค่ะ”

“ครับ พี่จะรอ นานแค่ไหนพี่ก็จะรอ” นันทวัฒน์มองสบตาเธอลึกซึ้งจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตา...

ทางด้านวิวเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่กลับจากไร่นวล ทั้งเสียใจและน้อยใจกับคำพูดของธงไทย เจ๊แน๊ตต้องปลอบและเตือนสติ อะไรที่มันหนัก มันเหนื่อยก็ให้เลิกทำ

“เมื่อก่อน วิวสามารถยุ่งเรื่องของไทยได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว ไทยต้องขอปรึกษาวิวทุกเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ไทยเปลี่ยนไป วิวหวังดีกับไทยนะเจ๊”

“คุณไทยเขาเลือกของเขาแล้ว ต่อไปนี้หมดหน้าที่ผู้หวังดีอย่างหล่อนแล้วจ้ะ” เจ๊แน๊ตว่าแล้วดึงวิวที่ร้องไห้เป็นเผาเต่ามากอดปลอบใจ

ooooooo

ภายในห้องพักฟื้นของวัฒนา ทันทีที่นันทวัฒน์ก้าวเข้ามา นันทาปรี่เข้าไปตบตีอุตลุด สั่งสอนที่เขาเห็นแก่ตัวไม่รับผิดชอบ แถมยังโง่เง่าให้นังงูเห่านั่นหลอกเอาอีก กันเกราสงสารหลานชาย ปรี่เข้าไปกอดปกป้อง พร้อมกับเตือนนันทาว่าที่นี่โรงพยาบาล อายคนอื่นบ้าง

“จะต้องไปอายทำไม ทุกวันนี้มีลูกโง่ๆผัวง่อยๆยังไม่น่าอายอีกหรือ”

วัฒนาสะเทือนใจมาก อยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไม่ได้จึงต้องหลับตาเพื่อซ่อนความเจ็บปวด กันเกราพยายามห้ามนันทาไม่ให้พูดอะไรที่จะทำร้ายจิตใจทั้งพี่เขยและหลานชาย แต่เธอไม่ยอมหยุด

“ไม่รู้มันเอาอะไรคิดให้หนูมยุริญมาดูแลพ่อขณะที่ตัวเองพานังแพศยานั่นไปเดินเที่ยวผลาญเงิน เวรกรรม

ของฉันจริงๆมีผู้หญิงดีๆใส่พานมาถวายถึงที่ ดันไปปลุกผีขึ้นมาป่วนครอบครัว อยากให้แม่ตายเร็วหรือไง”

จังหวะนั้นมยุริญกลับเข้ามาพร้อมกับถุงใส่ยาของวัฒนา แปลกใจที่เห็นทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ถามว่ามีอะไรกันหรือเปล่า ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครให้ความกระจ่าง...

นันทากลับถึงบ้านอย่างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เจอตรีทศกับนันทนากำลังทะเลาะกันเรื่องที่เขาแอบเหล่ตะวันตอนเดินผ่าน นันทาคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ออกปากชวนตรีทศอย่าเพิ่งรีบกลับ ให้นอนค้างคืนที่นี่ด้วยกัน บ้านนี้มีตั้งหลายห้อง เขาจะเลือกนอนห้องไหนก็ได้เธออนุญาต อยู่ด้วยกันหลายๆคนจะได้ไม่วังเวง คืนนี้นันทวัฒน์ไม่อยู่ต้องไปเฝ้าเจ้าสัวที่โรงพยาบาล ตรีทศยิ้มให้ว่าที่แม่ยายอย่างรู้กัน

“งั้นสบายใจได้ครับ ตรีทศอยู่ด้วยทั้งคน ครื้นเครงแน่ๆ”...

ขณะที่เฮียฮุยกำลังสั่งงานให้เลขาฯไปเช็กประวัติผู้หญิงที่ตรีทศไปติดพันว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีข้อความจากบุคคลปริศนาที่ชื่อ A.แจ้งว่าไม่ต้องจัดการเป้าหมายแล้ว ส่วนเงินค่าจ้างก้อนนั้น A.ยกให้ เฮียฮุยหัวเราะชอบใจให้กับความโชคดีของตัวเอง ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย แถมได้เงินใช้ฟรีๆอีกต่างหาก...

ในระหว่างที่อึ่งถือแก้วใส่น้ำนมถั่วเหลืองที่นันทากำชับนักกำชับหนาว่าต้องเอาไปให้ตะวันถึงห้องพัก ไม่วายบ่นพึมพำตามนิสัยผีเจาะปากให้พูด

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ใจดีผิดปกติยอมให้ลูกเขยค้างที่บ้านแถมยังให้เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกสะใภ้อีกต่างหาก” ว่าแล้วอึ่งมองซ้ายมองขวาเห็นปลอดคนแอบชิมน้ำนมถั่วเหลืองในมือไปหนึ่งอึก “เบๆไม่เห็นจะอร่อยตรงไหนเลย” เธอยังไม่ทันจะเคาะประตูห้อง ตะวันเดินออกมาเสียก่อน

“นมถั่วเหลืองค่ะ คุณนันให้เอามาให้ค่ะ แต่ไม่ค่อยอร่อยนะคะ...เอ่อ หมายถึงดูน่าอร่อยน่ะค่ะ”

“ขอบคุณนะคะพี่อึ่ง” ตะวันรับแก้วเครื่องดื่มกลับเข้าไปในห้อง...

ฝ่ายคีรินทนเห็นแม่มีปัญหาเรื่องการมองเห็นต่อไปอีกไม่ไหว ตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องใหม่แล้วต่อสายหาเฮียฮุยบอกว่าพร้อมจะทำงานให้ แต่ต้องผิดหวังเมื่อเขาบอกว่าลูกค้ายกเลิกปฏิบัติการนี้แล้ว คีรินวางสายสีหน้าครุ่นคิดหนัก ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมารักษาดวงตาให้แม่

ooooooo

ตะวันสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงตรีทศเปิดประตูห้องเข้ามา เธอมองเลยไปด้านหลังของเขาเห็นนันทายืนจ้องมาที่ตัวเองเขม็ง จากนั้นประตูก็ปิดตามหลัง ตรีทศมองเธอที่นอนตัวแข็งทื่อด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเดินมานั่งบนเตียง ตะวันได้แต่มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน เป็นทำนองว่าอย่าทำอะไรเธอเลย

“สวัสดีคนสวย ส่งสายตาหวานให้พี่ทศอีกแล้ว” ไม่พูดเปล่าเขาลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของเธอด้วย

“อย่...อย่า”

“อะไรนะจ๊ะ ไม่ค่อยได้ยินเลย...แหมๆๆ ถ้าอ้อนวอนกันขนาดนี้ พี่ทศคงต้องจัดให้ซะแล้ว”

อีกมุมหนึ่งหน้าห้องพักของตะวัน สำนึกดีในตัวนันทาทำให้เธอลังเล เงื้อมือจะเคาะประตูเพื่อหยุดสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เกิดเปลี่ยนใจ หันหลังจะกลับห้องตัวเอง ต้องชะงักเมื่อเจอกันเกรายืนมองอยู่

“คุณพี่คิดจะทำอะไรคะ จะปลุกแม่นั่นขึ้นมาด่าเรื่องชวนตาวัฒน์ไปเที่ยวหรือคะ มันดึกแล้วนะคะคุณพี่ รอพรุ่งนี้เถอะ บอกตรงๆน้องขี้เกียจมานั่งตามเก็บหงอกคุณพี่ น้องเตือนแล้วนะคะ”พูดจบกันเกราเดินลงบันได

“ฉันไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาถอนหงอกฉันเล่นหรอก มันต้องได้รับผลกรรมที่ทำไว้กับฉัน” นันทาพึมพำเสียงเครียด ครู่ต่อมากันเกรามาถึงห้องครัวจะหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่ม ต้องตกใจเมื่อเห็นอึ่งนอนหลับอยู่เข้าไปสะกิดเรียกให้ตื่น เธองัวเงียลุกขึ้น แต่หนังตาหนักแทบลืมไม่ได้ ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องของตะวันดังขึ้น

กันเกราหน้าตาตื่นวิ่งไปยังห้องต้นเสียง เห็นเจ้าของห้องนอนร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนเตียง โดยมีตรีทศนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นใกล้ๆ เธอร้องเอะอะลั่นบ้าน เรียกให้คนมาช่วยไม่นานนัก ตะวันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเดือดร้อนถึงมยุริญต้องมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด คร่ำครวญว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา มยุริญจับมือเธอไว้พลางปลอบใจ

“มันจบแล้วค่ะคุณตะวัน คุณโชคดีมากนะคะที่คุณตรีทศเมาหัวฟาดหัวเตียงสลบไปซะก่อน คุณปลอดภัยแล้ว พักผ่อนนะคะ อย่าคิดมาก” มยุริญลูบหน้าลูบหลังตะวันที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น นันทวัฒน์เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างร้อนใจ ทันทีที่ตะวันเห็นเขา สะบัดมยุริญทิ้งแล้วโผกอดเขาแน่น
“พี่วัฒน์ ตะวันกลัว ช่วยตะวันด้วย”

มยุริญรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน รีบถอยออกมายืนดูห่างๆ นันทวัฒน์ประคองตะวันมานอนที่เตียงคนป่วย กุมมือเธอไว้จนเธอผล็อยหลับ มยุริญดูนาฬิกาที่ผนังห้อง เห็นบอกเวลาตีสี่ก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากพรุ่งนี้มีนัดลูกค้าแต่เช้า นันทวัฒน์จะเดินไปส่ง แต่ตะวันละเมอเรียกเขา แถมจับมือไว้แน่น

“คนขับรถของยุริญรออยู่ข้างล่างค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ พี่วัฒน์อยู่เป็นเพื่อนคุณตะวันดีกว่า เธอกำลังเสียขวัญ เดี๋ยวตื่นมาไม่พบใครจะตกใจ” มยุริญว่าแล้วเดินออกจากห้อง เขาอยากจะไปส่งเธอใจแทบขาด แต่ตะวันไม่ยอมปล่อยมือ จึงได้แต่ส่งด้วยสายตา...

ดึกมากแล้ว ธงไทยนอนไม่หลับเป็นห่วงความปลอดภัย ของตะวัน ตาท้วมเห็นใจเขามากเข้ามาช่วยพูดปลอบใจแต่ก็ไม่ทำให้เขาคลายความกังวลลงได้

ooooooo

นันทวัฒน์กลับจากโรงพยาบาลที่ตะวันนอนรักษาตัวอยู่เพื่อมาเอาข้าวของให้เธอ นันทาไม่วายแดกดันว่าพ่อตัวเองนอนพะงาบๆอยู่โรงพยาบาลไม่เห็นเขาเคยเหลียวแล ทีกับนังงูเห่านั่นดันไปอยู่เฝ้าเช้าเฝ้าเย็น เขาอ้างว่าที่เธอต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะแฟนของนันทนา ท่านเตือนให้เขาระวังตัวไว้บ้าง ตรีทศเกือบตายเพราะมัน

“หมอบอกว่าปรางค์โดนวางยา จะมีปัญญาทำอะไรใครได้ ไอ้หมอนั่นมันเมา ร่วงลงไปชนหัวเตียงเองต่างหากล่ะครับ” คำพูดแก้ตัวให้นังงูเห่าของลูกชายทำให้นันทาโกรธมาก กอปรกับครุ่นคิดหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เธอเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น นันทวัฒน์รีบอุ้มแม่ไปนอนพักที่โซฟา

กันเกราดึงหลานชายออกมาคุยกันอีกมุมหนึ่ง เล่าว่าที่ตะวันเป็นแบบนั้นคงเป็นเพราะยาที่นันทาผสมในนมถั่วเหลืองให้เธอดื่ม อึ่งสารภาพให้ตนฟังว่าแอบชิมไปอึกหนึ่งแล้วก็หลับคาห้องครัว นันทวัฒน์เสียใจมากที่แม่ทำแบบนั้น ยังไม่ทันจะว่าอะไร นันทารู้สึกตัวตื่นขึ้นเสียก่อน พอเห็นหน้าเขาเท่านั้นจัดแจงจะลุกหนี อ้างเหม็นขี้หน้าลูกหน้าโง่ นันทวัฒน์เดินหนีด้วยความน้อยใจ กันเกราตำหนิพี่สาวทำไมถึงพูดกับลูกแบบนั้น

“ก็ดูความโง่ของมันสิ หน้ามืดตามัวหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น หาว่าฉันไปทำอะไรนังนั่น”

“แล้วมันจริงไหมล่ะคะ...ขอเถอะค่ะ อย่าให้อะไรก็แล้วแต่มันมาดึงด้านมืดของเราออกมาได้ เราดีงามของเราอยู่แล้ว ใครจะเป็นอย่างไรก็ชั่งเขา” กันเกราเตือนด้วยความหวังดี...

บ่ายวันเดียวกัน ขณะนันทากับกันเกรานั่งจิบน้ำชา นันทวัฒน์ประคองตะวันที่ยังอยู่ในอาการอ่อนเพลียเข้ามาในบ้านโดยมีมยุริญถือกระเป๋าใส่ของของตะวันเดินตามมาอีกทอดหนึ่ง นันทาถึงกับปรี๊ดแตกด่าลูกชายว่าช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆให้ผู้หญิงถือของหนักๆเอง มยุริญรีบแก้ตัวแทนเขาว่าเธอเป็นคนอาสาถือเอง

นันทาหมั่นไส้ที่ลูกชายเอาแต่ประคองตะวัน สั่งให้ปล่อยมือได้แล้ว พอเขาคลายมือออกตะวันเซทันทีเขาต้องประคองเธอไว้อย่างเดิม นันทาโมโหมากที่เธอสำออยทำท่าจะเอาเรื่อง กันเกราเห็นท่าไม่ดีรีบตัดบท

“ตาวัฒน์ พาเธอขึ้นไปพักเถอะ”...

ทางฝ่ายเฮียฮุยเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถูกเล่นงานสะบักสะบอมก็แค้นใจมาก พอนันทนามาขอเยี่ยม เขาออกมาไล่ด้วยตัวเองว่าตอนนี้อาตี๋ของเขาเจ็บหนัก ไม่พร้อมให้ใครเยี่ยม แล้วต่อว่าว่าดูแลกันอย่างไรถึงปล่อยให้ตรีทศเป็นอย่างนี้ในบ้านของเธอ นันทนาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธออยากยามาก ขอซื้อยาจากเขาแล้วรีบควักเงินให้ เฮียฮุยว่าเงินแค่นี้ไม่พอจ่าย เพราะเขามีแต่ยาเสพติดห่อใหญ่

“โทร.มาแล้วกันถ้ามีเงินห้าหมื่น แล้วจะให้คนเอาไปให้” พูดจบเฮียฮุยเดินขึ้นห้อง นันทนาได้แต่ยืนเซ็ง

ooooooo

ตะวันรอจนคนบนตึกใหญ่หลับกันหมด แอบเข้าไปหาพิชิตถึงในห้องพัก เขาตื่นขึ้นมาเห็นเธอนั่งมองเขาอยู่บนเตียง ทะลึ่งพรวดลุกขึ้น พร้อมกับขยับตัวออกห่าง เธอไม่ได้จะเข้ามาทำอะไร แค่จะมา ขอบใจที่เขาช่วยเธอไว้ รู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังลำบาก พิชิตไม่ตอบเบือนหน้าหนี

พลันภาพเหตุการณ์เมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาในความคิดของพิชิต คืนนั้นเขาเข้าไปในครัวถึงได้รู้ว่านันทาสั่งให้อึ่งเอานมถั่วเหลืองไปให้ตะวันที่ห้องนอน เขาเอะใจว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลจึงแอบปีนขึ้นไปที่ห้องของตะวัน รอดูเหตุการณ์อยู่ เห็นตรีทศเข้ามาในห้องทำท่าจะทำมิดีมิร้ายกับเธอ เขาย่องเข้าไปกระชากผมตรีทศจนหน้าหงาย จับหัวฟาดกับขอบเตียงด้วยความหึงหวงจนสลบเหมือด แล้วรีบปีนออกทางระเบียงห้อง

เสียงเรียกของตะวันปลุกพิชิตให้ตื่นจากภวังค์ เขาบอกเธอว่าไม่ต้องมาขอบใจ เขาแค่ไม่อยากให้เกิดเรื่องอุบาทว์ขึ้นในบ้านเท่านั้น แล้วลากตัวเธอออกไปเหวี่ยงไว้ หน้าห้องปิดประตูใส่ เธอยืนพิงประตูห้องยิ้มสะใจ

“ที่แท้นายก็หลงฉันหัวปักหัวปําสินะพิชิต กลัวฉันจะพลาดท่าไอ้กุ๊ยนั่นสินะ ไม่มีวัน”

ความจริงแล้วคืนนั้นตะวันมีสติดีตอนที่ตรีทศย่องเข้าหาเพราะยังไม่ได้ดื่มนมถั่วเหลืองแก้วนั้น เธอปล่อยให้พิชิตจัดการกับตรีทศ แล้วรอจนเขาปีนออกจากห้อง ถึงลุกขึ้นคว้านมถั่วเหลืองมาดื่มก่อนจะร้องกรี๊ดๆ...

ตะวันมองไปที่ประตูห้องพักของพิชิตอีกครั้ง แล้วเดินสะบัดออกไป อึ่งค่อยๆโผล่ออกจากที่ซ่อน

“ตายแล้ว บัดสี...บัดสีที่สุด” อึ่งพึมพำไล่หลัง...

เฮียฮุยเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงที่ทำให้ลูกชายของตัวเองตกอยู่ในสภาพบอบช้ำเป็นคนคนเดียวกับที่ลูกค้าเพิ่งยกเลิกการเป็นเป้าสังหาร คิดหาทางกำจัดให้สิ้นซาก

ooooooo

อึ่งฟ้องมยุริญถึงเรื่องที่เห็นตะวันออกจากห้องของพิชิตดึกๆดื่นๆ เธอขอร้องอึ่งต่อไปอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดอีก และห้ามเอาไปพูดที่ไหนอีกด้วย เพราะสิ่งที่อึ่งเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้

“ก็อึ่งสงสารคุณวัฒน์นี่คะ คนหนึ่งก็เมีย คนหนึ่งก็คนสนิท ดูสิมาช่วยกันสวมเขาซะงั้น”

นันทวัฒน์ประคองตะวันเข้ามา อึ่งถึงสงบปากสงบคำลงได้ เขารีบออกตัวว่าวันนี้ต้องพาตะวันไปหาหมอเนื่องจากยังมีอาการมึนหัวอยู่ แต่ติดที่ว่าต้องไปดูแลพ่อ มยุริญอาสาจะจัดการเรื่องวัฒนาแทนเขาเอง อึ่งสงสารมยุริญที่ถูกหลอกใช้เสนอแนะให้เขาพาตะวันไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งเดียวกันที่วัฒนารักษาตัว ตะวันทำตาโหดใส่อึ่งแล้วหันไปอ้อนนันทวัฒน์ ถ้าให้คุณหมอคนเดิมติดตามอาการน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ

“ไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางนี้ยุริญจัดการเองค่ะ”...

ทันทีที่ตะวันขึ้นรถของนันทวัฒน์อาการมึนหัวหายเป็นปลิดทิ้ง ชวนเขาไปหาอะไรอร่อยๆกิน อ้างว่ายังขวัญเสียไม่หาย อยากหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลาย เขาอยากเอาใจเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ปฏิเสธคำชวน...

เฮียฮุยตัดสินใจโทร.หาคีริน โกหกว่าลูกค้าเปลี่ยนใจ ต้องการจัดการเป้าหมายที่เคยคุยกันไว้ให้เร็วที่สุดและจะให้ราคาอย่างงามหากเธอสนใจรับทำงานนี้

“รับสิเฮีย อะไรก็ทำทั้งนั้นแหละตอนนี้ ฉันยังไม่ได้ดูข้อมูลที่เฮียส่งมาเลย ข้อมูลก็ไม่มีแล้ว โทรศัพท์ใหม่ของฉันก็รับข้อมูลจากเฮียไม่ได้แล้วด้วย งานด่วนที่ว่าน่ะด่วนแค่ไหน”

“เดี๋ยวนี้เลย ลูกน้องเฮียตามมันอยู่ เดี๋ยวให้มันประสานแล้วชี้เป้ากันเลย จะได้ไม่ผิดตัว” เฮียฮุยวางสายด้วยอารมณ์เคืองแค้น “ใครบังอาจมาแตะต้องลูกชายอั๊ว มันต้องตาย”...


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร เพลิงตะวัน ตอนที่ 8


ขณะที่พยาบาลพิเศษกำลังสาธิตวิธีผสมอาหารเหลวตัวใหม่ของวัฒนาให้กันเกราดูอยู่ในครัว อึ่งถืออุปกรณ์ทำความสะอาดมาที่ห้องของวัฒนาเห็นธงไทยกับตะวันยืนอยู่หน้าห้องก็ร้องทักว่ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ระวังจะโดนเล่นงานเอาได้ ทั้งคู่ไม่ได้จะเข้าไปรบกวนอะไรท่านเจ้าสัว แค่พาเพื่อนเก่าของท่านมาเยี่ยม

“เพื่อนเก่าไม่ได้เจอกันนาน ตะวันเคาะห้องแต่คุณพยาบาลไม่อยู่”

“ไปเตรียมอาหารค่ะ จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะคะ ท่านจะได้ดีใจมีคนมาเยี่ยมบ้าง งั้นเดี๋ยวอึ่งค่อยมาทำความสะอาดนะคะ” พูดจบอึ่งหิ้วอุปกรณ์ต่างๆกลับไป

ภายในห้องของวัฒนา ทรงพลนั่งอยู่บนรถเข็นใกล้ๆกับเตียงนอน มองไปยังเจ้าของห้องที่หลับสนิท เขาเริ่มขยับตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ พอเห็นชัดๆว่าใครนั่งอยู่ข้างเตียง ตกใจตาเหลือกราวกับเห็นผี...

ฝ่ายกันเกราดูพยาบาลปรุงอาหารเหลวเสร็จก็เดินออกจากครัว สวนกับอึ่งพอดี อดทักไม่ได้ทำไมทำความสะอาดห้องของวัฒนาเสร็จเร็วนัก เธอยังเข้าไปทำให้ไม่ได้เนื่องจากท่านมีแขกมาเยี่ยม กันเกรางง แขกที่ไหน ทำไมตนถึงไม่รู้ แล้วใครเป็นคนพามา ในเมื่อไม่มีใครอยู่บ้าน

“คุณตะวันค่ะ คุณตะวันพามา”

“อะไรนะ! แม่นั่นพามา...ตายแล้ว” กันเกราวิ่งปรู๊ดออกไปโดยมีพยาบาลพิเศษวิ่งตาม อึ่งได้แต่ยืนงง...

ในระหว่างที่วัฒนาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นันทาเห็นลูกชายนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถ อยากกลับไปเห็นหน้านังงูเห่านั่นเร็วๆ ก็หมั่นไส้ แกล้งสั่งให้คนขับรถแวะร้านขนมเจ้าประจำเพื่อถ่วงเวลา นันทวัฒน์รู้ว่าแม่แกล้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทิ้งตัวพิงเบาะรถด้วยสีหน้าหงุดหงิด...

ทางฝ่ายเปลวกลับจากซื้อของ ไม่เห็นทรงพลอยู่ที่ห้องรับแขก สอบถามเด็กรับใช้ได้ความว่าไม่อยู่ไปบ้านเพื่อน เธองงมากไปได้อย่างไรในเมื่อเธอเอารถไป พอรู้ว่าปรางค์ทองเป็นคนมารับตัวไป เธอถึงกับนั่งไม่ติด...

ทรงพลเห็นวัฒนาหน้าตาตื่นพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถทำได้ ก็หัวเราะสะใจ

“ไอ้ที่จมูกนั่นน่ะ ท่าทางจะเกะกะนะ ไม่เป็นไรเพื่อน เดี๋ยวฉันจะเอาออกให้” ทรงพลว่าแล้วเอื้อมมือไปหยิบสายออกซิเจนออก

ที่หน้าห้องของวัฒนา ตะวันเอาแต่ชะเง้อเข้าไปในห้องจนธงไทยต้องปลอบว่าอย่าเป็นกังวลไปเลย ทรงพลคงกำลังพูดให้ท่านเจ้าสัวเข้าใจในตัวเธอได้ เธอพยักหน้ารับรู้ ยังไม่ทันจะว่าอะไร กันเกราจ้ำพรวดๆเข้ามาโดยมีพยาบาลพิเศษวิ่งตามมาด้านหลัง มองตะวันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ฉันเกือบจะหลงกลหล่อน นังงูเห่า” ไม่พูดเปล่า กันเกราผลักตะวันพ้นทางแล้วพรวดพราดเข้าไปในห้อง เห็นทรงพลถือสายออกซิเจนอยู่ในมือ ขณะที่วัฒนาหายใจพะงาบๆสีหน้าตื่นกลัวสุดขีด เธอโวยวายใส่ทรงพลว่าคิดจะทำอะไร เขาไม่ได้ผิดหวังที่ถูกขัดจังหวะ เพราะถึงอย่างไรเขาไม่ได้อยากให้วัฒนาตาย แค่อยากจะทรมานเล่นเพื่อความบันเทิง กันเกราเห็นวัฒนาช็อกหมดสติ รีบสั่งการให้พยาบาลพิเศษโทร.ตามรถพยาบาล

ooooooo

ทันทีที่พาทรงพลกลับถึงบ้าน ตะวันต่อว่ายกใหญ่ที่หลอกใช้เธอ วัฒนาเกือบต้องตายเพราะความโง่ของเธอ เขายิ้มสะใจ คนอย่างมันตายได้ยิ่งดี เพราะเป็นคนทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้

“ท่านหมายความว่ายังไง”

“ปรางค์ หนูจำอะไรไม่ได้เลยหรือลูก จำไม่ได้หรือว่าหนูเข้าไปบ้านหลังนั้นเพื่ออะไร”

ตะวันไม่เข้าใจว่าทรงพลหมายถึงอะไร เปลวไม่อยากให้เธอรู้ถึงความเลวร้ายของตัวเอง ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่าเธอเข้าไปในบ้านวัฒนาก็เพื่อแต่งงานกับคนที่เธอรัก แล้วรีบดึงตัวธงไทยกับตะวันออกมาหน้าบ้าน บอกให้เขาพาตะวันกลับไร่นวลตะวันอย่ากลับมาที่นี่อีก ตนไม่อยากเห็นเธอตกเป็นเครื่องมือของใครอีกต่อไป

“แต่ท่านเป็นพ่อ เป็นผู้มีพระคุณของเรานะคะ ถ้าไม่มีท่าน เราสองคนคงจะ...”

“ปรางค์ แยกให้ออก ระหว่างการตอบแทนบุญคุณกับการก่อกรรม”...

นันทากับนันทวัฒน์รีบไปที่ห้องไอซียูทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากกันเกรา เห็นวัฒนานอนหลับไม่ได้สติมีเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยางเต็มไปหมดก็ใจเสีย หมอเจ้าของไข้รายงานว่าครั้งนี้เขาอาการหนักมาก เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด นันทาขอร้องให้หมอดูแลเขาอย่างดีที่สุดอย่าให้เขาจากไป หมอรับคำแล้วเดินออกจากห้อง เธอไม่รอช้าหันมาเล่นงานลูกชาย เห็นหรือยังว่านังงูเห่านั่นทำอะไรกับพ่อของเขา

“แต่ปรางค์ไม่รู้เรื่องนะครับคุณแม่ เธอจำอะไรไม่ได้”

“แกเชื่อมันเหรอ”

พยาบาลหันมาส่งสัญญาณให้เบาเสียงลงหน่อย ทนงศักดิ์ซึ่งตามมาสมทบรีบพาทั้งคู่ออกไปคุยกันข้างนอก แล้วรายงานว่าวันนี้หมอไม่อนุญาตให้เฝ้าไข้ ดังนั้น นันทาควรจะกลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เขาจองห้องพิเศษไว้ให้แล้ว ท่านเจ้าสัวอยู่ในมือหมอแล้วไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง นันทาพยักหน้ารับรู้ ยังไม่ทันจะขยับ

ไปไหน ธงไทยกับตะวันเดินเข้ามาเสียก่อน เธอถึงกับเลือดขึ้นหน้า ตวาดใส่ว่ายังหน้าด้านมาที่นี่อีกหรือ

“ตะวันอยากมาเยี่ยม...”

“อยากมาเยี่ยมหรือมาทำให้ท่านเจ้าสัวตายเร็วขึ้น นังงูเห่า” นันทาปรี่เข้าไปตบหน้าตะวันทันที นันทวัฒน์กับทนงศักดิ์ต้องช่วยกันตัวออกมา ธงไทยรีบเข้าไปดูแลตะวันพลางต่อว่าทำไมต้องทำรุนแรงขนาดนี้ด้วย

“แล้วที่มันทำล่ะ คนอย่างมันสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น นายยังไม่รู้จักมันดีนายชาวไร่ รู้ตัวอีกทีชีวิตนายจะไม่มีอะไรเหลือเลย จำคำของฉันไว้”

“ผมไม่สนใจว่าอดีตของเธอจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้เธอเป็นคนใหม่แล้ว เธอไม่หลงเหลือความเป็นคนเดิมแล้ว ทำไมพวกคุณไม่ให้โอกาสเธอบ้าง”

ตะวันขอร้องนันทาให้โอกาสเธอได้ขอโทษวัฒนาด้วย นันทากลับไล่ตะเพิดเธอไปให้พ้นหน้า ธงไทยรีบพาตะวันออกมาให้พ้นจากอารมณ์เกรี้ยวกราดของนันทา

ooooooo

กันเกรารำคาญที่อึ่งเอาแต่ร้องไห้ สั่งให้หยุด ร้องได้แล้ว ตนไม่โทษเธอเรื่องนี้เพราะเธอไม่รู้จัก

นังงูเห่านั่นดีพอ ตนเองก็เกือบหลงเชื่อว่ามันจะกลับเนื้อ กลับตัวได้ เด็กรับใช้ซึ่งอยู่ทันปรางค์ทองและเคยเห็นฤทธิ์เดชมาแล้ว กลับเชื่อว่าเธอความจำเสื่อมจริงๆ เพราะเธอเปลี่ยนไปมากราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

“คนเราเกิดมาเหมือนผ้าขาว อยู่ที่คนเลี้ยงดูจะแต้มแต่งสีอะไรลงไป แม่นั่นน่ะถูกเลี้ยงมาด้วยความแค้น ความอาฆาต ก็กลายเป็นคนร้ายกาจ พอความจำเสื่อมไปเจอคนดีๆเลี้ยงดูมาก็กลายเป็นคนดีขึ้นมา แต่อดีตก็คืออดีต ทำเลวร้ายมามากใครลบล้างไม่ได้หรอก” กันเกราอธิบาย...

ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ตะวันเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เสียใจที่เกือบทำให้วัฒนาตาย ธงไทยได้แต่ปลอบว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ อย่าเสียใจไปเลย เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้

“ตะวันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ตะวันอยากแก้ไข”

“บางทีถ้าเราไม่รู้มันเสียเลยอาจดีกว่าก็ได้นะตะวัน”...

ทางด้านทรงพลไม่พอใจที่เปลวปล่อยลูกกลับไป แทนที่จะให้สานงานแก้แค้นพวกบ้านวัฒนาต่อให้เสร็จ เธอไม่เห็นด้วย ลูกของเธอทำเพื่อเขามามากแล้ว และคนบ้านนั้นก็ได้รับผลกรรมไปแล้ว ขอร้องอย่าให้ลูกไปก่อกรรมทำเข็ญอีกเลย ทรงพลโกรธมากถึงกับด่าหยาบๆคายๆ

“อีเปลว อีเนรคุณ ฉันขุดแกมาจากซ่อง แกไม่รู้บุญรู้คุณเลยหรือ”

“ยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันถือว่าฉันชดใช้ให้ท่านไปหมดแล้วค่ะ” พูดจบเปลวเดินจากไป ทรงพลฉุนขาดตะโกนด่าไล่หลัง แต่เธอไม่สนใจทิ้งให้เขาสติแตกอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง...

ณ ริมทางเท้าไม่ห่างจากโรงพยาบาลที่วัฒนารักษาตัวนัก รันหงุดหงิดที่ต้องมาช่วยแม่ขายหมูปิ้ง พอต๋องขี่มอเตอร์ไซค์มารับ เธอแกล้งขอแม่ไปเข้าห้องน้ำแล้วโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ของเขาหนีเที่ยวทันที แม่พยายามร้องเรียกให้กลับมาก่อนแต่เธอไม่สนใจ จังหวะนั้นมีลูกค้ารายหนึ่งเข้ามาซื้อหมูปิ้ง สังเกตเห็นแม่ค้าท่าทางเงอะงะมองไม่ค่อยเห็นคิดจะโกงอย่างหน้าไม่อาย แทนที่จะจ่ายค่าหมูปิ้งที่ตัวเองซื้อในราคา 40 บาท เขากลับจ่ายธนบัตรใบละ 20 บาทให้ แต่บอกว่าเป็นใบละ 50 บาท

“อ๋อจ้ะ ตาไม่ค่อยดี เดี๋ยวนะจ๊ะ” แม่ของคีริน เชื่อใจ หยิบเหรียญสิบบาททอนให้ลูกค้ากำลังจะไป แต่ตะวันกับธงไทยผ่านมาเห็นพอดี ทนไม่ได้เข้าไปโวยวายว่าเห็นเขาให้ธนบัตรแค่ 20 บาทเท่านั้น ลูกค้าเห็นท่าทางเอาเรื่องของเธอกับธงไทยแล้วไม่กล้าหือ ควักธนบัตร 20 บาทอีกใบหนึ่งโยนให้แม่ค้า ธงไทยทวงเหรียญสิบบาทที่แม่ค้าทอนให้เมื่อครู่นี้คืนด้วย เขาโยนเหรียญลงพื้นแล้วอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนี ตะวันเก็บเหรียญสิบบาทคืนให้แม่ของคีรินซึ่งขอบใจทั้งคู่ยกใหญ่ เท่านั้นยังไม่พอ ตะวันเห็นฝนกำลังจะตก ชวนธงไทยช่วยแม่ค้าหมูปิ้งเก็บร้าน แถมอาสาพาไปส่งถึงบ้านอีกต่างหาก

ooooooo

เปลวหยิบเอกสารกับพาสปอร์ตที่แอบไปทำมาได้พักหนึ่งขึ้นมาดู พลางคุยโทรศัพท์กับพิม

“เอกสารพร้อมหมดแล้ว บัญชีก็มีเงินหมุนค่าใช้จ่ายในบ้านอยู่ ตัวเลขไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ ส่วนเงินสดที่จะติดตัวไปก็มีเท่าที่แกเห็นนั่นแหละ...ขอบใจมากนะพิมสำหรับทุกอย่าง วีซ่าจะผ่านหรือไม่ก็แล้วแต่บุญกรรม”

เปลววางสายแล้วเดินไปดูเงินที่ซ่อนเอาไว้ ใจหายวาบที่เงินหายไปหมด มั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือเด็กรับใช้ ตามไปคาดคั้นให้เอาเงินมาคืน เธอปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป ไม่ได้มีแต่เธอเท่านั้นที่เข้าห้องเปลวได้ ยังมีคุณท่านอีกคนหนึ่ง เปลวโกรธมาก

“ท่านเป็นแบบนั้น จะเข้าไปที่ห้องฉันได้ยังไง”

เด็กรับใช้ยืนกรานไม่ได้เป็นคนเอาเงินไปแล้วร้องไห้โฮ ทรงพลได้ยินเสียงเอะอะ เข็นรถเข็นเข้ามา

ถามว่ามีอะไรกัน เปลวโกหกว่าไม่มีอะไร แล้วไล่เด็กรับใช้ไปทำงานที่ค้างไว้ต่อไป ส่วนเธอเองก็ขยับจะไปเหมือนกัน ทรงพลไม่พอใจถามซ้ำว่ามีเรื่องอะไรกัน เปลวเดินหนีไม่ยอมตอบคำถาม

“อย่าทำแบบนี้กับฉันนะ เปลว” ทรงพลตะโกนไล่หลังอย่างหงุดหงิด...

ที่ไร่นวลตะวัน วันนี้อากาศร้อนจัด นวลทำงานในไร่ตั้งแต่เช้ายันบ่ายเริ่มไม่ไหว เป็นลมล้มฟุบไปตรงนั้น จ๊ะจ๋ารีบเข้าไปประคอง ขณะที่เจียมตะโกนเรียกให้ไผ่มาช่วยกันพาเธอกลับเรือนใหญ่...

ในเวลาเดียวกัน คีรินกำลังจะไปทำงาน แต่ไม่เห็นแม่กลับจากขายหมูปิ้ง ชักเป็นห่วง กำลังจะออกไปตาม เจอตะวันกับธงไทยกำลังช่วยกันเข็นรถขายของเข้ามากับแม่ของเธอเสียก่อน เธอขอบคุณทั้งคู่มาก แล้วอดสงสัยไม่ได้ว่ารันไปไหนทำไมไม่กลับมาด้วย แม่อึกอักก่อนจะแต่งเรื่องว่าท่านใช้ให้รันไปซื้อถุงพลาสติก คีรินมองถุงพลาสติกบนรถเข็นแล้วถอนใจ เดาได้ไม่ยากว่าแม่ให้ท้ายน้องอีกแล้ว แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ธงไทยเห็นฝนตั้งเค้าใกล้ตกเต็มที ก็ขอตัวกลับก่อน พูดไม่ทันขาดคำ ฝนเริ่มลงเม็ด

“รถจอดตั้งไกล ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว เข้าบ้านป้าก่อนเถอะค่ะ”...

นันทาเห็นลูกชายผุดลุกผุดนั่งชะเง้อคอยาวรอนังงูเห่ากลับมาก็อดหงุดหงิดไม่ได้ พาลด่าว่าลูกตัวเองว่าทำตัวเหมือนคนบ้าไม่มีผิด เขาไม่เข้าใจทำไมแม่ถึงไม่ให้โอกาสเธอบ้าง ในเมื่อเธอเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว

“จะให้ฉันพูดอีกกี่ครั้ง แกมันโง่ ดูมันไม่ออก ฮึ ป่านนี้มันพากันไปนอนกกกับผัวใหม่ของมันที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” นันทายิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์บูด เดินหนีขึ้นห้อง พิชิตได้แต่มองเจ้านายด้วยความสงสาร

“ถ้าเธอมาแล้วผมจะรีบไปบอกคุณวัฒน์ครับ คุณวัฒน์เข้าไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ”...

ตะวันเห็นแม่ของคีรินเอาใบตองมาเย็บเป็นกระทง กุลีกุจอเข้าไปช่วย คีรินเห็นเธอทำได้อย่างคล่องแคล่วอดชมไม่ได้ว่าเก่ง ตนทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเลยสักอย่าง ตะวันอาสาจะสอนให้ แล้วเรียกคีรินมานั่งใกล้ๆ

“เออแน่ะ แม่จะสอนทำไม่เคยสนใจ คุณตะวันชวนนิดเดียวก็ยอมทำ”

ทุกคนพากันหัวเราะขำ คีรินรู้สึกถูกชะตากับตะวันอย่างบอกไม่ถูก

ooooooo

หนูพุทธนั่งนวดขาให้นวลที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เจียมกับจ๊ะจ๋าถือถาดใส่อาหารเข้ามาเห็นเธอยังไม่ตื่นก็เริ่มเป็นกังวล ปกติแล้วนวลเป็นลมไม่นานก็ฟื้น ทำไมวันนี้นอนยาวนัก จ๊ะจ๋าแนะให้ไผ่พาเธอไปหาหมอดีกว่า นวลรู้สึกตัวตื่นพอดี เสียงแข็งใส่ว่าไม่ต้อง แค่เพลียเพราะแดดร้อนไม่จำเป็นต้องถึงมือหมอ

“ไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยค่ะคุณ ไปให้หมอดูหน่อยเถอะ”

นวลยืนกรานเสียงแข็งว่าไหว หรือเจียมหาว่าเธอแก่ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูดชวนหนูพุทธกินข้าวกัน

ดีกว่า อ้างหิวมาก ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยง เจียมกับจ๊ะจ๋าได้แต่มองหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเธอดี...

ฝนขาดเม็ดแล้ว ถึงเวลาตะวันต้องบอกลาคีรินกับแม่ แม้จะไม่อยากกลับไปที่บ้านวัฒนาเท่าใดนัก แม่ของคีรินชวนให้มาเที่ยวที่นี่อีก ตะวันรับปากจะมาเยี่ยมเธอบ่อยๆ เพราะมาแล้วสบายใจ แล้วเข้าไปกอดเธอก่อนจะเดินออกไปกับธงไทย แม่ของคีรินมองตามเสียงฝีเท้าของทั้งคู่ที่เดินจากไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข

“เขาไปกันหมดแล้ว หุบยิ้มได้แล้วแม่ แก้มปริแล้วเนี่ย” คีรินกระเซ้าจบ เข้าไปกอดแม่พลอยสุขใจไปด้วย

ขณะสองแม่ลูกกำลังจะเดินเข้าบ้าน ต๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดส่งรัน แม่จำเสียงรถของเขาได้ รู้ว่า คีรินรอเล่นงานน้องอยู่ รีบชวนให้รันพาตนเข้าบ้าน แล้วไล่คีรินไปทำงานได้แล้ว เธอได้แต่มองน้องสาวตาเขียว รันจ้องตอบไม่เกรงกลัว แล้วจูงแม่เข้าบ้าน...

ท้องฟ้าคำรามครืนๆ ฝนทำท่าจะตกอีกครั้ง ธงไทยขับรถบ่ายหน้ากลับบ้านวัฒนา แต่สายตาคอยเหลือบมองตะวันเป็นระยะๆ เห็นเธอถอนใจเฮือกๆสีหน้าเป็นกังวลรีบเบนรถจอดข้างทาง ชวนเธอกลับไร่ของเรา หากบ้านนั้นทำให้ไม่สบายใจแล้วจะกลับไปทำไม เธอยืนกรานต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าใครทำกับเธอแบบนี้

“ถ้าตะวันรู้ว่าใครทำตะวัน ตะวันจะต้องจบเรื่องนี้ให้ได้ ถึงวันนั้นก็จะไม่มีใครมาตามจองล้างจองผลาญตะวันอีก แล้วตะวันจะได้กลับไปอยู่ไร่ของเราอย่างมีความสุข ไม่ต้องหวาดระแวง ช่วยตะวันนะคะพี่ไทย” เหตุผลของเธอฟังขึ้น ธงไทยจึงไม่อาจปฏิเสธได้...

ฝ่ายนันทวัฒน์ต้องใช้เหล้าดับความกลัดกลุ้ม กลัวปรางค์ทองจะหายตัวไปเหมือนคราวที่แล้วอีก นันทาเห็นแล้วหงุดหงิด ต่อว่าลูกชายทำไมต้องทำตัวแบบนี้ ตัดใจลืมนังงูเห่านั่นได้แล้ว เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยเป็นอะไรกับเขาและที่สำคัญเธอกำลังจะแต่งงานใหม่ เขาไม่สนใจ ในเมื่อเธอเป็นของเขา เขาจะเอาเธอคืนมาให้ได้

“แล้วหนูยุริญล่ะ หนูยุริญผิดอะไร เราจะทอดทิ้งเธอแบบนั้นไม่ได้นะ” คำพูดของแม่ทำให้เขาชะงัก หลายวันมานี่เขาลืมมยุริญไปสนิท ความจริงเขาชอบเธอมาก เพียงแต่ตอนนี้ผู้หญิงที่เขารักที่สุดกลับมาแล้ว...

โชคไม่เข้าข้างคีรินเอาเสียเลย ร้านอาหารกึ่งผับที่เธอร้องเพลงอยู่ถูกคนร้ายบุกเข้ามาพังข้าวของเสียหาย เธอรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือใคร แต่ทำอะไรไม่ได้ ร้านต้องปิดซ่อมหนึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย นั่นเท่ากับเธอต้องขาดรายได้ไปหนึ่งเดือนเช่นกัน

ooooooo

ธงไทยกับตะวันวิ่งฝ่าสายฝนมาจนเกือบถึงตึกใหญ่ของบ้านวัฒนา เขากลับดึงแขนเธอไว้ แล้วพาไปที่ศาลากลางสวน ขอคำมั่นสัญญาจากเธอว่าเราสองคนจะแต่งงานกัน เขาอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเธอไป

“ค่ะ ตะวันสัญญา”

ชายหนุ่มดีใจมาก ดึงเธอมากอด ตะวันกอดเขาตอบเช่นกัน นันทวัฒน์มองลงมาจากตึกใหญ่ด้วยดวงตาแดงก่ำจากฤทธิ์เหล้า อยากจะโดดลงไปแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่เขาทำได้แค่กระดกเหล้าในมือเข้าปาก

ครู่ต่อมาธงไทยจูงมือตะวันมาส่งหน้าตึกใหญ่ กันเกรากับนันทาออกมาเห็นก็ด่าว่าต่างๆนานาเป็นทำนองว่าค่ำมืดดึกดื่นไปทำบัดสีอะไรกันมาถึงได้กลับมาในสภาพแบบนี้ ทั้งคู่รีบปล่อยมือออกจากกัน ยังไม่ทันจะพูดอะไร นันทนาในสภาพเมาปลิ้นเดินนัวเนียฝ่าสายฝนเข้ามากับตรีทศเสียก่อน

นันทากับกันเกราอับอายมากถึงกับพูดอะไรไม่ออก ตรีทศเห็นตะวันเนื้อตัวเปียกปอนเสื้อลู่แนบเนื้อมองตาเป็นมัน ตะวันไม่ชอบสายตาที่เขามอง รีบเดินเลี่ยงขึ้นตึก ส่วนธงไทยก็กลับเรือนพักคนงาน กันเกรารีบประคองนันทนาเข้าบ้าน ขณะที่ตรีทศเห็นท่าไม่ดี ขยับจะกลับ แต่นันทาเรียกไว้

“เดี๋ยวก่อน นายตรีทศ เธอชอบลูกสาวฉันจริงๆหรือ”

“ก็ ชอบสิครับถามได้”

นันทาเห็นสายตาที่เขามองตะวัน รู้ดีว่าเขาคิดอะไรอยู่และเธอจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นหากเขาอยากจะทำตามที่คิด ตรีทศฉีกยิ้มพอใจที่นันทาเปิดทางให้...

ขณะที่นันทาวางแผนจะยืมมือตรีทศกำจัดนังงูเห่าไปให้พ้นทาง คีรินเป็นกังวลกับการมองเห็นของแม่ที่อาการทรุดลงเรื่อยๆ หยิบเงินที่กันไว้สำหรับใช้ในการผ่าตัดตาแม่ซึ่งซ่อนเอาไว้ออกมานับแล้วใจหายเพราะยังขาดอีกจำนวนมาก แถมตอนนี้ร้านอาหารที่เธอทำงานก็ต้องปิดซ่อม จังหวะนั้นเฮียฮุยโทรศัพท์มาตื๊อให้คีรินรับงานที่เคยคุยกันเอาไว้

“นึกเสียว่าช่วยเฮียหน่อยนะคีริน งานนี้มันต้องใช้คนมีฝีมืออย่างลื้อจริงๆ ไม่งั้นเฮียไม่รบกวนลื้อหรอก เอางี้ เฮียให้เจ็ดแสน เอาไปเลยอีกเท่าตัว เฮียยอมขาดทุน แต่ไม่ยอมเสียชื่อ”

“เจ็ดแสนเลยหรือเฮีย...ฉันเลิกมาพักใหญ่แล้ว กลัวว่าจะทำงานไม่ได้ มือไม้มันแข็งหมดแล้ว ขอเวลาฉันตัดสินใจหน่อยนะ” คีรินวางสายพลางถอนใจหนักใจเนื่องจากไม่อยากก่อกรรมทำเข็ญอีก

ooooooo

ตะวันฝันร้ายว่ากำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับธงไทย แต่อยู่ๆเขาหายวับไปต่อหน้าต่อตา เธอพยายามกวาดตามองหาไปทั่วก็ไม่พบ เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ทำให้เธอตกใจตื่น ลืมตาโพรงขึ้นท่ามกลางความมืดภายในห้องพัก ถึงได้รู้ว่าตัวเองฝันไป พลิกตัวจะหลับต่อ แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาใครบางคนอยู่ในห้อง

แสงฟ้าแลบสว่างวาบเข้ามาทำให้เห็นว่าเป็นพิชิต ตะวันลุกพรวดจะร้องให้คนช่วย แต่เขาไวกว่าพุ่งมา ล็อกตัวพร้อมกับปิดปากเธอไว้ ดุเสียงเข้มจะร้องทำไม หรือว่าจำคนคุ้นเคยไม่ได้ แล้วค่อยๆคลายมือออก

“หมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ”

“อย่ามาทำเสแสร้งหน่อยเลย คุณกลับมาทำไม ต้องการอะไรอีก”

“ฉันไม่รู้ ฉันจำไม่ได้จริงๆ ที่คุณพูดหมายความว่าอย่างไร”

จากนั้นเหตุการณ์ตอนที่เธอมาเสนอตัวให้เขาถึงห้องพักก็พรั่งพรูออกจากปากพิชิต ตะวันถึงกับน้ำตาร่วงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองทำได้ขนาดนั้น พิชิตยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู

“เชื่อเถอะ คุณทำได้มากกว่านี้อีก จะว่าไปผมก็ชักจะคิดถึงคุณแล้วล่ะสิ จะไม่รื้อฟื้นความหลังกันหน่อยหรือ” ไม่พูดเปล่าพิชิตขยับตัวเข้าใกล้ ตะวันกลัวตัวสั่นขยับหนี เขากลับคิดว่าเธอแสดงละครได้แนบเนียน รุกไล่หนักข้อขึ้น พลันเสียงนันทวัฒน์เคาะประตูห้องพร้อมกับเสียงร้องเรียก “ปรางค์ทอง” ดังขึ้น ตะวันหันไปมองที่ประตู หันกลับมาอีกที พิชิตหายไปแล้ว แม้น้ำเสียงจะบ่งบอกว่านันทวัฒน์เมามาก แต่ความกลัวพิชิตมีมากกว่า ตะวันพุ่งเปิดประตูให้เขาเข้ามา นันทวัฒน์ไม่พูดพล่ามตรงเข้าปลุกปล้ำเธอด้วยความเมา

หญิงสาวอ้อนวอนขอร้องให้หยุด แต่เขาเมาเกินกว่าจะได้ยิน พิชิตเข้ามาใช้สันมือทุบก้านคอเขาสลบเหมือดแล้วหายตัวไปกับความมืด เธอดันร่างไร้สติของนันทวัฒน์พ้นตัว ก่อนจะวิ่งหนีออกจากห้อง ตรงไปทุบประตูห้องของกันเกรา ทันทีที่เจ้าของห้องเปิดรับ ตะวันโผกอดร้องไห้โฮ เธอสัมผัสได้ถึงความกลัวสุดขีดของอีกฝ่าย ถามด้วยความตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ตะวันยังไม่ทันจะพูดอะไร นันทาเดินโวยวายเข้ามาเสียก่อน

“เอะอะอะไรกัน ดึกป่านนี้แล้ว”

ตะวันพานันทากับกันเกราไปที่ห้องพักของเธอ ทั้งคู่เห็นนันทวัฒน์นอนหมดสติอยู่บนเตียงก็ตกใจ

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น เปลวเรียกหาเด็กรับใช้อยู่นาน สองนานไม่เห็นออกมาหา จึงเดินไปดูที่ห้องนอนคนรับใช้ พบเพียงห้องว่างเปล่า ยิ่งมั่นใจว่าเด็กรับใช้คงเอาเงินของเธอหนีไปแล้ว พลันมีเสียงดังขึ้นด้านหลัง

“คราวนี้ก็เหลือแค่ฉันกับเธอแล้วสินะเปลว ถ้าเธอจะใจร้ายใจดำจากฉันไปอีกคน ก็แล้วแต่เธอนะ” พูดจบ ทรงพลเข็นรถเข็นที่ตัวเองนั่งออกไปอย่างหงอยๆ เปลวได้แต่มองตามหนักใจ...

ตะวันหายตัวไป ธงไทยตามหาจนทั่วก็ไม่พบ สอบถามจากนันทวัฒน์ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ทำไมตะวันถึงหายตัวไป เขาได้แต่อึกอัก ธงไทยไม่พอใจมาก

“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ขอตำหนิคุณนะคุณนันทวัฒน์ คุณต้องการให้เธอกลับมา แต่ทำไมคุณไม่ดูแลปกป้องเธอเลย ถ้าผมเจอตะวัน ผมจะพาเธอกลับบ้าน เราจะแต่งงานกันตามที่เธอสัญญา” ว่าแล้วธงไทยผละจากไป นันทวัฒน์เจ็บปวดใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป ผลุนผลันออกจากห้องไม่สนใจเสียงเรียกของแม่

“ตาวัฒน์นั่นแกจะไปไหน แกต้องไปเฝ้าคุณพ่อ นะ”...

ระหว่างขับรถตระเวนหาตะวัน ธงไทยโทร.ถามไผ่ว่าเธอกลับไปที่ไร่หรือเปล่าได้ความว่าไม่ได้กลับ จ๊ะจ๋าพยายามพยักพเยิดให้ไผ่บอกเรื่องอาการป่วยของนวล แต่เขาไม่กล้าพูด ได้แต่บอกว่านวลคิดถึงให้ธงไทยกับตะวันรีบกลับมาเร็วๆ แล้ววางสาย จ๊ะจ๋าตีแขนไผ่ไม่ยั้ง ฐานไม่ยอมบอกธงไทยว่านวลไม่สบาย

ไผ่แก้ตัวว่าขืนบอกไปแบบนั้น นวลได้เล่นงานเขาตายแน่ แนะให้จ๊ะจ๋าโทร.ไปบอกธงไทยเอาเอง เธอส่ายหน้าดิก ไม่กล้าพูดเรื่องนี้เช่นกัน...

ฝ่ายตะวันหนีไปอยู่บ้านคีรินซึ่งสองแม่ลูกให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี และให้ถือว่านี่เป็นบ้านของเธอเอง จังหวะนั้นรันเดินปึงปังลงมาจากชั้นบนในชุดนักศึกษามองตะวันด้วยความประหลาดเพราะร้อยวันพันปี บ้านนี้ไม่เคยมีแขกมาเยี่ยมเยียน แม่ของคีรินบอกให้เธอไหว้ตะวัน รันไม่สนใจ ได้แต่แบมือของค่าเทอมจากแม่ คีรินโวยวาย ครบเทอมแล้วหรือทำไมถึงเร็วนัก ตกลงแต่ละปีการศึกษามีกี่เทอมกันแน่

“พูดกับแม่ไม่ได้พูดกับพี่ริน”

แม่เห็นคีรินทำท่าจะเอาเรื่องน้อง รีบตัดบท “เอาเถอะๆ รินมีไหมลูก แม่ยืมก่อนนะ”

คีรินให้รันมาเอาคืนนี้ เธอไม่พอใจที่พี่เตะถ่วง เดินกระแทกเท้าปังๆออกไป คีรินอายตะวันที่น้องสาวไม่มีมารยาท รีบขอโทษแทนเธอด้วย แม่ของคีรินรู้ว่าตะวันมีเรื่องไม่สบายใจถึงได้หนีมาที่นี่ จึงเตือนสติว่า

“ป้าไม่รู้หรอกว่าหนูตะวันมีปัญหาอะไร แต่ป้าอยากให้ลองมองดูบ้านป้า เราจนเงินทองก็ไม่พอใช้ ตาก็กำลังจะบอด ถ้าหนูตะวันมีทุกข์ก็ให้ดูป้า...ป้าน่ะทุกข์จนร้องไห้ไม่ออกแล้ว” พูดจบแม่ของคีรินหัวเราะกลบเกลื่อน ตะวันโผกอดเธอไว้

“คุณป้าเก่งที่สุดเลยค่ะ”

ทางด้านนันทวัฒน์ไม่รู้จะหันไปหาใคร ตัดสินใจแวะไปปรับทุกข์กับมยุริญ นอกจากเธอจะไม่โกรธที่เขาหายหน้าไปตั้งแต่ปรางค์ทองในคราบตะวันกลับมา เธอยังคอยพูดปลอบใจและเป็นกำลังใจให้เขาอีกด้วย ครู่ต่อมา นันทวัฒน์พามยุริญไปเยี่ยมวัฒนาที่ห้องไอซียู พอนันทาเห็นหน้าเธอเท่านั้น น้ำตาร่วงโผกอดไว้แน่นเหมือนจะยึดเธอไว้เป็นที่พึ่ง นันทวัฒน์เห็นแล้วอดสะเทือนใจไม่ได้ นันทาขอบใจมยุริญมากที่มาเยี่ยมวัฒนา

“ขอโทษคุณป้าด้วยนะคะ ยุริญเพิ่งจะทราบ”

“ถ้าคุณลุงรู้ว่าหนูมา คงจะดีใจมาก” นันทาว่าแล้วปรายตามองลูกชาย “...ฉลาดเป็นเหมือนกันนี่ นึกว่าจะโงหัวไม่ขึ้นเสียแล้ว”...

ธงไทยไม่รู้จะไปตามหาตะวันที่ไหน เพราะเท่าที่จำได้เธอไม่รู้จักใครในกรุงเทพฯสักคน แล้วนึกถึงเปลวขึ้นมาได้ จึงแวะไปถามว่าตะวันมาที่นี่หรือเปล่า กลับไม่พบแม้แต่เงา...

คีรินมองข้อความในมือถือที่เฮียฮุยส่งมาอ้อนวอนขอร้องให้รับงาน พร้อมกับโฆษณาชวนเชื่อว่างานนี้ไม่ยากแค่ผู้หญิงคนเดียว เธอมองอย่างชั่งใจจะเปิดอีเมลดูข้อมูลของเป้าหมายที่เขาส่งมาให้ดีหรือไม่ สุดท้ายตัดสินใจเปิดดู มีรูปผู้หญิงคนหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้น ภาพยังไม่ชัดเนื่องจากต้องรอโหลดภาพอยู่ จังหวะนั้นตะวันเข้ามาในห้อง เธอจึงเอามือถือวางไว้ ตะวันแค่จะมาขอโทษที่มารบกวนทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกัน

“ไม่เป็นไรหรอกคุณตะวัน มีคุณตะวันมาอยู่ด้วย แม่ดูมีความสุขมาก”

ตะวันขอให้คีรินเรียกแค่ชื่อเฉยๆไม่ต้องมีคำว่าคุณนำหน้า ส่วนเธอก็จะเรียกคีรินว่าพี่ริน ภาพในมือถือของคีรินค่อยๆชัดขึ้น เธอกลัวตะวันจะเห็นรีบปิดเครื่องทั้งๆที่ยังไม่ได้ทันได้ดูรูปเป้าหมาย

ooooooo

บนถนนไม่ห่างจากบ้านวัฒนานัก ตรีทศรำคาญนันทนาที่เมาปลิ้นเอาแต่ตะโกนร้องเพลงฟังไม่ได้ศัพท์ แถมพยายามจะเข้ามานัวเนียด้วยจนรถเสียหลักเกือบจะชนรถอีกคันหนึ่งที่แล่นสวนมา เขาโมโหมาก

“ยัยบ้าเอ๊ย เมาเหมือนหมา ดูสิรถเกือบจะชนแล้ว”

นันทนากลับหัวเราะชอบใจ แล้วทำท่าจะอาเจียน ตรีทศทนไม่ไหวรีบรถจอดข้างทางแล้วเอื้อมไปเปิดประตูด้านที่เธอนั่งแล้วดันตัวออกจากรถลงไปนั่งแปะกับพื้น เธอยังหัวเราะไม่หยุดราวกับเป็นเรื่องตลก

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว จะไปไหนก็ไปเลยไป ยัยบ้า กลับบ้านเองแล้วกัน” ตรีทศขับรถจากไปอย่างฉุนเฉียว

ด้วยความเมา นันทนาไม่ได้ตระหนักถึงอันตราย ถนนตรงนั้นทั้งมืดทั้งเปลี่ยว ยังคงยืนหัวเราะไปพลางเต้นแร้งเต้นกาไปด้วย ผู้ชายสองคนเดินสวนมาชี้ชวนให้ดูชุดรัดรูปยั่วยวนของเธอด้วยสายตาหื่นกระหาย...

ธงไทยกำลังขับรถบ่ายหน้ากลับบ้านวัฒนา หวังว่าตะวันจะกลับไปรอที่นั่น ขณะจะเลี้ยวรถเข้าซอยบ้าน เห็นนันทนาเดินเมาแอ่นโดยมีชายแปลกหน้าสองคนพยายามจะหิ้วเธอไปด้วย เขามองปราดเดียวรู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่เรื่องดี รีบจอดรถลงไปช่วย ชายแปลกหน้าไม่ยอมปล่อยนันทนาเป็นอิสระ ชักมีดขึ้นมาจะแทง ธงไทยฝีมือการต่อสู้เหนือกว่าเล่นงานทั้งคู่กระเจิง แล้วพานันทนากลับบ้านอย่างปลอดภัย

แทนที่จะได้รับคำขอบใจจากนันทาผู้เป็นแม่ที่ช่วยลูกสาวของเธอเอาไว้ กลับหาว่าธงไทยคิดจะทำมิดี มิร้ายกับนันทนาเพื่อแก้แค้นเธอ กว่าเขาจะอธิบายให้เธอเข้าใจ เล่นเอาเหนื่อยใจ...

ฝ่ายตะวันเก็บเอาเรื่องที่พิชิตเล่าถึงความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเธอกับเขาไปฝันร้ายว่าธงไทยปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วยแถมด่าเธอว่าสกปรกที่มีผู้ชายมาข้องแวะมากหน้าหลายตา ตะวันทนฟังไม่ได้ต้องเอามือปิดหู

“หยุด...ไม่จริง...ไม่จริง”

คีรินกำลังจะเปิดดูรูปเป้าหมายในมือถือที่เฮียฮุยส่งมาให้ เห็นตะวันนอนละเมออยู่ที่ฟูกข้างเตียงตัวเอง รีบวางมือถือแล้วลุกไปนั่งข้างๆเขย่าตัวปลุกให้ตื่นจากฝันร้าย เธอลืมตาโพลง ดึงแขนคีรินทั้งสองข้างไว้ ถีบตัวลอยข้ามหัวล้มกลิ้งไปกับพื้นห้อง แล้วตามเข้าไปจะซ้ำ คีรินคว้าคอเสื้อเธอไว้เสียก่อนด้วยสัญชาตญาณมือสังหาร ต่างฝ่ายต่างจ้องกันเขม็ง ทันใดนั้นไฟในห้องเปิดพรึบ แม่ของคีรินส่งเสียงเอะอะ

“อะไรกัน มีอะไรหรือเปล่ารินเอ๊ย โจรขึ้นบ้านหรือลูก”

เสียงของท่านปลุกให้ตะวันได้สติ เห็นตัวเองดึงคอเสื้อคีรินอยู่ก็ตกใจรีบปล่อยมือ คีรินเองก็ปล่อยมือจากคอเสื้อเธอเช่นกัน ประหลาดใจกับท่าทีแปลกๆของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร บอกแค่ว่าเธอคงจะฝันร้าย

“แย่จริง ละเมออีกแล้วหรือเนี่ย ตะวันขอโทษนะคะทำให้คุณป้าตื่น”

รันเดินงัวเงียเข้ามาโวยว่าเสียงดังอะไรกัน ไม่รู้จักเกรงใจคนจะหลับจะนอน แล้วจัดแจงทวงเงินค่าเทอม

จากคีริน อ้างพรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า คีรินเดินไปหยิบเงินจากที่ซ่อน โดยไม่รู้ว่ารันมองตามตาวาว แล้วยื่นให้น้องสาวด้วยความเสียดาย เพราะรู้เท่าทันว่าเธอไม่ได้เอาเงินจำนวนนี้ไปจ่ายค่าเทอมอย่างที่กล่าวอ้าง

อีกมุมหนึ่งหน้าบ้าน พิชิตยืนพิงมอเตอร์ไซค์มองขึ้นไปบนห้องของคีริน รู้ว่าตะวันอยู่ที่นั่นแต่กลับนิ่งเฉย

ooooooo

ตะวันตื่นแต่เช้าเห็นแม่ของคีรินกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว กุลีกุจอเข้ามาช่วย คุยว่าตอนอยู่ที่ไร่ช่วย

แม่นวลทำครัวเป็นประจำ แม่ของคีรินชมไม่หยุดปากว่านับเป็นโชคดีของเธอที่มีแม่นวลคอยสั่งสอนให้ได้ดี

“ป้ามันคงทำเวรกรรมมามากถึงได้เกิดมาลำบากยากจนแบบนี้ แถมตาก็มองไม่ค่อยเห็น หนูยังเด็กยังมีโอกาส หมั่นประกอบกรรมดีไว้นะ อย่าไปก่อเวรก่อกรรมกับใคร จำคำป้าไว้นะ”

คีรินยืนพิงประตูครัวแอบฟังแม่คุยกับตะวันไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก ระหว่างนั้นรันย่องลงมาจากชั้นบน ไม่ทันเห็นพี่สาวยืนอยู่ คีรินเห็นท่าทางมีพิรุธของน้องสาว ร้องทักว่าทำอะไรดูพิลึกชอบกล เธอถึงกับสะดุ้งโหยง รีบผลุนผลันออกจากบ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ คีรินได้แต่มองตามสงสัย...

ต๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบ้านคีริน เห็นพิชิตยืนพิงมอเตอร์ไซค์คันเท่อยู่ ชมว่ารถของเขาสวยมาก อีกฝ่ายไม่อยากเสวนาด้วย คว้าหมวกกันน็อกมาสวมแล้วขี่มอเตอร์ไซค์จากไป รันออกมาเห็นหลังเขาไวๆ ถามต๋องว่านั่นใคร

“ไม่รู้สิ หยิ่งฉิบเป๋ง พูดด้วยก็ไม่พูด...ได้เงินมาหรือเปล่า”

รันพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของต๋องที่ขับออกไปอย่างรวดเร็ว...

ธงไทยกลุ้มใจมากไม่รู้จะไปตามหาตะวันที่ไหน จึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับวิวซึ่งแนะให้ไปแจ้งความ เพราะเธออาจโดนคนบ้านนั้นทำร้ายเอาอีกก็ได้ เขายืนยันว่าพี่อึ่งคนรับใช้ในบ้านวัฒนา เห็นเธอผลุนผลันออกจากบ้านไปเองตั้งแต่เช้ามืด เขาจนปัญญา ตามหาทุกที่ที่คิดว่าเธอจะไปก็ไม่พบ

“ต้องมีที่ที่ไทยยังนึกไม่ถึง แต่วิวเชื่อว่า ความรักจะพาไทยไปหาตะวันจนเจอ” ปากพูดไป แต่ในใจวิวอดเจ็บแปลบไม่ได้...

ในที่สุดธงไทยก็นึกถึงแม่ของคีรินขึ้นมาได้ จึงลองแวะมาดูที่บ้าน เจอตะวันกำลังช่วยคีรินตากผ้าอยู่หน้าบ้าน คีรินรู้งาน รีบเดินเลี่ยงออกมา ปล่อยให้คู่รักได้อยู่กันตามลำพัง ธงไทยอยากรู้เหตุผลทำไมตะวันถึงหนีมา เธอเอาแต่ส่ายหน้าไม่กล้าเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขาจับมือเธอมากุมไว้ แต่เธอชักมือกลับ

“เพราะพี่เหรอตะวัน พี่ทำอะไรผิด” ธงไทยถึงกับหน้าเสีย

“พี่ไทยไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าจะหาคนผิด คงมีแต่ตะวันเท่านั้นค่ะ” พูดได้แค่นั้น ตะวันรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกคอหอย รีบเปลี่ยนเรื่องพูด “ว่าแต่พี่ไทยรู้ได้ยังไงคะว่าตะวันอยู่ที่นี่”

“ความรักไงตะวัน ความรักจะช่วยให้เราหาคนที่เรารักจนเจอ” ธงไทยว่าแล้วดึงตะวันมากอด เธอจะขยับตัวหนีเพราะคิดว่าตัวเองสกปรกเกินไปสำหรับเขาแต่ธงไทยกอดไว้แน่น พิชิตแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่งไม่ห่างกันนักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ooooooo

ที่ห้องพักฟื้นผู้ป่วยของวัฒนา นันทวัฒน์เห็นมยุริญมาอยู่เฝ้าพ่อเป็นเพื่อนแม่ของเขา จัดแจงจะขอตัวกลับก่อน นันทารู้ทันหันไปทำตาขวางใส่

“อย่าแม้แต่จะคิดนะตาวัฒน์ ถ้าแกก้าวออกไปจากห้องนี้ เราขาดกัน”

นันทวัฒน์อึดอัดใจมาก อยากไปตามหาตะวันใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้าขัดใจแม่...

หลังจากขอบคุณคีรินกับแม่ที่ช่วยดูแลตะวันอย่างดี ธงไทยชวนหญิงคนรักกลับ แม่ชวนคีรินเดินมาส่งหน้าบ้าน อวยพรให้ทั้งคู่โชคดีแล้วหันไปถามลูกสาวว่าตะวันกับธงไทยหน้าตาเป็นอย่างไร คีรินคุยให้ฟังว่าทั้งสวยทั้งหล่อเหมาะสมกันมาก แม่เสียดายที่ตาไม่ดี ไม่อย่างนั้นคงเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไร

“ไม่ใช่เวรใช่กรรมหรอก แม่เป็นจอประสาทตาเสื่อม มันพอจะรักษาได้อยู่ รอฉันเก็บเงินหน่อยนะ”

“เรื่องเวรกรรมมันมีจริงนะ ทำบาปทำกรรมก็ต้องเป็นแบบนี้แหละโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บาปนัก” คำพูดของแม่ทำให้คีรินนึกถึงเหยื่อสังหารมากมายที่ต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอง

“เอาชีวิตเขา สักวันเราก็ต้องโดนเอาชีวิตคืนบ้าง...จำไว้นะริน สิ่งสุดท้ายในชีวิตที่แม่อยากเห็น คือเห็นรันมันเรียนจบ แม่สวดมนต์ทุกวันให้กลับมามองเห็น แม่อยากเห็นรันมันรับปริญญา”...

มยุริญไม่ได้มาเยี่ยมวัฒนาเปล่าๆ แต่ยังช่วยบีบนวดมือนวดขาอย่างเอาใจใส่ คนป่วยค่อยๆลืมตาขึ้น เห็นเธอนั่งเฝ้าอยู่ก็ยิ้มให้ ทั้งนันทากับนันทวัฒน์ดีใจมากที่เขาฟื้น มยุริญรู้งานขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน นันทาเข้าไปลูบเนื้อลูบตัววัฒนาด้วยน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะหันไปเล่นงานลูกชาย

“เห็นหรือยัง ผู้หญิงที่แกหลงหัวปักหัวปําทำกับพ่อแกปางตาย กับอีกคนที่แกไม่ได้เลือก แม่คงไม่ต้องพูดอะไรมากนะตาวัฒน์” นันทารีบเปลี่ยนเรื่องพูด เมื่อเห็นมยุริญออกจากห้องน้ำ “เดี๋ยวให้ตาวัฒน์ไปส่งนะจ๊ะหนูยุริญ ตาวัฒน์ต้องไปเอาของที่บ้านหนูให้ป้าด้วย”

นันทวัฒน์เห็นสายตากร้าวของแม่แล้วไม่กล้าหือกล้าอือ จำต้องทำตามที่ท่านต้องการ...ตลอดทางขับรถมาส่งมยุริญที่บ้าน นันทวัฒน์เอา
แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาจนอีกฝ่ายอึดอัดใจ จังหวะนั้นมี เสียงมือถือของเขาดังขึ้น นันทวัฒน์จอดรถข้างทางแล้วกดรับสาย ทนงศักดิ์โทร.มาแจ้งข่าวว่า

“เธอกลับไร่ไปกับคุณธงไทยแล้วครับ เอ่อผมโทร.ถามคุณธงไทยครับ”

“ก็เท่านั้นเอง ขอบคุณมากครับคุณทนงศักดิ์” นันทวัฒน์วางสายสีหน้าเครียด

“ทราบแล้วหรือคะว่าคุณตะวันไปไหน” มยุริญเห็นเขาพยักหน้าแทนคำตอบ ถามอีกว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อไป เขาอยากจะไปตามเธอกลับมาแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร มยุริญอาสาจะช่วยให้เขาสมหวัง นัดแนะให้วันพรุ่งนี้มารับเธอด้วย ปล่อยให้เรื่องนันทาเป็นหน้าที่เธอเองไม่ต้องเป็นห่วง นันทวัฒน์นึกขอบคุณในความมีน้ำใจของมยุริญ และนึกเสียใจไปพร้อมๆกันที่ไม่อาจตอบสนองความรักและความดีที่เธอมีต่อเขาได้

ooooooo

ธงไทยพาตะวันกลับไร่นวลตะวันในคืนนี้เลย ทุกคนที่ไร่ดีใจมากที่ทั้งคู่กลับมา นวลเห็นสีหน้าอมทุกข์ของตะวันแล้ว อดถามไม่ได้ว่าเป็นอะไร ดูไม่มีความสุข เธอได้แต่ส่ายหน้า

“กลับบ้านกันได้สักทีนะ อย่าไปไหนอีกเลยนะลูกนะ ตะวัน ธงไทย แม่จะจัดงานแต่งให้เร็วที่สุด”

“ไม่ได้ค่ะ” คำปฏิเสธของตะวันทำให้ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะธงไทยพานคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ หรือไม่ก็เป็นเพราะเธอไม่มีเขาในใจอีกแล้ว เธอโทษว่าเป็นเพราะเธอเองต่างหากที่เลวจนไม่คู่ควรกับเขา

“ตะวันไปรู้อะไรมา บอกพี่สิ ใครบอกอะไรตะวัน”

หญิงสาวน้ำตาคลอไม่กล้าเล่าเรื่องที่พิชิตบอกว่าเคยมีอะไรกับตัวเอง รวมทั้งเรื่องที่ถูกนันทวัฒน์ลวนลาม ได้แต่ส่ายหน้า จ๊ะจ๋าขอร้องให้เธอลืมอดีตไปให้หมด ตอนนี้เธอเป็นคนของไร่นวลตะวัน เป็นขวัญใจของทุกคนที่นี่และเป็นดวงใจของธงไทย ทุกคนช่วยกันกล่อมจนตะวันคล้อยตามและยิ้มออกมาได้ในที่สุด นวลอ้าแขนรอรับตะวันโผกอดท่านทันที ธงไทยเข้ามาร่วมวงกอดด้วยอีกคน ทุกคนดีใจที่ทุกอย่างลงเอยด้วยดี...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ต๋องเอาเงินที่รันขโมยมาจากคีรินไปสั่งซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจากตรีทศ และนัดส่งของกันตรงถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง โดยนันทนาทำหน้าที่เป็นคนส่งของให้รันถูกใจกระเป๋าที่เพิ่งได้มามากกอดถุงไว้แน่น กระทั่งต๋องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดส่งหน้าบ้าน คีรินได้ยินเสียงรถเปิดประตูออกมาดู ต๋องไม่อยากโดนเล่นงานรีบขี่รถจากไป คีรินเห็นถุงช็อปปิ้งในมือน้องสาวก็เตือนว่าช่วงนี้ใช้เงินระวังๆหน่อย แม่ต้องรักษาตา รันไม่สนใจสะบัดหน้าเดินเข้าบ้าน เธอได้แต่ส่ายหน้าเอือมระอา...

ดึกแล้วแต่ตะวันยังนอนไม่หลับ ครุ่นคิดถึงอดีตอันเลวร้ายของตัวเองแล้วรู้สึกผิดต่อธงไทย ลุกขึ้นมานั่งอยู่ในความมืดอย่างเงียบๆ คำพูดของแม่ของคีรินที่ว่า ถ้ามีผู้ชายดีๆผ่านเข้ามาในชีวิตก็ให้รักษาไว้ยังดังก้องอยู่ในหู เธอสับสนมากไม่รู้ว่าจะเชื่อคำพูดนี้ดี หรือจะปล่อยให้ธงไทยได้ไปเจอคนดีๆที่ไม่มีรอยบาปอย่างเธอ

สุดท้ายตะวันตัดสินใจลุกออกจากห้อง ทันทีที่ประตูห้องปิด นวลพลิกตัวมามอง ถอนใจ หนักใจ ก่อนจะพลิกกลับไปนอนลืมตาโพลงอย่างเงียบเชียบ

ครู่ต่อมาตะวันเข้าไปหาธงไทยที่ห้องนอนของเขาหวังจะมอบกายมอบใจให้ ทีแรกเขาเองก็เกือบจะอดใจไม่ไหว แต่แล้วมโนธรรมที่นวลเฝ้าสั่งสอนมาตั้งแต่เล็ก ฉุดรั้งจิตใจเขาเอาไว้จึงปฏิเสธเธออย่างนุ่มนวล

“พี่อยากให้ตะวันจำไว้อย่างเดียวว่าพี่ไม่เคยไม่รักและไม่ต้องการตะวัน พี่รอแทบไม่ไหวที่จะให้ถึงวันแต่งงานของเรา ตะวันไม่ต้องคิดมากนะครับ ขอบคุณที่ทำเพื่อพี่” คำพูดของเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย เธอกลับมาที่ห้องด้วยความเสียใจ โดยไม่ล่วงรู้ว่านวลยังไม่หลับ นอนลืมตาโพลงรอเธอกลับมา

ธงไทยเองก็หลับไม่ลงเช่นกัน ไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น

ooooooo

ไร่นวลตะวันมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียนแต่เช้า แม้นวลกับธงไทยจะไม่สบายใจนักกับการมาครั้งนี้ของนันทวัฒน์กับมยุริญ แต่ก็จำเป็นต้องให้ตะวันไปพบและพูดจากับนันทวัฒน์ตามลำพังที่ระเบียงบ้าน

“พี่เข้าใจและคงจะไม่เซ้าซี้ ถ้าปรางค์จะไม่กลับไปกับพี่ พี่เพียงแต่อยากจะขอโทษในสิ่งที่พี่ทำลงไป พี่รู้ว่ามันแย่มาก แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะพี่รักปรางค์มาก พี่ไม่เหลือโอกาสแล้วหรือปรางค์ ให้โอกาสพี่อีกครั้งไม่ได้เหรอ” นันทวัฒน์เห็นเธอนิ่งไม่ตอบ พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเดินคอตกลงไปหามยุริญที่นั่งรออยู่ด้านล่าง

พอมยุริญเห็นเขาเดินหน้าเศร้าเข้ามาก็รู้ทันทีว่ากล่อมตะวันไม่สำเร็จ เข้าไปจับแขนเขาเบาๆอย่างปลอบใจ ตะวันแอบมองลงมาจากระเบียงบ้าน ไม่ค่อยชอบใจนัก

ที่เห็นอีกฝ่ายแสดงความห่วงใยนันทวัฒน์ และที่สำคัญเมื่อคืนนี้เธอเพิ่งถูกธงไทยปฏิเสธ ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง

มยุริญปล่อยมือจากนันทวัฒน์แล้วถอยออกห่าง แต่ไม่ทันระวังสะดุดรากไม้จะล้ม เขาคว้าเธอไว้ในอ้อมกอดได้ทัน ตะวันมองภาพตรงหน้าเขม็ง พลันแววตาของเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวรีบลงไปบอกนันทวัฒน์ว่าจะให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูว่าเมื่อครู่นี้เธอพูดอะไร

“ฉันจะกลับไปกับคุณ”

ธงไทยมาทันได้ยินพอดีตัดพ้อว่าจะกลับไปทำไม ตะวันหันมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าจนเขาใจแป้ว

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 9


ไอ้ขุมเล่าต่อหน้าเครื่องอัดเสียงว่า ตนลากร่างของวิมลรัตน์เข้าไปในห้องนอนเธอ โดยมีธาดายืนดูอยู่

“เฮียทำอะไรเนี่ย...เฮียฆ่าเมียตัวเองเหรอ!” ธาดาบอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจ “ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเฮียก็เป็นฆาตกร”

ธาดาบอกว่าตนถึงเรียกมันมาช่วย ไอ้ขุมส่ายหน้าว่าเรื่องแบบนี้ใครจะช่วยได้

“เท่าไหร่?” ธาดาถามอย่างรู้ทัน ไอ้ขุมบอกว่าไม่คุ้มหรอก ธาดาถามอีกว่าเท่าไหร่! ไอ้ขุมก็ยังเล่นตัว จนธาดาบอกว่า “มึงไม่เอากูเรียกคนอื่นก็ได้”

ไอ้ขุมจึงบอกว่า “ล้านนึง” ธาดาบอกว่าตนมีไม่ถึง มันยอมลดให้ “งั้นแปดแสนขาดตัว!”

“ให้เราทำอะไรแลกกับเงินแปดแสนบาท” ลูกน้องเสี่ยอ๋าถาม

“เขาให้ผมช่วยจัดสถานที่แล้วก็อยู่รอรับโทรศัพท์...”

ไอ้ขุมเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนที่ดวงดาวได้อัดเสียงไว้ จากนั้นมันบอกว่า

“สุดท้ายเขาสั่งให้ผมหายหัวไปให้สุดขอบโลก ส่วนเรื่องศพและคดีความเขาจะจัดการเอง”

คิมหันต์ฟังมันเล่าจบ เขาด่าธาดาอย่างสุดแค้น!

ooooooo

เมื่อกลับมาที่สำนักงานกฎหมายบูรพา ชุมสายถามคิมหันต์ขณะนั่งอยู่ในรถด้วยกันว่า คิดจะทำอย่างไรกับเทปสารภาพของไอ้ขุม

“กระบวนการทางศาลคงลำบากใช่ไหม” คิมหันต์ถามไม่มองหน้า ชุมสายบอกว่ามันไม่มีร่องรอยการถูกซ้อมให้เห็นเลย “งั้นฉันอาจจะเก็บไว้ดูเล่นสักพักก่อน”

“ไอ้คิม...ไม่ว่าแกจะทำอะไร แกต้องบอกให้ฉันรู้ก่อนนะเพื่อน...ขอร้องล่ะ”

“เออ...” คิมหันต์ตอบไปอย่างนั้นเอง พอชุมสายลงจากรถ เขาจึงขับรถออกไป

ที่มุมลับตาไม่ไกลนัก มีรถติดฟิล์มหนาคันหนึ่ง ค่อยๆเคลื่อนออกมาตามรถของคิมหันต์ไป รถคันนั้นตามรถคิมหันต์ไปจนถึงทางเปลี่ยว ก็ขับตัดหน้ารถคิมหันต์ในระยะกระชั้นชิด จนคิมหันต์หักหลบเสียหลักลงข้างทาง

ชายฉกรรจ์สี่คนลงจากรถคันนั้น ตรงเข้าไปที่รถคิมหันต์ เปิดประตูรถอย่างเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน

“พวกแกจะทำอะไรฉัน”

“มากับผมเสียดีๆแล้วคุณจะไม่เจ็บตัว”

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ลากคิมหันต์ไปยัดใส่รถพวกมันแล้วขับออกไปอย่างเร็ว คิมหันต์อยู่ในความมึนงงหวั่นวิตก

คิมหันต์ถูกพาไปที่โกดังร้างแห่งหนึ่ง ที่นั่นอรรถรออยู่แล้ว ทันทีที่คิมหันต์ถูกนำตัวเข้ามา อรรถพูดเสียงก้องว่า

“ฉันไม่ได้สนุกกับการไล่จับนายอย่างนี้หรอกนะ ทั้งยุ่งยากทั้งเสียเวลา ไอ้โกดังเก่าไกลหูไกลตาคนแบบนี้มันก็หาไม่ได้ง่ายๆ จะใช้ที่เดิมๆก็เบื่อ แถมยังอาจถูก

จับทางได้อีก และที่สำคัญ ฉันไม่ชอบเปิดตัวในภารกิจ

แบบนี้สักเท่าไหร่ แต่กับนายมันจำเป็น เพราะฉันต้องการได้ยินคำพูดจากปากของนายชัดๆว่านายจะเอายังไงกับลูกสาวฉัน”

คิมหันต์นิ่งไม่ตอบ จนอรรถถามว่าไม่ได้เตรียมคำตอบมาหรือ เขาก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น...

ooooooo

คิมหันต์หายใจลึกๆ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญปัญหา แต่ก็ยังนิ่งเงียบอยู่ อรรถลุกเดินไปเผชิญหน้าถาม

“นายเป็นลูกผู้ชายรึเปล่าทำไมความรับผิดชอบต่ำอย่างนี้...พอมีปัญหากับลูกสาวฉัน นายก็หนีไปเฉยๆ ปล่อยให้พักตรานั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่คนเดียว ถ้าเขากระโดดตึกตายนายจะรับผิดชอบได้ไหม ไอ้ชุ่ยเห็นแก่ตัว

...แล้วนี่คิดจะนั่งนิ่งเป็นใบ้ รอให้ฉันเห็นใจนายงั้นเหรอ ไอ้ลูกชาย!”

“ผมขอเลิกกับพักตราครับ”

“ว่าไงนะ!!”

“ผมขอถอนหมั้นลูกสาวท่าน”

อรรถจ้องหน้าเขม็ง สั่งให้พูดใหม่ คิมหันต์ยังพูดคำเดิม เขาสั่งให้พูดใหม่อีก คิมหันต์รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่เขม็งเกลียว เขารวบรวมกำลังพูดคำเดิม แต่พูดได้แค่ “ผมต้องการ...” เท่านั้นก็ถูกอรรถตบปากหน้าหันทันที แต่คิมหันต์ก็ยังกัดฟันพูดจนจบว่า “ผมต้องการเลิกกับพักตรา ผมไม่ได้รักเธอ”

อรรถไม่พูดไม่ตบแต่พยักหน้าทีเดียว หมู่ชายฉกรรจ์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ก็กรูกันเข้ากลุ้มรุมคิมหันต์เลือดกบปาก ล้มกลิ้งอยู่กับพื้น อรรถที่ถอยออกไปดูอยู่ ถามเหี้ยมว่า

“ยังต้องการเลิกกับลูกสาวฉันอีกไหม!”

“ถึงท่านจะซ้อมผมจนตาย ผมก็ยืนยันเหมือนเดิม...”

คิมหันต์ยืนยันคำเดิมแม้จะบอบช้ำเจียนตาย อรรถกระชากผมเขาให้เงยขึ้น ตะคอกใส่หน้า...

“ลูกสาวฉันไม่ดีตรงไหน...พักตรามีอะไรที่น่ารังเกียจจนนายรับไม่ได้ ลูกสาวฉันทำให้นายเสื่อมเสียเกียรติมากนักรึ!” คิมหันต์บอกเปล่า ถูกอรรถเหวี่ยงออกไปอย่างแรง ตวาด “รู้ไหมว่ามีผู้ชายมากมายแค่ไหน

ที่เรียงหน้ากันเข้ามาขอเป็นลูกเขยฉัน...นับหัวไม่ถ้วน แต่พักตราเลือกนาย แค่นี้ยังภาคภูมิใจไม่พออีกเหรอ!”

“พักตราควรจะได้ผู้ชายที่ดีกว่าผม”

“ทำไม...นายมีอะไรไม่ดี บอกมาซิ ฉันจะได้ไปบอกพักตรา”

“ข้อเสียข้อเดียวของผมก็คือผมไม่ได้รักลูกสาวท่านเลย...ผมถูกท่านบังคับ”

อรรถไม่ถามอะไรอีก เขาหันไปพยักหน้าให้ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นอีกครั้งอย่างเน้นๆ พวกมันกรูกันเข้าหาคิมหันต์

“ถ้าผมตาย...ลูกสาวท่านก็ไม่ได้ตัวผมอยู่ดี...ผมไม่ได้รักพักตรา ท่านก็รู้ท่านใช้อำนาจบังคับตัวผม...แต่ท่านไม่มีวันได้หัวใจผม ท่านเปลี่ยนความรู้สึกของผมไม่ได้หรอก...”

อรรถนิ่งไปแต่ยังจ้องหน้าคิมหันต์ถมึงทึง

ooooooo

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น คิมหันต์ในสภาพบอบช้ำสาหัส เลือดเกรอะกรัง ก็ถูกชายฉกรรจ์ขับรถของเขาพามาทิ้งไว้หน้าสำนักงานกฎหมายบูรพาแล้วพากันหนีไป

คิมหันต์ได้รับความช่วยเหลือจากยามพาไปพบชุมสาย ชุมสายจะพาไปหาหมอและไปแจ้งความ คิมหันต์ทั้งไม่ไปหาหมอและไม่แจ้งความ บอกว่ามันเป็นเวรเป็นกรรม ตนทำกับเขาไว้เยอะโดนบ้างก็สมเหตุสมผลแล้ว แจ้งความไปก็ไม่จบง่าย ย้อนถามว่า “หรือแกอยากมีเรื่องกับพลโทอรรถ?”

ฝ่ายพักตรา พอเห็นอรรถกลับมาก็ถามหาแต่คิมหันต์ พอมองหาไม่เห็นก็ตัดพ้อต่อว่าไหนพ่อสัญญาว่าจะพาเขากลับมาและคุยเรื่องแต่งงานกันไม่ใช่หรือ

พอเห็นอรรถนิ่งอึ้ง เธอตีโพยตีพายราวกับจะคลั่งว่า “พ่อโกหกพักตร์!”

อรรถชี้แจงว่าตนไม่ได้โกหก ตนพยายามเต็มที่แล้ว แต่บางทีเราอาจจะต้องกลับมายอมรับความจริงบ้าง พักตราถามทันทีว่า “ความจริงอะไรคะ!”

“ความจริงที่ว่าไม่มีใครในโลกนี้จะได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการหรอก” เธอตะโกนว่าตนไม่ได้อยากได้ทุกอย่าง ตนอยากได้คิมหันต์เท่านั้น เขาต้องเป็นของตนคนเดียว “มีประโยชน์อะไรถ้าลูกได้ตัวเขาแต่ไม่ได้หัวใจเขา”

อรรถชี้แจงว่าตนพยายามทุกทางแล้วแต่คิมหันต์ก็ยังยืนยันว่าเขาไม่ได้รักเธอ ที่ทำไปเพื่อประชดมุกรินเท่านั้น แต่พักตราก็ยังคลุ้มคลั่งจะให้พ่อไปเอาตัวคิมหันต์มาให้ได้ ให้จัดการขั้นเด็ดขาดจัดการทั้งคู่ไปเลยก็ได้ ตะโกนเหมือนคนเสียสติว่า “พ่อต้องไปเดี๋ยวนี้เลย ไปสิ...จะปล่อยให้อีมุกได้ตัวคิมไปได้ยังไง” พลางฉุดกระชากอรรถออกจากห้อง

อรรถหมดความอดทนกับความคลุ้มคลั่งของพักตรา เขาตบหน้าเธอฉาดใหญ่จึงหยุดเธอได้ พักตราทรุดนั่งร้องไห้มองหน้าอรรถ ตัดพ้อ “พ่อตบพักตร์...”

“เพื่อให้ลูกมีสติ ฟังเหตุผลของพ่อบ้าง พ่อปล่อยให้ลูกเอาแต่ใจตัวเองมานานเกินไปแล้ว มันต้องพอเสียที”

“ไม่เป็นไรค่ะ” พักตราหยุดร้องไห้พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถ้าพ่อไม่ช่วย พักตร์ทำเองก็ได้...มันอยู่ด้วยกันกับนังมุกใช่ไหมพ่อ” อรรถไม่ตอบเดินออกจากห้องไปเงียบๆ พักตราจิกตาอาฆาตแค้น

ooooooo

คิมหันต์ทำแผลเรียบร้อยแล้ว กลับไปที่ “เรือนหอ” พร้อมถุงอาหาร พอมุกรินเห็นสภาพของเขาเธอตกใจถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแผลเต็มหน้าอย่างนี้

“การลงทุนมีความเสี่ยงแต่ก็คุ้ม...ผมบอกเขาแล้วว่าขอถอนหมั้น” มุกรินถามว่าบอกพักตราหรือ “บอกพ่อเขา...เขาคงจะไปเคลียร์กันเองได้”

มุกรินพูดอย่างเป็นห่วงว่าบอกพ่อยังขนาดนี้ ถ้าบอกลูกจะขนาดไหน คิมหันต์บอกว่าลูกมือเบากว่าพ่อมาก ถ้าเจอตัวเมื่อไรตนก็จะพูดทันที ถามมุกรินว่า ดีใจไหมที่เราจะได้มีชีวิตคู่อย่างเปิดเผยกันอีกครั้ง แล้วถามว่าพี่ชายเธอเป็นยังไงบ้าง มุกรินมองหน้าบอกว่าเขาไม่อยากรู้หรอก

“บอกแล้วไง อะไรที่คุณไม่สบายใจ ผมก็ไม่สบายใจด้วย” คิมหันต์ย้ำ มุกรินจึงบอกว่าดวงดาวเฝ้าอยู่ ตอนนี้รอทำซีที แต่วันนี้ตนจะไปหาปรารภหน่อย คิมหันต์ถามทันทีว่ามีอะไรหรือ

“เขามีงานนอกบริษัท มุกอาจจะรับจ๊อบพิเศษได้บ้าง ที่ไม่เกี่ยวกับ Fast Track”

คิมหันต์ถามว่ายังไม่เลิกจีบเธอหรือ มุกรินบอกว่าถ้าเขาไม่ให้ไปตนไม่ไปก็ได้ คิมหันต์บอกให้ไปเถอะ ตนเชื่อใจเธอ

พักตราโทรศัพท์ถามดวงดาวว่ามุกรินอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่โรงพยาบาลเธอลิ่วไปทันที ดวงดาวที่เฝ้าธาดาอยู่บอกเขาว่าตนจะออกไปซื้ออะไรกินหน่อย ย้ำกับเขาว่า “ถ้าพยาบาลเขาพาไปทำซีที อาก็อย่าดื้อนะ”

ขณะธาดาเข้าห้องน้ำ เขาได้ยินเสียงปิดประตูนึกว่าพยาบาลจะมาพาไปทำซีที บอกทั้งที่ยังอยู่ในห้องน้ำว่า

“คุณพยาบาล รอแป๊บนึงนะครับ ทำซีทีไม่นานใช่ไหม” กดชักโครกแล้วเปิดประตูออกมา ธาดาชะงักกึกเมื่อคนที่อยู่ในห้องไม่ใช่พยาบาล แต่กลายเป็นคิมหันต์!

คิมหันต์ทักเย้ยหยันว่าสภาพใกล้ตายแล้วหรือ ถูกสวนทันทีว่าสภาพเขาก็ไม่ต่างกับตนเย้ยคืนว่า

“โจทก์เยอะไม่ใช่เล่นล่ะสิ”

“ผมเป็นโจทก์ คุณและน้องสาวนั่นแหละคือจำเลย” ธาดายิ้มเยาะว่าอยากให้มุกรินได้ยินที่เขาพูดจัง “อัดเทปซี่ อัดไปเลย ผมจะได้พูดเรื่องที่น้องสาวคุณไม่เคยรู้ไปด้วย” ธาดาถามว่าเรื่องอะไร “เรื่องไอ้ขุม! ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้ามุกรินรู้เรื่องทั้งหมดของไอ้ขุม เธอจะรู้สึกยังไง จะยังเคารพพี่ชายเลวๆอย่างนี้อีกไหม”

ธาดาไม่แยแสบอกว่าเขาจะกุเรื่องไอ้ขุมขึ้นมาอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อหรอก แต่พอคิมหันต์ท้าว่าอยากลองไหมอยากเห็นน้องสาวตัวเองทุรนทุรายไหม ธาดาก็เลี่ยงไปว่าเรื่องระหว่างเขากับตนไม่เกี่ยวกับมุกริน

“เกี่ยว...ยังไงก็เกี่ยว เพราะน้องสาวแกเป็นเมียฉัน หลงรักฉัน ไม่ว่าเธอจะเลือกข้างไหน เธอก็ต้องเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานอยู่วันยังค่ำ”

ธาดาพุ่งเข้าขย้ำคอคิมหันต์อย่างแค้นจัด ถูกคิมหันต์บิดมือเขาออก เตือนว่า “แกจะตายเร็วก็เพราะอย่างนี้แหละ อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยน่า อยู่รออีกนิด รอให้ความลับถูกเปิดเผย รอให้ไอ้ขุมเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศก่อนแล้วแกค่อยขาดใจตายดีกว่านะ ไอ้ธาดา!”

พยาบาลเปิดประตูเข็นรถเข้ามารับคนไข้ ทั้งคิมหันต์และธาดาต่างปรับท่าทีตัวเองเป็นปกติ แต่ยังพูดยังเชือดเฉือนกัน ธาดาบอกให้เขารีบกลับไปเสีย หวังว่าตนกลับมาจะไม่เห็นเขาอีก คิมหันต์ยั่วทิ้งท้ายว่า

“ถ้าอยากเจอมุกริน ก็ไปหาผมได้นะ เธออยู่กับผมทุกวัน...ทุกคืน...” พอออกจากห้องคิมหันต์โทร.ถามมุกรินว่าเสร็จหรือยัง เธอบอกว่าเสร็จพอดีและปรารภกำลังจะไปส่งตนที่โรงพยาบาล

มุกรินนั่งคุยโทรศัพท์กับคิมหันต์โดยมีปรารภขับรถอยู่ข้างๆ เธอเล่าว่าปรารภชวนไปเปิดบริษัทใหม่เพราะเขาจะลาออกจาก Fast Track เร็วๆนี้ คิมหันต์พูดทันทีว่า

“อย่าเพิ่งตกลงอะไรก่อนปรึกษาผมนะมุก ถึงยังไงผมก็ไม่ไว้ใจพ่อม่ายลูกสอง” มุกรินบอกว่าแล้วไปเจอกันที่บ้าน คิมหันต์บอกว่าตนจะไปรับเธอที่โรงพยาบาลดีกว่า “ผมจะรออยู่แถวโถงชั้นล่างก็แล้วกัน คุณเยี่ยมพี่ชายให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมาเจอผม”

มุกรินวางสายจากคิมหันต์แล้ว ปรารภเปรยขึ้นว่า เขาคงไม่ไว้ใจให้เธอทำงานกับตน มุกรินพูดขำๆว่าเขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ พูดไปตามประสา แต่ปรารภไม่คิดอย่างนั้น เขาบอกว่า “คนขี้หึง” มุกรินเลยหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อน

ooooooo

พักตราไปเจอคิมหันต์ที่ห้องพักคนไข้ตอนธาดาถูกนำตัวไปทำซีที แล้วเธอโวยวายว่าเขามาหามุกริน ทั้งสองโต้เถียงกันและพักตราโผกอดคิมหันต์ถามว่าเขาไม่ได้คิดจะถอนหมั้นตนจริงๆใช่ไหม

มุกรินมาถึงพอดีเห็นทั้งสองกอดกันอยู่ พักตรายิ่งเชื่อว่าทั้งสองนัดพบกันที่นี่ ผละจากคิมหันต์ไปด่าทอมุกรินอย่างสาดเสียเทเสีย มุกรินถามคิมหันต์ว่า

“คิมคะ...คุณบอกว่าคุณถอนหมั้นพักตราแล้วไงคะ” คิมหันต์อึกอัก “คุณบอกว่าคุณพูดกับพ่อเขาแล้ว คุณบอกว่าเจอตัวเมื่อไหร่จะพูดต่อหน้าเขาไงคะ พูดเลยสิคิม”

พักตราจ้องหน้าคิมหันต์บอกให้พูดดังๆเลยว่าจะถอนหมั้นหรือไม่ถอน เขาสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าบอกว่า

“เราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกพักตรา”

เท่านั้นเอง พักตราจากสีหน้าท้าทายอย่างเป็นต่อ กลายเป็นโกรธจนหน้าแดงก่ำเอาปืนในกระเป๋าออกมาเล็งไปที่คิมหันต์ เขาบอกให้เธอเก็บปืนก่อน เธอสั่งให้เขาพูดก่อนว่าจะถอนหมั้นตนจริงไหม ประกาศกร้าวว่า

“ถ้าแกคิดจะถอนหมั้นฉันจริง ก็ไม่ต้องมีใครได้ใครทั้งนั้น ตายมันให้หมดทุกคนที่นี่เลยดีไหม!”

พักตราเล็งปืนไปที่มุกริน คิมหันต์ตะโกนลั่น “อย่านะพักตร์!” แต่หยุดเธอไม่ได้ มุกรินท้าทายว่าคิมหันต์เลิกกับเธอแน่ถ้าอยากยิงก็ยิงตนเลย พักตราหาว่ามุกรินเป็นคนบงการคิมหันต์ มุกรินสวนไปทันควันว่า

“ฉันกับคิมรักกัน รักกันมาก และเราสองคนเกลียดแกที่สุด รู้ไว้ด้วย”

“งั้นแกก็ตายพร้อมกันทั้งคู่เลย” พักตราเหนี่ยวไกทันที คิมหันต์กระโดดผลักเธอจนเซกระสุนเจาะผนังห้องแต่ปืนยังอยู่ในมือ พอตั้งตัวได้พักตราหันปืนยิงมุกรินอีกครั้ง คิมหันต์พุ่งไปเอาร่างบังมุกรินรับกระสุนแทน!

สิ้นเสียงปืนสามนัดซ้อน ร่างคิมหันต์ล้มจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น เสียงกรีดร้องดังลั่นโรงพยาบาล

ooooooo

ชุมสายมาถึงโรงพยาบาลเขาพูดแบบทนายทันทีว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นคดีอุกฉกรรจ์ เป็นการจงใจทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิต เรื่องนี้ต้องมีการรับผิดชอบด้วยบทลงโทษสูงสุด

อรรถพูดแทรกขึ้นว่าเราอย่าเพิ่งพูดเรื่องคดีและบทลงโทษเลย เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือการช่วยผู้บาดเจ็บให้รอดชีวิตให้ได้ก่อน

ไม่นานหมอก็ออกมาแจ้งว่าผลการผ่าตัดดีมากสามารถนำกระสุนออกจากช่องท้องได้ทั้งสามนัดแล้ว พักผ่อนดูอาการในห้องไอซียูสักสองสามวัน ถ้าไม่มีอะไรก็ย้ายไปห้องพักปกติได้

บ่ายวันนี้เอง อรรถก็เอ่ยในห้องประชุมโรงพยาบาล ขอบคุณแพทย์ที่ช่วยชีวิตคิมหันต์ได้ แล้วพูดถึงภาพรวมของกรณีที่เกิดขึ้น

อรรถสรุปว่าตนไม่อาจปฏิเสธว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นเรื่องบังเอิญ แต่อยากจะให้มองถึงสภาวะอารมณ์ของลูกสาวตน เพราะคนปกติใครจะพกปืนเข้ามาในโรงพยาบาล อ้างว่าคู่กรณีเป็นคนที่เธอรักสุดหัวใจซึ่งทนายนำสืบดูได้

ชุมสายติงว่าความไม่ปกติของพักตราเกิดจากการที่อรรถตามใจมาก ถูกอรรถโต้ อ้างอาวุโส ประสบการณ์ ของตนมาหักล้างข้อติติงของชุมสายว่า

“ถ้ามันจะมีอะไรผิด มันก็ไม่ใช่เพราะผมคนเดียว มันยังมีปัจจัยแวดล้อมอีกมากมายที่คนอายุเท่าคุณไม่เคยรู้ และจะไม่มีวันได้รู้ตราบใดที่คุณยังไม่มีครอบครัว”

อรรถใช้ทั้งวาทศิลป์ บารมี และอิทธิพลอำนาจ พูดจนควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของคนในห้องประชุมได้แล้ว เขารุกขั้นต่อไป

“ผมขอสรุปอย่างนี้นะครับ ในเรื่องของความเสียหาย นอกจากทรัพย์สินของโรงพยาบาลและที่ตัวบุคคลคือว่าที่ลูกเขยของผมแล้ว ไม่มีความเสียหายอื่นอีก ถูกต้องไหมครับ” ทีมแพทย์มองหน้ากันก่อนตอบว่าใช่ “เพราะฉะนั้น ถ้าเราเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ เก็บเป็นความลับระหว่างเราเท่าที่อยู่ในห้องนี้ ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น ถูกต้องไหมครับ”

ทุกคนในห้องถูกชักจูงจนนิ่งเงียบเป็นการยอมรับโดยปริยาย อรรถพูดต่อทันทีว่า

“ความเสียหายทั้งหมดของโรงพยาบาล ผมขอ รับผิดชอบเอง ว่าไงครับ” หมอไม่ทันพูด อรรถก็รวบรัด “ถ้าคิดว่าผมยังมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ผมขอก็แล้วกัน เหยียบเรื่องนี้ไว้ให้มิด ที่นี่! เท่านั้น!!”

ทีมแพทย์พยักหน้ารับคำ ชุมสายเอ่ยขึ้นว่า “ผมขอเงื่อนไขอีกข้อนึง ช่วยส่งคุณพักตราไปรักษาอาการทางจิตด้วยได้ไหมครับ คนแบบนี้ปล่อยให้เพ่นพ่านข้างนอกไม่ได้หรอกครับ เผื่อวันหน้าวันหลัง เธอทำแบบนี้กับคนอื่นที่อื่นอีก ท่านจะลำบากกว่านี้นะครับ”

“ขอบใจที่ห่วงใยผม ส่วนนายคิมหันต์เพื่อนรัก

ของคุณ คุณก็ไม่ต้องห่วงนะผมจะดูแลเขาอย่างดี และเพื่อความสบายใจของทุกคน ผมจะย้ายคิมหันต์ไปพักฟื้นที่อื่น ที่เงียบๆ ไกลหูไกลตาคน” ชุมสายถามว่าที่ไหน “แล้วจะบอกทีหลังขอบคุณทุกท่านครับ ที่กรุณาให้ความร่วมมือกับผม” อรรถเอ่ยอย่างกระหยิ่มที่ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของตน

ooooooo

ธาดากลับจากไปทำซีที พอรู้ว่าพักตรายิงคิมหันต์บาดเจ็บก็บ่นว่าตนไปแป๊บเดียวพักตราก็มาอาละวาดไล่ยิงคนกลางห้องเลยหรือ เขาย้ำให้มุกรินเลิกกับคิมหันต์เสียไม่อย่างนั้นพักตราก็จะก่อเรื่องรุนแรงขึ้นอีก

มุกรินบอกว่าตนจะพยายามเลี่ยงก็แล้วกัน ธาดาบอกเลี่ยงไม่ได้ต้องเลิกเด็ดขาดเท่านั้น

พอดีชุมสายเข้ามามุกรินถามว่าคิมหันต์เป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ตอนนี้นายพลอรรถเก็บตัวไว้เงียบห้ามคนอื่นเยี่ยม ดวงดาวถามว่า แล้วตำรวจล่ะ?

“ไม่มีตำรวจ เรื่องนี้ถูกเก็บเงียบไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นเหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องขึ้น” ชุมสายบอกธาดาโมโหถามว่าชักปืนยิงคนกลางโรงพยาบาลอย่างนี้จะเงียบได้ ยังไงจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว “ก็เหมือนฆาตกรที่ฆ่าคนตายแล้วศาลยกฟ้องไง มีให้เห็นไม่น้อยนะคุณธาดา” มุกรินถามว่าแล้วพักตราล่ะ “พ่อเธอส่งไปตรวจอาการทางจิต”

“ตามสูตรเป๊ะเลย ฆ่าคนตายแล้วอ้างว่าป่วยเป็นโรคจิต” ดวงดาวยิ้มสมเพช

ธาดาโมโหมาก เดินงุ่นง่านไปรอบห้องบอกว่าโรงพยาบาลแบบนี้อยู่ไม่ได้แล้ว บอกมุกรินให้กลับไปด้วยกันเลย ปรามน้องสาวว่า “แล้วอย่าให้พี่รู้นะว่ามุกกลับไปคบกับมันอีก เพราะคราวหน้าคนที่ถือปืนไล่ยิงมันอาจจะไม่ใช่ยัยพักตรา” หันบอกพยาบาลที่เดินเข้ามาว่า “ผมจะมาฟังผลเอกซเรย์วันหลังได้ไหม แล้วห้ามบอกผลกับคนอื่นเด็ดขาดนะครับ”

อรรถนั่งอยู่กับพักตราที่ห้องรับรองของโรงพยาบาล พักตราร้องไห้คร่ำครวญว่าตนไม่น่าทำเลยถามว่าคิมหันต์จะตายไหม เขาจะยังรักตนไหม ใครๆต้องด่าว่าตนเป็นฆาตกรโรคจิตยิงคู่หมั้นตัวเองแน่เลย

“จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยนอกจากคนที่นี่เท่านั้น

ซึ่งพวกเขาเห็นใจลูกและเข้าใจว่าเกิดจากภาวะความเครียด เพราะลูกรักคิมหันต์มากและคิมหันต์ก็จะยังรักลูกอยู่ ทุกคนรักพักตราของพ่อเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นลูกไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว”

ส่วนมุกรินอรรถบอกว่าเธอไปดูแลพี่ชายตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเรา และตนจะสั่งย้ายคิมหันต์ไปอยู่ที่อื่นจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก และเพื่อให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีและสมเหตุสมผล ตนจะส่งตัวเธอให้ไปอยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพจิตใจสักพักหนึ่ง เพื่อให้ผ่อนคลายและรอรับสิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ พักตราถามว่ายังมีอะไรดีๆอีกหรือ

“มีซี่...พ่ออยู่ตรงนี้ทั้งคน พ่อจะปล่อยให้ลูกสาวคนสวยของพ่อระทมทุกข์ได้ยังไงล่ะ”

ooooooo

ชุมสายไปหาเสี่ยอ๋าที่บ่อน เสี่ยถามว่าใครยิงคิมหันต์ ตนจะส่งลูกน้องไปเอาคืนให้ไหม ชุมสายตัดบทว่าช่างเถอะคนลั่นกระสุนเป็นคู่หมั้นของคิมหันต์เอง และตอนนี้ก็เคลียร์กันจบแล้ว แล้วถามเสี่ยอ๋าว่าแผนการของคิมหันต์ก็คงต้องเลื่อนไป

พอเสี่ยบอกว่าไม่เป็นไร คิมหันต์พร้อมเมื่อไรตนก็พร้อมลงมือ ชุมสายเลียบเคียงถามว่าเสี่ยพอจะบอกได้ไหมว่าคิมหันต์คิดจะทำอะไร

“เสียใจครับคุณชุมสาย คุณคิมแกกำชับผมไว้ชัดเจนว่า เราทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนเจ๊มล อาจมีบางอย่างผิดกฎหมายไปบ้างเราก็ยอม แต่แกขออย่าให้ทนายอย่างคุณชุมสายเข้ามารู้เห็นด้วย”

“โอเค แล้วไอ้ขุมล่ะ”

เสี่ยอ๋าชำเลืองมองไอ้ขุมที่นั่งกินข้าวกล่องอยู่ห่างออกไปท่ามกลางลูกน้องเสี่ยที่ห้อมล้อมอยู่ บอกว่า

“ผมจะส่งมันไปเก็บตัวกับพรรคพวกในที่ปลอดภัย ต้องการตัวมันเมื่อไหร่ก็เรียกได้เลย”

ขณะนั้นเองลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงานเสี่ยว่าธาดามาเล่นอีกแล้ว เสี่ยบอก “ปล่อยมันเล่นไปก่อน...ยังไม่ถึงเวลา”

มุกรินอยู่กับดวงดาวที่บ้านเช่าของธาดา เธอถามว่าตนจะไปเยี่ยมคิมหันต์ได้ไหม ดวงดาวพยักหน้าบอกว่า

“ถ้ารู้ว่าเขาอยู่ไหน”

คิมหันต์ถูกย้ายโรงพยาบาล พักตราขออรรถไปเยี่ยมอรรถยังไม่ให้ไป เธอหนีไปหาเขาที่ห้องไอซียูจนได้ทำเอาพยาบาลต้องไล่ตามกันวุ่นวาย

เธอไปเกาะเตียงคิมหันต์ที่นอนไม่รู้สึกตัว พร่ำขอโทษ อ้อนวอนอย่าโกรธตน รำพึงรำพันฟูมฟาย

“พักตร์รักคิมนะ คิมอย่าเป็นอะไรนะ พักตร์อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคิม...ถ้าคิมเป็นอะไรไป พักตร์จะฆ่าตัวตายตาม คิมไป คิมต้องไม่ตายนะ...คิม...”

ooooooo

ปรารภนัดมุกรินไปพบกันที่ร้านอาหาร ดวงดาวติดตามไปด้วยบอกปรารภว่าช่วงนี้เป็นระยะอันตรายของมุกรินตนเลยตามมาด้วยเผื่อมีคนดักทำร้ายยังพอช่วยกันได้บ้าง

สั่งอาหารแล้ว ปรารภทักว่ามุกรินมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าหน้าตาดูไม่คอยดี มุกรินส่ายหน้าเนือยๆว่า ไม่มีอะไร

ปรารภเล่าว่าตนเตรียมเรื่องจดทะเบียนบริษัทอยู่ จะแบ่งหุ้นให้มุกรินยี่สิบเปอร์เซ็นต์ โดยเธอไม่ต้องลงเงิน รอรับปันผลอย่างเดียวพอ ถามว่าสภาพจิตใจของเธอพร้อมจะทำงานไหม

“พร้อมหรือเปล่าไม่รู้ค่ะ แต่มุกอยู่เฉยๆโดยไม่ ทำงานไม่ได้หรอก มุกไม่ได้มีเงินเก็บอะไรมากมาย” ปรารภเปรยว่าดูเหมือนเธอยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ใช่ไหม มุกรินบอกว่าตนเป็นห่วงคิมหันต์ ปรารภถามงงๆว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ

“ท่านนายพลปิดเรื่องได้เงียบจริงๆด้วย เจ๋งว่ะ” ดวงดาวเอ่ยลอยๆ

พักตราอยู่กับจิตแพทย์ในห้องตรวจ จิตแพทย์ถามว่าเธอเคยมีปมอะไรฝังใจในอดีตไหม พักตราบอกว่ามีหลายปมหมออยากได้ปมแบบไหนล่ะ หมอว่าเอาแบบที่นึกถึงทีไรก็เจ็บปวดขึ้นมาทุกที เธอบอกว่าโดนเพื่อนล้อชื่อพ่อ

“น่าสนใจ พอโดนล้อแล้วคุณพักตรามีปฏิกิริยายังไงคะ”

“ตบหน้ามัน” จิตแพทย์ถามว่าแล้วยังไงอีก “มันไปฟ้องครู ฉันก็ตบหน้าครู ครูส่งไปหาหมอโรคจิต พอหมอเอ่ยปากถาม ฉันก็...สี่ทีรวด หมอฟันหักสองซี่”

จิตแพทย์ไม่ถามต่อ ค่อยๆปิดสมุดโน้ต ก็พอดีพยาบาลมาเคาะประตูบอกว่าคู่หมั้นคุณพักตราอยากมา เยี่ยม หมอรีบอนุญาตและให้ใช้ห้องหมอก็ได้เดี๋ยวหมอค่อยมา พอจิตแพทย์ออกไป พยาบาลก็เข็นรถพาคิมหันต์เข้ามา

พักตราไหว้ขอโทษคิมหันต์อย่างอ่อนช้อย สัญญาว่าจะปรับปรุงตัวเองจะไม่ทำตัวแบบเดิมอีกแล้ว คิมหันต์ขอว่าเธออย่าเก็บปืนไว้กับตัวได้ไหม มีกี่กระบอกเอาไปฝากที่คุณพ่อเธอให้หมด พักตราให้สัญญาอย่างว่าง่าย

“ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น การแก้ปัญหาระหว่างเราต้องไม่ใช้วิธีการฆ่ากันนะ” คิมหันต์ขอ เธอก็ให้สัญญาอีก แต่พอคิมหันต์ย้ำว่าไม่ว่าจะเป็นปัญหากับตนหรือกับมุกริน พักตราย้อนถามทันทีว่า เขาจะไม่ทิ้งตนไปใช่ไหม เรายังเป็นคู่หมั้นกันใช่ไหม คิมหันต์นิ่งไปพักตราถามย้ำอีกเขาตอบเลี่ยงๆว่า “วันนี้เรายังเป็นคู่หมั้นกันอยู่ครับ”

พักตราดีใจโผกอดเขา คิมหันต์ถามว่ามุกรินมาเยี่ยมตนบ้างหรือเปล่า เขาไม่ได้โดนลูกปืนของเธอใช่ไหม พักตราบอกว่าไม่รู้ว่ามุกรินมาเยี่ยมเขาหรือเปล่าแต่มุกรินไม่โดนลูกปืนของตน บอกว่าถ้าอยากให้ตนไปขอโทษตนก็จะไป


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 8


มุกรินกับดวงดาวเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พอหมอออกมา มุกรินถามว่าคนป่วยเป็นอย่างไรบ้าง

“ตอนนี้คนไข้หายปวดหัวแล้วนะครับ แต่แกไม่ยอมให้ตรวจ ไม่ยอมเอกซเรย์อะไรทั้งสิ้น หมอเลยตอบไม่ได้ว่าเป็นยังไง”

เมื่อธาดาไม่ยอมให้เอกซเรย์แต่อาการดีขึ้น หมอจึงสั่งยาและให้กลับบ้านได้ พอมุกรินกับดวงดาวเข้าไปในห้อง ธาดาบ่นว่าทีหลังถ้าตนปวดหัวไม่ต้องพามาส่งโรงพยาบาล ปวดเองก็หายเองได้ไม่เห็นต้องพึ่งหมอเลย ดวงดาวถามว่าไม่อยากรู้หรือว่าเป็นอะไร

“ทำไมอาจะไม่รู้ ปวดหัวเพราะยายมุกน่ะสิ” ธาดาบอกแล้วหันไปทางมุกริน “แกลาออกจากบริษัทเมื่อไหร่พี่หายปวดหัวเมื่อนั้นแหละ” มุกรินไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเลยขอไปจ่ายค่ายา ธาดาถามดวงดาวทันทีว่า “ยายมุกยังติดต่อกับไอ้คิมอยู่ใช่ไหม”

ดวงดาวถามว่าทำไมเขาไม่ถามมุกรินเอง เขาบอกว่ามุกรินไม่มีทางบอกความจริงหรอก

“อย่าให้รู้นะว่ามันยังแอบไปมีอะไรกันอีก” ดวงดาว ถามว่าถ้ารู้แล้วจะทำยังไง “ฆ่ามัน!!” ธาดาคำราม

ดวงดาวถามว่าเขาชอบแก้ปัญหาด้วยการฆ่าหรือ? คิดว่าจะรอดง่ายๆเหมือนคราวก่อนหรือ? ธาดาชะงักมองหน้าถามเสียงเข้มว่าพูดอะไร! คราวก่อนอะไร!? ดวงดาวพูดลอยๆว่าอย่าคิดว่าความลับจะมีในโลก ทำให้ธาดาถามเครียด

“ความลับอะไร...เรารู้อะไรมา บอกมาเดี๋ยวนี้”

“หนูรู้จักคนชื่อไอ้ขุม และหนูรู้ความลับระหว่างอากับไอ้ขุมก็แล้วกัน...แต่อาไม่ต้องกลัวนะ หนูไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่คนเดียว” พูดแล้วดวงดาวเดินออกไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร

ooooooo

พักตราโทร.เช็กคิมหันต์บ่อยเท่าที่เธอยากโทร. ยิ่งโทร.ไม่ติดหรือเขาไม่รับสายก็ยิ่งระดมโทร.จนค่ำโทร.ติดเธอถามทันทีว่าเขาอยู่ไหน ทำไมโทร.ไม่ติดเลย นัดใครไว้ที่สนามบินหรือเปล่า

คิมหันต์บอกว่ากำลังจะกลับ โทร.ไม่ติดอาจเพราะอยู่ในหุบเขาสัญญาณไม่ดี เธอถามอีกว่าเห็นคลิปหรือยัง พอเขาบอกว่าคุยกับพ่อเธอแล้ว ก็ถามอีกว่า “คิมไม่ได้โกหกพักตร์ใช่ไหม”

“ผมจะโกหกทำไมล่ะ ถามพ่อคุณดูก็ได้”

“พักตร์นอนล่ะ ปวดหัวมากเลย พรุ่งนี้จะโทร.ไปหาใหม่นะ...กู๊ดไนท์”

คิมหันต์อยู่ในรถตู้ เขาถอนใจเครียด

ฝ่ายดวงดาวรู้เรื่องทั้งหมดของมุกริน ถามเธอว่าอุตส่าห์ลงทุนตามไปจนตบตีกันขนาดนี้ทำไมไม่ขึ้นเครื่องตามเขาไปล่ะ มุกรินบอกว่าตนไม่ได้คิดจะขึ้นเครื่องอยู่แล้วแค่อยากไปเห็นกับตาว่าเขาไปด้วยกันหรือเปล่าเท่านั้น ดวงดาวถามประชดว่าจะนางเอกไปถึงไหน

“เรื่องนี้คงไม่มีนางเอก ไม่มีพระเอก มีแต่คนธรรมดาๆสามัญชน ที่มีโลภ โกรธ หลง มีกิเลสที่ยังตัดไม่ขาดด้วยกันทั้งนั้น” ดวงดาวชวนหนีไปที่อื่นกันไหม ไปถือศีลกินเจ ไปหาที่สร้างบุญสร้างกุศลแผ่เมตตาให้กับสัตว์โลก มุกรินมองหน้าถาม “เธอจะไปกับฉันเหรอ...เป็นทอมรึเปล่าเนี่ย”

“อยากลองอยู่เหมือนกัน ฉันก็เบื่อชีวิตตัวเองเหมือนกันนะ ไอ้การอยู่แบบมีความสุขไปวันๆอย่างฉันมันเหมือนไม่ค่อยมีอนาคต บางวันมันก็น่าเบื่อมากเลย”

“เพราะเธอยังไม่เจอคนที่จะสร้างฝันร่วมกับเธอมั้ง”

“รู้ได้ยังไงว่ายังไม่เจอ” พอมุกรินมองหน้าอย่างค้นหา ดวงดาวพูดเป็นนัยว่า “ฉันอาจจะเจอแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้...นอนล่ะ” ดวงดาวลุกจะออกไป มุกริน ถามว่า พี่ใหญ่หรือ? เธอหันตอบหยันๆว่า “ตอนนี้เขาอยู่ไหนฉันยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ฉันหนีเขาไปได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ย” พูดแล้วออกไป ปล่อยให้มุกรินคิดเดาเอาเอง

ธาดาอยู่ที่บ่อนเสี่ยอ๋ายิ่งเล่นเสียแล้วเสี่ยอ๋าให้เครดิตไม่อั้นก็ยิ่งมัวเมา จนวันนี้การ์ดที่บ่อนถามว่าวันนี้มีมาเท่าไร พอเขาบอกว่าเยอะ การ์ดถามว่าทำงานอะไร

ถึงได้ขนเงินมาทิ้งที่นี่ได้เรื่อยๆ

“นี่หยามกันเหรอ?” ธาดาเลือดขึ้นหน้า การ์ดรีบบอกว่าเปล่าแต่ถ้าหมดแล้วยืมเสี่ยอ๋าบ้างก็ได้ จะได้ไม่เอาเงินเก็บสะสมมาใช้เดี๋ยวครอบครัวพี่จะเดือดร้อน ถูกธาดาด่าว่าไม่ต้องมาเอือกกับกูได้ไหม แล้วเดินหัวเสียไปที่โต๊ะพนัน

ooooooo

มุกรินกับดวงดาวยังไม่ทันนอน ก็มีเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น มุกรินออกจากห้องมาเจอดวงดาวถามว่าพี่ใหญ่ลืมเอากุญแจบ้านไปหรือ

“เมามั้ง...เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูเอง” ดวงดาวเดินออกไปเปิดประตู ครู่หนึ่งกลับมามุกรินถามว่าพี่ใหญ่ล่ะ? “ไม่ใช่พี่ใหญ่...เขามาหาเธอ”

คนที่เดินตามดวงดาวเข้ามาคือคิมหันต์นั่นเอง! เขาบอกหน้าตายว่าเธอตกเครื่องตนเลยมารับที่นี่

“คู่หมั้นคุณมาด้วยหรือเปล่า” มุกรินถาม

“เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกลับมากรุงเทพฯแล้ว”

ดวงดาวชงกาแฟมาให้ที่โต๊ะเตือนทั้งสองว่ามีอะไรก็รีบคุยเสียให้เสร็จก่อนเจ้าของบ้านกลับมา ถามว่า ต้องการสักขีพยานไหม เห็นทั้งสองนิ่ง ดวงดาวเดินออกไปพลางบอกว่าถ้าต้องการก็เรียก ตนจะดูต้นทางให้

ที่แท้คิมหันต์หนีกลับมาอย่างสบายใจ เพราะมีข้อตกลงกับอรรถไว้แล้วว่าจะไม่ให้พักตราตามไป ส่วนเรื่องงานตนฝากผู้ช่วยทำแทนแล้ว

คิมหันต์มาหว่านล้อมให้มุกรินลาออกจากงานและไปสร้างครอบครัวด้วยกัน เพราะเราเคยทำเกือบสำเร็จมาแล้ว

มุกรินติงว่าตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้ ทุกอย่างมันยุ่งเหยิงซับซ้อนกว่ากันมาก

“มันจะวุ่นวายอีกไม่เกินอาทิตย์เดียวเท่านั้น รอให้พ่อเขากลับมา ผมจะเป็นคนบอกเลิกทุกอย่างเองผมสัญญา”

มุกรินติงว่ากว่าจะถึงวันนั้นทั้งพักตราและธาดาคงก่อเรื่องอีกมากมาย คิมหันต์จึงชวนไปอยู่ด้วยกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

“คุณกำลังชวนฉันหนีออกจากบ้าน?”

“ถ้าคุณปฏิเสธ...ผมก็คงต้องฉุด...” มุกรินนิ่งคิด มองไปเห็นดวงดาวเดินเข้ามาใกล้ คิมหันต์เร่ง “เราจะเสียเวลาปล่อยให้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างไม่มีความสุขทำไม เราทั้งคู่ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว นอกจากตัวเราเองนะมุก”

มุกรินมองไปที่ดวงดาว ฝ่ายนั้นถามว่าต้องการความเห็นไหม มุกรินเดาได้ว่าดวงดาวจะพูดอย่างไร บ่นคิมหันต์ว่าไม่มีทางเลือกให้ตนเลย

“หัวใจเราเลือกไปแล้วมุก...เชื่อหัวใจเราเถอะ”

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น ปรารภยังไปไม่ถึงที่ทำงานก็ได้รับโทรศัพท์จากสีดาเลขาของเขา ฟังแล้วเขาตกใจบอกสีดาว่า

“บอกเขาว่าให้รอเจอฉันก่อน อย่าเพิ่งไปไหน รอเจอฉันให้ได้ บอกเขาเดี๋ยวนี้เลยสีดา”

เมื่อสีดาเดินมาบอกมุกรินที่โต๊ะว่าให้รอปรารภก่อน เธอบอกสีดาว่าไม่จำเป็นเพราะยังไงเขาก็เปลี่ยนความคิดตนไม่ได้ สีดาถามว่าคิดดีแล้วหรือ

“อืมมม...ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะสีดา ฉันไม่ได้ใช้อารมณ์ ฉันใช้เหตุผลและสติทั้งหมดของฉัน”

ทันใดนั้นเสียงพักตราก็แจ๋แทรกเข้ามาเยาะเย้ยว่า

“มุกริน คุรุรัตน์ ไม่น่าเชื่อว่าริ้วรอยที่หน้ายังไม่หาย นึกว่าหน้าด้านหน้าหนาอย่างเธอจะทนมือทนตีนกว่านี้เสียอีก”

นาทีนี้มุกรินไม่กังวลกับอะไรอีกแล้ว หลังจากด่าทอท้าทายกันแล้ว มุกรินเดินเฉียดพักตราไป บอกว่าตนลาออกแล้ว “เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้ เราเท่ากับไม่ใช่ลูกจ้างนายจ้างกันอีกต่อไป ถ้าพูดไม่เข้าหู ฉันอาจตบแกก่อนก็ได้”

พอมุกรินเดินออกไป พักตราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาประกาศอย่างสะใจ

“ทุกคนฟังนะ มันลาออกแล้ว มันลาออกเอง โดยที่ฉันไม่ต้องไล่ออก ฮ่าๆๆๆ”

มุกรินขนของไปที่รถ เจอปรารภที่ลานจอดรถพอดี เขาถามว่าทำไมไม่ปรึกษาตนก่อน

“มุกรู้ว่าพี่รภจะแนะนำยังไง...แต่มุกรู้ว่ามุกต้องการอะไร”

“พี่ก็รู้ว่าพี่เปลี่ยนความคิดมุกไม่ได้ พี่อยากขอโอกาสให้ความคิดอีกมุมนึงกับมุก อย่างน้อยให้มันได้ผ่านหูมุก เผื่อวันข้างหน้า มุกอาจจะเห็นด้วยกับความคิด ของพี่และระลึกได้ว่า พี่มีความปรารถนาดีกับมุกแค่ไหน”

มุกรินบอกว่าตนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับตน ชมว่าเขาเป็นคนดี ผู้หญิงที่ทิ้งเขาไปน่าจะตัดสินใจผิดพลาดที่ทิ้งผู้ชายดีๆอย่างเขาไป ปรารภซึ้งจนน้ำตาไหล พูดอย่างสะเทือนใจว่า

“งั้นพี่ขอพูดประโยคเดิมที่พี่เคยพูดและไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อไหร่ที่มุกมีปัญหาไม่ว่าจะมากหรือน้อย มุกจะมีพี่รภยืนอยู่ข้างๆเสมอ และพร้อมที่จะช่วยเหลือมุกเต็มกำลัง อย่าลืมพี่นะมุก...” เขาหยุดมองเธอนิ่งก่อนตัดสินใจถาม “มุกยังรักเขาอยู่ใช่ไหม...คิมหันต์เป็นผู้ชายที่โชคดี พี่อิจฉามันจริงๆ”

“พี่รภไม่ได้ดีน้อยกว่าเขาหรอกค่ะ...ถามลูกชายพี่ดูได้” มุกรินกอดลาปรารภ เป็นกอดอย่างน้องสาวที่กอดพี่ชาย

แล้วมุกรินก็โทร.หาธาดาโดยไม่รู้ว่าเขากำลังหงุดหงิด ที่เล่นเสียอยู่ในบ่อนเสี่ยอ๋า เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่เหน็บนิดๆว่าตนลาออกจากงานแล้วเพื่อเขาจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับตนอีก พูดแล้วตัดสายทันทีอย่างไม่ต้องการฟังอะไรจากพี่ชายอีก

ฝ่ายพักตราโทร.ไปบอกอรรถด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่ามุกรินลาออกจากงานแล้ว ลาออกเองตนไม่ได้ไล่ออก

“ดีแล้วลูกให้เขาออกเองอย่างนี้แหละดีแล้ว ต่อไปนี้จะได้เลิกตบตีกันเสียที แล้วบอกคู่หมั้นเรารึยัง” เธอบอกว่ายังโทร.ไม่ติด “ลูกปล่อยให้เขาทำงานไปก่อนเถอะ กลับมาค่อยคุยกันก็ได้”

ระหว่างคุยกับพักตรานั้น เทย่าเด็กสาวคนนั้นกำลังนวดเค้นเขาอยู่บนเตียง แต่พอพักตราถามว่างานของพ่อเป็นอย่างไรบ้าง อรรถพูดอย่างลื่นไหลไร้พิรุธว่า

“โอ...แดดร้อนสุดๆ โชคดีที่นายทหารอย่างพ่อดำอยู่แล้ว ไม่งั้นคงมีหวังหนังลอก...นี่กำลังเดินดูที่อยู่กลางแดดนะเนี่ย เท่านี้ก่อนนะลูก” อรรถวางสายจากพักตรา นอนให้เทย่า “นวด” ให้อย่างถึงใจ

ooooooo

ธาดาเล่นเสียหมดครั้งแล้วครั้งเล่า เสี่ยอ๋า บอกว่าเขาไม่มีดวงทางนี้ถ้าไม่มีตัวช่วยก็แย่ ชวนดื่มอะไรหน่อยไหม ธาดาบอกว่าตนอยากเล่นต่อ เสี่ยอ๋าไม่ขัดข้องแต่ในเงื่อนไขเดิม

ลูกน้องเสี่ยอ๋าเอาเหล้าขวดใหญ่สามขวดมาวางตรงหน้า ย้ำว่า “ถ้าคุณโอเคในเงื่อนไข ผมก็ยื่นเงินให้เลยง่ายๆ”

“งั้นผมขอไปหาที่เงียบๆที่อื่นกินดีกว่า” ธาดา คว้าเหล้าทั้งสามขวดเดินออกไปจากบ่อน ครู่หนึ่งขุมก็เดินเข้ามา การ์ดบอกว่าลูกพี่เขาเพิ่งออกไปเมื่อกี๊นี้เอง

“เขาออกไปฉันถึงได้เข้ามาไง” ไอ้ขุมบอก การ์ดถามว่าทำไมไม่มาพร้อมกันล่ะ “ลูกพี่แม่งชอบขอแบ่งกำไรว่ะ”

ไอ้ขุมตรงไปนั่งที่โต๊ะพนัน มันไม่รู้ว่าถูกเสี่ยอ๋าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา

ooooooo

ดวงดาวถามมุกรินว่าคิมหันต์บอกหรือเปล่าว่าจะพาไปอยู่ที่ไหน มุกรินบอกว่าคงเป็นบ้านเช่าที่ไหนสักแห่ง

“ต้องอยู่แบบโผล่หน้าไปไหนไม่ได้ด้วยรึเปล่า” มุกรินถามว่าตอนเธอคบกับพี่ใหญ่ต้องทำอย่างนั้นหรือ “ไม่มีใครรู้จักฉัน ส่วนใหญ่เขาคิดว่าฉันเป็นลูกสาวคุณธาดา”

มุกรินถามว่าเธอรักพี่ใหญ่บ้างไหม ดวงดาวนิ่ง พอมุกรินถามว่าไม่คิดจะจริงจังกับพี่ใหญ่เลยหรือ ก็ถูกย้อนถามว่า

“เธอลองนึกภาพดูสิ ว่าฉันจะฝากชีวิตไว้กับคนอย่างเขาได้ไหม เราจะมีเวลานอนกอดกันนิ่งๆ ไม่ต้องพูดอะไรมาก ไม่ต้องกินเหล้า ไม่ต้องเมา แต่เต็มไปด้วยความสุข หรือเล่นกีตาร์ร้องเพลงด้วยกันสักวันละเพลงได้บ้างไหม เธอคิดว่าคุณธาดาเขาจะทำอะไรแบบนี้เป็นเหรอ?”

ดวงดาวบอกว่าที่ตนยอมอยู่กับธาดาก็เพราะเขาเหมือนผู้ปกครอง แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง เด็กๆก็ชอบที่จะหนีพ่อหนีแม่ หนีผู้ปกครองเพื่อออกไปเผชิญชีวิตข้างนอกเหมือนกันนะ มุกรินขอร้องว่าถ้าถึงวันนั้นให้เธอมาหาตนได้ไหม

ดวงดาวไม่ตอบลุกเดินออกไป อึดใจเดียวก็กลับมาหน้าตาตื่นเต้นบอกว่าธาดากลับมา ทำไมวันนี้กลับเร็วก็ไม่รู้

ธาดาร้องโหวกเหวกเข้ามาร้องถามว่าสาวๆไปไหนหมด ให้ออกมาเห็นหน้ากันหน่อย วันนี้ตนจะฉลอง พอดวงดาวบอกว่ามุกรินนอนแล้วก็บ่นว่าหลับแต่วันได้ยังไง ให้ไปปลุกมาฉลองกันหน่อย

มุกรินโทรศัพท์พูดเบาๆกับคิมหันต์อยู่ในห้องว่าอย่าเพิ่งเข้ามา พี่ใหญ่กลับมาแล้วกำลังเมาด้วย คิมหันต์บอกว่าเห็นแล้วตนอยู่หน้าบ้านนี่เอง

“รอมุกก่อนนะ มุกไม่อยากให้มีเรื่องวันนี้”

“เข้าใจ...ผมรอได้มุก รอได้เสมอ” คิมหันต์อยู่ในรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน

ooooooo

ธาดาจะให้ดวงดาวไปลากมุกรินออกมาฉลองกันให้ได้ มุกรินออกมาแต่ขอร้องพี่ชายวันนี้อย่าเพิ่งฉลองเลยเพราะมันเหมือนกับฉลองตนตกงาน เอาไว้ได้งานใหม่ค่อยฉลองกันดีกว่า

เมื่อธาดาจะฉลองให้ได้ มุกรินออกมาหว่านล้อมว่าเมื่อวานเขาเพิ่งเป็นลมมา ไม่น่ากินเหล้าอีกเลย พูดขู่ๆว่าพี่ใหญ่อยากอายุสั้นหรือ ธาดาคุยโวว่า “พี่ยังอยู่ดูแลมุกได้อีกนาน อย่าหนีพี่ไปก่อนก็แล้วกัน”

“คนแรกที่จะหนีพี่ใหญ่ไม่ใช่มุกหรอก โน่น...ระวังเถอะ สักวันเขาจะทนพี่ใหญ่ไม่ได้” มุกรินเบนความสนใจของธาดาไปที่ดวงดาว ธาดาถามดวงดาวว่าทนตนไม่ได้หรือ

“หนูไม่ทนอยู่แล้ว ไม่ถูกใจเมื่อไหร่ หนูก็ไปเมื่อนั้น” พูดแล้วเดินล่อธาดาเข้าห้องนอน ธาดาหลงกลเดินตามเข้าไป ถูกดวงดาวทั้งยั่วทั้งอ้อนจนธาดาลืมเรื่องมุกริน ระหว่างนั้นดวงดาวแอบดูเห็นมุกรินหิ้วกระเป๋าเดินผ่านหน้าห้องไป

คิมหันต์ขับรถของมุกรินพาเธอออกจากบ้านไป เธอถามว่า “คิมยังไม่บอกมุกเลยว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน”

“ผมอยากผูกตาคุณ แล้วค่อยเปิดตอนที่เราไปถึง” คิมหันต์อำอ่อนโยน มุกรินจึงขอหลับก่อนดีไหม “ได้เลย ถึงเมื่อไหร่ผมจะปลุกมุกขึ้นมาดูบ้านของเรา”

มุกรินยิ้ม เอียงหัวพิงไหล่เขาหลับตาอย่างอบอุ่น มีความสุข มีเพลงรักจากวิทยุในรถขับกล่อมตลอดทาง...

ooooooo

คิมหันต์ขับรถพามุกรินมาจอดที่หน้าบ้าน เขาก้มลงปลุกเธออย่างอ่อนโยน

“มุก...มุก...ถึงแล้ว” เธอถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่ว่าถึงไหนหรือ คิมหันต์ยิ้ม... “มุกอย่าเพิ่งลืมตานะ” แล้วเขาก็ลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านที่เธอนั่ง ค่อยๆ อุ้มเธอลงจากรถ พาเดินเข้าไปในบ้าน...

มันคือเรือนหอหลังนั้นที่เขาและเธอเคยร่วมกันสร้างขึ้นมานั่นเอง!

พอเข้าไปในบ้านแล้ว คิมหันต์หยุดยืนกลางโถงบ้านทั้งที่ยังอุ้มเธออยู่ มุกรินถามว่า “ลืมตาได้หรือยัง...คิม”

“ได้แล้วครับ มองให้เห็นเต็มๆตาเลยนะมุก”

มุกรินลืมตาดู พลันก็เบิกตาอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นเป็นเรือนหอหลังนั้น...ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม เหมือนที่เขาและเธอช่วยกันตบแต่งค้างไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไปอย่างกะทันหัน คิมหันต์ค่อยๆวางร่างเธอลง

“ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม” มุกรินพึมพำ

“ผมไม่ได้เอาอะไรไปทิ้งเลย...ตัดใจจะขายก็ขายไม่ลง...ผมรักของพวกนี้ทุกชิ้น”

ทั้งสองพากันเดินดูรูปถ่าย โดยเฉพาะรูปถ่ายตอนอยู่ด้วยกันที่เกาะร้าง... คิมหันต์เอ่ยอย่างระลึกถึงวันคืนที่ผ่านไปว่า “ความทรงจำที่จะไม่มีวันลืม...ที่นี่พอจะเป็นเรือนหอของเราได้ไหมครับมุก”

มุกรินโผกอดเขาไว้ด้วยความรักหมดหัวใจ...

ooooooo

เช้านี้คิมหันต์เข้าไปปลุกมุกรินให้มาทานอาหารเช้าก่อนที่มันจะเย็นชืด เขาวางถาดอาหารเช้าที่จัดทำอย่างน่ารักไว้ตรงหน้าเธอ มุกรินถามว่าเขาทำเองหมดเลยหรือ หยอกว่ากินได้ไหมเนี่ย?

“ถ้าไม่กินจะเสียใจ เพราะเชฟคนนี้ไม่ทำอาหารให้ใครกินง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คนที่รักสุดหัวใจ อย่าหวัง”

มุกรินหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง ถามอ้อนๆว่า “คิมทำอะไรให้มุกอย่างนึงได้ไหม” พอเขาถามว่าอะไร เธอหยิบแหวนเอ็นตกปลาออกมา ขอให้เขาสวมให้อีกทีได้ไหม เขารวบอุ้งมือที่ถือแหวนนั้นไว้บอกว่า

“เก็บมันไว้ในความทรงจำเถอะ สวมวงนี้ดีกว่า” เขาหยิบแหวนเงินเกลี้ยงๆ ขึ้นมาค่อยๆสวมที่นิ้วนางซ้ายเธอ เอ่ยจากหัวใจว่า “มุกคือเจ้าสาวคนเดียวของผมครับ”

หลังทานอาหารเช้าฝีมือคิมหันต์แล้ว ทั้งสองช่วยกันทำความสะอาด เก็บกวาดบ้าน...เรือนหอที่ช่วยกันตบแต่งแต่เพิ่งได้ใช้ เป็นความสุขที่เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีกันเพียงสองคน...

เพียงสายๆ ก็มีแขกคนแรกมาเยี่ยม เธอคือดวงดาวนั่นเอง พอเข้ามาเห็นมุกรินกับคิมหันต์ เธอทักว่าหน้าตามีความสุขจริงนะ มุกรินถามว่าแปลกใจหรือ

“ไม่เลย...เหมือนที่ฉันคิดไว้ไม่ผิด เป็นการยืนยันว่าเธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว” มุกรินถามว่าพี่ใหญ่เป็นไงบ้าง? “ตื่นขึ้นมาก็ออกไปข้างนอกเลย...เขาไม่รู้หรอกว่าเธอไม่อยู่แล้ว”

ขณะนั้นเองมือถือของคิมหันต์ดังขึ้น ดวงดาวถามว่าเปิดโทรศัพท์ด้วยหรือ เขาบอกว่าเปิดตามเวลาแล้วขอตัวไปรับสาย มุกรินพาดวงดาวเข้าไปในบ้าน ถามว่า “ถ้าพี่ใหญ่รู้เรื่องจะเป็นไงบ้าง?”

“ไม่ต้องห่วงน่า...ฉันเอาอยู่” แน่ใจ? “ถ้าเอาไม่อยู่ ฉันก็หนีมาอยู่กับเธอไง” ดวงดาวพูดขำๆ

ฝ่ายคิมหันต์คุยโทรศัพท์กับพักตราอยู่กลางบ้าน เธอตัดพ้อว่า ถ่ายรูปเพลินจนลืมตนเลยนะ คิมหันต์ขอโทษบอกว่าตนต้องใช้สมาธิ แล้วเปลี่ยนเรื่องถามว่าแขกของพ่อเธอล่ะ ต้อนรับเขาดีหรือเปล่า

“เขาเลื่อนค่ะ ไม่มาแล้ว พักตร์ยังโกรธพ่ออยู่เลย ไม่งั้นพักตร์ก็ได้ไปเป็นผู้ช่วยคิมที่โน่นแล้วล่ะ”

คิมหันต์ทำเป็นพูดอย่างห่วงใยว่าไม่มาน่ะดีแล้ว เพราะที่นี่ลำบากมาก ฝนตกทั้งวันทั้งคืนมาสามวันแล้ว

“ฝนตก?” พักตราทำเสียงฉงน

“ใช่ ผมยังถ่ายอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งรอฝน...เราก็เลยต้องปรับแผน ยุ่งกันใหญ่” เธอถามว่าบอกพ่อหรือยัง “บอกท่านตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังไม่ได้คุยกันอีก พ่อคุณก็คงกำลังยุ่งอยู่เหมือนกันแหละ”

“คงงั้นมั้ง...เทกแคร์นะคะ คิม” พักตรากดเลิกการสนทนาแล้วโทร.ถึงปริม ด้วยสีหน้าที่เครียดขึ้นทุกที “คุณปริมคะ พ่อโทร.หาคุณปริมบ้างหรือเปล่าคะ...”

ooooooo

มุกรินจัดอาหารมาให้ดวงดาวคนเดียวบอกว่าตนกับคิมหันต์กินกันก่อนเธอมาแล้ว พอดวงดาวตักอาหารเข้าปาก คิมหันต์เดินเข้ามาพอดีถามว่าอาหารฝีมือพวกตนพอไหวไหม

“อร่อย...กว่าฝีมืออาธาดา” เธอตอบพลางกินต่อ มุกรินขอตัวไปอาบน้ำ ให้คิมหันต์นั่งเป็นเพื่อนดวงดาวไปก่อน ดวงดาวนั่งมองหน้าคิมหันต์บอกว่าตนชอบเวลาเขามองมุกรินเพราะว่า “น่ารักดี ดูคุณมีความสุขมาก ฉันชอบสายตาแบบนี้”

“งั้นก็มาบ่อยๆสิ จะได้เห็นสายตาของผมบ่อยๆ” คิมหันต์หยอก แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมยังอยากได้ความคืบหน้าของนายธาดาจากคุณอยู่ เล่าเรื่องไอ้ขุมให้ฟังได้รึยัง”

ดวงดาวยกน้ำดื่ม แล้วจึงเล่า...

“คืนนั้น ฉันกำลังเล่นดนตรีกับเพื่อนๆอยู่ ก็มีโทรศัพท์อาธาดาโทร.เข้ามา...ตอนนั้น ฉันพูดไม่ได้ ฉันก็เลยกดอัดเสียงไว้ เผื่ออาเขาได้ยินเสียงดนตรีจะได้รู้ว่าเราเล่นดนตรีอยู่ พอฉันมากดฟังทีหลังกลายเป็นเสียงนี้...”

ดวงดาวกดเปิดเสียงที่อัดไว้ในโทรศัพท์ยื่นให้คิมหันต์ฟัง...เป็นเสียงการเคลื่อนย้ายข้าวของ มีเสียงธาดาแทรกขึ้นว่า

“โอเค...วางไว้ตรงนี้ เดี๋ยวแกเอาผ้านี่เช็ดลายนิ้วมือแกออกให้หมด...แล้วก็รออยู่ที่นี่เฉยๆ จนกว่าฉันจะโทรศัพท์เข้ามา”

“โทรศัพท์มาแล้วทำยังไงต่อ”

“กดปุ่มเปิดเพลงตรงนี้ แล้วแกก็กดรับโทรศัพท์เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รอจนฉันวางสายแล้วก็เช็ดลายนิ้วมือแกให้หมด จากนั้นแกก็หายหัวไปเลย ไปให้ไกลสุดขอบโลกเลย เข้าใจไหมไอ้ขุม”

เสียงที่อัดไว้หยุดลงตรงนี้ ดวงดาวบอกคิมหันต์ว่า “ฉันว่า มืออาธาดาคงไปกดปุ่มโดยบังเอิญ แบบไม่รู้ตัวน่ะ”

“มีใครได้ยินเสียงนี้แล้วบ้างไหม” คิมหันต์ถามเครียด

“ไม่มี ตอนแรกฉันตั้งใจจะเก็บเอาไว้อำอา จนลืมไปเลย แต่พอคนชื่อไอ้ขุมมาหาอาที่บ้าน ฉันเลยเอามาฟังอีกทีแล้วก็เริ่มเข้าใจ”

“เซฟเอาไว้ให้ดีนะ อย่าเพิ่งเปิดให้ใครฟัง วันนึง ผมอาจจะต้องพึ่งมัน” ดวงดาวถามว่าเพื่อทำลายนายธาดาหรือ? คิมหันต์ย้อนถามว่าเธอจะมีปัญหาไหม? “ถ้ามันคือความถูกต้อง ฉันก็ไม่รู้จะมีปัญหาทำไม”

คิมหันต์เอื้อมมือแตะไหล่ดวงดาวชมว่าเธอน่ารักมาก เธอน่าจะได้ผู้ชายดีๆเป็นแฟน ดวงดาวถามว่าผู้ชายดีๆที่ไหนจะเอาตน คิมหันต์มองหน้าท้า

“พนันกันไหมล่ะ?”

“ฉันไม่เล่นการพนัน...โดยเฉพาะกับเรื่องของหัวใจ” ดวงดาวตอบห้าวๆ ห้วนๆ ตามแบบของเธอ

วันนี้...ไอ้ขุมเข้าไปเล่นในบ่อนเสี่ยอ๋าเล่นได้ไปมากมายแล้วก็เลิก เสี่ยอ๋ายืนมองทุกอิริยาบถของไอ้ขุมอย่างสังเกต

ธาดามาแล้ว เขาเดินเข้ามาหาเสี่ยอ๋าขอคุยเรื่องยืมเงิน เสี่ยถามว่า “คุยกับน้องสาวมาแล้วหรือ?”

“ไม่จำเป็น ผมจะไม่ถลำจนไปถึงจุดนั้น เล่นแค่ได้สักสิบยี่สิบก็เลิกแล้ว แล้วผมจะไม่เข้ามาที่นี่อีกเลย”

“งั้นเหรอ...โอเค ผมเอาใจช่วยคุณ เฮ้ย...ไปเปิดเซฟเอาเงินให้เฮียแกหน่อย” เสี่ยสั่งลูกน้องคนสนิท

ธาดามองตามลูกน้องเสี่ยอ๋าไป ในแววตามีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

ooooooo

คิมหันต์โทรศัพท์คุยกับชุมสายเล่าเรื่องที่ได้ฟังเสียงในโทรศัพท์ที่ดวงดาวอัดไว้ให้ฟัง ชุมสายพูดอย่างเสียดายว่า

“นี่มันหลักฐานสำคัญเลยนะเว้ยไอ้คิม...ถ้าแกได้เทปเสียงนี้ตั้งแต่แรก ไอ้ธาดามันก็จบเห่ไปแล้ว” คิมหันต์ถามว่า แล้วตอนนี้จะให้ทำยังไง? “แกก็เก็บหลักฐานนี้ไว้ให้ดี ให้ฉันปรึกษาทางอัยการก่อน”

“ถ้าเป็นวิธีของฉัน เราจะไม่ต้องรอปรึกษาใครเลย” เสียงคิมหันต์กระด้างขึ้น

“ฉันเป็นทนายความนะเพื่อน ฉันทำทุกอย่างตามกฎหมาย ฉันไม่ทำอะไรผิดกฎหมายแบบที่พวกนักเลงเขาทำกัน”

“งั้นฉันสัญญาว่าจะไม่เอาแกเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากขอความช่วยเหลือนิดหน่อย...ไม่มีใครรู้หรอก” แต่พอชุมสายถามว่าจะให้ทำอะไร คิมหันต์ตัดบท “แกอย่าเพิ่งรู้เลยเพื่อน” แล้วตัดการสนทนาเลย เขามองไปอย่างไร้เป้าหมายแต่แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตและ เลือดเย็น...

พักตราเริ่มระแวง เธอโทร.เช็กทั้งคิมหันต์และอรรถ โทร.เองไม่ติดก็ให้ปริมโทร.ให้ ปรากฏว่าโทร.ไม่ติดเหมือนกัน ปริมบอกว่าพวกเขาอาจจะกำลังคุยกันอยู่ก็ได้ พักตราบ่นอย่างหงุดหงิดว่าคุยอะไรกันทั้งวัน ผู้ชายสองคนนี้เข้ากันดีเกินไปแล้ว ปริมบอกว่าดีกว่าพวกเขามีปัญหากัน

“คุณปริมไม่เดือดร้อนอะไรบ้างเลยเหรอ?” ปริมนิ่ง “ถ้าคุณพ่อแอบไปมีเด็กคนอื่น คุณปริมจะว่ายังไง”

“ดิฉันไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้นค่ะ...ถ้าท่านมีคนอื่นที่ดีกว่า ดิฉันก็จะไป”

“แค่เนี้ย! ไม่ต่อสู้เรียกร้องอะไรบ้างเลยเหรอ?” ปริมพูดปลงๆว่าอะไรที่เป็นของเราก็จะอยู่กับเรา ถ้า
ไม่ใช่ ต่อสู้ยังไงมันก็ไม่อยู่กับเรา “ตามใจคุณปริม พักตร์ไม่พูดด้วยแล้ว ยิ่งพูดยิ่งแก่...ช่วยหาเบอร์ผู้ช่วยช่างภาพของคิมให้พักตร์ดีกว่า”

ooooooo

มุกรินติงคิมหันต์ว่าไม่ควรปิดมือถือเผื่อมีเรื่องสำคัญเราจะไม่รู้เรื่อง มุกรินพูดไม่ทันขาดคำมือถือคิมหันต์ก็เรียกขึ้น เขาดูเบอร์แล้วบอกว่า เจมส์ ผู้ช่วยตนโทร.มา

คิมหันต์ถามว่าได้รูปครบไหม เจมส์บอกว่าไม่มีปัญหาแต่ปัญหาคือเมื่อหัวค่ำพักตราโทร.มาถามหา

เขา ตนไม่รู้จะตอบอย่างไรเลยบอกว่าเขาท้องเสีย นอกจากนั้นก็ถามเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป คิมหันต์ถามว่าแล้วตอบไปว่าไง?!

“ผมก็บอกไปตามความจริงครับ อากาศดี แสงสวย แต่ร้อนมากๆ” คิมหันต์อึ้ง เจมส์ถามว่าตนพูดอะไรผิดหรือเปล่า

“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ขอบใจมากเว้ยเจมส์”

วางสายจากเจมส์แล้วคิมหันต์เครียดเล็กน้อยมุกรินถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

“พายุลูกใหม่กำลังก่อตัว...แต่มันจะเป็นพายุลูกสุดท้าย หลังจากนี้ฟ้าจะเปิด ความแจ่มใสจะกลับคืนมา เชื่อผมสิ”

ฝ่ายไอ้ขุมเล่นได้เงินมากมายเดินนับเงินออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง หารู้ไม่ว่าเสี่ยอ๋าส่งลูกน้องตามมา พอมันรู้ตัวก็วิ่งหนีแต่หนีไม่พ้น ถูกจับตัวไปให้เสี่ยอ๋า เสี่ยโทรศัพท์บอกคิมหันต์ว่า “ผมได้ตัวมันมาแล้ว”

“เยี่ยมเลย เดี๋ยวบ่ายๆผมจะแวะไปหานะ อย่าให้มันตายเสียก่อนล่ะครับเสี่ย”

ooooooo

พักตราโทร.เช็กกับเจมส์แล้ว เธอโทร.หาคิมหันต์ตัดพ้อต่อว่าที่เขาไม่โทร.มาหา ซ้ำตนโทร.ไปก็ยังติดต่อไม่ได้ด้วย คิมหันต์บอกว่าตนลืมโทรศัพท์ไว้ในเป้ เธอประชดหวานๆว่า “ขี้ลืมจัง”

“งานมันยุ่งครับ นี่ผมก็แยกไปถ่ายรูปคนละโลเกชั่นกับผู้ช่วยนะ อากาศเป็นยังไงก็ไม่รู้ เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก”

พักตราหาทางจับโกหกขอให้เขาส่งรูปมาให้ดูบ้าง อยากเห็นจังว่าจะสวยแค่ไหน บอกรักคิดถึงแล้วตัดสายหน้าเครียด

มุกรินถามคิมหันต์ว่าวันนี้จะไปไหนหรือเปล่า เขาบอกว่ามีธุระเกี่ยวกับคดี ส่วนมุกรินบอกว่าตนจะออกไปหาซื้อของเข้าบ้านหน่อย ขณะนั้นเอง มือถือของมุกรินมีสายเข้า เธอดูหน้าจอบอกคิมหันต์ว่าพักตราโทร.มา

“ไม่ต้องรับ เขากำลังสงสัยเรา” คิมหันต์รีบบอก มุกรินถามว่าแล้วตนควรทำยังไง? “ทำใจสบายๆ รอพบกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น และเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่เรื่องราวดีๆของเราสองคน”

พักตรารอสายอยู่นาน เมื่อไม่มีใครรับ เธอกดยกเลิก จิกตาไปข้างหน้าอย่างดุดัน แล้วรีบไปที่บริษัท เจอปรารภกำลังประชุมอยู่ เธอเข้าไปสั่งให้ออกมาโทร.หามุกรินให้ตน เรื่องประชุมเสร็จงานนี้แล้วค่อยว่ากัน

ปรารภโทร.หามุกริน เธอรับสายถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เพราะเขาโทร.มา พอตนรับสายเขาก็เงียบ

“นั่นแหละ พี่อยากให้มุกได้ยิน มุกได้ยินชัดไหม” มุกรินบอกว่าได้ยินเขาด่าตน “เขาพาลกับทุกคน เขาต้องการรู้ให้ได้ว่ามุกอยู่ที่ไหน”

มุกรินบ่นว่านี่ขนาดตนลาออกแล้วยังหาเรื่องถึงขนาดนี้ ปรารภถามว่าแล้วเธออยู่ไหนล่ะ มุกรินบอกว่าตนปลอดภัยไม่ต้องห่วง ปรารภพยายามจะรู้ที่อยู่หรือไม่ก็นัดพบกัน ไม่อย่างนั้นพักตราจะต้องไล่บี้ไม่เลิกแน่

“อย่าเลยค่ะพี่รภ เราไม่เจอกันจะปลอดภัยกว่า ทั้งตัวมุกและพี่รภด้วย ขอบคุณพี่รภนะคะที่ห่วงใยมุกเสมอมา”

“มุก...ฟังพี่ก่อน....”

“สวัสดีค่ะ” มุกรินเอ่ยลาแล้วตัดสายเลย เธอถามดวงดาวว่า “ฉันควรจะทำยังไงดี?”

“ก็ทำตัวเป็นนางเอกสิ อยู่เฉยๆให้พระเอกเขาเป็นคนจัดการ”

ooooooo

ไอ้ขุมถูกทรมานเพื่อให้สารภาพเรื่องฆ่าวิมลรัตน์คืนนั้น มันปากแข็งไม่ยอมปริปาก ต่อรองให้เลิกทรมานตนก่อน

เสี่ยอ๋ากับคิมหันต์ที่ดูการ “รีด” ไอ้ขุมอยู่ คิมหันต์ถามว่ามันบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับธาดาอย่างไร เสี่ยอ๋าบอกว่า มันว่าเป็นแค่คนรู้จัก เสี่ยอ๋าเล่าเพิ่มเติมว่า

“แต่ข้อมูลที่เราหาได้ก็คือมันเป็นเด็กเก่าของเสธ.พุฒิ ผู้ทรงอิทธิพลที่วงการนักเลงก้มหัวให้ มันเคยเป็นมือปืน คุ้มกันคนตามคำสั่งของเสธ.พุฒิ ส่วน
นายธาดาเคยไปยืมเงินเสธ.พุฒิไว้เยอะ”

คิมหันต์บอกว่าตนไม่อยากรู้เรื่องเหล่านั้น อยากรู้เฉพาะเรื่องฆาตกรรมคืนนั้น เมื่อมันยังไม่ยอมเปิดปากก็ซ้อมหนักขึ้นได้ไหม เสี่ยอ๋ากลัวมันจะตายไปเสียก่อน แต่รับรองว่าไม่เกินสองวันมันต้องยอมพูดแน่ๆ

พอดีมือถือของคิมหันต์ดังขึ้น เขาจึงเดินออกไปคุยโทรศัพท์ ปรากฏว่าเป็นสายจากอรรถ โทร.จากโรงแรมที่พัก

“นายทำอะไรอยู่ที่ไหนไอ้ลูกชาย อย่าบอกนะว่าถ่ายรูปอยู่ ฉันไม่เชื่อ ถ้าตอบไม่ได้ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ซักไซ้เรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นข้อตกลงกันอยู่ แต่ฉันต้องขอเตือนหน่อยนะว่านายกำลังมีพิรุธ”

อรรถบอกว่าพักตรากำลังสงสัยเขาและลามมาถึงตนด้วย โทร.เข้าไปเช็กที่ออฟฟิศ ปรามคิมหันต์ว่าถ้าเขากำลังทำอะไรอยู่ก็อย่าให้เรื่องเลวร้ายจนตนรับไม่ได้ ย้ำเหี้ยมๆว่า “เพราะถ้าถึงขั้นนั้นเมื่อไหร่ ข้อตกลงใดๆระหว่างเราจะไม่มีความหมายทั้งสิ้น ชีวิตจิตใจของลูกสาวฉันสำคัญที่สุด เข้าใจนะ”

คิมหันต์เครียด โทร.ถามเจมส์ว่าเก็บภาพได้ครบหรือยัง ให้ส่งรูปเข้ามือถือตนหน่อยเดี๋ยวนี้เลย ย้ำกับเจมส์ว่า

“ถ้ามีโทรศัพท์ถึงแก ดูเบอร์ให้ดีก่อน ถ้าไม่ใช่เบอร์พี่ไม่ต้องรับเด็ดขาด เข้าใจนะ”

ooooooo

พักตราได้รับรูปที่คิมหันต์ส่งมา เธอเปิดดูทีละภาพ...ทีละภาพ...พร้อมคำบรรยาย เธอวางโทรศัพท์ลงข้างตัว แสยะยิ้ม ขณะหางตามองปืนกระบอกเล็กสีบรอนซ์วาววับที่วางอยู่ข้างตัว

ครู่ต่อมา คิมหันต์ก็ได้รับข้อความจากพักตราว่า

“พรุ่งนี้พักตร์จะไปรับที่สนามบินนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้ พักตร์จะได้ไม่ต้องลำบาก” คิมหันต์ตอบทันทีทั้งยังบอกว่ามีของฝากเธอด้วย

งานนี้ พักตราไม่ตื๊อ เธอบอกรัก บอกคิดถึงเหมือนปกติ คิมหันต์หวานไปเช่นกันแล้วต่างกดตัดการสนทนา

มุกรินเดินมาถามว่าพักตราโทร.มาหรือ เวลาของตนหมดแล้วใช่ไหม คิมหันต์ยืนยันว่านี่เป็นการเริ่มต้นต่างหาก

“ผมขออีกอาทิตย์เดียวนะมุก เจ็ดวันเท่านั้นได้ไหม” เธอบอกว่ามากกว่านั้นก็รอได้ “มุกอยู่ที่นี่เลยนะ รอผมที่นี่แหละเพราะที่นี่คือบ้านของเรา”

รุ่งขึ้นคิมหันต์หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋ากล้องและถุงของฝากไปที่คอนโดพักตรา ร้องบอกเธออย่างร่าเริงว่า

“ผมกลับมาแล้วครับ แล้วนี่ของฝากของคุณ ผ้ามัดหมี่ฝีมือแม่เฒ่าที่อำเภอ...”

“ไม่ต้องมาโกหก!” พักตราบ้าดีเดือดใส่ทันที

จากนั้นทั้งคำถาม คำด่า ก็ระเบิดออกมาจากปากราวห่ากระสุน สั่งให้เอากระเป๋าเสื้อผ้ามา แล้วเปิดค้นไปจับผิดไป “ไหน...มีเสื้อผ้าเลอะโคลนไหม ที่ว่าฝนตกทำงานยาก ไหนเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมเรียบร้อยอย่างนี้เหรอสองวันสองคืน แล้วบอร์ดดิ้งพาสล่ะ อยู่ไหน มีไหม!”

คิมหันต์อึ้งไปอย่างรับสถานการณ์ไม่ทัน พักตรารุกต่ออย่างดุเดือดเลือดพล่าน

“จะแก้ตัวว่าไงอีกหา! ฉันเช็กสายการบินแล้วไม่มีชื่อนายคิมหันต์บินกลับมาไฟลท์นี้เลย แล้วนายคิมหันต์กลับมาวันไหนรู้ไหม วันเดียวกับที่บินไปนั่นแหละ นายคิมหันต์ไปถึงสนามบินเลย แล้วนายคิมหันต์ก็ซื้อตั๋วบินกลับมากรุงเทพฯเดี๋ยวนั้นเลย...คำถามคือ นายคิมหันต์ไปอยู่ที่ไหนมา!!”

คิมหันต์ยังยืนอึ้ง ถูกพักตราเข้าทุบตีรัวถามอย่างไม่รอคำตอบ...

“แกไปอยู่กับใครมาตั้งสี่วันสี่คืน...แกทำกับฉันอย่างนี้ได้ไง ทำไมทำอย่างนี้”

พอตั้งหลักได้คิมหันต์ขอให้ฟังตนก่อน พักตราตะโกนใส่หน้าว่าไม่ฟังเพราะตนรู้เรื่องหมดแล้ว จากที่เคยเรียกคิมที่รัก ก็กลายเป็นเรียก แก ไอ้ กระทั่งด่าเป็นสัตว์ คิมหันต์สุดทนเลยเข้าห้องปิดประตู ปล่อยให้เธอบ้าอยู่หน้าห้อง

พักตราด่าและทุบประตูปึงปังไม่เลิก คิมหันต์เปิดประตูออกมาถามว่าเธอต้องการให้ตนยอมรับใช่ไหม พอเขายอมรับเธอกรี๊ดลั่นทั้งด่าทั้งตะโกนอยากฆ่าทั้งคู่เลย

คิมหันต์บอกว่าพูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้ตนไม่อยู่แล้ว เขาเดินหนีไปท่ามกลางเสียงด่าอย่างบ้าคลั่งของพักตรา กระทั่งตามไปด่าถึงอาคารจอดรถ แต่คิมหันต์ก็ไปแล้ว

ooooooo

ปริมโทร.ถามอรรถว่าตอนนี้อยู่ไหน อรรถบอกว่าตนออกจากสนามบินแล้วกำลังจะเข้าออฟฟิศ ถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ

“คุณพักตร์กำลังอาละวาดหนักเลยค่ะ หนักกว่าทุกครั้งที่เราเคยเห็นนะคะ”

อรรถไปหาพักตราที่คอนโดทันที เห็นเธอไปยืนหมิ่นเหม่อยู่ที่ระเบียง เขาตกใจถามว่าลูกคิดจะทำอะไร พักตราบอกว่าตนอยากตาย

“ไม่เอาน่าลูก เรื่องแค่นี้เอง” พักตราถามว่าแค่นี้เองหรือคู่หมั้นตนทั้งคนนะ “ถ้าเทียบกับชีวิตเราทั้งชีวิตมันก็แค่เรื่องขี้หมาๆเท่านั้น เราจะเอาชีวิตเราไปผูกกับผู้ชายหมาๆคนเดียวทำไม”

พักตราคร่ำครวญว่าตนรักเขาไม่อยากเสียเขาไป อรรถบอกว่า “งั้นเราก็ต้องไม่ทำตัวอย่างนี้ เรายิ่งทุรนทุราย เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเหนือกว่าเรา จะทำอะไรกับเราก็ได้ เพราะฉะนั้นลูกต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี นิ่ง มีสติไว้”

พักตราถามว่าแล้วเขาจะกลับมาไหม อรรถยืนยันว่า เขาต้องกลับมา บอกเธอว่า

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพ่อเอง...ตอนนี้ลูกทำตัวให้สดใสเข้าไว้ รอให้เขาเป็นฝ่ายเดินกลับมาหาเรา มาซบลงตรงปลายเท้าเรา...ส่วนเราก็จะ
ยืนเชิดหน้าอย่างเท่ห์ๆดีกว่ากันเยอะนะลูก”
“พ่อต้องทำให้เขากลับมาจริงๆนะ ให้เขารักพักตร์คนเดียวนะพ่อ”

“พ่อสัญญา”

ooooooo

คิมหันต์ขับรถไปจอดสงบสติอารมณ์ที่ริมถนนเปลี่ยว โทร.เรียกชุมสายมาพบ ชุมสายหยอกว่าค่าปรึกษาตนชั่วโมงละสี่พัน ไล่ให้เขาไปหามุกรินจะได้ไม่เสียสตางค์ คิมหันต์บอกว่าไม่อยากให้เธอลำบากใจมากกว่านี้

“ตกลงเรื่องไอ้ขุมอัยการว่าไง” คิมหันต์เปลี่ยนเรื่อง

“ก็อย่างที่ฉันเคยบอกนั่นแหละ เราทำได้แค่แนบพยานหลักฐานไปในคำร้อง ศาลจะพิจารณาหรือไม่อยู่ที่ดุลพินิจของท่าน” คิมหันต์ทำเสียงอืม...ไปอย่างนั้นเอง ชุมสายถามว่า “ดูเหมือนแกจะไม่หวังพึ่งศาลแล้วใช่ไหม”

“ฉันพึ่งคนที่มีดุลพินิจเหมือนฉัน...น่าจะดีกว่า”

คนที่มีดุลพินิจเหมือนกันคือเสี่ยอ๋านั่นเอง

เสี่ยอ๋ากำลัง “รีด” ไอ้ขุมอย่างหนัก แต่มันก็ไม่ยอมเปิดปากจนเสี่ยบอกว่าชักจะเบื่อแล้ว ถ้าไม่ยอมเปิดปากก็ตายๆ ไปเสียตนจะได้ไปทำอย่างอื่น

แล้วไอ้ขุมก็ถูกทรมานจนยอม เสี่ยอ๋าโทร.บอกคิมหันต์ว่ามันพร้อมสารภาพและให้เราบันทึกภาพเป็นหลักฐานทั้งหมด คิมหันต์ตอบอย่างกระตือรือร้นว่า แจ๋วมากเดี๋ยวจะไปเลย แล้วหันชวนชุมสาย

“อยากไปดูคำสารภาพพร้อมกับผมไหมครับ คุณทนาย”

ooooooo

ปรารภผิดสังเกตกับพฤติการณ์ของมุกริน เขาไปหาที่บ้านธาดา แต่ประตูใส่กุญแจแบบไม่มีคนอยู่ เขาโทร.ถามธาดาก็ถูกธาดาด่าว่า

“คุณชักจะยุ่งกับเรื่องในครอบครัวผมมากเกินไปแล้วนะ และทุกครั้งที่คุณเสนอหน้าเข้ามา ก็จะมีเรื่องวุ่นวายกับน้องสาวผมเสมอ” แล้วไล่ตะเพิด “ช่วยไปให้พ้นๆจากบ้านผมเสียที น้องสาวผม ผมตามหาเอง”

“ได้...ถ้ามั่นใจว่าจะตามหาเจอก็เชิญ”

ธาดาไปตามหามุกรินที่ร้านอาหารที่ดวงดาวร้องเพลงอยู่ ถามอย่างตึงเครียดทันทีว่ามุกอยู่ไหน ตนติดต่อไม่ได้

“แล้วคิดว่าหนูติดต่อได้เหรอ?”

ธาดาอารมณ์เสียปรามว่าอย่าเสียเวลา ดวงดาวถามว่ามุกรินหายไปสามวันแล้วเพิ่งจะรู้หรือ ธาดาเริ่มปวดหัวขึ้นมาตวาดถามว่า ไอ้คิมอีกแล้วใช่ไหม ดวงดาวไม่ทันพูดอะไร ธาดาก็หน้ามืดยืนโงนเงน แต่ยังสั่งดวงดาวว่า

“พาอาไปหามุกเดี๋ยวนี้เลย...มุกอยู่ไหน” ดวงดาวบอกให้นั่งก่อน ธาดาก็ร่ำร้องแต่จะหามุกริน จนล้มหงายไป

ดวงดาวต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล

มุกรินรีบตามไปโรงพยาบาลทันที พอดวงดาวบอกหมอว่าเธอคือน้องสาวของธาดา มุกรินถามอย่างร้อนใจว่าพี่ชายตนเป็นอย่างไรบ้าง?

“ยังตอบไม่ได้ครับเพราะเราต้องรักษาอาการเบื้องต้นก่อน จากนั้นถึงจะส่งไปเอกซเรย์หรือทำซีทีสแกนได้ เมื่อได้ผลแล้วค่อยมาวินิจฉัยอาการอีกที”
ดวงดาวบอกว่าคงยากเพราะเดี๋ยวพอรู้สึกตัวขึ้นมาธาดาก็จะไม่ยอมอีก

“ญาติก็ต้องช่วยหมอด้วยนะครับ ไม่งั้นหมอก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

ครู่เดียวคิมหันต์ก็โทร.ถามมุกรินว่าอาการของธาดาเป็นอย่างไรบ้าง? เธออยู่กับดวงดาวใช่ไหม? อยู่ได้ไหม? มุกรินบอกว่าอยู่ได้ ย้อนถามเขาว่า

“ถามจริงๆ คิมดีใจใช่ไหมที่พี่ใหญ่เป็นอย่างนี้”

“ฟังนะมุก... เมื่อไหร่ก็ตามที่มุกเป็นทุกข์ ผมจะมีความสุขได้ยังไง เจอกันที่บ้านเรานะครับ” พอวางสายจากมุกริน คิมหันต์บอกชุมสายว่า “ไอ้ธาดาป่วยหนัก” ชุมสายถามว่าเขาคงสะใจล่ะสิ คิมหันต์ตอบทันทีว่า “สุดๆ เลยเพื่อนเอ๊ย!” แล้วระเบิดหัวเราะลั่นรถ

ooooooo

พักตราขับรถตามหาคิมหันต์ไปที่บ้านวิมลรัตน์ก็ไม่เจอ ถวิลบอกว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เป็นเดือนๆ แล้ว ไปที่บ้านธาดาก็พบว่าประตูปิด ไปบ้านเก่าของคิมหันต์ก็ไร้วี่แวว

เมื่อตามหาจนทั่วแล้วไม่มีวี่แววของคิมหันต์ พักตรากลับไปที่มูลนิธิ พนาอรรถ ถามปริมว่าตนจะทำอย่างไรดี

“คุณพักตร์ควรจะใจเย็นๆ รอให้คุณพ่อจัดการให้ เดี๋ยวทุกอย่างก็เรียบร้อยเอง”

“พักตร์รอไม่ไหวแล้วนะ คุณปริมลองมาเป็นพักตร์สิแล้วจะรู้ว่ามันทรมานขนาดไหน” พักตราทำท่าจะตายให้ได้

“ทรมานแค่ไหนก็ต้องทน” เสียงอรรถแทรกเข้ามา พักตราถามว่าตนจะได้อะไรจากการทน “ได้สิ่งที่ลูกต้องการสิพ่อว่าลูกเอาเวลาตอนนี้ไปนอนนวดตัว อาบน้ำแร่แช่น้ำนมให้ผิวพรรณผ่องใส แล้วตัดชุดเตรียมไว้ดีกว่า”

“ชุดอะไรคะ” พักตราทำหน้างง

“ชุดเจ้าสาวสิลูก พรุ่งนี้พ่อจะพาตัวคู่หมั้นของลูกกลับมาแต่เช้า แล้วเราจะหารือเรื่องงานแต่งงานของสองคนทันที ดีไหมลูก”

พักตรายิ้มออกทันที

ooooooo

ในที่สุดไอ้ขุมก็ยอมเปิดปาก เสี่ยอ๋า คิมหันต์ และชุมสายอยู่ในมุมหนึ่ง ในขณะที่ไอ้ขุมในสภาพแต่งตัวเรียบร้อยเนื้อตัวสะอาดไร้ร่องรอยบอบช้ำใดๆ นั่งเตรียมอัดเสียงอยู่กับลูกน้องเสี่ยอ๋าคนหนึ่งที่แต่งตัวคล้ายตำรวจ

ลูกน้องเสี่ยอ๋าถามว่าพร้อมจะพูดแล้วใช่ไหม ไอ้ขุมบอกพร้อม เขาบอกให้มันแนะนำตัวเองแล้วพูดได้เลย

“ผม นายสุขุม มากทรัพย์ ขอสารภาพความจริงของเหตุการณ์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558...” แล้วมันก็เล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นว่า

คืนนั้นฝนตกหนัก ขณะตนนั่งกินเหล้าอยู่คนเดียว ก็ได้รับโทรศัพท์จากธาดาซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันอย่างดี

ลูกน้องเสี่ยอ๋าถามว่ารู้จักธาดาได้ยังไง

“คุณธาดาชอบไปยืมเงินเสธ.พุฒิ ผมเป็นลูกน้องเก่าท่านก็เลยคุ้นกัน เขาโทร.มาขอให้ผมไปหาเขาที่บ้าน”

เวลานั้นฝนตกหนัก ตนถามว่าเดี๋ยวนี้เลยหรือฝนกำลังตกหนักเลยนะ ธาดาบอกว่า

“ฝนตกหนักน่ะแหละดี จะได้ไม่มีใครเห็นแก มาเดี๋ยวนี้เลยนะ เหาะได้ก็เหาะมาเลย เดี๋ยวมีเงินให้”

ไอ้ขุมเล่าต่อว่า...

“ผมแทบช็อกเลยครับ ผมเห็นคุณธาดายืนหน้าซีดอยู่ข้างๆเมียเขาที่นอนตายอยู่ตรงอ่างอาบน้ำ!”

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ