วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลิงตะวัน ตอนที่ 3


เปลวออกไปพูดคุยกับนันทวัฒน์ที่หน้าบ้านหาได้รอดพ้นสายตาของทรงพล!

ทรงพลนั่งบนรถเข็นมองจากสนามและรอจนกระทั่งเปลวกลับเข้ามาแล้วถามเธอว่าพูดอะไรกับมัน เปลวเฉไฉไม่ตอบแต่ถามเขาว่าลงมาได้ยังไง เธอกำลังจะขึ้นไปเตรียมอาหาร ทรงพลหน้าตึงกระแทกเสียงด้วยความไม่พอใจว่าเห็นตนตาบอดหรือยังไง เธอพูดอะไรกับนันทวัฒน์

เปลวอึกอักก็ยิ่งโดนดุ ทรงพลอารมณ์ขึ้น โวยวายเสียงดังจนเธอต้องพูดความจริงว่า บอกนันทวัฒน์ว่าปรางค์ไม่กลับมาแล้ว

“เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง เธอรู้ได้ไงว่ายัยปรางค์จะไม่กลับมา”

“ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณวัฒน์เธอต้องมานั่งรอ”

“ไหนมันว่ารักนักรักหนาไง ก็ให้มันรอจนอกแตกตายไปเลยสิ”

เปลวไม่รู้จะพูดอะไรกับทรงพลอีก เพราะเถียงทีไรเธอก็แพ้ทุกที ตัดบทว่าจะไปเตรียมอาหาร แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ดึงดันเข็นรถตามเธอไปจนเสียหลักล้มลง เปลวตกใจรีบหันกลับมาดูด้วยความเป็นห่วง แต่เขาสะบัดหนี ตวาดไล่เธอไม่ให้มายุ่งกับคนพิการอย่างตน

ทรงพลน้อยใจผลักเปลวออก เปลวไม่ละความพยายามจะช่วยเขาและพร่ำพูดว่าตนขอโทษ ทรงพลอัดอั้นร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร พลางทุบขาตัวเองด้วยความน้อยใจในโชคชะตา ร่ำร้องว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ เปลวฉุดมือเขาไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ในขณะที่เธอเองก็รู้สึกกดดันจนน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน

ooooooo

ที่ไร่นวลตะวัน แม่นวลหาวิธีช่วยแบ่งเบา

ธงไทยในการดูแลหญิงสาวนิรนามด้วยการให้คนอื่นๆ ในบ้านรวมทั้งตัวเองช่วยกันทำให้เธอไว้วางใจ

แรกๆก็มีอุปสรรคเพราะเธอไม่ยอมเข้าหาใครนอกจากธงไทย แต่ผ่านพักใหญ่ความพยายามของแม่นวลก็ไม่เสียเปล่า หญิงสาวยอมให้แม่นวลพาไปอาบน้ำแต่ก็ทิ้งคราบปัสสาวะเรี่ยราดไว้ให้พวกเจียมจัดการ พอดีจ๊ะจ๋ากลับเข้ามา เจียมเลยเกี่ยงให้หลานเป็นคนทำ

แน่นอนว่าจ๊ะจ๋าไม่ยอมและทำท่ารังเกียจ สองป้าหลานเกี่ยงกันไปมาหน้าดำหน้าแดง แต่แล้วเกิดความละอายเมื่อหนูพุทธอาสาทำเองเพราะไม่ต้องการให้บ้านแม่นวลสกปรก

ธงไทยกลับออกมาหลังจากส่งหญิงสาวเข้าไปให้แม่นวลอาบน้ำ ถามพวกเจียมว่ามีอะไรกัน เจียมอึกอักเล็กน้อยก่อนบอกว่าไม่มีอะไร ให้หนูพุทธส่งผ้ามาป้าจะทำเอง

“ไม่เป็นไรจ้ะ หนูพุทธทำได้จ้ะ ป้าเจียมไม่อยากทำ ไม่ใช่เหรอ”

เจียมหน้าตาเหลอหลา ยิ้มเจื่อนๆให้ธงไทย ชายหนุ่มเข้าใจบอกไม่เป็นไร แล้วขอผ้าจากหนูพุทธมาทำเอง แต่จ๊ะจ๋าเร็วกว่าฉวยผ้าจากมือหนูพุทธมาจัดการด้วยท่าทีขยะแขยง
ในห้องน้ำ แม่นวลแกะผ้าพันแผลที่ศีรษะหญิงสาวซึ่งถูกโกนผมเห็นร่องรอยแผลยาวแต่แห้งดี จากนั้นค่อยๆ

เปิดน้ำจากฝักบัวรดตัวเธอพร้อมกับปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเธอสะดุ้งจะลุกหนี

“ไม่เป็นไรนะ อาบน้ำ...ล้างตัวให้สะอาด ล้างออกไปซะ อะไรที่ไม่น่าจดจำ ล้างออกไปให้สะอาดนะลูกนะ จากนี้ไปลูกจะเป็นคนใหม่ สะอาดทั้งภายในภายนอก แม่จะดูแลหนูเอง”

หญิงสาวเชื่อฟังนั่งลงอย่างว่าง่าย ดวงตาอ่อนโยน มีรอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนใบหน้า พูดคำว่าแม่ออกมาสองครั้ง ทำให้แม่นวลมีกำลังใจ...

กว่าจะเสร็จงานทำความสะอาดพื้น จ๊ะจ๋ากับป้าเจียมก็ทุ่มเถียงกันอยู่นาน ตาท้วมรู้เห็นด้วยความเหนื่อยใจ แล้วเจียมก็เพิ่งนึกได้ว่าทำไมจ๊ะจ๋าไม่ไปเรียน พอดีไผ่โผล่เข้ามาหน้าตามีรอยแตกช้ำ ตาท้วมรู้ทันทีว่าเกิดเรื่องเร่งไผ่ให้พูดออกมา

หลังจากเล่าจบ ไผ่โดนเจียมบ่นเป็นกระบุงว่าทำอะไรไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทีนี้ได้อยู่กันไม่เป็นสุขแน่ เพราะไปมีเรื่องกับลูกน้องเสี่ยหมู...เวลาเดียวกัน เสี่ยหมูกำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชมจอมทำดีมากแถมมีเงินรางวัลให้อีกห้าพัน สะใจที่พวกไร่นวลตะวันจะอยู่ไม่เป็นสุข

ooooooo

พิชิตถูกนันทาเรียกมาตำหนิไม่ดูแลนันทวัฒน์ให้ดี เขาหายไปทั้งคืนยังติดต่อไม่ได้ พิชิตก้มหน้านิ่งไม่ตอบโต้ แต่กันเกราท้วงนันทาว่าลืมหรือเปล่าว่าเป็นคนสั่งไม่ให้พิชิตตามนันทวัฒน์ไป

นันทาหงุดหงิดพาลไปหมด ตวัดเสียงว่า “นั่นแหละ หน้าที่ของเธอคือคุ้มครองความปลอดภัยให้ตาวัฒน์และคนบ้านนี้...ถ้าทำไม่ได้ก็ถือว่าเธอเป็นคนไร้ประโยชน์”

พิชิตเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงใจ กันเกราพยายามไกล่เกลี่ยแล้วให้พิชิตกลับไป แต่กลายเป็นว่าพอพิชิตเดินพ้นไป นันทาก็พาลพาโลเอากับกันเกราที่ไม่ให้ห่วงนันทวัฒน์ เดี๋ยวเขาก็กลับมา

“เธอก็พูดได้สิ ตาวัฒน์ไม่ใช่ลูกเธอนี่”

กันเกราสะอึก แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนที่ไม่เคยถือสาใคร ร่าเริงและมองโลกในแง่ดี เธอตอบกลับ เบาๆและยิ้มแย้ม

“ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูกนั่นแหละค่ะพี่นัน ก็เพราะเด็กสองคนนี้ไม่ใช่เหรอคะ ฉันถึงอยู่มาจนขึ้นคานแบบนี้ มาค่ะเชื่อน้อง พักก่อนนะคะ”

นันทาได้คิด ทุกวันนี้บ้านเป็นบ้านได้ก็เพราะมีกันเกราคอยช่วย สายตาเธอเริ่มอ่อนลง ยอมลงนั่งและดึงมือกันเกราที่จะไปเอาชาร้อนมาให้

“ขอบใจนะกันเกรา เธอดีซะยิ่งกว่าน้องสาวแท้ๆ ของพี่ซะอีก”

“ญาติเราก็ไม่ได้เยอะ มีกันแค่นี้ก็ต้องรักกันเอาไว้สิคะ”

“หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าถือสาพี่เลยนะ”

“อุ๊ย น้องไม่คิดมากหรอกค่ะ คิดมากเดี๋ยวแก่ค่ะ น้องไปสั่งงานเด็กนะคะ”

นันทาพยักหน้า มองตามกันเกราไปแล้วเอนตัวพิงเก้าอี้ เหนื่อยใจเหลือเกินเรื่องลูกๆ ด้านพิชิตที่กำลังจะกลับออกจากบ้าน เจอพยาบาลที่ดูแลเจ้าสัววัฒนา เธอขอแรงเขามาช่วยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้วัฒนา พิชิตตามเธอไปด้วยความเต็มใจ แต่ในระหว่างช่วยเธออยู่นั้น วัฒนาซึ่งนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาคลายเครียดก็ลืมตาโพลงขึ้นมา

พิชิตตกใจมาก วัฒนามองเขาตาแดงก่ำและพยายามขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่มีเสียง สีหน้าที่แสดงออกมาดูอัดอั้นและเจ็บปวด พยาบาลตกใจถามท่านเป็นอะไร

วัฒนามองพิชิตตาไม่กะพริบ น้ำตาแห่งความเจ็บแค้นเริ่มซึมออกจากตาแดงก่ำ ตัวสั่นจนสัมผัสได้ จังหวะนั้นกันเกราเดินเข้ามาเห็นพิชิตยืนอยู่ ถามเขาว่ามายืนทำอะไรตรงนี้

“คุณกันเกราคะ ท่านเป็นอะไรไม่ทราบค่ะ” พยาบาลแทรกขึ้นมาหน้าตาตื่น กันเกราพลอยตกใจ สังเกตสายตาของวัฒนามองพิชิต จึงรีบตัดบทว่า

“พิชิตจ๊ะ เธอไปพักเถอะนะ”

พิชิตพยักหน้าแล้วหันกลับไปทันที วัฒนาค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ฉันขอโทษค่ะคุณกันเกรา” พยาบาลพูดหน้าเจื่อน

“ช่างเถอะ ท่านคงไม่ชินกับคนนอกน่ะ ต๊าย! นี่ถ้าเป็นคุณทศจะไม่ยิ่งกว่านี้เหรอเนี่ย”

พิชิตเดินตัวสั่นออกมาที่ลานจอดรถ เขาอัดอั้นตันใจมาก พาลเตะโน่นเตะนี่ บ่นอุบว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทันใดนั้นรถนันทวัฒน์แล่นเข้ามาจอด ชายหนุ่มเปิดประตูลงมายืนทรงตัวแทบไม่อยู่เพราะความเมา พิชิตตกใจรีบเข้าประคองแต่ถูกเขาผลักไสไม่ให้มายุ่ง แล้วจากนั้นก็ร้องไห้สลับกับเรียกชื่อปรางค์ออกมา

อีกครู่ต่อมา กันเกราให้พิชิตแบกนันทวัฒน์ มาวางบนโซฟา ชายหนุ่มยังคงโวยวายหาผู้หญิงชื่อปรางค์ไม่เลิก

“ปรางค์...กลับมาหาผม...อย่าทิ้งผมไป”

พิชิตมองนันทวัฒน์ด้วยความสงสาร ใจเขาคิดอะไรบางอย่าง ทำให้สีหน้าแสดงออกมาอย่างไม่สบายใจนัก

“วัฒน์...ตาวัฒน์ใจเย็นๆนะ ยกขาขึ้นก่อน นอนพักซักหน่อยนะคะ”

“น้ากันเกรา...ปรางค์เขาทิ้งผมไปแล้ว”

“พักก่อนนะคะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะคะ”

นันทาเดินพรวดพราดเข้ามาเห็นสภาพลูกชายเมาแอ๋ก็กรีดร้องถามว่าทำไมเมามาแบบนี้ แล้วยิ่งแตกตื่นยืนหน้าชาเมื่อลูกชายหัวเราะสลับกับร้องไห้ ถามว่าแม่สะใจไหม เธอทิ้งตนไปแล้ว

“เธอไปแล้ว...เพราะคุณแม่คนเดียว” นันทวัฒน์เริ่มยันตัวลุกขึ้น แต่เซไปมา พิชิตเข้ามาประคองและเตือนให้ระวัง นันทวัฒน์หัวเราะทั้งน้ำตา พูดกับเขาว่า “พิชิต...นายเป็นคนเดียวที่เข้าใจฉัน แต่ทำไมทุกคน

ไม่เข้าใจ ฉันรักเธอมาก ทำไมทุกคนต้องผลักไสเธอไป”

“พิชิต...พาคุณวัฒน์ไปล้างหน้าล้างตาซะ” นันทาเร่ง

“คุณแม่นี่แหละสำคัญเลย...คุณแม่ไม่อยากเห็นผมมีความสุขใช่มั้ย”

ไม่ทันมีใครคาดคิด นันทาตบฉาดเข้าที่หน้านันทวัฒน์อย่างแรงแล้วถามว่าได้สติหรือยัง

นันทวัฒน์ทรุดตัวลงนั่งน้ำตาร่วง แม้จะได้สติแต่เขาก็ระงับความเสียใจไม่ได้ ร้องไห้ครวญครางถึงปรางค์แล้วว่าคนบ้านนี้ไม่มีใครรักตนเลย...นันทาเหลืออดดึงคอเสื้อลูกชายให้ลุกขึ้นแล้วลากออกจากห้อง กันเกราตกใจรีบเดินตามไป

ooooooo

หลังจากทำให้หญิงสาวนิรนามไว้ใจแล้ว

แม่นวลพอใจกับผลงานตัวเอง ขณะที่ธงไทยก็ชื่นชมแม่นวลเก่งจังจัดการเธอเสียอยู่หมัด

“แม่เลี้ยงเด็กมากี่คนแล้วล่ะ แค่นี้สบาย”

ขาดคำของแม่นวล เสียงโทรศัพท์มือถือธงไทยดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาดูแต่เลือกที่จะไม่รับ บอกแม่นวลวิวโทร.มา ไม่รับไม่เป็นไรหรอก

“ไม่เป็นไรได้ไง เขามีธุระอะไรหรือเปล่า โทร.กลับไปซิ”

“ถ้ามีอะไรสำคัญ เดี๋ยวคงไลน์มาน่ะครับ”

“โทร.กลับไปเดี๋ยวนี้เลยไทย น่าตีนัก ทีเวลาไปรบกวนเขาล่ะโทร.จิกเขาจังเลย”

“รู้แล้วครับ งั้นเดี๋ยวผมออกไปโทร.ที่ระเบียงนะครับ”

“เชิญย่ะ รีบไปเดี๋ยวนี้เลย”

ธงไทยยิ้มเขินแล้วเดินออกไป หญิงสาวมองตามและเรียกชื่อเขา...แม่นวลยิ้มบางๆ พูดอย่างใจเย็นว่า

“พี่ไทยออกไปโทรศัพท์ หนูอยู่กับแม่นะลูกนะ”

แม้หญิงสาวจะไม่รู้ว่าแม่นวลพูดอะไร แต่เธอก็พยักหน้าและพิงตัวลงบนโซฟาอย่างผ่อนคลาย

ooooooo

ประตูห้องพักของวัฒนาถูกเปิดผลัวะเข้ามาก่อนที่ร่างของนันทวัฒน์จะถลาไปกองอยู่หน้าเตียงตามแรงเหวี่ยงของนันทา พยาบาลกำลังป้อนอาหารวัฒนาตกใจและงุนงง

กันเกราตามเข้ามาบอกพยาบาลให้พอก่อนเดี๋ยวตนทำต่อเอง พอเธอคล้อยหลัง นันทวัฒน์ก็ปรือตามองรอบห้องเห็นวัฒนานอนบนเตียง “ห้องคุณพ่อนี่เอง ฮ่าๆๆ”

“ใช่...นั่นไงพ่อของแก ดูซะให้เต็มตา มองดูให้ดี ดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านเรา ที่เราต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร เมื่อไหร่วัฒน์จะตาสว่างซะที”

นันทวัฒน์จ้องมองพ่อ เห็นสายตาหม่นเศร้าของพ่อ เขายิ่งเจ็บปวด

“เมื่อไหร่จะหายโง่ เมื่อไหร่จะมีสติ”

นันทวัฒน์สะเทือนใจกลั้นน้ำตาไม่อยู่ กันเกรา ยืนตัวสั่นมองคนนั้นทีคนนี้ทีทำอะไรไม่ถูก

“ดูคนรอบตัววัฒน์ ดูคนที่รักวัฒน์อย่างสุดหัวใจสิ ดูสภาพพวกเขา...วัฒน์กำลังไล่ตามคนที่ไม่รักวัฒน์ คนที่ทิ้งวัฒน์ไปอย่างเลือดเย็น แต่กลับทอดทิ้งคนที่ให้ความรักและความหวังดีต่อวัฒน์ บ้านเราจะไม่เป็นบ้านอยู่แล้ว หรือวัฒน์ต้องให้แม่ตายก่อน”

“คุณแม่!”

นันทวัฒน์คลานไปกอดขานันทาแล้วปล่อยโฮออกมา วัฒนามองลูกชายด้วยสายตาปวดร้าว

“ผมขอโทษ...คุณแม่ครับ ผมขอโทษ”

นันทาก้มลงกอดลูกชายปลอบใจ “เริ่มต้นใหม่นะลูก ลืมทุกอย่างให้หมด...ไม่เป็นไรนะลูกนะ”

กันเกราน้ำตาคลอ เช่นเดียวกับวัฒนาที่เหลือบตาขึ้นมองเพดาน น้ำตาค่อยๆไหลออกมา

ooooooo

ภายในร้านจำหน่ายและเช่าชุดวิวาห์ของวิว เจ้าของร้านถือโทรศัพท์แกว่งไปแกว่งมาด้วยความเซ็ง เจ๊แน๊ตกับชีสเค้กนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ แอบมองแล้วซุบซิบกัน วิวเลยแหวใส่ด้วยความรำคาญ

“นี่! ไม่ต้องมาทำซุบซิบกันเลยนะ ไทยเขาอาจจะทำธุระวุ่นอยู่ก็ได้”

“พวกฉันปรึกษาแบบเสื้อกันอยู่ ใครไปเม้าท์หล่อนไม่ทราบ” เจ๊แน๊ตไม่ยอมรับ วิวหมั่นไส้โพล่งว่าปากยื่นกันขนาดนั้นนึกว่าไม่รู้เหรอ

“เขาเรียกร้อนตัวรึเปล่านะเจ๊...แบบนี้น่ะ” ขาดคำของชีสเค้ก เสียงโทรศัพท์เรียกเข้า วิวรีบดูหน้าจอเห็นเป็นสายธงไทยก็ดีใจมาก โชว์หราให้เจ๊แน๊ตกับชีสเค้กดู ก่อนจะเดินเชิดๆไปหามุมคุยโทรศัพท์กับชายหนุ่ม

“ใช่...ช่วงนี้ยุ่งกับหลายๆเรื่องน่ะ ไทยขอโทษนะวิวถ้าไม่ได้รับสาย แต่ไทยจะโทร.กลับนะวิวนะ...ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ อาการค่อยๆดีขึ้นตามลำดับน่ะ ห่วงแต่เรื่องของสมอง”

“ไทยคิดดีแล้วเหรอ แล้วถ้าเขาไม่หายหรือไม่ดีขึ้นล่ะ ไทยไม่ต้องเลี้ยงดูคนสติไม่ดีไปตลอดชีวิตเหรอ ญาติรึก็ไม่ใช่...คิดดีๆนะไทย”

“ไทยคิดดีแล้ววิว ต่อไปนี้เธอคนนี้เป็นความรับผิดชอบของไทย จะดีจะร้ายยังไง ไทยจะดูแลเขาไปจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง”

วิวฟังแล้วสะอึก รู้สึกเจ็บแปลบที่ธงไทยกำลังให้ความสำคัญกับใครคนหนึ่งมากกว่าเธอ เพราะที่ผ่านมาเขาแทบไม่มีเพื่อนผู้หญิงคนไหนเลยนอกจากเธอ จึงเป็นเรื่องที่เธอจะทำใจให้เป็นปกติได้ยากสักหน่อย พูดเสียงอ่อยกลับไปว่า

“ก็ถ้าไทยตัดสินใจแล้ววิวก็จะเอาใจช่วยแล้วกันนะ”

“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยๆคิดนะ ว่าแต่วิวเถอะกินอะไรบ้างรึยังวันนี้ อย่าเอาแต่ห่วงสวยจนลืมสุขภาพล่ะ... ไทยน่ะเหรอ อยู่บ้านแม่นวลไม่ต้องห่วงหรอกของกินวางบนโต๊ะให้เลือกกินทั้งวันจะอ้วนตายอยู่แล้ว”

ธงไทยคุยกับวิวอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ว่าหน้าบ้านเสี่ยหมูกับจอมบึ่งรถมาจอดฝุ่นตลบ ท่าทางเอาเรื่อง เจียมกับจ๊ะจ๋าละมือจากเสื้อผ้าที่เตรียมจะซักวิ่งมาดักหน้า กางกั้นไม่ให้สองคนเข้าไปหาแม่นวล แต่พวก เขาไม่ฟัง ดึงดันโวยวายเสียงดัง เจียมเลยให้จ๊ะจ๋าไปตามตาท้วมกับไผ่มาเร็วๆ

จ๊ะจ๋าวิ่งตื๋อไปทันที เจียมกางกั้นแต่ผู้มาเยือนไม่สน เดินอาดๆเข้าไปเห็นแม่นวลกับหญิงสาวอีกคน แม่นวลตกใจลุกพรวดถามว่า

“เสี่ยหมู!! มีธุระอะไรคะ ฉันพักผ่อนอยู่ วันนี้ไม่สะดวกจะรับแขก”

“ดูลูกน้องผมสิ หน้าตามันยับเยินขนาดนี้”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับฉันคะ”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว ก็คนของแม่นวลน่ะสิไปรุมทำร้ายมัน”

“ไม่จริง” จ๊ะจ๋าส่งเสียงยืนยันเข้ามา ตรงดิ่งมาที่แม่นวล “ไม่ได้มีการรุมทำร้ายนะจ๊ะแม่นวล สู้กันตัวต่อตัวนี่แหละ”

เจียมตามเข้ามากระซิบกระซาบถามจ๊ะจ๋าหาไผ่กับตาท้วม พอรู้ว่าไม่อยู่ก็หน้าเสีย เสี่ยหมูกับจอมเห็นอาการของสองคนก็รู้ว่าวันนี้โชคดีแล้ว เพราะอยู่กันแต่ผู้หญิงกับเด็กๆ เสี่ยหมูเพ่งมองหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างแม่นวลแล้วถามว่า

“นี่ไปเก็บคนป่วยที่ไหนมาเลี้ยงอีกล่ะ”

หญิงสาวหวาดกลัวกับท่าทางของเสี่ยหมูจึงกอดแม่นวลแน่น จอมแอบสังเกตว่าหญิงสาวหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แถมมีเค้าความสวยด้วย มองตาเป็นมัน

“นี่อย่าบอกนะว่าสติไม่ดีด้วย ฮ่าๆๆ สมกับเป็นแม่นวลจริงๆ”

“จะพูดอะไรก็ให้เกียรติกันบ้างนะคะเสี่ยหมู”

“งั้นก็เข้าเรื่องเลยนะ แม่นวลจะรับผิดชอบยังไงที่คนของผมโดนแบบนี้”

“ก็คนทะเลาะกัน ชกต่อยกัน ถ้าสู้ไม่ได้ก็ต้องโดนอัดเจ็บตัวแบบนี้แหละ”

“หยุดนะเจียม อย่าต่อความยาวสาวความยืด...เสี่ยคะ เดี๋ยวฉันจะอบรมคนของฉันเอง เสี่ยก็ช่วยจัดการอบรมคนของเสี่ยซะด้วยนะคะ”

“พูดอย่างนี้ก็ไม่สวยสิครับ แม่นวลถามจ๊ะจ๋าเองดีกว่าว่าไอ้ไผ่มันลงจากรถได้ก็อัดผมตูมๆๆ ผมไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ” จอมใส่เป็นชุด จ๊ะจ๋าอึกอักไม่กล้าตอบ เสี่ยหมูเร่งอีกคน แม่นวลจึงตัดบท

“ไม่เป็นไรจ๊ะจ๋า...ของบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”

“พูดแบบนี้แปลว่าจะไม่รับผิดชอบน่ะสิ” เสี่ยหมูแผดเสียง

หญิงสาวกลัวตัวสั่น ร้องกรี๊ดออกมาดังลั่น ธงไทยกำลังพูดโทรศัพท์กับวิวได้ยินเสียงนั้นรีบขอตัววางสายจากวิวแล้ววิ่งเข้าบ้าน เห็นเสี่ยหมูกับลูกน้องก็ชะงักแปลกใจ

“คุณธงไทย อยู่ด้วยเหรอ นึกว่าออกไปข้างนอก”

ธงไทยเข้าไปกอดหญิงสาวที่กำลังเสียขวัญ เธอกอดตอบเขาแน่น เสี่ยหมูเห็นภาพนั้นหัวเราะร่าทันที

“ฮ่าๆๆ อย่าบอกนะครับแม่นวลว่านี่ลูกสะใภ้”

“เสี่ยหมู!!! มีอะไรก็ว่ามา” ธงไทยเสียงแข็งไม่พอใจ แม่นวลเกรงเรื่องบานปลายบอกลูกชายให้พาหญิงสาวเข้าห้องไปก่อน แต่ธงไทยอิดออดเป็นห่วง ยิ่งได้ยินเสี่ยหมูวางอำนาจก็ไม่ยอมขยับ

“คนของไร่นวลตะวันซัดเจ้าจอมซะเละขนาดนี้ จะชดใช้ยังไง อย่าหาว่าขู่นะ แต่ต่อไปนี้อย่าหวังว่าจะอยู่กันอย่างสงบเลย”

“แล้วเสี่ยจะเอายังไง” แม่นวลเริ่มเสียงขุ่น

“ง่ายๆ ขายที่นี่ให้ผมซะ แล้วแม่นวลก็เอาเงินไปตั้งมูลนิธิสงเคราะห์หมาแมวและคนบ้าของแม่นวลสงบๆจะดีกว่า”

ธงไทยเหลืออดลุกพรวดประจันหน้าเสี่ยหมู ท่ามกลางความตื่นเต้นของทุกคนว่าจะมีเรื่องกันร้ายแรงแค่ไหน ตาท้วมกับไผ่ก็โผล่เข้ามาพร้อมใครคนหนึ่ง

“ทางนี้เลยครับท่าน นายแม่นวลเชิญท่านทางนี้เลยครับ”

เสี่ยหมูคาดไม่ถึง ดวงตาพองโตมองท่านเกษตรจังหวัดที่ก้าวเข้ามา แม่นวลเองก็แปลกใจว่ามาได้ยังไง แต่พอไผ่กับตาท้วมสบตาส่งสัญญาณก็ถึงบางอ้อ เล่นละครตามน้ำต้อนรับขับสู้แขกที่เธอไม่ได้เชื้อเชิญ

ที่แท้เป็นแผนของตาท้วมกับไผ่ที่จะสกัดและขับไล่เสี่ยหมูกับลูกน้องตัวแสบกลับไป จอมหงุดหงิดมาก

อยากจะเรียกคนมาถล่มไร่นวลตะวันให้รู้แล้วรู้รอด แต่เสี่ยหมูไม่เห็นด้วย แถมด่าจอมที่พูดไม่คิด

“ตามมาให้ซวยเหรอ ไม่เห็นรึไงผู้ใหญ่อยู่ทั้งคน”

“แค่เกษตรจังหวัด...กลัวอะไรครับเสี่ย”

“มันไม่ใช่เกษตรจังหวัดธรรมดาน่ะสิ คนนี้น่ะเป็นถึงน้องชายท่านรัฐมนตรีเชียวนะโว้ย...ไอ้ท้วม ไอ้แก่เจ้าเล่ห์ เห็นบ้าๆบอๆแบบนี้มันฉลาดกว่าที่เราคิด” เสี่ยหมูหัวเสีย มองเข้าไปในบ้านแม่นวลด้วยความแค้นใจ

ภายในห้องรับแขก เกษตรจังหวัดชื่อชลธรนั่งอยู่กับแม่นวล โดยมีไผ่อธิบายเรื่องราวว่าชลธรมาขอบคุณ แม่นวลที่อุทิศตนเป็นวิทยากรให้นักศึกษาและอุทิศไร่นวลตะวันเป็นแปลงสาธิต ซึ่งเมล็ดพันธุ์ที่ทางวิทยาลัยจะเอามาลงทดลองปลูกเป็นเมล็ดพันธุ์พระราชทาน แม่นวลยิ้มกว้างอย่างสุดปลื้ม ยกมือไหว้ท่วมหัวว่าเป็นบุญของไร่นวลตะวันแท้ๆ

เสร็จธุระ แม่นวลให้ไผ่ไปส่งชลธร ส่วนตัวเองสั่งตาท้วมให้บอกคนงานถางไร่ด้านทิศเหนือสักห้าสิบไร่ในวันพรุ่งนี้เพื่อเตรียมแปลงสาธิต และไม่ลืมขอบใจตาท้วมที่คิดแผนได้แนบเนียน ช่วยเหลือเธอกับลูกมาตลอด ธงไทยนั่งฟังอยู่ด้วย เขาทิ้งหญิงสาวนิรนามไว้กับเจียมและจ๊ะจ๋า ไม่นานก็เป็นเรื่อง เธอกรีดร้องอาละวาดจนข้าวของในห้องกระจุยกระจาย

ธงไทยวิ่งเข้ามากอดปลอบเธอ และตำหนิเจียมกับจ๊ะจ๋าค่อนข้างแรงก่อนจะพาเธอนั่งรถเข็นออกไปในทุ่งดอกทานตะวัน ทิ้งให้จ๊ะจ๋าน้อยใจน้ำตาซึม พอหนูพุทธ เข้ามาปลอบก็โดนตวาดดุ เจียมกับตาท้วมเลยรุมตำหนิจ๊ะจ๋าจนร้องไห้วิ่งหนีไป ไผ่รู้เห็นและเข้าใจดีว่าเธอหึงธงไทย แต่เขาปลอบไม่เป็น ค่อยๆถอยห่างออกไปเมื่อธงไทยเดินเข้ามาเพียงคำว่า “พี่ขอโทษนะที่พูดแรงเกินไป” ทำให้จ๊ะจ๋าหายงอนหายน้อยใจธงไทยเป็นปลิดทิ้ง กอดซบอกเขาด้วยความเสน่หา ขณะที่อีกฝ่ายคิดกับเธอแค่พี่ชายรักน้องสาวก็เท่านั้น

ooooooo

เช้าตรู่วันนี้ นันทาเป็นตัวตั้งตัวตีให้นันทวัฒน์ใส่บาตรพระที่หน้าบ้านเพื่อเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ มยุริญมาทันเวลาพร้อมตะกร้าข้าวของ แต่คนที่อยู่ใน บ้านอย่างนันทนากลับยังไม่ลงมา ทำให้นันทาเกือบจะหัวเสียถ้าไม่เกรงใจมยุริญ...

หลังจากพาหญิงสาวนิรนามไปดูไร่ทานตะวันแล้วได้ยินเธอพูดคำว่าตะวันออกมา ธงไทยกับแม่นวลเห็นพ้องต้องกันตั้งชื่อเธอว่า “ตะวัน” ฝ่ายวิวที่ยังเพียรโทร.หาธงไทยแต่เขาไม่รับสาย วันนี้จึงขับรถมาหา

เขาถึงไร่ พอเห็นเขาเอาใจหญิงสาวที่ยังป่วย วิวทำใจไม่ได้ เริ่มรุกคืบจะเผยความในใจที่มีต่อธงไทย ส่วนจ๊ะจ๋ารู้แกวก็พยายามกันวิวโดยคิดใช้ตะวันเป็นเครื่องมือ แต่ไผ่รู้ทันจึงเตือนสติเธอไม่ให้มักใหญ่ใฝ่สูง

พัฒนาการของตะวันดีวันดีคืน เธอได้รับการ เอาใจใส่จากธงไทยและแม่นวลเป็นอย่างดี จากที่ทำอะไรเองไม่ได้ก็เริ่มทำได้ ทั้งการยืน เดิน และกินข้าว ไม่เป็นภาระใครอีกแล้ว...

ทางด้านนันทวัฒน์เมื่อแรกทำใจไม่ได้ที่ปรางค์ทองหายไป แต่วันนี้เขาเริ่มดีขึ้นเพราะมีมยุริญเข้ามาเยียวยาและให้กำลังใจ นานวันทั้งคู่ก็ยิ่งสนิทสนมสร้างความพอใจให้กับทั้งนันทาและคุณหญิงมยุรา

ในที่สุดนันทวัฒน์ก็พูดตรงๆกับคุณหญิงมยุราว่าตนขออนุญาตศึกษาดูใจกับมยุริญ แน่นอนว่ามยุราไฟเขียวทันใด เพราะรอคอยวันนี้มานาน แต่มยุริญผู้แสนดียังไม่ค่อยสบายใจ พูดกับนันทวัฒน์ขณะอยู่กันตามลำพังว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้

“พี่พูดเพราะคิดแบบนั้นจริงๆ หลายเดือนที่ผ่านมาพี่สบายใจที่ได้พูดคุยและไปไหนๆกับน้องยุริญ พี่ก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่อยากมีความสุขในชีวิตบ้าง แต่พี่ไม่คิดว่าน้องยุริญจะลำบากใจ พี่ขอโทษนะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”

“งั้นก็หมายความว่าน้องยุริญไม่รังเกียจที่จะลองคบหากับพี่ใช่ไหมครับ”

มยุริญไม่พูดแต่หลุบตาต่ำและอมยิ้ม นั่นก็เท่ากับเป็นคำตอบของเธอแล้ว

ooooooo

ผ่านไปเกือบปี ตะวันเขียนหนังสือได้และทำอะไรได้เองทุกอย่าง ยกเว้นความทรงจำของเธอที่ยังไม่กลับคืนมา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาที่ธงไทยจะดูแลเธอต่อไป

ในวันที่จังหวัดจัดงานเกษตรสัมพันธ์ประจำปี ธงไทยพาตะวันกับหนูพุทธไปเที่ยว ทุกคนกินเที่ยวและเล่นเกมกันสนุกสนาน ตะวันปาลูกดอกแม่นมากได้ตุ๊กตาเป็นรางวัลให้หนูพุทธตั้งหลายตัว ฝ่ายจ๊ะจ๋าที่น้อยใจธงไทยและอิจฉาตะวันไม่ยอมมาด้วย แต่ที่สุดเธอก็อดใจไม่ไหวตามไผ่ไปจนได้

แม่นวลยืนมองจ๊ะจ๋ากับไผ่จากหน้าต่างบนเรือนใหญ่ เจียมเดินเข้ามาเมียงมองอย่างเกรงใจเรื่องจ๊ะจ๋าที่หลงรัก ธงไทย

“ฉันต้องขอโทษแทนจ๊ะจ๋ามันด้วยนะคะ หมู่นี้มันเกเรจริงๆ” เจียมเอ่ยปาก แม่นวลตอบนิ่งๆว่าตนรู้ ตนเลี้ยงจ๊ะจ๋ามาหลายปีพอจะรู้จักนิสัยใจคอ “ฉันล่ะละอายใจจริงๆ นังหลานคนนี้มันไม่เจียมตัวเลย”

“ของแบบนี้ไม่เข้าใครออกใคร ฉันเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ต้องขึ้นอยู่กับพระพรหมนะแม่เจียมนะ”

“แต่ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอกค่ะ”

“ทำไมล่ะ”

“ฉันรักคุณไทย เห็นเธอมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อยากให้เธอได้ลงเอยกับผู้หญิงดีๆ ดีได้ซักครึ่งของนายแม่นวลก็ยังดีค่ะ”

“ขอบใจนะเจียม” แม่นวลยิ้มสุขใจที่ชีวิตแวดล้อมไปด้วยคนที่รักและหวังดีกับครอบครัวเธอ

ooooooo

วันเดียวกันที่ธงไทยพาตะวันกับหนูพุทธไปเที่ยวงานเกษตรสัมพันธ์...นันทวัฒน์ได้ชวนมยุริญมาดูที่ดินที่อยู่ติดไร่นวลตะวัน เขาอยากซื้อที่ดินสวยๆอากาศดีๆ สักแปลง โดยให้ทนายทนงศักดิ์ช่วยดำเนินการ

ทนงศักดิ์ติดต่อเสี่ยหมูเอาไว้ เสี่ยหมูตั้งใจฟันค่านายหน้าและกว้านซื้อที่ดินแถบนี้ไว้หมดเพื่อเก็งกำไร ยกเว้นไร่นวลตะวันที่ดื้อรั้นไม่ยอมขาย

นันทวัฒน์กับมยุริญยืนมองที่ดินกว้างไกล

สุดลูกหูลูกตาอย่างชื่นชอบบรรยากาศ ทนงศักดิ์กับพิชิตยืนคุยอยู่กับเสี่ยหมูโดยมีจอมคอยสอพลอ

“เป็นไงครับน้องยุริญ”

“สวยค่ะ อากาศดีมากเลย โดยเฉพาะทุ่งทานตะวันตรงนั้น ยุริญชอบจังค่ะพี่วัฒน์”

จอมได้ยินรีบเข้ามาเสนอหน้าอธิบาย “ที่ดินของเราสุดตรงก่อนถึงทุ่งทานตะวันเท่านั้นครับ แล้วอีกที่ก็ตรงเลยรั้วด้านนั้นไป”

“เอ๊ะ ที่ดินมันก็แหว่งตรงกลางน่ะสิครับ” ทนงศักดิ์ท้วงทันควัน จอมยอมรับว่าใช่...แต่ก่อนที่จอมจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น เสี่ยหมูรีบขัดว่าที่ดินตรงนั้นไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เป็นแอ่งกระทะ ตามหลักฮวงจุ้ยไม่ค่อยจะดี

“แต่ผมเข้าใจว่าที่ของเสี่ยกินบริเวณรอบภูเขานี่ทั้งหมดซะอีก”

“ที่ตรงไหนฮวงจุ้ยไม่ดี ผมก็ไม่เอาหรอกครับ”

“ผมว่าที่ชิ้นใหญ่ที่เมืองกาญจน์ที่เราไปดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้วสวยกว่านะครับคุณวัฒน์” พิชิตแทรกขึ้นมา ทนงศักดิ์เห็นด้วย ย้ำว่าผืนนั้นสวยกว่า ไม่แหว่งแบบนี้

เสี่ยหมูหงุดหงิดใจมาก เขาต้องการขายที่ผืนใหญ่นี้ให้ได้เพื่อนำเงินก้อนโตไปลงทุนทำคอนโดกับเพื่อน เลยต้องเชียร์สุดตัวว่าแถบนี้อากาศดีกว่า เย็นตลอดปีเหมือนสวิตเซอร์แลนด์ รับรองว่านันทวัฒน์ต้องติดใจ

“บอกตามตรงนะครับ ผมติดอยู่แค่ที่มันไม่เต็มผืน ถ้าได้ทั้งหมดมาก็ดีนะครับ...น่าเสียดาย”

“ก็ไม่น่าจะยากอะไรถ้าคุณวัฒน์ไม่ถือเรื่องฮวงจุ้ย ผมจัดการให้ได้ครับ”

“ถ้าได้ทั้งผืน 400 ไร่ เราก็พร้อมจะโอนนะครับ เสี่ย...เงินสด...ไม่ต้องรอกู้”

ได้ยินทนงศักดิ์พูดอย่างนั้น เสี่ยหมูตาลุกวาวขึ้นมาทันที รับปากจะรีบจัดการให้ด่วนเลย...

ขณะที่พวกนันทวัฒน์กำลังจะขึ้นรถกลับ ธงไทยขับรถผ่านมาเห็น สงสัยว่าพวกเขาทำอะไรกัน ชายหนุ่มจอดรถแล้วกดกระจกลงทักเสี่ยหมู นึกว่ารถเสียจะได้ช่วยเหลือ เสี่ยหมูร้อนตัวเรื่องที่ดินจึงบอกไม่มีอะไร หมายจะให้ธงไทยรีบไป

พิชิตตาไวมองเข้าไปในรถเห็นเสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่เอนหลับอยู่กับเบาะข้างคนขับ เขาแทบหายใจไม่ออกงึมงำในลำคอว่าไม่จริง เป็นไปไม่ได้...เช่นเดียวกับนันทวัฒน์ที่พอเห็นก็เรียกชื่อปรางค์ออกมา แต่รถของธงไทยเคลื่อนออกไปแล้ว มยุริญพอรู้ก็จะให้นันทวัฒน์ตามไป เสี่ยหมูกับจอมสงสัยเห็นท่าทีพวกเขาก็สงสัยถามว่ามีอะไร

“ผู้หญิงที่อยู่ในรถคันนั้น คนรู้จักน่ะค่ะ”

“นังบ้านั่นน่ะเหรอครับ ไม่ใช่หรอกครับ ผู้หญิงคนนั้นเสียสตินะครับ”

คำตอบของจอมทำให้ทนงศักดิ์ส่ายหัว เข้าใจว่านันทวัฒน์ยังไม่เลิกเพ้อถึงปรางค์ทอง ท้วงว่าไม่ใช่ แต่มยุริญอยากให้ตามไปดูให้แน่ใจ นันทวัฒน์แพ้ใจหญิงสาวแสนดี ตัดบทว่า

“ช่างเถอะไม่เป็นไรดีกว่า เขาไม่มาอยู่ในที่แบบนี้หรอก” ชายหนุ่มจับมือเธอแน่น มองตาลึกซึ้ง...วันนี้เขายิ่งประทับใจในตัวเธอขึ้นไปอีก

ถ้าเมื่อกี้นี้พี่วัฒน์ตามไปดูให้รู้แน่ชัด ก็จะได้หายข้องใจ...เสียดายนะคะ

“แล้วถ้าใช่ล่ะครับ”

“ก็ดีสิคะ พี่วัฒน์ตามหาเขามาตั้งนาน ถ้าใช่...ก็ดีไงคะ”

“แล้วน้องยุริญล่ะครับ”

“ยุริญก็จะดีใจกับพี่วัฒน์ด้วย...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่วัฒน์กับยุริญ เราจะยังคงมิตรภาพที่ดีแบบนี้ตลอดไป”

“ไม่ใช่เขาหรอก...พี่รู้ดี” จบคำเขาจับมือมยุริญบีบเบาๆ

ทนงศักดิ์ถอนใจยาวด้วยความโล่งใจ เฝ้ามองหนุ่มสาวด้วยความยินดี ขณะที่พิชิตนั่งหน้าคู่คนขับมองออกไปนอกรถอย่างสับสน เขาไม่มั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือปรางค์ทองหรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจไปเลยทีเดียว

ooooooo

ตะวันเหมือนจะนึกความหลังเกี่ยวกับตัวเองได้ เธอมีอาการปวดหัวตั้งแต่ออกจากงานเกษตรสัมพันธ์ พอกลับถึงบ้านแม่นวลจึงให้นอนพักผ่อน ฝ่ายจ๊ะจ๋าที่ไปงานกับไผ่ แรกๆก็เซ็ง แต่ทำมาทำไปก็สนุกเพราะไผ่พาเที่ยวพากินจนลืมธงไทยกับตะวันไปชั่วขณะ

ทางด้านนันทวัฒน์ที่กลับถึงบ้านก็หาโอกาสคุยกับพิชิตตามลำพังเรื่องที่เห็นปรางค์ทอง พิชิตพูดไม่เต็มเสียงว่าไม่ใช่ แต่อีกฝ่ายเสียงดังอย่างคาดคั้น

“นายมั่นใจได้ไงว่าไม่ใช่”

“คุณวัฒน์คิดว่าเขาจะไปอยู่ในที่แบบนั้นเหรอครับ คุณวัฒน์ก็รู้จักเขาดี”

“แต่ว่า...”

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์”

“นั่นสินะ คนอย่างเขาจะไปอยู่ในที่แบบนั้นได้ยังไง” นันทวัฒน์รำพึงแล้วเดินหมดแรงขึ้นบ้านไปด้วยความผิดหวัง ส่วนพิชิตที่ยืนยันไปแล้วรู้สึกไม่สบายใจ...

เวลาเดียวกันนั้น เสี่ยหมูนั่งไม่ติด บ่นแล้วบ่นอีกกับจอมเรื่องที่ดินแปลงสวยของไร่นวลตะวัน

“เจ็บใจนัก ติดมันอยู่แค่แปลงเดียวนี่แหละ ไม่งั้นก็ขายได้เงินไปนานแล้ว ไม่ต้องมาติดแหง็กเป็นเสี่ยภูธรอยู่ที่นี่หรอก”

“เอาไงดีครับเสี่ย ทางกรุงเทพก็ทวงเงินลงทุนทำคอนโดมาแล้วนะครับ”

“ฉันจะไปเอาเงินที่ไหนมาล่ะ กว้านซื้อที่ไปหมดแล้วเนี่ย”

“เสียดายนะเสี่ย โครงการยักษ์ใหญ่ขนาดนั้นถ้าได้ร่วมลงทุนกำไรอื้อเลย”

“จะจัดการมันยังไงดีนะ”

จอมเสนอให้หาทางไล่พวกนั้นออกไปจากที่นี่ โดยอาสาจะจัดการให้เองในคืนนี้เลย ค่อยๆทำทีละนิดจนมันอยู่ไม่ได้เอง

ตกกลางคืนจอมทำตามที่พูด เกณฑ์คนงานไปตั้งวงเหล้าเคล้าเสียงเพลงดังกระหึ่มใกล้ไร่นวลตะวัน ทำเอาคนในบ้านนอนไม่หลับ ตาท้วมออกมาเจรจาดีๆ พวกเขาก็ไม่ฟัง แต่พอเจียมมาพร้อมปืนยิงเปรี้ยงเดียว ทุกคนถึงกับลุกพรวดวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

แม่นวลไม่ชอบความรุนแรงจึงตำหนิเจียมก่อนจะไล่ทุกคนไปนอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวรอรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทุกคนลุกออกไปเงียบเชียบ มีแต่จ๊ะจ๋าที่หันมาค้อนใส่ตะวันด้วยความหมั่นไส้ก่อนตามคนอื่นๆออกไป

“ความจริงเขาก็ผิดนะครับแม่นวล ที่มาทำเสียงเอะอะเวลาดึกดื่นป่านนี้ แม่นวลน่าจะให้ผมลงไปเคลียร์ตั้งแต่แรก”

“เคลียร์กับคนเมาเราก็พูดกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก จำไว้นะไทย...มีสติ คิดอะไรให้รอบคอบ ไทยเป็นคนคิดดี ทำดี แต่ไม่ใช่ทุกคนบนโลกนี้จะคิดแบบไทย แม่ไม่อยากสูญเสียอีกแล้ว”

ธงไทยเข้าใจ ผละจากตะวันมานั่งลงซบหน้ากับตักแม่นวลเชิงปลอบใจ

“ไทยเหมือนพ่อทุกกระเบียดนิ้ว...แม่กลัว”

“ผมจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดจะได้อยู่กับแม่นวลนานๆ แม่นวลก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

แม่นวลหน้าเครียด เลื่อนมือมาที่หน้าอกตัวเองด้วยความกังวล นึกถึงคำว่าตลอดไปด้วยความขมขื่น...ตะวันลอบดูแม่นวลด้วยความสงสัย

พากันกลับไปถึงที่พักแทนที่จะรีบนอน พวกเจียมยังจับกลุ่มคุยกัน เจียมขอโทษตาท้วมที่ทำให้โดนดุไปด้วย จ๊ะจ๋าเสริมทันทีว่าแถมทำให้ตนพลอยอดนอนด้วย พรุ่งนี้ถ้าตนทำข้อสอบไม่ได้ก็เพราะป้าเจียมคนเดียว เจียมไม่พอใจทุ่มเถียงกันใหญ่ จ๊ะจ๋าสู้ไม่ได้ลุกขึ้นเดินปึงปังหนีไป

“ดู๊ดู...ดูมัน นังจ๊ะจ๋านี่มันไม่ได้นายแม่นวลมาเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ”

“จะได้อะไรล่ะน้าเจียม ตอนมาอยู่กับนายแม่นวลก็โตมากแล้ว”

เจียมค้อนไผ่แล้วยกตัวอย่าง “ดูหนูตะวันสิ เขาก็มาตอนโตแต่เขาได้ไปเต็มๆ”

“เหมือนกันซะที่ไหนเล่า นั่นเขาเหมือนมาเกิดใหม่ที่นี่”

เจียมชะงัก คิดตามคำพูดตาท้วมแล้วเห็นจริง “ก็จริงนะ เอ๊ะ! รึว่าฉันจะลงทุนตีหัวนังจ๊ะจ๋าให้มันความจำเสื่อมจะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง”

ไผ่อาสาตีให้เอง เจียมชอบใจบอกเอาให้หนักๆ ไปเลย ตาท้วมรำคาญทั้งคู่ตวาดให้เลิกเล่น เอาเวลาไปคิดเรื่องที่เจียมก่อไว้ดีกว่า

“นั่นสิ ทำไงดีล่ะตาท้วม ฉันไม่สบายใจเลย”

“ปืนผาหน้าไม้น่ะซี้ซั้วเอามาเล่นได้ที่ไหน มันจะพาความเดือดร้อนมาให้ ยิ่งอยู่ในมือผู้หญิงแล้วล่ะก็”

“ฉันจะไปรู้เหรอ เห็นแกเคยเอามาขู่มันนี่”

“ขู่มันก็ต้องมีชั้นเชิง ไม่ใช่ไปยิงใส่เขาตูมๆๆแบบนี้ มันผิดกฎหมายรู้มั้ย”

“อย่างงี้ก็เข้าทางไอ้เสี่ยหมูมันเลยทีเดียว” ไผ่บ่นอย่างเจ็บใจ...ตาท้วมรับรองว่างานนี้มันไม่ยอมแน่!

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 3


คิมหันต์ไปบอกกล่าววิมลรัตน์ที่โลงเก็บศพรอ กำหนดเผา ว่าตนทำดีที่สุดแล้ว เต็มที่ เต็มสติปัญญาแล้ว ยอมรับว่า ใครบอกว่าตนใช้อารมณ์ ตนยอมรับว่าคงจะจริง...

“แต่ผมไม่อาจยับยั้งอารมณ์สูญเสียครั้งนี้ได้ มนุษย์ปุถุชนทุกคนที่รู้ดีรู้ชั่วย่อมเข้าใจได้ว่า ทำไมผมถึงทำอย่างนี้...บางคนบอกว่าผมทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง ผมทำให้น้ำหนักในการเอาผิดไอ้ฆาตกรเบาบางลง

ไม่ใช่เลยพี่มล ไม่ใช่ผมเลย มันเป็นเพราะเธอต่างหาก”

มุกรินไปเยี่ยมธาดาที่เรือนจำ เธอบอกเขาว่าอีกไม่ถึงเดือนศาลก็จะอ่านคำพิพากษาแล้ว ธาดาบอกว่าตนไม่กังวลใจอะไรเลย “เพราะพี่รู้เหมือนที่มุกรู้ว่าพี่บริสุทธิ์”

คิมหันต์พูดแทรกขึ้นจากข้างหลังมุกรินว่า เธอกล้าโกหกต่อหน้าศาล ต่อหน้าตน ต่อหน้าวิญญาณของพี่มล คิมหันต์น้ำตาซึมตอกย้ำกับมุกรินอย่างเจ็บแค้นว่า

“อีกเดือนเดียวเท่านั้น เราก็จะรู้ หากวันนี้ความยุติธรรมถูกเบี่ยงเบนไป เธอคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ!”

ooooooo

เมื่อถึงวันนัดตัดสินคดี ปรากฏว่า ศาลยกฟ้อง!

คืนนั้นเองธาดาก็เข้าบาร์หรูมั่วกับสาวๆถึงสี่คน กินดื่มอย่างสำราญ แล้วโทร.หาทนายบรรเจิดถามว่าไม่มาฉลองกับตนหรือ ทนายบรรเจิดปฏิเสธอ้างว่าตนไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ตนต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ดี

“เข้าใจครับ...ต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับพี่บรรเจิด ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”

“ผมไม่ต้องการคำขอบคุณ ผมทำหน้าที่ของผม คุณก็ต้องทำหน้าที่ของคุณ อย่าลืมใช้หนี้เสธ.ให้ครบโดยเร็วนะ อ้อ...เสธ.ห่วงเรื่องความปลอดภัยของคุณ ท่านส่งการ์ดสามคนไปดูแลคุณคืนนี้ด้วย ตัวใหญ่ๆ หน้าดุๆ คุณลองชำเลืองดูรอบๆแล้วกัน”

ธาดาบอกว่าเห็นแล้ว ฝากขอบคุณเสธ.ด้วย ทนายบรรเจิดบอกว่าท่านห่วงเงินของท่านไม่ได้ห่วงเขา

ระหว่างที่ธาดากำลังมัวเมากับเหล้าและหญิงสาวนั่นเอง พนักงานเข้ามาแจ้งว่ามีคนมาขอพบ

ธาดาถามอย่างลำพองใจว่าใคร ชื่ออะไร พนักงานบอกว่าไม่ทราบ ธาดาสั่งให้ไปถามชื่อแล้วค่อยมาบอก ถ้าชื่อไม่เพราะไม่ให้พบ แล้วหันไปจี๋จ๋ากับสาวๆต่อ

“ฉันชื่อคิมหันต์ คุรุรัตน์ ชื่อเพราะพอไหม” ธาดาเงยหน้ามองนิ่งถามว่ามาที่นี่ทำไม ทำไมเมื่อวานถึงไม่ไปศาล “เมื่อวานไม่ว่าง แต่วันนี้ฉันมีเวลาพอที่จะมาคิดบัญชีแทนพี่มล”

คิมหันต์พุ่งเข้าหาธาดาทันที พอธาดาล้มคว่ำก็เข้าไปเตะซ้ำ พวกสาวๆวี้ดว้ายแตกกันกระเจิง

พริบตานั้นชายร่างใหญ่หน้าดุสามคนก็เข้ามากระชากคิมหันต์ออกจากธาดา ธาดาลุกขึ้นตวาดถาม

“มึงซ่านักใช่ไหมไอ้คิม...” แล้วคว้าขวดเหล้าฟาดคิมหันต์จนหัวแตกเลือดกระจาย “ซ่าอย่างมึงต้องเจออย่างนี้...” แล้วธาดาก็พยักหน้าให้การ์ดสั่ง

“ไม่ต้องให้ถึงตาย เอาแค่พิการก็พอ”

การ์ดทั้งสามรุมเข้าอัดคิมหันต์ลงไปกองกับพื้น คิมหันต์นอนแน่นิ่งกับกองเลือดของตัวเองอยู่ตรงนั้น...

ooooooo

ขณะมุกรินเดินไปที่ห้องพิจารณาคดีในวันไปศาล วันนั้น เธอนึกในใจไปตามทางว่า...

“ชีวิตมนุษย์ตั้งอยู่บนความเสี่ยงกันทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่มีข้อยกเว้น เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่องแต่ละเหตุการณ์ เรื่องที่สำคัญที่สุดย่อมมีความเสี่ยงมากที่สุดเป็นธรรมดา...”

มุกรินนึกถึงงานศพของวิมลรัตน์ คิดต่อไปว่า “หลายคนนึกถึงการเสี่ยงชีวิต...ก็คงไม่ผิด แต่บางเรื่อง แม้ไม่ถึงกับชีวิตแต่ผลได้เสียนั้นเสี่ยงมากที่สุดไม่แพ้กัน เช่นเรื่องที่ฉันกำลังเสี่ยงอยู่ขณะนี้”

มุกรินเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องพิจารณาคดี ตัดสินใจก้าวเข้าไป

ooooooo

ชุมสายไปถึงโรงพยาบาลกลางดึก เข้าไปในห้องฉุกเฉินเห็นคิมหันต์ได้รับการทำแผลเรียบร้อยแล้ว ชุมสายถามประชดว่าสนุกไหม คิมหันต์บอกว่าดีกว่าอยู่เฉยๆ รู้สึกดีถ้าได้ทำอะไรเพื่อพี่มลบ้าง

ระหว่างนั้นสารวัตรเดินเข้ามาบอกคิมหันต์ว่า ท่านรองอาณัติให้มาดูแลเขาอย่างดีที่สุดและฝากถามด้วยว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม คิมหันต์บอกว่าตนไม่กล้ารับปาก สารวัตรพูดหน้านิ่งๆว่า

“งั้นผมก็คงรับปากไม่ได้เหมือนกันว่าคราวต่อไปคุณจะถูกดำเนินคดีรึเปล่า” คิมหันต์บอกว่าให้เต็มที่เลย “สำหรับวันนี้ผมจะลงบันทึกประจำวันเปรียบเทียบปรับข้อหาสร้างความวุ่นวาย ส่วนค่าเสียหายที่ร้านคุณก็ให้ทนายเพื่อนคุณตามเรื่องเอาแล้วกันนะครับ ลุกจากเตียงได้แล้วช่วยตามมาให้ผมสอบปากคำหน่อยนะครับ”

พอสารวัตรไป ชุมสายเปรยๆว่าตนอดเป็นห่วงมุกรินไม่ได้ คิมหันต์บอกอย่างสาแกใจว่า

“ฉันมีทางออกให้เขาอยู่แล้วไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้แกคอยดู!”

ฝ่ายธาดา ได้รับการทำแผลจากมุกรินแล้ว เขาบอกว่าจะหาที่อยู่ใหม่ เพราะคิมหันต์ไม่ยอมให้ตนเข้าบ้านพี่มลแน่

มุกรินบอกให้มาอยู่กับตนจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลือง

“แต่ถ้าพี่ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆมุกอย่างนี้ พี่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมุกกับคิมจะไปไม่รอดนะ”

“ก็แล้วแต่พี่ใหญ่แล้วกันค่ะ” มุกรินตามใจพี่ชายเพราะลึกๆแล้วเธอเห็นด้วยกับเขา คืนนี้เธอจึงโทร.หาคิมหันต์แต่ปลายสายบอกให้ฝากข้อความ เธอตัดสินใจพูด “คิม...มุกพูดนะ...มุกเพิ่งรู้จากพี่ใหญ่ว่ามีเรื่องกันที่บาร์ แต่ไม่รู้ว่าคิมเป็นยังไงบ้าง มุกเป็นห่วงนะคิม...เท่านี้นะ”

คิมหันต์ฟังข้อความแล้ววางโทรศัพท์ลง ชุมสายถามว่ามุกรินฝากข้อความยังไงบ้าง คิมหันต์ตอบอย่างขอไปทีว่าไม่รู้ เสียงซ่าๆ ฟังไม่รู้เรื่อง พอชุมสายบอกให้โทร.กลับ เขาส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีสัญญาณ”

ooooooo

พักตราไปที่บ้านคิมหันต์ เห็นไสวกับถวิลกำลังช่วยกันขนลังขึ้นรถ ที่ใต้ป้าย “คิมหันต์ แกลลอรี่” มีป้ายแขวนไว้ว่า “ปิดกิจการไม่มีกำหนด”

พักตราถามไสวกับถวิลที่กำลังช่วยกันขนของว่าคิมหันต์ไม่อยู่หรือ แล้วกำลังขนอะไรกัน? ไสวเล่าว่า

“คือว่า คุณคิมแกจะไม่อยู่ที่นี่แล้วครับ แกจะย้ายไปอยู่บ้านคุณมล เรือนหลังเล็กที่คุณมลสร้างไว้ให้น่ะครับ”

พักตราอาสาช่วยขนของอ้างว่าตนกำลังจะไปหาเขาพอดี ถามว่าอันไหนของใช้ส่วนตัวเขา ไสวชี้ให้ดูว่า

“นี่ครับอุปกรณ์กล้องกับหนังสือพิมพ์วันนี้ แกฝากซื้อครับ”

พักตรายกกล่องนั้นไปที่รถของตนวางไว้ที่เบาะข้างตัว กระดาษแผ่นแทรกหน้าโฆษณาในหนังสือพิมพ์แลบออกมาพักตราหันมองแล้วหัวเราะเมื่อเห็นพาดหัวว่า “ประกาศการถอนหมั้น”

เป็นประกาศการถอนหมั้นของคิมหันต์กับมุกริน ข้อความระบุว่าเพราะพฤติกรรมของมุกรินไม่เหมาะสมที่ชายใดจะล่มหัวจมท้ายด้วยได้

ไม่เพียงแผ่นแทรกในหนังสือพิมพ์เท่านั้น ในคอมพิวเตอร์ก็มีประกาศนี้พร้อมกับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่แสดงถึงความไม่เหมาะสมกับสถานะคู่หมั้นเพราะความเจ้าเล่ห์ไม่ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริงของเธอ...ทั้งยังสาปแช่งขออย่าได้เจอะเจอกันอีกไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน แล้วลงชื่อ “นายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์ ผู้แจ้งความและผู้เสียหาย”

บรรดาพนักงานในบริษัทต่างได้อ่านข้อความนี้และมองมุกรินอย่างระแวงบ้างถึงกับถอยห่าง

ขณะมุกรินยืนเคว้งคว้างอยู่นั้น พักตราเข้ามาส่งเสียงดังถามว่าเช้านี้เธออ่านข่าวบ้างหรือปล่า แล้วเล่าว่าสื่อทุกฉบับทุกแขนงลงคลิปแฉเธอและแชร์ไปทั่วเมือง มุกรินบอกว่าตนเห็นแล้ว พักตราแสดงความเห็นใจแต่น้ำเสียงเย้ยในทีว่า

“น่าสงสารเธอจังเลยมุก ถ้าเป็นฉันโดนคู่หมั้นทำอย่างนี้ ฉันต้องตายแน่ๆ” แล้วบอกให้เธอทำใจและต้องเข้าใจคิมหันต์ด้วยพี่สาวเขาทั้งคนนะ มุกรินติงว่าก็ไม่เห็นต้องมาประจานกันแบบนี้ “นั่นสิ ฉันถามเขาว่าทำทำไมเขาก็ไม่บอก”

พักตราบอกว่าตนเข้าใจเธอ ความรู้สึกคงไม่ต่างจากวันที่เขาบอกตนว่าจะหมั้นกับเธอ บอกให้มุกรินทำใจเสียเพราะ “ชีวิตมันเอาแน่อะไรไม่ได้อย่างนี้แหละนี่ถ้าหากคิมเขาเลิกกับเธอแล้วมารักกับฉัน เธอจะมาว่าอะไรฉันไม่ได้นะเพราะมันเป็นเรื่องของโชคชะตา” พูดแล้วผละไปเลย

ชุมสายถามคิมหันต์ว่าทำอย่างนั้นทำไม คิมหันต์บอกว่าไม่รู้ ตนรู้ทุกอย่างที่ทำแต่ไม่รู้ว่าตนบ้าหรือเปล่า ชุมสายถามว่าไม่นึกถึงหัวอกของคนที่เขาจะแต่งงานด้วยหรือ คิมหันต์ตอบอย่างเลื่อนลอยว่า “ก็ตอนนี้ไม่คิดจะแต่งแล้ว”

ชุมสายหงุดหงิดที่พูดกับคิมหันต์ไม่รู้เรื่อง บอกว่าขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว ด่าว่า แกมันบ้าชัดๆ คิมหันต์บอกว่าก็คงงั้น

“ฉันขอบอกให้แกรู้นะ ที่ฉันเป็นทนายความให้แก ช่วยแกทุกอย่าง นอกจากเพราะแกเป็นเพื่อนฉันแล้ว ฉันทำเพื่อพี่มลที่ฉันเคารพ แต่ถ้าแกไม่เลิกพฤติกรรมแบบนี้วันนึงฉันอาจจะถอนตัวและจะไม่ยุ่งกับแกอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”

คิมหันต์ถามว่ายังไม่ถึงวันนั้นใช่ไหม งั้นช่วยดูนี่ให้หน่อย ส่งเอกสารให้พลางบอกว่า

“พินัยกรรมของพี่มล ฉันเพิ่งเจอในตู้หนังสือ ดูให้ทีว่าฉันยึดอะไรคืนจากมันได้บ้าง” ชุมสายบอกให้ปล่อยวางเสียบ้างเถอะ “ไม่มีวัน! พี่กูทั้งคนนะเว้ย”

พอดีถวิลเข้ามาบอกว่ามุกรินมา เธอให้มาถามว่า คุณคิมจะยอมให้เธอพบไหม คิมหันต์นิ่งอย่างไม่ให้ความสำคัญ พูดกับชุมสายต่อ “เห็นไหมไอ้ชุม ผู้หญิงเขาก็รู้ได้เองว่าระหว่างเรามันมีระยะห่างมากขึ้นมันไม่มีวันเหมือนเดิม” ถวิลถามว่าจะให้บอกมุกรินอย่างไร “พาเขาไปรอผมที่บ้านใหญ่ ห้องพี่มล...”

ooooooo

เมื่อคิมหันต์ไปพบมุกรินที่ห้องวิมลรัตน์ มุกริน บอกว่าตนไม่ได้อยากมาดูห้องของวิมลรัตน์ แต่จะมาถามว่าเขาเป็นคนส่งข่าวหนังสือพิมพ์ เป็นคนทำคลิป เป็นคนแชร์คลิปนั้นเองใช่ไหม

แต่คิมหันต์เหมือนอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เขาไม่สนใจคำพูดของมุกรินแต่เดินย่ำตามรอยเหตุการณ์ในคืนนั้นพูดทบทวนเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่หยุด จนมุกรินขอร้องว่าอย่าทำอย่างนี้กับตนได้ไหม ถูกย้อนถามว่าแล้วที่เธอทำอย่างนี้กับตนทำไม ทำอย่างนี้กับพี่สาวตนทำไม มุกรินบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ศาลก็บอกว่า...

“ศาลไม่ได้บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ!” คิมหันต์ตวาด “เพียงแต่ยังหาหลักฐานได้ไม่เพียงพอ และคุณก็คือหนึ่งในตัวการที่ทำให้ข้อเท็จจริงถูกเบี่ยงเบนไป เพราะการให้การเท็จของคุณ!”

มุกรินถามว่านี่คือการแก้แค้นของเขาใช่ไหม พูดกับตนดีๆก็ได้ ทำไมต้องประจานกันอย่างนี้ คิมหันต์โต้ว่าตนต้องการประกาศให้ทุกคนในโลกนี้รู้ว่า ตนไม่รักเธออีกแล้ว เผื่อใครจะจีบเธอจะได้ไม่กระดากใจ

“ค่ะ เช่นเดียวกันค่ะคิม ถ้าคุณจะมีใครก็ไม่ต้องกระดาก หวังว่าพักตราคงจะดีใจนะคะ” พอมุกรินจะเดินออกไปคิมหันต์บอกว่า “ถอดแหวนออกเสียด้วย ข้าวของต่างๆที่เป็นของคุณผมรวบรวมไว้หมดแล้ว อยู่ในลัง เดี๋ยวน้าไสวจะขนไปให้ที่รถ”

มุกรินค่อยๆถอดแหวนออกจากนิ้วนาง คิมหันต์ยังคงพูดไม่หยุด

“จำไว้ด้วยว่า คุณเป็นคนเลือกเอง มุก...คุณและพี่ชายคุณเลือกวิถีชีวิตนี้ด้วยตัวเอง ส่วนผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ...ก็เท่านั้น”

มุกรินเดินออกจากห้องของวิมลรัตน์ไป พอพ้นจากห้อง เธอเดินน้ำตาอาบหน้าอุ้มกล่องที่คิมหันต์รวบรวมของเธอคืนให้ไปวางไว้ในรถข้างที่นั่งคนขับ...รูปในกรอบที่ทั้งเธอและคิมหันต์เคยวางไว้ที่หัวเตียง เป็นรูปที่ถ่ายเมื่อสามปีก่อน ขณะที่ความรักยังหวานชื่นต่างพูดถึงจุดอ่อนของอีกฝ่ายและพร้อมจะให้อภัยกัน จนเมื่อคิมหันต์บอกว่าตนเป็นคนขี้โมโหมุกรินบอกเขาว่า

“อันนี้ขอได้ไหม...มุกกลัว...”

“ไม่ได้ เมื่อไหร่ที่มุกทำให้คิมผิดหวัง คิมจะอาฆาตแค้น จองเวรไปจนวันตายเลย!”

“งั้นมุกไม่เอาด้วยแล้ว” มุกรินทำเป็นวิ่งหนี คิมหันต์ไล่ตามหัวเราะกันอย่างร่าเริง พอไล่ทันคิมหันต์จับเธอไว้เลยล้มกลิ้งไปด้วยกัน...คิมหันต์กดชัตเตอร์ถ่ายรูปตัวเองอย่างต่อเนื่อง...และรูปก็ถูกอัดใส่กรอบเหมือนบันทึกเรื่องราวเวลานั้น...

เห็นรูปในอดีตที่บันทึกความรักหวานชื่นในอดีตแล้ว มุกรินน้ำตาอาบหน้าอย่างไม่อาจหยุดได้...

ooooooo

ธาดาไปที่บริษัท MOLLY เรียกแผนกการเงินให้เอาสมุดเช็คมา กบเป็นคนเอามาให้ ถามว่าเขาจะเซ็นเช็คให้ใครหรือ ถูกตวาดว่าอย่ายุ่ง ตนจะเซ็นให้ใครมันเรื่องของตน

กบชะเง้อดูตัวเลข อุทานตาโตว่าเยอะขนาดนี้ จ่ายค่าทนายแน่เลย ธาดาถามว่าใครบอก

“เดาเอา...ก็ขนาดหนูอยู่เฉยๆ หนูยังได้เป็นแสนเลย” ธาดามองหน้าถามว่าทำอะไร...อยู่เฉยๆหรือ “อยู่เฉยๆ ก็คือไม่ให้พูด ไม่ให้ทำอะไรไงคะ แล้วหลายล้านอย่างนั้นจะให้ลงบัญชีว่าค่าอะไรคะ”

“ฉันยืมบริษัทก่อน จะค่าอะไรก็ลงไปเหอะ ไม่เห็นแปลก” ธาดาตัดบทดุๆแล้วออกไปเลย

คืนนี้ธาดาโทรศัพท์มาคุยกับมุกริน แล้วชวนออกมาฉลองกันไหม มุกรินปฏิเสธ ธาดาเล่าว่า พรรคพวกที่เคยช่วยเหลือตนคราวก่อนส่งข่าวมาว่า มีคนเห็นคิมหันต์เดินควงอยู่กับสาวไฮโซ ตนจะสืบดูว่าเป็นใครแล้วจะบอก จะได้เอาชื่อไปประจานบ้าง

พอมุกรินวางสายจากธาดา ปรารภก็เข้ามาชวนคุยและชวนสั่งอาหารแบบที่เรากินกันวันนั้นมากินกัน

มุกรินยิ้มให้เป็นการตอบรับ...

แต่วันนี้มุกรินกินอาหารกร่อยๆ ไม่อร่อยเหมือนวันนั้น ปรารภบอกว่าตนเข้าใจเธอ และหากเธอไม่สบายใจไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่บอกตนได้ ตนยินดีช่วยเสมอ แล้วลงมือเก็บจานอย่างคล่องแคล่ว

ooooooo

ฝ่ายคิมหันต์เอาพินัยกรรมของวิมลรัตน์ให้ชุมสายดู ปรากฏว่าสมบัติทั้งหมด ทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ วิมลรัตนยกให้คิมหันต์ทั้งหมด ชุมสายดูแล้วบอกว่า “แกรวยอื้อเลยว่ะ”

“พี่มลรู้ว่าใครจริงใจ พึ่งพาได้และใครมาเพื่อปอกลอก” ชุมสายถามว่าแล้วจะเอายังไงต่อไป “เมื่อผ่านขั้นตอนทางกฎหมายแล้ว ฉันจะฟ้องเอาของของฉันคืน ทั้งเงินสด รถ และบ้าน ไอ้ฆาตกรมันต้องไม่ได้อะไรที่เป็นของพี่มลเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”

คืนนี้คิมหันต์ควงพักตราไปทานอาหารกันในร้านหรู เป็นเป้าสายตาของคนในร้านเพราะคิมหันต์กำลังเป็นข่าวดังในสังคม

มุกรินยังไม่ทันแยกกับปรารภ ก็ได้รับโทรศัพท์จากธาดาบอกว่าคิมหันต์ควงพักตราไปกินข้าว เธอบอกว่าเป็นสิทธิ์ของเขาเพราะเราไม่มีอะไรกันแล้ว ปรารภเตือนสติว่าอย่าตัดสินใจทำอะไรเพื่อเป็นการประชด

“ไม่หรอกค่ะ มุกโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ไม่มีความคิด วันไหนที่รภอยากจะชวนมุกไปกินข้าวก็ชวนได้เลย ไม่ต้องเกรงใจใคร”

“อืม...อันนี้...เข้าท่า” ปรารภยิ้มรับ

หลังจากทานอาหารกันแล้ว พักตราถามคิมหันต์ว่าจะไปไหน เขาบอกว่าขับรถเล่นประสาชายโสด พักตราขอตามไปด้วย เขาบอกว่าอย่าเพิ่งเลยคนจะยิ่งนินทาเราเยอะขึ้นและเกรงใจคุณพ่อเธอด้วย

“ถ้าคุณพ่อสนับสนุนล่ะคะ” พักตราทิ้งสายตาให้ คิมหันต์บอกให้ถามท่านให้แน่ก่อนดีกว่า พักตรากระซิบตอบ

“ได้...แต่ถึงพ่อจะว่ายังไง พักตร์ก็จะไม่ปล่อยให้คิมหลุดมือพักตร์ไปอีกเป็นอันขาด” เห็นเขาทำหน้าแปลกใจ เธอรีบบอก “พักตร์ล้อเล่นค่ะ พักตร์ไม่ฝืนใจคิมหรอกค่ะ” แล้วหอมแก้มเขาเบาๆ ทีเล่นทีจริงแต่คิมหันเริ่มคิดขึ้นมาจริงๆแล้ว

ooooooo

ธาดาไปที่ร้าน MOLLY เขาโมโหเมื่อเห็นมีป้ายประกาศว่า

“บริษัทปิดกิจการชั่วคราว ขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกครั้งนี้” เขาถามยามว่าใครเอาป้ายนี้มาติดและใครสั่งให้ล็อกประตู ยามบอกว่าไม่ทราบเพราะตนเพิ่งมารับเวร

ธาดาสั่งให้เอาป้ายออกและเอากุญแจมา ยามไม่มี ก็สั่งให้ทุบประตูเข้าไปเลย

“ยามกะก่อนผม เขาฝากนี่ไว้ครับ...เขาบอกว่าอยากรู้อะไรให้ไปที่นี่ครับ”

มันเป็นนามบัตรของชุมสาย สำนักกฎหมายบูรพา ธาดาลิ่วไปทันที ไปถึงก็โวยวายใส่ชุมสายว่าทำอย่างนี้ได้ยังไง มีสิทธิ์อะไร? ขู่ว่าแบบนี้ฟ้องได้นะ

“ครับ ฟ้องได้แต่ไม่ใช่ฟ้องผมเพราะคนที่สั่งปิดป้ายนั่นไม่ใช่ผม”

“ผมเอง!” คิมหันต์ก้าวเข้ามา ธาดาบอกว่าตนต้องฟ้องเขาแน่ “ด้วยความยินดี ฟ้องเลย เพราะฉันก็จะฟ้องไล่แกออกไปเหมือนกัน ไล่ไปให้พันจากทรัพย์สมบัติของพี่มลไง”

คิมหันต์โยนพินัยกรรมของวิมลรัตน์ให้อ่าน ชุมสายบอกว่า นี่คือรายการทรัพย์สินที่เป็นของคิมหันต์ทั้งหมดที่คุณต้องส่งมอบคืน ธาดาถามว่าถ้าตนไม่คืนล่ะ คิมหันต์บอกว่าก็ขึ้นศาลกัน แล้วชุมสายก็ยื่นกระดาษอีกแผ่นหนึ่งให้ดู

“นี่คือรายการทรัพย์สินของคุณที่อยู่ที่บ้านพี่มล นายคิมหันต์รวบรวมแพ็กใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยแล้ว คุณแวะไปรับได้ที่บ้านเลย เราจะให้เวลาคุณสองอาทิตย์เพื่อเคลียร์ทรัพย์สินส่วนที่ต้องส่งคืน”

ธาดาโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตวาดถามว่า “คิดว่าขู่อย่างนี้แล้วกูจะกลัวเหรอ”

ชุมสายก้าวเข้าประชิดธาดา พูดเบาๆอย่างเหนือกว่าว่า

“ผมว่านายคิมหันต์ขู่คุณได้มากกว่านี้อีกเยอะ...คุณอย่าเสี่ยงดีกว่า”

ooooooo

ที่สำนักงานบรรเจิด ขณะเขานั่งเล่นเกมออนไลน์อยู่นั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากธาดา บรรเจิดพูดอย่างเย็นชา ว่าไม่คิดว่าเขาจะต้องโทร.หาตนอีก
ธาดาอยู่ในผับ เขาหันมองดวงดาวที่กำลังเล่นกีตาร์อยู่บนเวที เธอกำลังออดิชั่นอยู่ เขาบอกบรรเจิดเสียงเครียดว่าพวกคิมหันต์กำลังรุมเล่นงานตนหนัก พวกนั้นจะตั้งผู้จัดการมรดกและฟ้องร้องเอาสมบัติไปหมดไม่ให้อะไรตนเลย

บรรเจิดถามว่าวิมลรัตน์ทำพินัยกรรมไว้หรือเปล่า เนื้อหาในพินัยกรรมว่ายังไงบ้าง

“ก็อย่างที่มันว่านั่นแหละครับ ไม่ให้อะไรผมเลย แต่ผมเชื่อว่า เรายื่นศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของเราเอง สู้กับมันได้นะ ใช่ไหมครับ ผมว่าคุณบรรเจิดน่าจะมีทางออกให้ผมได้นะ”

“ทางออกที่ดีที่สุดของคุณก็คือ หลีกเลี่ยงการขึ้นศาลซะ มันไม่สนุกหรอกครับ เรื่องพวกนี้ยอมๆมันไปเถอะ คดีเก่าเรายังต้องสู้กับมันในชั้นอุทธรณ์อีกนะครับ อย่าหางานเพิ่มกว่านี้เลยคุณธาดา ที่สำคัญ คุณใช้หนี้เสธ.หมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ไม่มีภาระที่ต้องปกป้องอะไรคุณอีกแล้ว รักษาตัวให้ดีนะครับคุณธาดา”

“เวรเอ๊ย!” ธาดาสบถอย่างหัวเสีย พอดีดวงดาว ร้องเพลงเสร็จลงมาบอกธาดาว่าเขาให้ตนเล่นให้ดูสองเพลงเท่านั้นยังไม่บอกว่าจะรับหรือไม่รับ” ธาดาบอกว่าอย่าเล่นเลย เรียนหนังสือให้จบก่อน เดี๋ยวตนจะหางานดีๆให้เอง ดวงดาวถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีสำหรับตน “รู้สิ...รู้ดีกว่าหนูด้วยซ้ำ”

ธาดาขับรถพาดวงดาวออกไป เธอชวนแวะกินอะไรก่อนเข้าบ้านไหม ธาดาขอโทร.หาน้องสาวก่อนแล้วเดินห่างไป

ธาดาโทร.หามุกรินกลางลานจอดรถของผับ พูดอย่างร้อนรนว่าคิมหันต์จะฟ้องยึดทรัพย์สินของเราทั้งหมด ทั้งเงินสด เครื่องเพชร บริษัท บ้าน รถ สบถ ว่ามันจะบ้าใหญ่แล้ว มันจะให้ตนตายให้ได้ มุกรินบอกว่าคิมไม่น่าทำถึงขนาดนี้ ธาดาขอให้เธอลองไปคุยกับคิมหันต์ดู แล้วดึกๆค่อยคุยกันที่บ้านต่อ

พอธาดาเดินกลับมาที่รถ ดวงดาวบอกว่าตนอยากดูหนัง ธาดาถามว่าตกลงจะกินข้าวหรือดูหนัง ดวงดาวบอกว่าทั้งสองอย่างแต่ถ้าเขาไม่ว่างตนไปกับเพื่อนๆก็ได้

“ไม่...อาไปด้วย จะได้ถือโอกาสหลับในโรงหนัง สักงีบนึง” แล้วธาดาก็ขึ้นรถขับออกไป

ooooooo

ปรารภเห็นมุกรินนั่งซึมเศร้า เขาบอกว่าไม่ชอบเธอในลุคนี้เลย อยากได้มุกคนเดิมคืนมา เธอบอกว่าตนไม่เหมือนเดิมแล้ว

“แค่เลิกกับแฟน แค่แฟนขอถอนหมั้น ไม่ใช่โลกจะถล่มทลายนะมุก พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเศร้า เรื่องผิดหวัง ปวดร้าวใจ แต่ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป

โธ่...พี่หย่าร้าง มาตั้งสามครั้ง ลูกสอง แม่สาม พี่ยังยิ้มร่าเริงทำงานทำการ ต่อได้เลย” มุกรินบอกว่าตนอยากรู้ว่าทำไมคิมถึงทำกับตนอย่างนี้ เขาทำอย่างนี้ทำไม “อยากรู้ใช่ไหม อยากรู้ก็ไปถามเลยสิ กลัวอะไร พี่ไปด้วยจะได้จบๆ ทำงานทำการได้ เอาไหม”

ปรารภขับรถไปจอดที่หน้าบ้านคิมหันต์ ครู่หนึ่งคิมหันต์กลับมากับพักตรา มุกรินบอกว่าเป็นรถพักตราเขาคงมาด้วยกัน ครู่หนึ่งพักตรามาเรียกมุกรินลงจากรถบอกว่าคิมหันต์อยู่ในรถตน พอดีไปกินข้าวด้วยกันมา ช่วงนี้เขายังต้องทำใจหลายเรื่องน่าสงสาร ตนจึงต้องคอยดูแลหัวใจเขา เธอคงไม่ว่าอะไร แล้วตีกันมุกรินว่า

“แต่ที่จริง เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะว่าอะไรอยู่แล้ว เอาเถอะเธอไปคุยกับคิมหน่อยดีกว่า คนเพิ่งเลิกกัน เพิ่งถอนหมั้นอาจจะยังเคลียร์กันไม่จบ เอาเลยฉันรอได้ ไปคุยกันให้จบเสียจะได้สบายใจกันทุกฝ่าย” พักตราหันไปพูดกับปรารภว่า “พ่อหม้ายอย่างคุณก็จะได้อานิสงส์ด้วยไงคะ คุณปรารภ”

ooooooo

คิมหันต์ถามมุกรินว่ามาที่นี่ทำไม มุกรินบอกว่า ตนรู้ว่าเขาจะฟ้องยึดทรัพย์สินจากธาดามากมาย

คิมหันต์อ้างสิทธิ์ในฐานะน้องชายคนเดียวของวิมลรัตน์จึงต้องเป็นผู้ดูแลรักษาสมบัติเหล่านั้น

มุกรินบอกว่าเขาอยากได้อะไรที่เป็นของวิมลรัตน์ ก็เอาไป แต่บ้านที่ตนอยู่เป็นบ้านที่พ่อแม่เก็บออมสร้างมา และตนก็อยู่มาตั้งแต่เด็กเขามีสิทธิ์อะไรจะมายึด

แล้วมุกรินก็แทบช็อกเมื่อรู้ความจริงว่า ธาดาเอาบ้านหลังนี้ไปจำนองกับวิมลรัตน์ตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ และปล่อยให้หลุดตั้งแต่ก่อนแต่งงานกัน ฉะนั้นบ้านหลังนี้จึงเป็นของวิมลรัตน์โดยชอบด้วยกฎหมาย พูดแล้วถาม

มุกรินที่ช็อกอยู่ว่ามีอะไรสงสัยอีกไหม มุกรินหันจะเดินกลับ คิมหันต์ย้ำว่า

“ฝากบอกพี่ชายคุณด้วยว่า กำหนดคืนของสองอาทิตย์นะ อย่าลืมล่ะ...ทนายของผมจะคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนบ้านน่ะ ผมยอมให้ช้าหน่อยได้ เผื่อให้คุณขนย้ายข้าวของ แต่ก็ไม่น่าลำบากมั้ง พ่อหม้ายคนนั้นคงช่วยเหลือกุลีกุจอเต็มที่”

มุกรินหันมองหน้าคิมหันต์น้ำตาอาบหน้า เขาถามว่าจะอ้อนวอนอะไรอีกไหม เธอตอบอย่างทะนงว่า

“คุณจะได้ของของคุณคืนโดยเร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้คุณคิมหันต์!” มุกรินเดินตรงไปที่รถ ปรารภรีบออกมารับเปิดประตูรถให้เข้าไปนั่ง พักตราจงใจยิ้มให้มุกรินพูดเหน็บไปถึงปรารภว่า

“ร้องไห้แบบนี้ แปลว่าจบขาดกันแล้วนะ...ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณนะคุณปรารภ” พูดแล้วเดินกลับไปหาคิมหันต์

คิมหันต์บอกพักตราให้เธอกลับบ้านเสีย ตนอยากอยู่คนเดียวสักพัก พักตราหอมแก้มเขาบอกว่าอย่าอยู่คนเดียวนานนัก ไม่สนุกหรอก แล้วเข้าไปนั่งในรถ คิมหันต์มองไปที่มุกรินเป็นจังหวะที่เธอมองมาพอดี ทั้งคู่ประสานสายตากันนิ่ง...

ooooooo

ธาดากลับถึงบ้านก็ดึกแล้ว มุกรินยังไม่นอน เขาบอกว่าจะเอารถจอดไว้ที่นี่ เอากุญแจวางไว้ให้ แล้วเริ่มพูดเรื่องคิมหันต์อีก มุกรินทนฟังไม่ได้ ถามสวนไปเรื่องบ้านของพ่อแม่ว่าทำไมเขาทำอย่างนั้น

ทีแรกธาดาก็ยังกล่าวโทษว่าคิมหันต์ร้ายกาจขนาดจะมายึดบ้านหลังนี้ พอมุกรินโต้ว่าเพราะเขาเอาไปจำนองและปล่อยให้ขาด ธาดาก็อึ้ง มุกรินร้องไห้ ต่อว่าเขาที่เอาบ้านที่พ่อแม่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงไปจำนำก็ไม่บอกตนสักคำ ธาดาแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่าตอนนั้นตนขาดเงินเพราะธุรกิจที่ทำมีปัญหา

“แล้วทำไมพี่ไม่ไถ่คืนมา พี่ใหญ่ปล่อยให้บ้านหลุดจำนองเป็นของเขาไปได้ยังไง แล้วมุกจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”

“ก็พี่แต่งงานกับเขา พี่ก็นึกว่าผัวเมียกันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร มุกฟังนะ...มุกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น พี่เตรียมส่งเรื่องให้ทนายของเราสู้กับมันแล้ว ทนายเราเก่ง เก่งกว่ามันเยอะ เราชนะมันแน่”

“เหมือนที่พี่พ้นผิดจากคดีฆาตกรรมใช่ไหม... พี่ใช้ทนายเก่งๆ ถึงเอาชนะเขาได้...แต่จริงๆแล้วพี่ใหญ่...”

“พี่ไม่ผิด! พี่ไม่ใช่ฆาตกรจำไว้นะ มุก...พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง มุกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” พูดจบก็เดิน ออกไปทันที

ooooooo

ธาดานั่งแท็กซี่ไปที่บ้านวิมลรัตน์บอกแท็กซี่ให้รอ ตนเข้าไปเอาของแป๊บเดียวแล้วจะไปต่อ

พอธาดาเข้าบ้าน ถวิลกับไสวออกมาบอกว่าคิมหันต์ จัดของของเขาใส่กล่องไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะยกมาให้ ธาดาจะเข้าไปเอง ไสวอึกอัก ธาดาถามว่าจะไม่ให้เข้าหรือ ไสวบอกว่าคิมหันต์สั่งห้ามไว้

“ฉันก็มาตอนที่มันไม่อยู่แล้วนี่ไง แกจะได้ไม่ต้องลำบากใจ หลีกไป” ธาดาผลักไสวออกไปอย่างแรงแล้วเข้าบ้าน ถวิลรีบมาบอกว่าของเขาอยู่ที่นี่ ธาดาปรายตามองถามว่าของตนตั้งเยอะแยะทำไมเหลือแค่สามลังแค่นี้ แล้วจะลุยเข้าไป ถูกถวิลขวางบอกว่าคิมหันต์ห้ามใครขึ้นไปเป็นอันขาด

แต่พอธาดาขึ้นไปก็เข้าห้องไม่ได้เพราะประตูล็อก ถวิลกับไสวถือโทรศัพท์เข้ามาบอกว่าถ้าเขาเข้าไปตนจะโทร.แจ้งตำรวจและคิมหันต์เดี๋ยวนี้ ถูกธาดาจิกหัวถวิลถามว่าตนเป็นเจ้านายคนหนึ่งของที่นี่ลืมไปแล้วหรือ ตนจะเข้าไปเอาของที่ลืมไว้ทำไมเข้าไม่ได้ ขู่ว่า

“แล้วถ้าแกโทร.บอกตำรวจหรือบอกไอ้คิมหันต์ละก็...แกสองคนจะโดนมากกว่าจิกหัว อยากลองไหม” ทั้งสองส่ายหน้ากลัวๆ ธาดาจึงไขกุญแจเข้าห้องไป แต่พอเข้าไปทั้งตู้ลิ้นชักล้วนถูกใส่กุญแจหมด จึงเรียกถวิล ให้เอากุญแจมา

“กุญแจมีดอกเดียวอยู่ที่กู อยากได้ก็เข้ามาเอา” คิมหันต์ยืนประจันหน้า พอธาดาขยับตัวเขาก็ใช้วัตถุใกล้มือฟาดไปที่ร่างธาดาจนทรุดแล้วตามเตะซ้ำ ชี้ไปที่พื้นบอกว่า ตรงนี้เขาบีบคอวิมลรัตน์ แล้วลากไปที่ห้องน้ำ แล้วจับหัววิมลรัตน์กระแทก คิมหันต์ทำอย่างที่ธาดาทำกับพี่สาวตน จนธาดาน่วมหมดแรงที่จะต่อสู้

ชุมสายเข้ามาบอกให้หยุด ถ้าเขาฆ่าธาดาตัวเองก็ต้องติดคุก

“ก็ทีมันฆ่าพี่มลล่ะ ทำไมมันรอดได้ ทำไมมันกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ มันเป็นเทวดาหรือ!”

ถวิลร้องบอกว่าธาดานิ่งไปแล้ว ชุมสายเข้าไปดูได้ยินเสียงธาดาครางเบาๆ บอกว่ายังไม่ตาย คิมหันต์สั่งให้เรียกรถพยาบาลและให้โทร.บอกมุกรินด้วย

มุกรินไปหาธาดาที่โรงพยาบาล เขาทำแผลเสร็จแล้วแต่เมื่อเธอจะไปจ่ายเงิน ปรากฏว่าคิมหันต์จ่ายแล้ว ธาดาเอาเงินให้มุกรินบอกให้เอาไปคืนคิมหันต์ ตนไม่อยากให้เป็นหนี้บุญคุณกัน

ooooooo

ธาดาไปเช่าบ้านอยู่กับดวงดาว ขณะดวงดาวกำลังซ้อมกีตาร์ร้องเพลงตามปกติอยู่คนเดียว ก็มีชายฉกรรจ์มายืนจ้องอยู่ที่หน้าประตู ดวงดาวถามว่ามาหาใคร

ชายคนนั้นบอกว่ามาหาธาดา ดวงดาวถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่ที่นี่ มันบอกว่ารู้แต่ไม่รู้ว่าเธอก็อยู่ที่นี่ด้วย ดวงดาวบอกว่าคุณอายังไม่กลับ มันจึงฝากบอกว่า ไอ้ขุมมาหา ดวงดาวทวน “คุณขุมหรือ”

“เรียกไอ้ขุมดีกว่า เรียกคุณเดี๋ยวเขาจะนึกหน้าฉันไม่ออก” พูดแล้วเดินกลับไป

ดวงดาวมองตามครุ่นคิดอะไรบางอย่าง...

ฝ่ายมุกรินอยู่บ้าน ก็ถูกคนจะมายกรถบอกว่าเป็นคำสั่งของคิมหันต์เจ้าของรถ มุกรินบอกว่าไม่ต้องยกเดี๋ยวตนจะขับไปให้เอง

มุกรินขับรถไปที่บ้านวิมลรัตน์พร้อมกล่องข้าวของของคิมหันต์ที่ยังตกค้างอยู่ที่บ้านตน ที่พิเศษคือแหวนหมั้น คิมหันต์ไม่รับคืน เธอบอกว่าตนไม่อยากเก็บไว้เพราะมันไม่มีค่าอะไรสำหรับตนอีกต่อไปแล้ว


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ข้ามากับพระ ตอนที่ 13


ระเบิดเวลาจวนเจียนทำงานเข้ามาทุกทีหลวงพ่อเสือกับศักดิ์กลัวสุดขีดแต่พยายามตั้งสติใช้เวลาที่เหลือถอดชนวนได้สำเร็จ รอดตายเส้นยาแดงผ่าแปด!

ส่วนภูที่ได้รับการปล่อยตัวจากผู้พันเชก็ดั้นด้นไปจนถึงบ้านเซงตู สมทบกับพวกมะนาว ก่อนจะพากันออกเดินทางตามพวกเสือไพรที่ภูรู้มาว่านำทางพวกเกริกไปหาทองคำ ในขณะที่เสือทองกับเพลิงและลูกน้องก็พร้อมแล้วที่จะไปตามสัญลักษณ์บนต้นไม้ที่กริชซึ่งอยู่ในขบวนของเกริกแอบทำไว้

หลังจากรอดตายศักดิ์มุ่งหน้าไปบ้านเสี่ยกิจเพื่อพบแก้วตา แต่ในบ้านเงียบกริบ จึงลัดเลาะไปที่ห้องของเธอ แล้วพบจดหมายจ่าหน้าซองถึงหลวงพ่อเสือแต่ไม่พบตัวเธอ พอจะหยิบจดหมายมาอ่าน ได้ยินเสียงแม่บ้านตะโกนโหวกเหวกด้วยความตกใจ

“แกเป็นใคร...ขโมย ช่วยด้วยๆ”

“ฉันไม่ใช่ขโมย ฉันศักดิ์ไง นายศักดิ์ที่เคยทำงานกับเสี่ยกิจไง ฉันแค่มาหาคุณแก้วตาน่ะ คุณแก้วตาล่ะ”

แม่บ้านเพ่งมองแล้วจำได้ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่แก้วตาเดินทางไปกับเสี่ยกิจให้เขาฟัง ศักดิ์ร้อนใจรีบกลับมาบอกหลวงพ่อเสือแล้วออกเดินทางทั้งที่ยังไม่รู้จุดหมายที่แน่นอน

เวลาเดียวกันนั้น กองคาราวานของเกริกหยุดกลางป่า เสือไพร ผู้กองพงษ์ และจ่าโชค แม้ได้รับการปลดกุญแจมือแต่ยังถูกเพชรควบคุมตัวแจ แต่แก้วตาก็หาโอกาสเข้ามาคุยกับผู้กองพงษ์เรื่องที่พบหลักฐานของศักดิ์ในจดหมายส่งถึงหลวงพ่อจนได้

เสือไพรรื้อฟื้นความจำก่อนจะบอกเกริกว่าต้องเดินเท้าไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาทอง เกริกไม่ย่อท้อต่อสิ่งที่ต้องการ สั่งขบวนเดินทางกันได้เลย

แน่นอนว่าคณะของผู้พันเชที่มีอองซอรวมอยู่ด้วยก็เกาะไม่ปล่อย คาดเดาได้ถูกต้องว่าพวกนั้นต้องใช้เส้นทางข้ามไปอีกฝั่ง ซึ่งแถวนั้นมีพวกชนกลุ่มน้อยป่าเถื่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านไปได้

อาจอคือหัวหน้าหมู่บ้านชนกลุ่มน้อย และเป็นเพื่อนของเซงตู พวกเขากำลังถูกคณะของผู้พันเชรุกรานหมายเอาตัวไปเป็นลูกหาบ ใครไม่ยอมก็ถูกมันยิงทิ้งอย่างเลือดเย็น หลังจากบังคับพวกอาจอไปแล้ว คณะของเซงตูมาถึงและรู้จากผู้หญิงคนหนึ่งที่รอดชีวิต เซงตูแค้นมาก ให้ทุกคนในกลุ่มเร่งฝีเท้าติดตามพวกมันไป

ใกล้ค่ำสารวัตรพนาสั่งกองคาราวานหยุดพักค้างแรมโดยกางเต็นท์ชั่วคราว เสี่ยกิจเพิ่งจะมีเวลาคุยกับแก้วตาตามลำพังหลังจากเดินทางมาทั้งวัน แก้วตาถือโอกาสนี้ถามพ่อว่าเจอแพรพรรณได้ยังไง เสี่ยกิจแปลกใจเล็กน้อยก่อนเล่าว่า

“ก็ตอนที่หนูเรียนที่โรงเรียนประจำน่ะ พ่อก็รู้สึกขาดอะไรไป พอดีพ่อไปเจอน้าแพรพรรณเขาไปงานบอลรูม ที่กรุงเทพฯ”

“งานบอลรูมหรือคะ นั่นงานพวกผู้ดีทั้งนั้นนะคะ”

“ก็ใช่น่ะสิ หนูคิดว่าน้าแพรพรรณเป็นพาร์ตเนอร์แบบที่เขาพูดกันหรือไง” แก้วตาพยักหน้ายอมรับ เสี่ยกิจพูดต่อไปว่า “เปล่าเลย ตรงกันข้าม น้าแพรพรรณเขาเป็นนักเรียนนอกเลยนะ”

“นักเรียนนอก” แก้วตาทวนคำแล้วทำท่าจะถามต่อ แต่แพรพรรณเดินเข้ามาตามสองพ่อลูกไปกินข้าว การสนทนาจึงยุติลงอย่างน่าเสียดาย

ooooooo

อาจอกับลูกบ้านเกือบสิบคนที่ถูกผู้พันเชบังคับมาแอบวางแผนกันว่าคืนนี้พระจันทร์ตรงหัวพวกเขาจะหนี ไม่อยู่เป็นขี้ข้าพวกนี้อย่างแน่นอน

ด้านศักดิ์กับหลวงพ่อเสือก็แน่ใจว่ามาถูกทาง เพราะเห็นรอยสัญลักษณ์บนต้นไม้ เชื่อว่าต้องมีคนทำไว้บอกทางให้ตามไป ฝ่ายกลุ่มของภูที่มีเซงตูนำทางก็ไม่พลาด เซงตูวิเคราะห์รอยเท้าจำนวนมากที่พบ แล้วให้ทุกคนหยุดพักผ่อนก่อนจะออกเดินทางกันต่อในวันรุ่งขึ้น...

คืนนี้เองผู้กองพงษ์เลียบเคียงถามเสือไพรว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ปะทะกับรองชาติเสือ โดยมีจ่าโชคนั่งฟังด้วยความสนใจ

วันนั้นชาติเสือนำกำลังตำรวจจับกุมเสือไพรแล้วชบาวิ่งออกมารับกระสุนแทน เสือไพรไม่มั่นใจว่าเป็นฝีมือชาติเสือ เพราะเห็นเงาคนในพงไม้ไกลออกไป

“นี่หมายความว่ารองชาติเสือยิงเมียเสือไพรตายงั้นหรือ” น้ำเสียงผู้กองพงษ์ค่อนข้างตกใจ

“นี่แหละที่มันคาใจข้าจนทุกวันนี้”

“เสือไพรพูดเหมือนว่ารองชาติเสืออาจจะไม่ใช่เป็นคนยิง”

“นั่นแหละที่ข้ารอให้มันกลับมาพิสูจน์”

ผู้กองพงษ์กับจ่าโชครู้สึกสับสน เรื่องราวมันซับซ้อนเกินจะเข้าใจ ฝ่ายแก้วตาที่นั่งอยู่หน้าเต็นท์นอนของตัวเอง เธอกำลังเหม่อคิดเรื่องแม่และน้าแพรพรรณ เกริกเข้ามาเงียบๆ ลงนั่งถามเธอว่าคิดอะไรอยู่

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คิดถึงแม่น่ะค่ะ”

“คุณแม่หนูเสียชีวิตไปนานแล้วไม่ใช่หรือ”

“ค่ะ แต่แม่ราตรียังอยู่ในใจฉันตลอด อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบวันตายของแม่แล้ว”

“ฉันเสียใจด้วยนะ แต่หนูเก่งนะที่อยู่มาได้”

“หนูอยู่ได้เพราะคำสั่งเสียสุดท้ายของแม่ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะอยู่ในใจหนูตลอดไป ถึงตอนนั้นหนูยังเด็ก หนูก็จำได้ และจำมาจนทุกวันนี้”

“แต่ต่อไปนี้ฉันจะดูแลหนูเอง...หนูเข้าใจที่ฉันพูดไหมจ๊ะ” เกริกพูดยิ้มๆ แก้วตารู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องแต่งงาน แต่ไม่ต่อความยาว เลือกที่จะเงียบไว้ทั้งที่ไม่พอใจ

ooooooo

ศักดิ์แปลกใจที่คืนนี้หลวงพ่อไม่ปักกลดเหมือนเคย แต่พอซักถามแล้วได้คำตอบว่าเป็นการพรางตัวหลบหลีกศัตรูก็ทำให้ศักดิ์ยิ่งสงสัยในตัวหลวงพ่อเสือ

“หลวงพ่อรู้จักการพรางตัวด้วย ไม่เบาเลยนะ พระอะไรปลดระเบิดก็เป็น รู้ยุทธวิธีรบด้วย ถามจริงๆเถอะหลวงพ่อ ก่อนมาบวชหลวงพ่อทำอะไรมา”

“รับราชการ”

“จริงหรือ เป็นอะไรล่ะหลวงพ่อ”

“ถามมากไปแล้ว ไปนอนได้แล้ว”

“งั้นถามอีกข้อ หลวงพ่อไม่เป็นห่วงลูกหรือไง คนที่หลวงพ่อฝากไว้กับพระที่กรุงเทพฯน่ะ”

“ข้าบอกว่าไม่ใช่ลูกของข้า แค่...” หลวงพ่อยั้งปากเพราะยังไม่ถึงเวลา “เอาเถอะ เอาไว้ว่างๆข้าจะเล่าให้ฟัง ไปนอนได้แล้ว”

ศักดิ์จำใจลุกไปทั้งที่ยังสงสัยใคร่รู้...

กลางดึกคืนเดียวกัน พวกอาจอหลบหนีออกจากกลุ่มของผู้พันเชแต่ไม่รอดพ้นสายตา พวกเขาถูกตามล่าโดนฆ่าตายไปหลายคน อาจอกับลูกบ้านที่เหลือพากันเร่งหนีโดยที่ลูกน้องผู้พันเชก็ยังไล่ล่าไม่ลดละ

อีกด้านที่กลุ่มของเซงตู...มะนาวเฝ้าเวรยามด้วยท่าทีเหงาหงอย ภูเข้ามานั่งเป็นเพื่อนและพร้อมจะเป็นเวรยาม

“ฉันมาเปลี่ยนเวรแล้ว ไปนอนเถอะ”

“ไม่เป็นไร ฉันยังไม่ง่วง”

“ดูเธอไม่ค่อยสบายใจเลย”

“ฉันกำลังคิดว่าฉันทำอะไรอยู่ มันจำเป็นหรือเปล่า”

“ถ้าตาชูอยู่ เธอว่าตาชูจะทำยังไง”

มะนาวคิดว่าตาชูต้องไปช่วยเสือไพรแน่ อดบ่นไม่ได้ว่าตาปิดบังตนตลอดเวลา

“ตาชูคงไม่อยากให้อดีตมากัดกินใจพวกเธอน่ะสิ ตาชูรอเวลากว่า 20 ปี เพื่อให้คดีหมดอายุความ แต่แล้วก็ต้อง...” ภูไม่กล้าพูดต่อเพราะเห็นมะนาวน้ำตาซึม

“ฉันเข้าใจตาฉันดี เขาชอบผู้กองพงษ์และอยากให้ผู้กองพงษ์ดูแลฉัน ตาจึงยอมเอาทองออกมา”

“ฉันว่าทุกอย่างมันใกล้จะจบแล้วล่ะ เราต้องช่วยผู้กองพงษ์ จ่าโชค และเสือไพรมาให้ได้...เธอไปนอนเถอะ”

มะนาวลุกไปอย่างมีกำลังใจ...ทางด้านตาชูที่ยังปักหลักอยู่ในสำนักสงฆ์ของพระอูถั่นทราบข่าวจากเณรว่าเซงตูยกคนตามไปช่วยเสือไพร เขาคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาต้องไปร่วมด้วยช่วยกัน จึงขอให้เณรหาคนนำทาง

ooooooo

ที่หน้าเต็นท์แก้วตามียามเฝ้าแน่นหนาตามคำสั่งของเกริก...หญิงสาวอยู่ข้างในนั่งดูรูปศักดิ์รับปริญญากับจดหมายฉบับสุดท้ายที่พระสมชายเขียนถึงหลวงพ่อเสือ

ยิ่งดูยิ่งคิดถึง เธอรำพึงว่ารอเขาอยู่ รอให้เขาเปิดเผยตัวเองเสียทีเพราะเธอไม่อยากคบเขาอย่างระแวง

อีกมุม จ่าโชค ผู้กองพงษ์ และเสือไพรนั่งดื่มกาแฟ แต่จ่าโชคเปรี้ยวปากว่าอยากกินเหล้ามากกว่า

“นี่จ่า เราเป็นนักโทษนะ เขามีกาแฟให้กินก็ถือว่าเขากรุณาเต็มที่แล้ว”

จ่าโชคพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้กองพงษ์ แล้วว่าเป็นเพราะแก้วตา พวกเราถึงได้กิน...เสือไพรรู้สึกชอบและเอ็นดูแก้วตา บอกว่าลูกเสี่ยกิจคนนี้ผิดพ่อจริงๆ

“แล้วเสือไพรไม่มีลูกบ้างเหรอ” ผู้กองพงษ์ปากไว

“เพลิงไง” เสือไพรตอบนิ่งๆ

“ใครก็รู้ว่าเพลิงน่ะเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยง” จ่าโชคข้อมูลแน่น

เสือไพรชะงัก หวนคิดถึงอดีตที่รับเลี้ยงเพลิงตั้งแต่แบเบาะเพราะพ่อแม่ตายในกองเพลิง เสือไพรสงสารนำเพลิงมาให้ชบาเลี้ยง ชบาเต็มใจบอกว่าจะเลี้ยงเขาให้เหมือนลูกตัวเอง แต่เสือส่งกับตาชูที่อยู่ด้วยท่าทางหนักใจ

แล้วพอเพลิงเติบโตได้สี่ห้าขวบความหนักใจของเสือส่งกับตาชูก็เพิ่มพูน เพลิงนิสัยไม่ดี เกเรและก้าวร้าว ตาชูถึงกับทำนายว่าขืนเป็นแบบนี้โตเป็นหนุ่มคงเอาไม่อยู่

ต่อมาอีกไม่นาน ชบาวิงเวียนและอาเจียน เสือไพรแปลกใจถามว่าเป็นอะไร ก่อนจะนึกได้ว่าอาการของเธอเหมือนคนแพ้ท้อง ชบายอมรับว่าตนเองท้องสองเดือนกว่า

เสือไพรสีหน้าหม่นลงทันใด ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจ...

ฟังเรื่องราวในอดีตจากปากเสือไพรแล้ว ผู้กองพงษ์กับจ่าโชคสังเกตเห็นเจ้าตัวหน้าเศร้าก็รู้สึกสงสาร พร้อมใจกันแสดงความเสียใจ

“ที่แท้วันนั้น...” จ่าโชครำพึงเสียงแผ่ว

“ชบาวิ่งมารับลูกปืนแทนฉัน”

ผู้กองพงษ์พยักหน้าและเอ่ยออกมา “เข้าใจแล้ว นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่รองชาติเสือหายตัวไป เขาคงเสียใจที่ฆ่าลูกเมียของเสือไพรสินะ”

“คงอย่างนั้น”

“แล้วยังมีเรื่องซุบซิบที่ว่ารองชาติเสือยักยอกทองของกลางไปด้วย ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ถ้าจริง ที่เขาหายไปก็น่าจะหนีคดีนี้ หลบไปใช้ชีวิตอย่างสบายๆที่ไหนสักแห่ง”

ฟังจ่าโชคแล้วเสือไพรแววตาเข้ม กล่าวหนักแน่นมั่นใจ “ฉันเชื่อว่าเขาไม่ทำอย่างนั้นแน่ ฉันรู้จักเขาดี”

ผู้กองพงษ์กับจ่าโชคมองหน้ากันด้วยความสงสัย ยิ่งรับรู้ก็ยิ่งรู้สึกพัวพันและซับซ้อน

ooooooo

พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าสว่างจ้าแต่ศักดิ์ยังนอนอุตุกรนเสียงดังจนหลวงพ่อเสือต้องปลุกให้ตื่นเพื่อออกเดินทางต่อ ในขณะเดียวกันกองคาราวานของเกริกก็เตรียมตัวเดินทางเช่นกัน

ฝ่ายอาจอที่พาลูกบ้านหนีออกจากกลุ่มของผู้พันเชตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้เหลือกันอยู่แค่สี่คน แต่แล้วทหารของผู้พันเชก็ตามมาทันและฆ่าคนของอาจอไปอีกหนึ่ง ก่อนที่พวกเซงตูจะเข้ามาเด็ดหัวทหารทั้งหมดแล้วพาพวกอาจอไปยังที่พัก วางแผนเล่นงานผู้พันเชให้หนักโทษฐานที่เขาฆ่าล้างหมู่บ้านของอาจอ

เสือทองอยู่ไม่ไกลจากกองคาราวานของเกริก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เพชรลูกน้องเสี่ยกิจจะดอดออกจากกลุ่มมาหาเสือทองเพื่อส่งข่าวว่าเรากำลังจะข้ามไปฝั่งโน้นจะให้ทำยังไง

“ถ้าทองอยู่ฝั่งโน้นก็ดีสิ เราจะหลอมที่นั่น แล้วเอาลงเรือไปสิงคโปร์เลย รับรองขายง่ายได้ราคาดี ข้ามีเพื่อนอยู่ที่ฝั่งโน้นหลายคน”

ได้ยินเสือทองพูดอย่างนั้น เพลิงท้วงทันควันว่า “แต่ฉันไม่มี เพราะฉะนั้นฉันจะไว้ใจได้ยังไงว่าพี่ทองกับเพื่อนไม่หักหลังฉัน”

“แหม...มาด้วยกันขนาดนี้ยังไม่ไว้ใจกันอีกหรือ” เด่นลูกน้องเสือทองติงขึ้นมา ส่วนเสือทองก็ทำปากหวานว่า

“นั่นสิ เพลิงน้องรัก”

เพลิงนิ่งคิดประเมินสถานการณ์แล้วตัดสินใจไม่ต่อความยาว ทำทีตามน้ำไปก่อนทั้งที่ระแวง “ฉันก็พูดไปแบบนั้นเอง ยังไงเราก็ล่มหัวจมท้ายกันมาแล้วนี่นะ”

“งั้นฉันไปก่อนนะ ตกลงตามนี้” เพชรสรุป

“ดี ข้าจะส่งคนไปติดต่อเพื่อนข้าไว้ก่อน” เสือทองหมายถึงเพื่อนที่อยู่อีกฝั่ง เพชรพยักหน้าเข้าใจแล้วออกจากกลุ่มกลับไปยังกองคาราวานของเกริก

ooooooo

ออกเดินทางมาใกล้พวกเกริกเข้าไปทุกที หลวงพ่อเสือหยุดพัก ศักดิ์ท่าทางเซ็งๆ เพราะอยากเจอแก้วตา ถามหลวงพ่อว่าเราจะนั่งเฉยๆอยู่แบบนี้งั้นหรือ

“ไม่ได้นั่งเฉยๆ แต่กำลังรอ”

“รอ?” ศักดิ์นิ่วหน้าสงสัย

“ใช่ ตอนนี้เราใกล้พวกมันแล้ว ต้องรักษาระยะห่างไว้ก่อน...เท่าที่ดูมันมีกองคาราวานเป็นสองกอง กองแรกดูจากรอยเท้าที่มีคนมากกว่า เข้าใจว่าน่าจะเป็นกองของเสี่ยกิจกับเกริก ส่วนกองหลังที่ตามไปมีคนน้อยกว่าน่าจะเป็นพวกคุ้มกัน”

ศักดิ์มองหลวงพ่อเสืออย่างประหลาดใจ “นี่ถ้าหลวงพ่อไม่ห่มผ้าเหลือง ผมคงคิดว่าหลวงพ่อเป็นหน่วยซีลนะเนี่ย หลวงพ่อรู้ได้ยังไง”

“ก็...ก็แบบว่าจำในหนังกลางแปลงมาน่ะ เมื่อก่อนตอนอยู่วัดมีหนังมาฉายแก้บนเกือบทุกวันเลย”

ศักดิ์ไม่ค่อยเชื่อ แต่เก็บไว้ในใจ “เราจะตามพวกเขาไปแบบนี้หรือ ผมเป็นห่วงคุณแก้วตานะ”

“เป็นห่วงหรือคิดถึง” หลวงพ่ออมยิ้มรู้ทัน ศักดิ์ชะงักเขินไปเลย

ooooooo

กองคาราวานของเกริกกำลังจะออกเดินทางต่อ เสี่ยกิจท่าทีหงุดหงิดเพราะมองไม่เห็นลูกน้องคนสนิท จนเมื่อเพชรกลับเข้ามา เสี่ยกิจตวาดเสียงขุ่นใส่ทันที

“ไปไหนมา เขารอแกอยู่คนเดียว”

“ผมปวดท้องน่ะครับ”

“ปวดท้องก็กลับไปเลยไป อะไรกัน ทำให้คนอื่นเขารอ”

เสี่ยกิจไม่พอใจ แพรพรรณแก้ตัวแทนให้เพชรโดยมีสายตาของแก้วตาจ้องมองเธออย่างจับผิด

“แหม...เสี่ยคะ เรื่องแบบนี้ใครจะไปทนได้ อย่าไปตำหนิเพชรเลย”

เสี่ยกิจระงับอารมณ์แล้วเดินจากไป แก้วตายังคงมองแพรพรรณกับเพชรด้วยความสงสัย ท่าทางทั้งคู่ ดูแปลกๆพิกล...

ผู้พันเชตั้งกองกำลังอยู่ห่างออกไปจากพื้นที่ของเกริกไม่มากนัก ทันทีที่ลูกน้องมาส่งข่าวว่าพวกนั้นกำลังเคลื่อนพลมาทางนี้ ผู้พันเชสั่งทหารคนสนิทให้แจ้งพวกเราเตรียมตัวจับเป็นเฉพาะคนสำคัญ นอกนั้นไม่ต้องเอามาให้เป็นภาระ

เสือไพรนำทางโดยมีสารวัตรพนาและตำรวจอีกจำนวนหนึ่งประกบตลอดเวลา ผู้กองพงษ์กับจ่าโชคอยู่ไม่ห่างจากเสือไพรนัก ผ่านไปสักพักเสือไพรรู้สึกผิดสังเกตกับหนทางข้างหน้า เตือนทุกคนระวังตัวให้ดี

สิ้นเสียงเตือน ผู้พันเชที่ซ่อนตัวก็ประกาศน้ำเสียงดุดันว่า

“ทุกคนวางอาวุธ”

คณะของเกริกตระหนกตกใจเหลียวหาที่มาของเสียง...ทหารของผู้พันเชค่อยๆออกจากที่ซ่อนพร้อมอาวุธครบมือจ่อไปที่กองคาราวานของเกริกทั้งหมด
ผู้พันเชปรากฏตัวอย่างย่ามใจ ยืนห่างออกไปนอกวิถีกระสุน อองซออยู่ข้างๆ

“ฉันรู้ว่าพวกแกกำลังจะไปไหน และฉันก็อยากไปที่นั่นด้วย แต่ของที่แกจะไปเอาทั้งหมดต้องเป็นของฉัน”

เกริกตั้งสติประเมินสถานการณ์ ถามว่ามันไม่ง่ายไปหน่อยหรือผู้พัน

“จะให้ง่ายกว่านี้ก็ได้” ขาดคำของผู้พันเช กระสุนปืนจากลูกน้องพุ่งเข้าใส่คนของเกริกที่ยืนข้างแก้วตาล้มลงขาดใจตาย ทุกคนตกใจ เสือไพร ผู้กองพงษ์และจ่าโชคคิดหาทางรอด...

ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น เสือทองรับรู้และประเมินสถานการณ์ว่านัดเดียวไม่ใช่การโจมตี จึงให้เด่นออกไปสืบข่าวโดยเร็ว ฝ่ายหลวงพ่อเสือกับศักดิ์ได้ยินเสียงปืนเหมือนกัน หลวงพ่อคะเนน่าจะไม่เกินหนึ่งกิโล ต้องเป็นที่คาราวานของเกริกแน่

“อีกแล้ว...หลวงพ่อรู้อีกแล้ว ฟังเสียงก็รู้ระยะทางเลยเหรอ”

“ข้าก็คะเนไปตามเรื่อง รีบไปดีกว่า”

“หลวงพ่อเอาจริงเหรอ เรามีแค่สองคนนะ”

“แค่ไปดู ไม่ได้ไปรบ ไม่ห่วงแฟนแล้วหรือไง”

ศักดิ์นิ่งไป แน่นอนว่าเขาห่วงแก้วตา รีบจ้ำตามหลวงพ่อเสือไปซุ่มดูสองฝ่ายอยู่ห่างๆ

สถานการณ์ตึงเครียด ต่างฝ่ายต่างระวังตัวแจ เสี่ยกิจหารือเกริกว่าจะแลกเลยดีไหม สารวัตรพนาอยู่ใกล้ๆ เตือนว่าพวกเราเสียเปรียบ แต่เกริกย้ำว่าเรายังมีเสือทอง

“ว่ายังไง จะวางอาวุธมั้ย” ผู้พันเชเร่งเร้าแล้วส่งสัญญาณให้ลูกน้องยิงคนของเกริกล้มตายอีกคน

เพียงเท่านี้เสือไพรก็ตัดสินใจทันที “พอแล้ว ข้ายอม”

เสี่ยกิจไม่พอใจจ้องหน้าเสือไพรเขม็ง “ยอมง่ายๆอย่างนี้หรือวะ”

“ผมว่าเก็บชีวิตไว้ใช้เงินดีกว่าเสี่ย” เกริกเตือน เสี่ยกิจจึงนิ่งไป

“คนอย่างเสือไพรยอมง่ายๆแบบนี้ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้างล่ะมั้ง” ผู้พันเชหยั่งเชิง

“รู้ก็ดีแล้ว”

“ไหนบอกมาซิ”

“มีข้าคนเดียวที่รู้ว่าทองอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นข้าจะพาทุกคนไปเอาทอง หลังจากนั้นก็ตกลงกันเอาเอง”

“แล้วถ้าฉันไม่ตกลงล่ะ”

“มันขึ้นอยู่กับว่าผู้พันอยากฆ่าคนหรืออยากได้ทอง”

“แล้วท่าน ส.ส.เกริกล่ะ คิดยังไง”

“ฉันเลือกแบบเสือไพร”

“งั้นก็ดี แต่งานนี้ฉันต้องเป็นคนคุม” ผู้พันเชต่อรองพลางมองหน้าเสือไพร

“ฉันมีหน้าที่พาไป ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินใจ แนะนำให้เจรจากันเอง” เสือไพรโบ้ยไป เกริกสีหน้าหนักใจ

ooooooo

เด่นกลับมารายงานเสือทองว่าพวกผู้พันเชซุ่มโจมตีกองคาราวานของเกริก สองฝ่ายกำลังเจรจาแบ่งทองกัน เพลิงไม่พอใจ กลัวได้ส่วนแบ่งน้อยลงอีก เสือทองย้ำว่าไม่มีทาง เราต้องได้ทองครบ

“แล้วจะทำยังไง”

“ทำยังไงก็ได้ให้หุ้นส่วนคนใหม่ไม่มีทางได้เห็นทอง” เสือทองยิ้มเหี้ยม ต้องหาโอกาสกำจัดผู้พันเช!

การเจรจาได้ข้อสรุปว่าเกริกกับผู้พันเชจะแบ่งทองกันคนละครึ่ง โดยเกริกจำยอมให้อีกฝ่ายควบคุมสถานการณ์เพราะรู้ว่าฝ่ายของตนเป็นรอง
ผู้กองพงษ์กับจ่าโชคหวั่นเกรงว่าตอนจบจะไม่สวย ถามเสือไพรว่าทำไมตัดสินใจแบบนี้ เสือไพรตอบตามตรงว่าไม่อยากให้มีการสูญเสีย

“แล้วเสือไพรคิดว่าผู้พันเชจะทำแบบที่พูดงั้นหรือ”

“ไม่หรอก และเกริกก็ไม่ทำอย่างนั้นด้วย”

“ก็นั่นไง ผมถึงบอกว่าตอนจบไม่สวย”

“แล้วใครจะรอให้ถึงตอนจบล่ะ” เสือไพรมีแผนแต่ยังไม่เฉลย...แล้วทั้งสามคนก็โดนทหารของผู้พันเชมาควบคุมตัวรับช่วงต่อจากพวกตำรวจ


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ข้ามากับพระ ตอนที่ 12


เสือทองพาลูกน้องไปดักจับจ่าโชค ผู้กองพงษ์ และภู...สองฝ่ายยิงต่อสู้กันสักพักสารวัตรพนาก็นำกำลังตามมาทัน แต่ภูหนีไปก่อนหน้านี้แล้ว เหลือแต่จ่ากับผู้กองที่ยินยอมให้ควบคุมตัวด้วยท่าทียียวน

จ่าโชคกับผู้กองพงษ์ต้องการเข้าไปอยู่ในห้องขังกับเสือไพรตามแผนอยู่แล้ว ฝ่ายเสือไพรได้อ่านข้อความจากแก้วตาว่าอย่าไว้ใจเพลิง ก็พอจะอ่านเกมออกแต่ทำทีไม่รู้ไม่ชี้ให้เพลิงตายใจ แล้วบอกสารวัตรพนาว่าตนอยากคุยกับเกริก เพลิงได้ยินถึงกับยิ้มย่อง คาดว่าเสือไพรต้องยอมบอกที่ซ่อนทองคำ

ที่ชายป่า...พวกเสือทองยังไล่ล่าภูไม่หยุดหย่อน ภูถูกยิงแต่ไม่เข้า เสือทองเลยเปลี่ยนเป็นมีด ปรากฏว่าแทงภูได้หนึ่งแผล แต่ตัวเองก็บาดเจ็บเช่นกัน จึงพาลูกน้องถอยกลับเพราะคิดว่าอาจจะสู้ภูไม่ได้

ด้านพวกศักดิ์ที่มะนาวพาไปพักพิงบ้านเซงตูพ่อของจอมินเป็นการชั่วคราว ศักดิ์นำตำราโบราณของภูออกมาอ่านแล้วหลวงพ่อเสือเข้ามาเห็น ท่านส่งสายตาดุๆ ถามว่า “เอ็งคิดว่าตำรานี่จะช่วยอะไรเอ็งได้”

“ผมเสียดายครับ”

“เอ็งลองคิดเอาเองระหว่างเสียดายกับโลภ เอ็งว่าใจเอ็งคิดแบบไหนกันแน่”

“จริงครับ ผมโลภ ในใจคิดอยากได้ ผมอ่านหมดแล้ว ในนี้นอกจากจะมีเดรัจฉานวิชาแบบที่หลวงพ่อบอก มันยังมีตำรายาสมุนไพรด้วย นอกจากมันจะมีโทษมหันต์แล้วมันก็ยังมีคุณอนันต์อยู่นะครับ ผมว่าคุณค่าของตำรามันอยู่ที่จิตใจคนมากกว่า คนจะมองให้โลภก็ได้ จะมองให้เสียดายก็ได้ หรือจะมองเป็นอย่างอื่นอีกหลายร้อยหลายพันอย่างก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็จบลงที่คุณค่าของแต่ละคน”

หลวงพ่อฟังแล้วอึ้ง เดินออกมาพร้อมเสียงบ่น “มันสอนพระเลยหรือวะ” แล้วหันกลับไปมองศักดิ์อีกครั้งอย่างเอ็นดูระคนสงสัยว่าเขาเป็นใครกันแน่ บ่อยครั้งที่เห็นกะล่อน แต่บางทีก็มีสาระราวกับร่ำเรียนมาสูง

ในขณะเดียวกันนั้น แก้วตาบังเอิญผ่านมาทางไปรษณีย์แล้วได้รับฝากจดหมายกับโทรเลขของหลวงพ่อเสือที่ส่งมาจากกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้มะขิ่นเคยมารับไปให้ท่านแล้วครั้งหนึ่ง คราวนี้เจ้าหน้าที่เจอแก้วตาซึ่งรู้ว่าเป็นเจ้านายของมะขิ่น จึงฝากไปส่งต่อให้หลวงพ่อเสือ

แก้วตารับกลับมาถึงบ้านก็เกรงว่าจะมีเรื่องด่วน จึงตัดสินใจแกะซองโทรเลขอ่าน “ได้รับรูปแล้วรีบตอบด้วย...จะสึกแล้ว” อ่านจบยิ่งสงสัย หยิบซองจดหมายมาเปิดให้รู้แล้วรู้รอด ปรากฏว่าในนั้นมีรูปศักดิ์รับปริญญา เธอดูแล้วดูอีก ยังไงก็ใช่ศักดิ์!

ooooooo

สารวัตรพนาพาเกริกมาพบเสือไพรตามและจำยอมให้ทั้งคู่เจรจากันตามลำพัง เสือไพรถามเกริกว่ายังอยากได้ทองอยู่ใช่ไหม เกริกตอบรับโดยไม่ลังเลเพราะรอวันนี้มา 20 ปี

“ฉันก็รอ แต่ฉันรอคนที่แกไม่อยากเจอ”

เกริกชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยชื่อเพื่อนอีกคนออกมา “ไอ้ชาติ”

“แกว่ามันจะมามั้ย”

“ฉันควรจะถามแกว่าไอ้ชาติมันตายไปแล้วหรือยัง”

“คนที่หายไปไม่ได้หมายความว่าจะต้องตาย”

“ฉันไม่สนใจ ฉันสนใจทองมากกว่า บอกมาว่าแกซ่อนทองไว้ที่ไหน”

“20 สิบปี ฉันบอกไม่ถูกหรอก แต่ถ้าจะให้พาไปก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าฉันต้องได้ของครึ่งนึง”

“ที่แท้แกก็อยากได้เหมือนกัน” เกริกยิ้มหยันเสือไพรไม่สนใจ ถามว่าตกลงไหม “ตกลงเพื่อนรัก”

คำตอบของเกริกทำให้เสือไพรคิดว่าเข้าแผนจึงต่อรองว่าผู้กองพงษ์กับจ่าโชคต้องไปกับตนด้วย เกริกสงสัยจะเอาไปทำไมให้เกะกะ

“ตอนนี้เขาสองคนเป็นโจรแล้วไม่ใช่หรือ...โจรมันก็ต้องช่วยโจรสิ”

เกริกนิ่งไปอย่างยินยอม

ooooooo

เมื่อได้ยินพวกมะนาวคุยกันเรื่องเสือไพรถูกตำรวจจับแล้วผู้กองพงษ์กับจ่าโชควางแผนไปช่วย เซงตูเคยได้ยินชื่อเสือไพรกับพันตำรวจโทชาติเสือและเรื่องปล้นทองเมื่อยี่สิบปีก่อน รวมทั้งรู้ด้วยว่าชาติเสือบุกมาปราบเสือไพร แต่แล้วมือปราบอันดับหนึ่งก็หายไปหลังจากยิงเมียเสือไพรตาย

“ยิงเมียเสือไพรตายเนี่ยนะ” ศักดิ์แทรกขึ้นมา

“ใช่ ชื่อชบา ฉันรู้จัก เพราะฉันเคยไปช่วยเสือไพรเอาไว้ตอนที่พาชบาหนีมา”

เซงตูนึกถึงความหลังตอนเกริกสั่งลูกน้องจับตัวชบาแล้วเขาพาคนมาช่วยไว้ได้ พวกเกริกถอยหนีไปด้วยความแค้นใจ ส่วนเซงตูพาชบากับเสือไพรที่ได้รับบาดเจ็บมาที่หมู่บ้าน หลังจากนั้นเสือไพรก็บอกตนว่าจะอยู่ที่นี่ไปก่อนเพื่อรอใครบางคน...

ทางด้านแก้วตาที่สงสัยนักหนาว่าศักดิ์เป็นใคร เธอตัดสินใจเปิดจดหมายของหลวงพ่ออีกหลายซองออกอ่าน จึงรู้ว่าพระสมชายเลี้ยงศักดิ์มา แต่ทำไมระบุว่าชื่อสิทธิ์ หลวงพ่อเสือส่งเสียให้เขาเรียน ศักดิ์เป็นอะไรกับหลวงพ่อ

ขณะที่ยังค้นหาคำตอบให้ตัวเองด้วยความสับสน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น...แพรพรรณนั่นเอง เธอมาบอกแก้วตาว่าเวลานี้จ่าโชคกับผู้กองพงษ์ถูกจับขังคุก แก้วตาตกใจเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

แพรพรรณกลับลงมานั่งฟังเสี่ยกิจคุยกับเกริกเรื่องเสือไพรตกลงจะพาไปเอาทอง ทั้งคู่ไม่ไว้ใจแต่จะทำตามเสือไพรด้วยความระแวดระวังที่สุด

ฝ่ายภูที่หนีกระเซอะกระเซิงไปทั้งที่บาดเจ็บถูกเสือทองแทง ไม่คิดว่าจะไปเจอพวกผู้พันเช พอรู้ว่าภูเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกับเสือทอง ผู้พันเชสนใจคิดหวัง

พึ่งพาภูที่ดูแล้วมีวิชาอาคมน่าจะต่อสู้กับเสือทองได้

ooooooo

หลังจากตกลงกันเรื่องเดินทางไปหาทองคำกับเสือไพรเรียบร้อยแล้ว เกริกทวงถามเสี่ยกิจเรื่องแก้วตา เสี่ยบอกว่าทันทีที่ได้ทองกลับมาตนจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับเกริก

แก้วตาแอบฟังด้วยความตกใจ อดคิดไม่ได้ว่าที่แพรพรรณไม่อยากให้เธอกลับมาเพราะเรื่องนี้...เวลานั้น แพรพรรณกำลังไปเยี่ยมผู้กองพงษ์และจ่าโชคในห้องขัง เธอแอบใส่กระดาษข้อความไว้ในของกินที่หิ้วติดมือมาให้ผู้กองพงษ์ ซึ่งเขาเห็นหลังจากเธอกลับไปแล้ว

กลับมาถึงบ้าน แพรพรรณถูกแก้วตาคาดคั้นที่ได้ยินเกริกคุยกับเสี่ยกิจเรื่องแต่งงาน แพรพรรณยอมรับว่ารู้มาก่อน และไม่อยากให้แก้วตาเป็นอย่างแม่ของเธอ

“น้าหมายความว่ายังไง น้ารู้จักแม่ฉันหรือ”

“ฉันเคยบอกไปแล้ว คงไม่ต้องพูดซ้ำ”

“น้ารู้จักแม่ฉันได้ยังไง”

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบไม่ใช่หรือ เอาเป็นว่าฉันหวังดีกับเธอก็แล้วกัน”

“น้าหวังดีกับฉัน” แก้วตาทวนคำอย่างไม่เข้าใจ แพรพรรณยิ้มบางๆ พูดกลั้วหัวเราะก่อนเดินหนีไป ทิ้งให้แก้วตายืนงงอยู่ตรงนั้น

“ทำไม...ฉันจะหวังดีกับเธอไม่ได้หรือไง ยัยลูกเลี้ยง”

ooooooo

ผู้พันเชต้องการให้ภูถ่ายทอดวิชาหนังเหนียวยิงและฟันไม่เข้าเอาไว้ต่อสู้กับเสือทองแลกกับอิสระ ภูตัดสินใจสอนให้เพราะเสือทองคือศัตรูตัวฉกาจของเขาอยู่แล้ว

ด้านศักดิ์กับหลวงพ่อเสือพร้อมใจกันกลับเข้าเมือง ศักดิ์คิดถึงและเป็นห่วงแก้วตา ขณะที่หลวงพ่อต้องการไปดูจดหมายซึ่งอาจตกค้างอยู่ที่ทำการไปรษณีย์ เมื่อเดินทางใกล้จะเข้าเขตอำเภอเป็นเวลาเย็น ศักดิ์กับหลวงพ่อเสือตกลงหาที่พักค้างคืน โดยไม่รู้ว่ามีลูกน้องของเพชรแอบมอง มันจำหลวงพ่อที่ใบ้หวยได้ จึงรีบกลับไปรายงานลูกพี่ ปะเหมาะพอดีเสือทองอยู่ด้วย เสือทองเข้าใจว่าพระธุดงค์รูปนี้มีวิชาอาคมแก่กล้าจึงอยากพบเหมือนกัน

ได้ที่พักแล้วหลวงพ่อวานศักดิ์ไปดูจดหมายที่ไปรษณีย์ ปรากฏว่ามีคนมารับไปแล้ว ศักดิ์สงสัยว่าใครมารับ ลายเซ็นอ่านไม่ออก ขณะเขาเดินออกมาที่ตลาดเห็นชายลึกลับคนหนึ่งเหมือนสะกดรอยตามแก้วตา ศักดิ์เชื่อว่าเธอไม่รู้ตัว จึงตามมาลากหมอนั่นไปข่มขู่คาดคั้น ที่สุดเขาก็เผยออกมาว่าแพรพรรณสั่งให้ตามคุ้มกันแก้วตา

ศักดิ์ไม่เชื่อ ลากชายคนนั้นมาพูดต่อหน้าแพรพรรณที่อยู่ในร้านเสริมสวย แล้วศักดิ์ก็ต้องตะลึงกับความจริงที่แพรพรรณคือน้องสาวของราตรีแม่ของแก้วตา เธอเล่าว่าตอนราตรีแต่งงานเธอยังอยู่เมืองนอก

“แต่งงานกับเสี่ยกิจน่ะเหรอ”

“เปล่า แต่งงานกับเกริก...ท่านเกริกที่ทุกคนนับหน้า ถือตาไง ไอ้นั่นน่ะมันโรคจิต ชอบซ้อมพี่สาวฉัน จนทนไม่ได้แล้วหนีมาเจอกับเสี่ยกิจนี่แหละ โลกมันกลม เสี่ยกิจดันมาร่วมงานกับนายเกริก ฉันเลยถือโอกาสนี้...”

“มาแก้แค้น...นี่มันนิยายดีๆนี่เอง”

“เธอจะไม่เชื่อก็ได้นะ”

ศักดิ์ชะงัก สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ooooooo

ใกล้ค่ำสารวัตรพนามาปล่อยเพลิงออกจากห้องขัง อ้างเหตุผลว่าพรุ่งนี้เสือไพร ผู้กองพงษ์ และจ่าโชคจะเดินทาง ตนจำเป็นต้องเอาเพลิงไว้เป็นตัวประกัน เผื่อพวกเขาตุกติก...ความจริงสารวัตรพนาไม่ไว้ใจเสือไพร ต้องการให้เพลิงไปสมทบกับเสือทองแล้วออกเดินทางตามไปห่างๆ เพื่อคุมหลัง

เกริกกับเสี่ยกิจตามมาดูด้วยความพอใจ แต่พอเห็นแก้วตาเดินขึ้นโรงพักมาบอกว่าจะเยี่ยมผู้กองพงษ์ เสี่ยกิจไม่ค่อยพอใจ ถามว่าเยี่ยมทำไม

“ก็แค่ผ่านมา แล้วเยี่ยมในฐานะคนรู้จักค่ะพ่อ”

“หมดเวลาเยี่ยมแล้วล่ะหนูแก้วตา ฉันว่าเอาอย่างนี้ดีไหม ตั้งแต่หนูกลับมาเรายังไม่ค่อยได้คุยกันเลย ไปทานอาหารเย็นกับฉันสักมื้อ ฉันมีธุระจะคุยกับหนูเยอะเลย”

แก้วตาอึดอัดจะปฏิเสธเพราะรู้ว่าเกริกคิดยังไง แต่เสี่ยกิจรีบรวบรัดจนเธอเลี่ยงไม่ได้...

หลังจากเพลิงออกจากห้องขังไปแล้ว ผู้กองพงษ์ซึ่งข้องใจ ถามเสือไพรว่ากำลังจะทำอะไรกันแน่ ขณะที่จ่าโชคก็สงสัยเรื่องทองคำเสือไพรซ่อนไว้จริงหรือ

เสือไพรตอบคำถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่าตนจะพาพวกมันไปหาสิ่งที่ต้องการ จ่าโชคดักคอว่า ถ้าเสือไพรรู้ว่าทองอยู่ที่ไหนทำไมถึงไม่เอาไปขายตั้งนานแล้ว

“นั่นสิ ไม่จำเป็นต้องให้หมดอายุความนี่ เอาไปหลอมขึ้นใหม่ก็ขายได้แล้ว”

ถูกทั้งจ่าและผู้กองต้อนไปต้อนมา เสือไพรถึงกับนิ่งเงียบไม่ตอบ จ่าโชคเลยคาดเดาเอาเอง

“หรือว่าเสือไพรจะรอรองชาติเสือที่มีข่าวว่ายักยอกทองของกลางไป”

“ฉันมีเหตุผลของฉัน จ่ากับผู้กองทำตามฉันแล้วจะรอด”

“ฉันไม่เห็นทางที่จะรอดเลย รอบตัวเรามีแต่คนไว้ใจไม่ได้ โดยเฉพาะลูกเสือไพร”

“เพลิงน่ะหรือ ฉันรู้ตั้งนานแล้ว” เสือไพรแววตาแข็งกร้าวดุดัน

เวลาเดียวกันเพลิงมาสมทบกับพวกเสือทองแล้ว เพลิงเตือนทุกคนให้ระวังไว้บ้าง เพราะเรื่องชักจะมีอะไรซับซ้อน เขารู้มาว่าเกริกกับเสือไพรเคยเป็นเพื่อนกัน...

เกริกพาแก้วตาไปกินข้าว เขาเอาใจเธอมาก พอรู้ว่าเกริกกับคณะจะเดินทางพร้อมเสือไพรพรุ่งนี้ เธอขอไปด้วย อ้างว่าจะได้ดูแลเขา เกริกยินดีและเต็มใจ แต่แพรพรรณที่จู่ๆเดินเข้ามาท่าทางไม่พอใจ แก้วตาถือโอกาสนี้ขอตัวกลับ ทำให้เกริกไม่สบอารมณ์ลาก

แพรพรรณกลับมาที่บ้านแล้วตบสั่งสอน

หญิงสาวยืนยันว่าทำไปเพราะหึงหวง เธอรักเขาและทำใจไม่ได้ถ้าเขาต้องแต่งงานกับแก้วตา

“ไม่ได้ก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้นเธอต้องเจอหนักกว่านี้ หรือไม่ก็ไม่ต้องเจอกันเลยตลอดชีวิต”

เกริกดุดันจริงจัง ผลักเธอออกห่างแล้วเดินหนี แพรพรรณจ้องตามตาวาว เค้นเสียงอาฆาต

“ฉันคงไม่รอให้ถึงวันนั้นหรอก”

ooooooo

คืนก่อนเดินทาง พวกเสือทองกับเพลิงบุกไปจับหลวงพ่อเสือกับศักดิ์ ทั้งคู่พยายามหนีแต่ไม่รอด เสือทองเข้าใจว่าหลวงพ่อเก่งกาจมีวิชาอาคมอย่างที่ศักดิ์คุยโว และหลายครั้งที่พวกเขายิงศักดิ์ไม่ระคายผิว เหตุนี้ทำให้เสือทองเชื่อและต้องการให้หลวงพ่อสอนให้บ้าง

หลวงพ่อปฏิเสธพัลวันแล้วนำตำราโบราณจากศักดิ์มาให้ เสือทองโกรธที่ศักดิ์โกหกว่าเผาทิ้งจึงจับทั้งหลวงพ่อและศักดิ์ผูกติดกับระเบิดเวลาในเช้าวันถัดมา แล้วบอกลาชั่วนิรันดร์...

ฝ่ายภูที่ตกลงสอนวิชาอาคมให้ผู้พันเชเป็นอันสำเร็จ แถมด้วยการพิสูจน์ความหนังเหนียวให้เห็นจะจะ ภูเลยได้รับอิสระตามข้อตกลง แล้วผู้พันเชก็เตรียมออกเดินทาง หลังจากลูกน้องมาส่งข่าวว่าพวกเกริกมีการเคลื่อนไหว ส่วนเสี่ยกิจที่เพิ่งรู้ว่าแก้วตาร่วมขบวนไปด้วย เขาเป็นห่วงทำท่าจะทัดทาน แต่เกริกขัดขึ้นว่า

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะได้ถือโอกาสใกล้ชิดและทำความสนิทสนมกับหนูแก้วตาไปในตัว”

เสี่ยกิจเงียบกริบ แพรพรรณเหยียดยิ้ม...ทุกคนยุติเมื่อรถของสารวัตรพนาแล่นเข้ามาจอด เขาลงมาพร้อมตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนหนึ่งที่ควบคุมตัวเสือไพร ผู้กองพงษ์ และจ่าโชค

เมื่อทุกคนพร้อมเพรียงแล้วขบวนก็เคลื่อนไปตามเส้นทางที่เสือไพรชี้นำ


ที่มา ไทยรัฐ

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร ข้ามากับพระ ตอนที่ 11


อาการเหม่อลอยราวคนอกหักของแก้วตาทำให้ศักดิ์เชื่อว่าเธอก็มีใจให้เขาเหมือนกัน ศักดิ์พยายามจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับชงโค แต่แก้วตาไม่ยอมฟัง หาว่าเขาจะแก้ตัว

“นายจะมาแก้ตัวกับฉันทำไม ไปบอกคู่กรณีของนายโน่น ฉันมันคนอื่น”

“คุณแก้วตาคบผมมาก็รู้ว่าผมเป็นคนยังไง คุณรู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างผมไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ คุณก็รู้ว่าผมรักคุณ คุณก็รักผม คุณพูดมาสิ พูดความจริงออกมาว่าคุณรักผม”

ศักดิ์จับไหล่สองข้างของแก้วตาเขย่าคาดคั้น เธอไม่พอใจตบหน้าเขาอย่างแรง

“นายจะบ้าไปใหญ่แล้ว ไปแต่งงานซะ แล้วเราก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก”

“ไม่! ไม่มีทาง” ศักดิ์สวนทันควันแล้วดึงแก้วตาเข้ามาจูบก่อนจะโดนเธอตบหน้าอีกทีแล้วเดินหนีไป

ชงโคแอบมองด้วยความไม่พอใจแก้วตา ขณะที่พันก็เห็นเหตุการณ์ตลอด เขาเดินตามมาดักชงโคพูดเตือน สติเธอว่า

“คนเขาไม่ได้รักจะบังคับเขาทำไม”

“มันไม่ใช่เรื่องของพี่พัน”

“ทำไมจะไม่ใช่...มันเป็นเรื่องของพี่ เพราะพี่รักชงโคมาก่อน”

ชงโคไม่อยากคุยจะเดินหนี พันรีบดักหน้า ย้ำว่าเราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง แต่อีกฝ่ายสวนว่าคุยไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะพรุ่งนี้เธอจะแต่งงานกับศักดิ์แล้ว พันน้อยใจถามว่า

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่ทำเพื่อชงโคทุกอย่าง ชงโคไม่เคยเห็นค่าของมันเลยใช่ไหม”

“ฉันรู้ว่าพี่พันทำเพื่อฉันมาตลอด พี่พันเป็นคนดี”

“แล้วทำไม...”

“ฉันไม่รู้”

สองฝ่ายต่างนิ่งมองหน้ากัน แววตาชงโคเริ่มอ่อนลง แต่คำพูดยังคงทำให้พันสะเทือนใจอยู่ดี

“ฉันขอบใจพี่พันที่ยอมเสียสละเลือดให้คนที่ฉันรัก”

“มากกว่านี้พี่ก็ทำได้ ถ้ามันเป็นความสุขของชงโค แม้ชีวิตไอ้พันก็ให้ชงโคได้”

“ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันสับสนไปหมดแล้ว” ชงโคว้าวุ่นใจ พันได้โอกาสกระตุ้นเตือนว่าศักดิ์มีคนรักอยู่แล้ว เธอรับฟังแต่ไม่คล้อยตาม ตวาดพันว่าไม่ต้องพูด...แล้วเดินลิ่วหนีไป

ooooooo

ที่โรงพัก สารวัตรพนาเปิดสำนวนคดีของเสือไพรออกมาดูทั้งหมด โดยมีหมวดคนสนิทช่วยดูอยู่ด้วยความสงสัย

“ทำไมคดีเสือไพรมันมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนเดียวจะก่อคดีได้มากขนาดนี้”

“มันเป็นคดีที่ล้วนแต่หมดอายุความทั้งนั้น มีแต่คดีนี้...”

“คดีปล้นทอง”

“มันจะหมดอายุความวันพรุ่งนี้แล้ว และก็มีคดีปล้นเงินรถไฟ รวมทั้งคดีปล้นกรมที่ดินด้วย”

“เราจะรื้อคดีทั้งหมดขึ้นมาใหม่ได้ไหมครับ”

“ได้สิ แต่ถ้าคดีทั้งหมดนี้เสือไพรมีหลักฐานว่าไม่ได้กระทำผิดก็จะรื้อให้มันออกมาลอยนวลทำไมล่ะ”

“อ้าว...แบบนี้เสือไพรก็ไม่ได้ผุดได้เกิดเลยสิครับ”

“ได้แน่ ถ้ามันยอมทำตามที่ฉันบอก” สารวัตรพนาพูดแล้วยิ้มกริ่ม คาดหวังเรื่องทองคำว่าเสือไพรต้องรู้ที่ซ่อน...เวลานั้นคนที่สนใจทองคำก็กำลังรวมหัวกันเพื่อให้ได้มา เพลิงกับเสือทองนัดหมายเจอกันโดยทั้งสองฝ่ายมีลูกน้องจำนวนหนึ่งคอยดูเชิง

เพลิงอยากได้ทองคำเหมือนกัน จึงตกลงร่วมงานกับเสือทอง โดยเพลิงต้องทำให้เสือไพรบอกที่ซ่อนทองคำด้วยการทำทีจะไปช่วยเสือไพรแหกคุกแล้วโดนตำรวจจับ แค่นี้เขาก็ได้เข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับเสือไพรในห้องขัง แถมยังพูดจาให้ร้ายเสือส่งว่าเป็นหนอนบ่อนไส้ทำให้การปล้นกรมที่ดินล้มเหลว

ไม่ทันข้ามวัน เสือส่งรู้ข่าวเพลิงถูกจับเพราะไปช่วยเสือไพร และพรุ่งนี้ตำรวจจะเอาเสือไพรกับเพลิงไปขอศาลฝากขังในจังหวัด เสือส่งจะใช้โอกาสนี้ช่วยเสือไพรออกมาให้ได้

ฝ่ายเสี่ยกิจที่เป็นห่วงแก้วตาก็บ่นกลุ้มใจ แต่แพรพรรณกลับไม่ยี่หระ พูดออกมาตรงๆว่าจะห่วงทำไมในเมื่อแก้วตาไม่ใช่ลูกแท้ๆของเสี่ย ให้คนที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของแก้วตาจัดการเองไม่ดีกว่าหรือ เสี่ยกิจไม่โกรธแพรพรรณ กลับนิ่งคิดถึงเกริกที่หมายปองแก้วตาแล้วทำท่าจะเห็นดีเห็นงามไปกับเธอ

จ่าโชคไปรู้ข่าวเสือไพรถูกตำรวจจับแล้วนำมาเล่าให้กลุ่มของตนฟัง ทุกคนเป็นห่วงเพราะรู้ว่าเสือไพรเป็นคนดี จึงตกลงกันว่าเสร็จงานแต่งของศักดิ์แล้วจะรีบไปช่วยเหลือ
ศักดิ์ถูกมัดมือชกจะมีเมียโดยไม่ตั้งใจ เขาต้อง เตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวของชงโคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แก้วตาเสียใจแต่เก็บซ่อนความรู้สึกไว้ แต่ไม่รอดสายตามะขิ่นที่รู้จักเจ้านายมากกว่าใคร

ในคุก เพลิงทำดีต่อเสือไพรเพื่อหลอกถามเรื่องทอง อ้างว่าได้ยินตำรวจคุยกัน แล้วเพลิงก็ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้โดยไม่รู้ว่ามันจริงหรือเท็จกันแน่ ขณะเดียวกันเสือทองกับสารวัตรพนาก็คุยกันนอกรอบ สารวัตรพนาอยากได้ทองคำอยู่แล้วจึงตกลงทำตามแผนของเสือทองแต่โดยดี

ด้านผู้พันเชที่ต้องการทองคำเหมือนกัน พวกเขากับอองซอพร้อมแล้วที่จะบุกชิงตัวเสือไพรขณะถูกนำตัวไปฝากขังเพื่อเค้นเอาความจริงเรื่องแหล่งที่ซ่อนทอง

วันแต่งงานของศักดิ์กับชงโคเป็นวันเดียวกับที่เสือไพรและเพลิงถูกนำตัวไปฝากขัง...การแต่งงานเป็นไปตามประเพณีของหมู่บ้านที่บ่าวสาวต้องปิดบังใบหน้า จะได้เห็นกันต่อเมื่อเข้าหอตอนตะวันตกดิน ปรากฏว่าจ่าโชควางแผนให้ศักดิ์หลุดพ้นจากตำแหน่งเจ้าบ่าวแล้วเอาพันเข้าไปแทนโดยที่ไม่มีใครรู้นอกจากผู้กองพงษ์

พันยอมทำตามแผนของจ่าโชคเพราะรู้ความจริงจากเพื่อนในหมู่บ้านที่บังเอิญได้ยินแผนการของผู้ใหญ่โชติกับชงโคที่วางยานอนหลับศักดิ์แล้วจัดฉากว่าได้เสียกัน ฝ่ายศักดิ์นั้นดีใจสุดชีวิตรีบหนีไปสมทบกับกลุ่มของตนที่ล่วงหน้าไปก่อน ส่วนจ่าโชคตามมาทีหลัง แล้วอดแซวแก้วตาไม่ได้ที่หายโกรธหายงอนศักดิ์เป็นปลิดทิ้ง

จากนั้นพวกผู้กองพงษ์ก็มุ่งหน้าไปหาทางช่วยเสือไพร เช่นเดียวกับเสือส่งที่พร้อมแล้ว ส่วนพวกผู้พันเชและพวกเสือทองที่จ้องจะตะครุบตัวเสือไพรเพราะอยากรู้ที่ซ่อนทองคำก็เกณฑ์สมุนของพวกตนไปดักรอ

เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อฝ่ายผู้พันเชกับฝ่ายเสือทองจะชิงตัวเสือไพรที่อยู่ในรถ ขณะสองฝ่ายต่อสู้กัน เสือไพรคิดหนีแต่เพลิงที่ถูกควบคุมตัวมาด้วยพยายามถ่วงเวลา
เสือส่งพลาดท่าถูกยิงบาดเจ็บสาหัส ลูกน้องที่เหลือคนเดียวรีบพาเขาหนีออกมาแล้วได้ภูเข้าช่วยเหลือปฐม– พยาบาลบาดแผลให้เบื้องต้น แต่เสือส่งรู้ตัวว่าไม่รอดจึงให้ทิ้งตนไว้ ทันใดหลวงพ่อเสือก้าวเข้ามา เสือส่งจ้องมองอย่างคลับคล้ายคลับคลาก่อนจะจำได้ว่าพระรูปนี้ก็คือรองชาติเสือ แต่เขาก็สิ้นใจไปก่อนที่จะพูดอะไรออกมา

ตำรวจนำกำลังเสริมมาสกัดทุกฝ่ายที่จะชิงตัวเสือไพร อองซอเห็นท่าไม่ดีจึงนำพาพวกผู้พันเชหนีไป ส่วนเสือไพรหนีไม่ได้ เขาจ้องมองเพลิงด้วยความสงสัยและไม่ไว้ใจในพฤติกรรมของมัน

เสร็จเรื่องฝังศพเสือส่งแล้ว หลวงพ่อเสือชวนภูไปตามหาพวกศักดิ์ ขณะนั้นพวกศักดิ์ยังเดินทางไม่พ้นจากป่าจึงไม่ได้มาช่วยเสือไพรอย่างที่ตั้งใจ ทุกคนหยุดพักกินอาหารเย็นที่เตรียมมาและคิดว่าน่าจะหาที่ค้างคืนกันแถวนี้

เวลาเดียวกัน ชงโคเพิ่งจะได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวภายในห้องหอ เธอตกใจมากที่เป็นพันไม่ใช่ศักดิ์ กรีดร้องด้วยความผิดหวังและเสียใจ

ooooooo

คืนนี้ในป่า พวกศักดิ์นั่งล้อมวงรอบกองไฟพูดคุยกันเรื่องเสือไพรด้วยความเป็นห่วง พงษ์แน่ใจว่าคนที่ต้องการตัวเสือไพรที่สุดคือเกริก

“ผมเชื่อว่าท่านเกริกคงต้องคาดคั้นให้เสือไพรบอกที่ซ่อนทองแน่”

“ที่แท้ตาก็เป็นคนปล้นทองกับเสือไพร” มะนาวเพิ่งกระจ่าง

“ฉันเชื่อว่าท่านเกริกรอเวลานี้มานาน วันที่มันหมดอายุความ เขาถึงต้องการจับเสือไพรเป็นๆมาตลอด”

ขาดคำของจ่าโชค แก้วตาอยากรู้ว่าเสี่ยกิจพ่อของเธอเกี่ยวอะไรด้วยหรือเปล่า

“ผมพอจะเดาได้ว่าเสี่ยกิจคงไม่รู้เรื่องหรอก แกคงทำตามน้ำไปกับท่านเกริกเพื่อหวังแค่ผลประโยชน์เรื่องป่าไม้แค่นั้น”

“หรือไม่ก็ถูกน้าแพรพรรณยุ ยัยคนนี้ยิ่งบ้าสมบัติอยู่ด้วย”

“ไม่นะ ถ้าคุณแพรพรรณเป็นคนแบบนั้น เขาจะบอกผมทำไมว่าให้พาคุณแก้วตาหนีไปเพราะมีอันตราย” ศักดิ์เพิ่งเปิดเผย พงษ์สงสัยว่าแพรพรรณอาจจะรู้อะไร แก้วตาจึงบอกว่ามีวิธีเดียวที่จะรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของทุกคนคือเธอต้องกลับไปบ้าน เรื่องทุกอย่างจะได้คลี่คลายเสียที

อีกด้านในป่า หลวงพ่อเสือปักกลดอยู่กับภู หลวงพ่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ภูอยู่กับศักดิ์เลยถามถึงว่าเขาสบายดีใช่ไหม ภูชะงักเล็กน้อยนึกถึงเรื่องชงโคก่อนตอบหลวงพ่อว่า
มีเรื่องนิดหน่อย แต่ป่านนี้คงจัดการเรียบร้อยแล้ว

“ไอ้นี่น่ะมันมีเรื่องตลอดนั่นแหละ เรื่องไม่มีก็ไปหามาจนได้”

“หลวงพ่อครับ ผมอยากถามหลวงพ่อเรื่องนึงครับ”

“เรื่องอะไร”

“ตำราอาคมที่ศักดิ์เอาไป”

“อ้อ...ตำราเก่าๆเล่มนั้นน่ะหรือ”

“เห็นศักดิ์บอกว่าหลวงพ่อให้เผาทิ้งไป”

“ใช่ อาตมาบอกมันเอง”

“ทำไมล่ะครับ”

“แล้วโยมจะเอาไว้ทำไมล่ะ ฆ่ากันตายไปหลายคนก็ไม่ใช่เพราะตำราเล่มนี้หรอกหรือ”

“แต่ว่าข้างในมันมีวิชาที่ผมต้องใช้ปราบคนชั่วนะครับ”

“ไอ้เรื่องอาคมคงกระพันมันเป็นแค่ภาพลวงตา ใครเห็นเป็นจริงก็จริง ใครเห็นเป็นเท็จมันก็เท็จ ทุกอย่างล้วนอนิจจัง อาตมาไม่ได้บอกว่าไม่มีจริง วิชาพวกนี้พระพุทธองค์ก็เคยใช้ปราบมาร แต่พระองค์ไม่เผยแพร่เพราะมันเอาไปใช้ได้ทั้งความดีและความชั่ว เครื่องรางของขลังต่างๆ เป็นแค่สิ่งเตือนสติเราเท่านั้น”

“ผมจะจำไว้ครับ”

“ถึงอาตมาจะสั่งให้เจ้าศักดิ์เผาตำรา แต่อาตมาก็ยังไม่เห็นตอนมันเผานะ”

ภูฟังแล้วไม่ได้ติดใจอะไร...แต่ในขณะเดียวกันศักดิ์กำลังสนใจตำราเล่มนั้น เขาไม่ได้เผาทิ้งอย่างที่บอกใครๆ หยิบออกมาอ่านหลังจากเก็บติดตัวไว้ตลอดเวลาพร้อมกับหนังสือนิทานที่แก้วตาซื้อให้

ขณะอ่านเพลินอยู่นั้น แก้วตาเดินมาข้างหลังถามศักดิ์ทำอะไร เขาลืมตัวหลุดปากว่าอ่านตำรา เธอเลยสงสัยว่าเขาอ่านหนังสือออกแล้วหรือ

ศักดิ์นึกได้รีบเก็บตำราลงกระเป๋าแล้วหยิบหนังสือนิทานขึ้นมาแทน “ก็พออ่านออกครับ ผมฝึกอ่านเล่มนี้ทุกวัน”

“ขอบใจนะที่ระลึกถึงฉันเสมอ”

“ไม่ใช่ครับ ผมจะระลึกตลอดไป คุณแก้วตาตัดสินใจดีแล้วหรือครับที่จะกลับบ้าน ผมเป็นห่วงนะครับ”

“ฉันต้องกลับไป...แต่นายคงไม่ทิ้งฉันให้เป็นอันตรายหรอกใช่ไหม”

ศักดิ์ยิ้มพอใจ เพียงเท่านี้ก็รู้ว่าแก้วตารักเขาแล้ว

ooooooo

สารวัตรพนาหมดความเกรงใจเกริก พูดเรื่องทองคำที่ใครก็อยากได้ คดีนี้หมดอายุความแล้วถ้าใครเจอทอง คนนั้นต้องได้ครอบครอง แต่ติดอยู่ตรงที่เสือไพรไม่ยอมบอกว่าซ่อนทองไว้ที่ไหน

เมื่อสารวัตรพนาบอกว่าตนมีวิธีง้างปากเสือไพร เกริกเอาด้วยทันที จะแบ่งทองที่ได้เท่าๆกัน แต่แพรพรรณซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยเชื่อว่าทั้งคู่ไม่มีทางจริงใจต่อกันแน่ ด้านเพลิงอยู่ในห้องขังกับเสือไพรพยายามตะล่อมพ่อให้บอกที่ซ่อนทองแล้วต่อรองกับพวกที่อยากได้ แบ่งทองกันเสร็จก็ต่างคนต่างไป


ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละคร ข้ามากับพระ ตอนที่ 10


ในอดีต หลวงพ่อเสือเคยรับเด็กชายคนหนึ่งมาเลี้ยงไว้ พอเด็กได้หนึ่งขวบท่านก็นำมาฝาก

น้องชายซึ่งเป็นพระให้เลี้ยงดู แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย แต่ยังติดต่อสอบถามกับพระน้องชายทางจดหมายอยู่บ้าง

ปัจจุบันทราบว่าเด็กคนนั้นเรียนจบปริญญาตรีและมีงานทำเป็นหลักเป็นฐานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้พบกัน ซึ่งหลวงพ่อเสือกำลังรอคอยวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ

ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใครมาจากไหน หลวงพ่อเสือบอกแต่ว่าเป็นเด็กกำพร้า และตัวท่านเองก็มีเหตุผลที่บวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้หญิงชื่อชบา...

ooooooo

ศักดิ์อาการดีขึ้นมากแต่ยังพักรักษาตัวที่บ้านผู้ใหญ่โชติ รวมทั้งจ่าโชค มะนาว มะขวิด และมะขิ่น...

ทุกคนล้วนเกรงใจ แต่ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะยินดีให้อยู่นานๆ โดยเฉพาะศักดิ์ที่อยากให้อยู่ตลอดไป

ผู้ใหญ่โชติต้องการให้ชงโคลงเอยกับศักดิ์เพราะรู้ว่าลูกรักชอบผู้ชายคนนี้ จึงพูดหยิกแกมหยอกอยู่เรื่อยให้ศักดิ์คิดว่าเป็นญาติ แล้ววันนี้ถึงขนาดเปิดไฟเขียวให้คิดว่าเป็นดองกันก็ได้

ศักดิ์ฟังแล้วสะดุ้ง พูดทวนคำว่าเป็นดอง...แล้วนิ่วหน้าเชิงถาม ผู้ใหญ่โชติเลยไม่อ้อมค้อม

“ใช่...ลูกสาวฉันก็สวยไม่น้อยหน้าใครนะ ฉันอยากให้นายคิดดู”

ศักดิ์อึกอักจะปฏิเสธแต่ผู้ใหญ่โชติชิงตัดบทเสียก่อนว่าตนให้เวลาเขาตัดสินใจ ศักดิ์อึดอัดแต่ไม่กล้าหักหาญน้ำใจ ได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองหลังจากผู้ใหญ่โชติผละไปแล้วว่า
“นี่เราหล่อขนาดมีคนยกลูกสาวให้เลยหรือนี่ ทำไมไม่เป็นคุณแก้วตานะ พับผ่า”

เวลาเดียวกันนั้น แก้วตานั่งรับลมอยู่ที่บ้านพักภายในชุมโจร เธอนอนไม่หลับคิดถึงศักดิ์และกังวลเรื่องบิดา พงษ์เดินเข้ามาหยุดมองอย่างรู้ทัน ก่อนย้ำเตือนว่าพรุ่งนี้เธอต้องเดินทาง

“เดินทาง...ฉันไม่คิดว่าชีวิตจะต้องมาเป็นอะไรแบบนี้เลยนะ”

“ผมเข้าใจครับ”

“แต่ฉันไม่ได้กลัวเลย เพียงแต่สิ่งต่างๆมันทำให้จิตใจมันแตกร้าวลงทุกวัน ทั้งเรื่องพ่อ...”

“และเรื่องนายศักดิ์”

“เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเลย” แก้วตาซ่อนเร้นความรู้สึกที่มีต่อศักดิ์ แต่พงษ์ดักคอว่า

“เหรอครับ แต่ที่ผมเห็นมันไม่ใช่นี่ ดูแล้วนายศักดิ์น่าจะเป็นคนสำคัญสำหรับคุณมากกว่าใคร”

“ผู้กองอ่านนิยายเยอะไปหรือเปล่า”

“ผมสืบสวนคดีเยอะต่างหาก” พงษ์หัวเราะเบาๆแล้วเดินจากไป

ooooooo

เช้าวันต่อมา สารวัตรพนาประชุมตำรวจเพื่อวางแผนรับมือเสือไพรที่รู้จากผู้หวังดีว่าจะปล้นที่ไหน ฝ่ายเสี่ยกิจก็พร้อมแล้วเหมือนกัน แต่บอกแพรพรรณตรงๆว่า รู้สึกไม่มั่นใจว่าสารวัตรพนาจะจับเสือไพรได้

“จับได้หรือไม่ได้จะไปสนทำไม เรื่องแก้วตาไม่สำคัญกว่าหรือ”

“ท่านเกริกบอกว่าเสือไพรมันไม่ทำอะไรแก้วตา เพราะท่านรู้จักมันดี”

“เขารู้ได้ยังไง”

“จะรู้ได้ยังไงก็ช่าง...ถ้าเราจับเสือไพรได้ แก้วตาก็ปลอดภัย”

“แน่ใจขนาดนั้นเลยหรือ” แพรพรรณพูดออกไป รู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล

ในเวลาเดียวกัน ภูนำทางพงษ์กับแก้วตาออกจากชุมโจรตามคำสั่งเสือไพรว่าต้องส่งให้ถึงเขตของผู้ใหญ่โชติ

“ฉันว่าเสือไพรให้นายมาคุมเรามากกว่า เขาจะได้ออกไปปล้นได้โดยไม่ต้องระแวงว่าเราจะไปให้ข่าว”

“ใช่ครับ เสือไพรต้องการแบบนั้น แต่ไม่ใช่ระแวงเรื่องไปให้ข่าว เสือไพรต้องการให้คุณสองคนปลอดภัย”

“แล้วเขาจะปล้นเพื่ออะไร”

“ผมไม่รู้หรอกว่าเสือไพรคิดยังไง แต่สำหรับผมอยากให้แผ่นดินสูงขึ้นอีกสักหน่อย ผมไม่ได้หมายถึงเสี่ยกิจนะครับคุณแก้วตา...ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่เสี่ยกิจยังเป็นผู้มีพระคุณกับผมเสมอ”

“ขอบใจนะ นายภู” แก้วตาเอ่ยจากใจ แล้วออกเดินทางกันต่อไป

ด้านจ่าโชคที่หมู่บ้านกำลังเตรียมตัวเดินทางไปตามหาผู้กองพงษ์กับแก้วตา โดยให้พันนำทาง

“จากนี่ไปที่ชุมเสือไพรเดินทางแค่วันเดียว คงไม่ต้องเอาอะไรไปมาก”

“อืม...ข้าก็ขี้เกียจแบก ติดอาวุธกับกระสุนไปมากหน่อยละกัน”

พันรับรู้แล้วจัดของต่อ มะนาวกับมะขวิดเดินเข้ามาขอไปด้วย บอกรู้จากศักดิ์ว่าพวกเขาจะไปตามผู้กอง ตอนแรกจ่าโชคไม่ยอม แต่พอสองพี่น้องตื๊อหนักก็ใจอ่อน

ส่วนมะขิ่นที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ เธอไม่สบายใจเป็นห่วงแก้วตา พอเห็นชงโคเดินควงแขนศักดิ์ผ่านไปให้อดคิดหมั่นไส้ศักดิ์ไม่ได้ มะขิ่นทราบดีว่าแก้วตานายของตนรู้สึกยังไงกับศักดิ์ จึงค่อนข้างเป็นเดือดเป็นแค้นแทนนาย

ชงโคควงแขนศักดิ์เดินมาตามแปลงผัก ชายหนุ่มท่าทางอึดอัด เอ่ยเสียงแผ่วว่า

“พี่เดินเองก็ได้นะชงโค พี่ค่อยยังชั่วมากแล้ว”

“ไม่ได้หรอกจ้ะ เดี๋ยวพี่ศักดิ์ล้มไปจะยิ่งไปกันใหญ่ ชงโคประคองแบบนี้แหละดีแล้ว”

ศักดิ์จำยอม มองบรรยากาศโดยรอบแล้วพูดออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร “ที่นี่ดูอุดมสมบูรณ์จัง น่าอยู่ดีนะ” แต่ชงโคกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ตอบเสียงแจ๋วว่า

“ก็อยู่ซะที่นี่เลยสิจ๊ะ ชงโคจะดูแลพี่ศักดิ์เอง”

พูดแล้วส่งตาหวานซึ้ง ศักดิ์หาทางออก และคิดจะบอกความจริง

“คืออย่างนี้นะชงโค พี่อยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะจ๊ะ ก็เมื่อกี้พี่ศักดิ์เพิ่งบอกว่าที่นี่น่าอยู่”

“พี่พูดแบบนั้นก็จริง แต่พี่ไม่ได้หมายความจะอยู่ที่นี่”

ชงโคเริ่มเสียใจและไม่พอใจ ถามเสียงขุ่น “เพราะมันเป็นบ้านป่าใช่ไหม เพราะชงโคเป็นหญิงชาวป่าใช่ไหม พี่ศักดิ์ถึงไม่ชอบ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะชงโค อย่าเอาแต่ใจสิ”

“ชงโคไม่ได้เอาแต่ใจ ชงโครักพี่ศักดิ์ รักตั้งแต่แรกเห็น”

“แต่พี่ไม่ได้รักชงโคแบบนั้นนี่ พี่รักชงโคแบบน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง”

ชงโคนิ่งอึ้ง น้ำตาเอ่อ บอกตัวเองว่าต้องใจเย็น ก่อนปั้นยิ้มพูดออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ

“ไม่เป็นไรจ้ะ เรายังมีเวลาทบทวนดูใจกันนะ”

ooooooo

ผู้พันเชได้ผู้ร่วมทีมที่พอจะรู้เรื่องทองคำเมื่อ 20 ปีก่อน เขาคืออองซอ นักผจญภัยรูปร่างสันทัดและแข็งแรง อองซอรู้เรื่องทองคำของญี่ปุ่นที่ถูกปล้นในอดีต แล้วมั่นใจด้วยว่าเสือไพรรู้เรื่องนี้ดีกว่าตน

ผู้พันเชได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่งตาพอง

หลังจากอองซอเล่าเรื่องทองคำที่เคยได้ยินมาให้ฟัง ผู้พันเชก็ยิ่งสนใจและอยากได้

“ที่แท้มันเป็นทองของพวกอเมริกาที่ญี่ปุ่นปล้นมา”

“แล้วเสือไพรก็มาปล้นต่อไปอีกที ในวันที่รัฐบาลไทยขุดพบ แต่ไม่เคยมีใครเห็นทองพวกนี้อีกเลย”

“นอกจากเสือไพร...”

“ใช่แล้ว ถ้าเราเจอเสือไพร เราก็หาทองได้”

สองคนยิ้มย่อง ฝันหวานถึงทองคำมูลค่ามหาศาล...

วันนี้เสือไพรตั้งใจปล้นสำนักงานที่ดินในอำเภอ เขาต้องการโฉนดที่ดินทั้งหมด เสือส่งไม่เข้าใจว่าจะเอามาทำไม เสือไพรอธิบายว่า

“ที่ดินส่วนใหญ่เสี่ยกิจกับนายเกริกโกงชาวบ้านไปเป็นหมื่นๆไร่ แถมบุกรุกป่าแล้วรวมหัวกันออกโฉนดอีก ถึงเวลาที่ต้องคืนให้กับเจ้าของเขาแล้ว

“อืม...พวกมันคงนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่าเราจะมาที่นี่”

สองเสือยิ้มเย็น จอดรถที่ขนลูกน้องจำนวนหนึ่งซ่อนตัวมาแล้วเพ่งมองไปยังสำนักงานที่ดินอย่างมาดหมาย เห็นหนทางสะดวกไม่มีตำรวจเฝ้าเลยสักคน

ooooooo

ที่ชุมโจร เพลิงกับสมุนสองคนถูกเสือไพรจับขังยังไม่ได้รับอิสรภาพ แต่เพลิงหัวไวติดสินบนคนในชุมโจรจนได้รับการปลดปล่อยแล้วส่งลูกน้องที่จงรักภักดีไปดักโจมตีพวกภูที่กำลังจะเข้าเขตหมู่บ้านของผู้ใหญ่โชติ

เมื่อชายกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว สั่งให้ส่งผู้หญิงมาแล้วจะไว้ชีวิต ภูมองกราดไปก็รู้ทันทีว่าเป็นพวกไหน ถามว่าอยากถูกขังเหมือนไอ้เพลิงลูกพี่พวกแกใช่ไหม

“ไอ้โง่เอ๊ย เอ็งนี่มันไม่รู้เรื่องจริงๆ ตอนนี้พี่เพลิงเขาคุมชุมเสือไว้หมดแล้ว”

ภู ผู้กองพงษ์ และแก้วตาฟังแล้วคิดเห็นตรงกันว่าเพลิงอาจจะหักหลังเสือไพร แล้วเสือไพรกำลังไปหากับดัก!

เสือไพรถูกสารวัตรพนานำกำลังเข้าจับกุมตัวขณะปล้นกรมที่ดิน ส่วนเสือส่งกับสมุนหนีรอดไปได้ มุ่งหน้ากลับชุมโจรด้วยความเจ็บใจ เพราะเชื่อว่าหนอนบ่อนไส้คือไอ้เพลิงลูกเลี้ยงตัวแสบของเสือไพรนั่นเอง

เพลิงทำตัวเป็นผู้หวังดีแอบแจ้งข่าวมาทางสารวัตร พนาก่อนหน้าที่จะถูกเสือไพรจับคุมขังอยู่ในชุมโจรพร้อมลูกน้องสองคน แต่บัดนี้พวกเขาได้รับอิสรภาพจากสมุนของเสือไพรที่แปรพักตร์มาจงรักภักดีต่อเพลิง แล้วเพลิงยังคิดการใหญ่จะเป็นลูกเขยเสี่ยกิจ โดยตามจับแก้วตาไว้ได้พร้อมภูและผู้กองพงษ์

เกริกมาเยี่ยมเสือไพร สองคนเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่มาขัดใจกันด้วยเรื่องใดยังไม่เปิดเผย เหตุนี้เองทำให้สารวัตรพนาคอยจับตาในยามที่พวกเขาสนทนากัน เกริกต้องการรู้แหล่งซ่อนทอง แต่เสือไพรเล่นแง่ว่าจะบอกก็ต่อเมื่อเขาได้รับการปล่อยตัว ซึ่งเกริกไม่ยอมง่ายๆแน่ จึงกลับออกมาอย่างหัวเสีย แล้วตรงไปบ้านเสี่ยกิจ ส่วนสารวัตรพนาตามมาทีหลัง

ทุกคนหารือกันเรื่องเสือไพรว่าจะทำยังไงต่อ สารวัตรพนาจะดำเนินคดีตามขั้นตอน แต่เกริกต้องการเอาเสือไพรไว้ต่อรองเพื่อแลกตัวกับแก้วตา เสี่ยกิจเห็นด้วยเพราะห่วงลูกสาว สารวัตรพนามีเสียงเดียวเลยจำใจทำตามที่เกริกต้องการ

ขณะที่พันนำทางจ่าโชค มะนาว และมะขวิดไปตามหาผู้กองพงษ์กับแก้วตา อยู่ทางนี้ที่หมู่บ้านชงโคกับผู้ใหญ่โชติร่วมกันวางยาศักดิ์แล้วจัดฉากให้เหมือนว่าเขาหลับนอนกับชงโค โดยมีพยานเป็นชาวบ้านหลายคนรู้เห็นในเช้าวันรุ่งขึ้น

ศักดิ์มึนตึ้บกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พยายามปฏิเสธแต่ไม่มีใครฟัง แถมยังจะโดนชาวบ้านรุมสกรัมอีกต่างหาก ฝ่ายกลุ่มจ่าโชคก็บังเอิญไปเจอเพลิงจับกุมตัวพวกผู้กองพงษ์ไว้ จึงเข้าช่วยเหลือโดยใช้ระเบิดของพันที่นำทางทำให้พากันหนีรอดมาได้อย่างปลอดภัย ทิ้งความเจ็บแค้นใจไว้ให้เพลิง

ไม่ว่าศักดิ์จะเว้าวอนสักแค่ไหนก็ไม่ทำให้ผู้ใหญ่โชติหายโกรธหรือยกโทษ แกยื่นคำขาดให้ชงโคฐานะผู้เสียหายตัดสินใจ

“ชงโคไม่อยากเอาเรื่องพี่ศักดิ์หรอกจ้ะ ไหนๆชงโคก็เสียไปแล้ว ก็อยากให้พี่ศักดิ์รับผิดชอบชงโคจ้ะ”

“รับผิดชอบ? รับผิดชอบอะไร พี่ไม่ได้ทำอะไรชงโคสักหน่อย”

“ไม่ได้ทำอะไรได้ยังไง อยู่ในห้องกับเขาสองต่อสองทั้งคืน เอ็งไปอมโบสถ์ทั้งหลังมาพูดข้าก็ไม่เชื่อ จริงไหมพวกเรา” ลูกบ้านคนหนึ่งโวยวาย คนอื่นๆฮือตามจะเอาเรื่องศักดิ์ให้ได้

จังหวะนั้นพวกจ่าโชคกลับมา แก้วตาได้ยินเรื่องราวก็โมโหศักดิ์ พูดเสียงสั่นเครือก่อนวิ่งหนีไปว่า ลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ ศักดิ์เสียใจจะตามเธอไปแต่โดนพันที่หลงรักชงโคพุ่งเข้าชกต่อย จ่าโชคต้องเข้ามาห้ามแล้วลากตัวพันไปอย่างทุลักทุเล

พงษ์กับมะนาวมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อว่าศักดิ์จะทำเรื่องแย่ๆ ผู้ใหญ่โชติสังเกตเห็นจึงรวบรัดตัดบทว่า

“เอาล่ะ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะทำตามที่ชงโคบอก ข้าจะจัดงานแต่งให้ชงโคกับศักดิ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวไป เป็นอันตกลงตามนี้”

ชงโคยิ้มพอใจ แต่ศักดิ์เศร้าสุดๆ พงษ์กับมะนาวตามไปคุยกับแก้วตา ทั้งคู่รู้ว่าเธอเสียใจเพราะมีความรู้สึกดีๆกับศักดิ์ จึงช่วยกันปลอบ แล้วสรุปในตอนท้ายว่าความจริงก็คือความจริง อย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่เราเห็น เราไม่รู้ว่าก่อนจะเป็นแบบนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แก้วตารับฟังแล้วใจเย็นลง แต่สำหรับพันนั้นร้อนรุ่มเหมือนไฟสุมทรวง ดื่มเหล้าไปอาฆาตแค้นศักดิ์ไป จ่าโชคต้องเตือนสติอยู่นานกว่าความแค้นของเขาจะเบาบางลงบ้าง

ทางด้านหลวงพ่อเสือที่จำพรรษาอยู่วัดแห่งหนึ่ง พอเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าเสือไพรถูกตำรวจจับหลวงพ่อถึงกับร้อนใจรีบกราบลาเจ้าอาวาสออกมาจากวัด ตาชูที่ยังอยู่ในสำนักสงฆ์กลางป่าก็เช่นกัน รู้เห็นข่าวเสือไพรก็หม่นหมองไปทันตา

เช้าอีกวัน เกริกมาเยี่ยมเสือไพร นำอาหารอย่างดีมาให้ โดยเขาลากเก้าอี้มานั่งคุยหน้าห้องขังด้วยท่าทีของผู้ชนะ คำพูดแต่ละคำล้วนเย้ยหยัน ทั้งที่บอกว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราที่เคยเป็นเพื่อนเก่ากันมา

“ก็แค่เคยเป็น” เสือไพรเน้นย้ำ แล้วนึกถึงอดีตที่ตัวเขากับชาติเสือและเกริกเป็นเพื่อนกัน สามคนรักใคร่กลมเกลียว แต่มาแตกคอเพราะแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกัน แต่ชบามีใจให้เสือไพร

คิดแล้วเสือไพรรับไม่ได้ ไล่เกริกให้เอาข้าวปลาอาหารกลับไป แล้วอยากจะทำอะไรกับตนก็เชิญ

“ไม่เอาน่า เรื่องมันก็นานมาแล้ว ฉันตั้งใจมาช่วยแกนะ”

“ท่าน ส.ส. อำนาจล้นฟ้าอย่างแก ยังจะมีอะไรให้เสือปล้นฆ่าอย่างฉันช่วยอีกหรือ”

“แกก็รู้ว่าฉันต้องการอะไร”

“สิ่งที่แกต้องการล้วนแต่ต้องทำร้ายคนอื่นทั้งนั้น แกทำร้ายฉัน ทำร้ายชบา ทำร้ายไอ้ชาติเสือ ทำร้ายทุกคนที่แกบอกว่าเป็นเพื่อน”

“นั่นมันช่วยไม่ได้ ไอ้ชาติเสือมันเสือกมาแย่งคนที่ฉันรักนี่หว่า”

“แต่ชบาไม่ได้รักแก แกก็รู้”

“ไม่เอาน่า ชบาตายไปตั้งนานแล้ว อย่าไปพูดถึงอีกเลย ฉันขอร้อง”

“ก็ได้ ข้าก็ไม่อยากรื้อฟื้น”

“งั้นมาคุยธุรกิจกัน”

“ธุรกิจที่เอ็งยัดเยียดความเป็นโจรให้ข้าน่ะหรือ”

พูดแล้วเสือไพรคับแค้น นึกถึงอดีตที่เกริกสั่งคนปล้นทองที่ขุดได้โดยอ้างชื่อเสือไพรเป็นคนปล้น แล้ววันนี้เกริกยังจะมารบเร้าให้เขาบอกที่ซ่อนทองทั้งหมด แลกกับอิสรภาพพร้อมลบประวัติเก่าทิ้ง แถมด้วยเงิน

ก้อนใหญ่ให้ไปเริ่มชีวิตใหม่ในที่ไกลๆที่ต้องการ

“เริ่มชีวิตใหม่งั้นหรือ จริงสินะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา แกเอาชีวิตฉันไปหมด ฉันขอคิดดูก่อนแล้วกัน”

“ขอบใจมาก แกคิดถูกแล้ว”

“ฉันไม่ได้คิดจะช่วยแก แต่คิดว่าจะฆ่าแกยังไงต่างหาก” เสือไพรแววตาแข็งกร้าว เกริกถึงชะงักนิ่งเงียบไป

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ