วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เจ้านาง ตอนที่ 9


ละอองคำต้องการให้อัปสรเป็นทายาทปอบสืบต่อจากตน จึงหลอกว่ามีของดีกว่าสร้อยห้อยพระเครื่องที่หลวงปู่ให้ แล้วหยิบกรวยดอกไม้เหี่ยวแห้งลงมาจากหิ้งผียื่นให้ เด็กน้อยส่ายหน้าไม่ยอมรับ พร้อมกับถอยหนี ละอองคำคะยั้นคะยอแกมบังคับให้แกรับไว้ อัปสรหน้าเบ้จะร้องไห้

“ไม่เอา...หนูไม่เอา”

“เอ๊ะ แม่บอกให้รับไปเดี๋ยวนี้ รับไปสิ” ไม่พูดเปล่า ละอองคำจะเอากรวยดอกไม้ยัดใส่มือลูก แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฉัตรร้องถามขึ้นเสียก่อนว่าลูกเป็นอะไร เธอรีบเอากรวยดอกไม้วางไว้ที่เดิม เป็นจังหวะเดียวกับฉัตรเปิดประตูห้องนอนเข้ามามองเธอด้วยสายตาตำหนิก่อนจะอุ้มลูกออกไป

หลังจากปล่อยให้ละอองคำอารมณ์เย็นลง ฉัตรจึงเข้ามาพูดคุยกับเธอเรื่องที่เก็บลูกเอาไว้แต่ในบ้าน ไม่ให้ไปมีสังคมที่ไหน อีกหน่อยแกก็จะเป็นเหมือนเธอในที่สุด ละอองคำตวาดลั่นเหมือนตนแล้วเป็นอย่างไร

“ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในบ้านเหมือนติดคุก ชวนเข้าสังคมก็ไม่อยากไป นับวันก็ยิ่งทำตัวแปลกขึ้นทุกที ถามจริงๆเถอะ คุณนับถือศาสนาอะไรกันแน่ ขนาดพระก็ยังไม่ยอมให้ลูกแขวนคอ”

“ฉันจะนับถืออะไรมันก็เรื่องของฉัน”

ฉัตรชี้ไปที่กรวยดอกไม้พร้อมกับถามว่านี่ใช่ไหมที่เธอนับถือ เห็นไหว้เช้าไหว้เย็น แล้วขยับจะเอาไปทิ้ง ละอองคำขวางไว้ สองคนมีปากเสียงกัน เธอไม่พอใจมากหาว่าฉัตรมาบงการชีวิต ไล่ตะเพิดไปให้พ้น

“จำไว้ ฉันจะเป็นอะไรมันก็เรื่องของฉัน เพราะฉันได้เลือกแล้ว ออกไปซะ”...

ตกค่ำ ฉัตรชวนอัปสรมาง้อละอองคำ แต่กลับถูกเธอเอาข้าวของและเสื้อผ้าของทั้งคู่ปาใส่หน้า แล้วไล่ให้ไปนอนห้องนอนเก่าของรุ้งแก้ว ก่อนจะปิดประตูใส่หน้า ฉัตรได้แต่ยืนอึ้งขณะที่อัปสรทำท่าจะร้องไห้...

เลยเวลานอนไปมากแล้ว แต่ฉัตรยังข่มตาหลับไม่ลง พลันมีเสียงประตูเปิดดังเข้ามา เขานึกถึงคำพูดของโฉมที่ว่าละอองคำเป็นปอบขึ้นมาได้ ถึงกับหน้าเครียด ครู่ต่อมา ฉัตรสะกดรอยตามละอองคำมาถึงถนนสายเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เห็นเธอใช้เล็บดำยาวน่าเกลียดจ้วงแทงชายที่กำลังหาปลาอยู่ริมบึง

ฉัตรตัวสั่นด้วยความกลัว รีบหลบหลังต้นไม้ ก่อนจะค่อยๆชะโงกหน้ามองอีกครั้ง เห็นเธอควักไส้ชายเคราะห์ร้ายคนนั้นขึ้นมากิน เขารีบวิ่งกลับบ้านเปิดประตูห้องรุ้งแก้วเข้ามานั่งตัวสั่นบนเตียง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเห็น อัปสรตื่นขึ้นมาเห็นพ่อนั่งตัวสั่นถามว่าเป็นอะไรไป เขาได้สติดึงลูกมากอด

“พ่ออย่ากลัวนะคะ โอ๋ๆ อัปสรอยู่นี่แล้ว” อัปสรกอดตอบพลางตบหลังพ่อเบาๆ

“จ้ะๆ พ่อ...พ่อไม่กลัว...ไม่กลัว”

ooooooo

ฉัตรเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกจะเอาไปที่ทำงานด้วย ละอองคำไม่ยอมให้เอาไปขวางทางไว้ แล้วเรียกอัปสรให้มาหา เด็กน้อยไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ขยับจะไปหาแม่ แต่ฉัตรคว้าตัวมาโอบกอดไว้อย่างปกป้อง ยืนกรานจะเอาลูกไปให้ได้ ละอองคำหมดความอดทน

“ไม่ อัปสรต้องอยู่กับฉัน ถ้าไม่เพราะฉันห้ามไว้ ป่านนี้คุณคงกลายเป็นอาหารผีไปแล้ว อย่ามาอวดดีกับฉัน ปล่อยลูกเดี๋ยวนี้...อัปสร มาหาแม่” ละอองคำเกรี้ยวกราด อัปสรไม่อยากเห็นแม่โกรธ ขยับจะไปหา ฉัตรจะคว้าตัวลูกแต่อยู่ๆก็หมดเรี่ยวแรงดื้อๆ เด็กน้อยตกใจถามแม่ว่าพ่อเป็นอะไร

“ไม่ต้องสนใจพ่อเขาหรอก ไปข้างบนกับแม่เถอะ” ละอองคำว่าแล้วจูงอัปสรเดินผ่านหน้าฉัตรอย่างไม่ไยดี เขาได้แต่มองตามลูกด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่อาจทำอะไรได้...

ฝ่ายละอองคำเปิดกำปั่นใส่สมบัติให้ลูกดู สัญญาจะยกของมีค่าเหล่านี้ให้ หากเธอยอมรับกรวยดอกไม้ เด็กน้อยส่ายหน้าไม่อยากได้ ละอองคำเอากรวยดอกไม้วางไว้ที่เดิมแล้วกระชากแขนลูกออกจากห้อง

“จองหองนักเหมือนพ่อแกไม่มีผิด มานี่” ละอองคำลากอัปสรไปขังไว้ในห้องของรุ้งแก้ว “อยู่ในนี้แหละ อย่าออกมานะ นังเด็กไม่รักดี”...

ทางด้านฉัตรไม่เป็นอันทำงานเนื่องจากเป็นห่วงลูก พรเทพเห็นท่าทางของเขาแล้วต้องเข้ามาถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ฉัตรเห็นพรเทพเป็นทางเลือกเดียวที่มี จึงขอร้องเขาหากตนเองเป็นอะไรไป ช่วยดูแลอัปสรแทนด้วย พรเทพเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้วอดถามไม่ได้ว่ามีปัญหาอะไรหรือ เขาขอให้รับปากเขาก่อน

“ลูกสาวคุณก็เหมือนลูกสาวผม ผมรับปาก ถ้าคุณเป็นอะไรไปผมจะเลี้ยงแกให้เหมือนลูกสาวผมเลย”...

ฉัตรกล่อมอัปสรหลับไปแล้ว แต่ตัวเองกลับนอนไม่หลับ จังหวะนั้นมีเสียงเปิดประตูดังเข้ามา ชายหนุ่มหันขวับไปมองทางห้องนอนของละอองคำ ก่อนจะลุกออกไปดู เจอละอองคำกำลังจะออกไปข้างนอก เขาปราดไปขวางไว้บอกเธอว่าเขารู้ความจริงแล้วว่าเธอเป็นอะไร พยายามโน้มน้าวให้เธอเลิกฆ่าคน แต่เธอไม่ฟัง สั่งให้เขาหลีกทาง ฉัตรไม่ยอมให้เธอไปไหนทั้งนั้น

“ผมรักคุณนะละอองคำ ลูกอีกล่ะ แกจะรู้สึกอย่างไรถ้ารู้ว่าคุณเป็นแบบนี้”

“แกจะไม่รู้สึกอะไรหรอกฉัตรเพราะลูกจะต้องสืบทอดอำนาจของฉัน อัปสรจะต้องเลี้ยงผีที่ฉันเลี้ยงไว้... หลีกไป ฉันหิว” ละอองคำผลักฉัตรพ้นทางแล้วเดินลิ่วลงไปข้างล่าง ฉัตรตามมากอดเอวไว้ไม่ยอมให้ไป

“คุณต้องหักห้ามใจให้ได้ คิดถึงพระสิ นึกในทางที่ดี คุณจะต้องเอาชนะมันได้แน่ๆ ผมรักคุณ ผมขอล่ะ อย่าฆ่าใครอีกเลยนะ ผมไม่อยากให้คุณทำบาปอีก”

ป่วยการจะขอร้อง ละอองคำยืนยันคำเดิมจะต้องไปให้ได้ ฉัตรเสนอตัวเองให้เธอกินประทังความหิวไปก่อน แต่อย่าฆ่าใครอีกเลย เขายอมเจ็บปวดเพื่อเธอจะได้ไม่ต้องทำบาป แทนที่เธอจะใจอ่อน กลับปรี่เข้าหาฉัตรใช้เพียงเล็บเดียวจิกท้องเขาถึงกับร้องโอ๊ยลั่น ละอองคำยิ้มเหี้ยมที่เห็นเขาเจ็บปวด

“บอกสิว่าคุณรักฉัน ไม่ว่าจะยังไงคุณก็จะยังรักฉัน”

“ผม...รัก...คุณ...ละอองคำ...โอ๊ย” พูดได้แค่นั้น ฉัตรก็หมดสติ

ooooooo

ฉัตรนอนซมอยู่ในห้องรุ้งแก้วโดยมีผ้าพันแผลปิดหน้าท้องไว้ อัปสรเห็นหน้าตาซูบซีดของพ่อขอร้องให้แม่พาไปหาหมอ เขาไม่อยากให้ลูกเป็นกังวลจึงบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก

“ได้ยินแล้วใช่ไหมจ๊ะ คุณพ่อไม่เป็นอะไรมากหรอก แผลแค่นิดเดียว ไปกินข้าวเถอะลูก แม่ทำข้าวต้มไว้ให้ กำลังร้อนๆเชียว” ละอองคำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณพ่อขากินข้าวต้มกันนะคะ”

“ไม่ต้องห่วงคุณพ่อหรอก คุณพ่อต้องกินอาหารบำรุงเลือด บำรุงไส้” ละอองคำมองฉัตรเยาะๆ แล้วพาอัปสรลงไปที่ครัว ขณะที่ฉัตรครุ่นคิดหนักจะทำอย่างไรต่อไปดี...

ขณะที่ฉัตรมีอาการน่าเป็นห่วง หลวงพ่อให้เด็กวัดไปตามซ่อนกลิ่นมาพบเพื่อเตือนว่าตอนนี้ดวงชะตาของฉัตรไม่สู้ดีนัก เธอพอจะเดาได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับละอองคำเพราะเมื่อวันก่อนฉัตรเอาพระที่หลวงพ่อให้ไปฝากไว้กับตน เนื่องจากละอองคำไม่ยอมให้เอาเข้าบ้าน ท่านถึงกับถอนใจ หนักใจ

“ถ้าเคยทำกรรมกันไว้ก็ต้องชดใช้ โยมก็ต้องระวังตัวไว้บ้างนะ”

ซ่อนกลิ่นรับคำ รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก...

ทางด้านฉัตรฝืนความเจ็บปวดลุกขึ้นมาเขียนจดหมายถึงหลวงพ่อฝากให้ช่วยติดต่อกับพรเทพเพื่อนของตนด้วย บอกเขาว่าตนยินดียกอัปสรให้เป็นลูกของเขา ขอเพียงเขาส่งเธอไปต่างประเทศและอย่าให้กลับมาที่นี่อีก บ้านหลังนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเธออีกแล้ว ลงชื่อเสร็จ ฉัตรพับจดหมายแล้วลุกจะออกจากห้อง อัปสรเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน เขาดึงลูกมากอดอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะถามว่าแม่ของแกอยู่ไหน พอรู้ว่าเธอหลับ รีบยัดจดหมายใส่มือลูก สั่งให้เอาไปให้หลวงปู่ที่วัด

“แล้วอยู่กับหลวงปู่...หลวงปู่กับอาพรเทพจะดูแลหนูเองไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก” ฉัตรจูบลาลูกแล้วพาลงไปข้างล่างอย่างเงียบกริบ โชคไม่ดี ละอองคำซึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกตื่นขึ้นเสียก่อน เขาสั่งให้ลูกรีบไปแล้วดันหลังออกจากบ้าน ละอองคำจะตามแต่ฉัตรขวางไว้ ขอร้องให้ปล่อยลูกไป เธอปล่อยไปไม่ได้เพราะแกต้องสืบทอดการเลี้ยงผีเจ้าจากเธอ เขาไม่ยอมให้เธอทำแบบนั้น มันจะเป็นบาปติดตัวลูกไปตลอดชีวิต

“ฉันจะไม่เสียเวลากับคุณอีกแล้ว ฉัตร ถ้าคุณยังขวางฉันอยู่แบบนี้เห็นทีฉันจะปล่อยคุณไว้ไม่ได้”

“คุณจะฆ่าผมอย่างนั้นหรือ”

“ใช่” ละอองคำตอบโดยไม่ต้องคิด แล้วปรี่เข้าหาฉัตรด้วยดวงตาแดงฉานของผีเจ้า...

ระหว่างที่ฉัตรตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน อัปสรวิ่งถือจดหมายออกมาเจอซ่อนกลิ่นที่หน้าประตูรั้ว เธอถามหลานสาวที่น้ำตานองหน้าว่าจะไปไหน เด็กน้อยละล่ำละลัก

“ช่วยคุณพ่อด้วย ช่วยด้วยค่ะ”

ครู่ต่อมา ซ่อนกลิ่นกับอัปสรเข้ามาในบ้านต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นละอองคำกำลังกินไส้ของฉัตรอย่างเอร็ดอร่อย เด็กน้อยร้องไห้โฮจะเข้าไปหาพ่อ แต่ซ่อนกลิ่นคว้าตัวเธอไว้จะพาหนี ละอองคำมาถึงตัวเสียก่อนคว้าคอบีบ ซ่อนกลิ่นพยายามร้องขอชีวิตแต่ไร้ผล อัปสรตกใจมากวิ่งหนีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

ooooooo

15 ปีต่อมา ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ...

พรวุฒิคนรักของอัปสรซึ่งตอนนี้โตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว เห็นที่พักอันโอ่อ่าของเธอถึงกับออกปากว่ากว้างขวางมาก ผิดกับห้องในหอพักของเขาลิบลับ เธอเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าปกติที่นี่จะอยู่กันหลายคน แต่ตอนนี้อาพรเทพกลับไปทำธุระที่เมืองไทย

“เรียนจบแล้ว คุณอัปสรวางแผนไว้หรือยังครับว่าจะกลับเมืองไทยเลยหรือจะอยู่เที่ยวต่อสักพัก”

“ดิฉันคงไม่กลับไปเมืองไทยหรอกค่ะ” พูดถึงเมืองไทยเมื่อใด สีหน้าของอัปสรจะหม่นหมองลงทันที พรวุฒิอดสงสัยไม่ได้ ถ้าไม่กลับแล้วไม่เป็นห่วงครอบครัวทางโน้นบ้างหรือ เธอมีญาติแค่อาพรเทพคนเดียวเท่านั้น เขาแปลกใจ แล้วพ่อกับแม่ของเธอไปไหน อัปสรไม่สะดวกจะตอบคำถาม ตัดบทด้วยการขอตัวสักครู่แล้วลุกหนีไปเลย ปล่อยให้พรวุฒิคาใจทำไมอัปสรที่ร่าเริงกลายเป็นเคร่งขรึมไป...

การที่พรวุฒิพูดถึงเมืองไทยทำให้อัปสรอดนึกถึงภาพสยดสยองตอนที่แม่ฆ่าคุณย่าโดยมีศพพ่อนอนอยู่บนพื้นไม่ได้ น้ำตาจากไหนไม่รู้ไหลอาบแก้ม พรวุฒิเข้ามาเห็นรีบขอโทษเธอด้วยที่ทำให้ไม่สบายใจ

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดถึงญาติๆที่ล่วงลับไปแล้วน่ะค่ะ”

“ถ้าอดีตทำให้คุณไม่สบายใจก็พยายามลืมมันเถอะนะครับ”...

ดึกสงัด ขณะอัปสรกำลังอ่านนิตยสารอยู่บนเตียง จู่ๆมีเงาดำวูบผ่าน เธอหันขวับไปมอง ไม่พบสิ่งผิดปกติ ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป สักพักรู้สึกแปลกๆเหมือนถูกจ้องมองอยู่ตลอด เธอใจคอไม่ดีรีบออกจากห้องทันทีที่เธอลับสายตา มีเงาจางๆของละอองคำในสภาพทรุดโทรมยืนมองอยู่ที่ปลายเตียง ด้วยความกลัวกอปรกับต้องอยู่คนเดียว อัปสรจึงโทร.หาพรวุฒิ ขอร้องให้มาอยู่เป็นเพื่อน

“ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

ไม่นานนักพรวุฒิก็มาถึงห้องพักของอัปสร เห็นสีหน้าหวาดๆของเธอ จึงเสนอว่าช่วงที่เธอไม่มีเรียน เราน่าจะไปพักผ่อนนอกเมืองกันสักสองสามวัน หญิงสาวรีบรับข้อเสนอทันที

ooooooo

รีสอร์ตสวยนอกกรุงลอนดอนทำให้อัปสรคลายความกังวลใจ เธอขอบคุณพรวุฒิที่พามาเที่ยวที่นี่ เขามองเธอด้วยสายตาเปี่ยมรัก ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผาก

“ถ้าคุณไม่อยากกลับเมืองไทย เรียนจบแล้วผมจะหางานทำที่นี่”

อัปสรดีใจมาก ซุกกับอ้อมอกอุ่นของเขาอย่างมีความสุข พรวุฒิมองบรรยากาศแสนจะโรแมนติก แล้วอดบ่นถึงเมืองไทยไม่ได้ คิดถึงท้องไร่ท้องนา คิดถึงบ้านริมคลองที่สงบสุข อัปสรหน้าเครียดทันที ภาพบ้านริมน้ำของละอองคำผุดขึ้นมาในความคิดคำนึง รู้สึกเศร้าใจปนหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

“บ้านริมคลองไม่ได้สงบสุขเสมอไปหรอกค่ะ บางทีอาจซ่อนความน่ากลัวไว้ก็ได้”

พรวุฒิเห็นสีหน้าของเธอไม่สู้ดีนัก จึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก...

ทั้งอัปสรและพรวุฒิพักห้องเดียวกัน เธอนอนบนเตียง ส่วนเขานอนที่โซฟาและอาสาจะคอยปกป้องเธอเอง อัปสรยิ้มมีความสุขที่เขาเป็นสุภาพบุรุษไม่ฉวยโอกาส หลับตาลงอย่างอบอุ่นหัวใจ...

ความสุขของอัปสรอยู่ได้แค่ชั่วครู่ พอหลับสนิทเท่านั้นเธอฝันร้ายว่าละอองคำในสภาพทรุดโทรมผมขาวหน้าตาน่าเกลียด ขอร้องให้กลับมาช่วย ตนเองทรมานมากแล้วยื่นมือมาหา เธอถึงกับผงะ ถอยหนี

“ไม่...แม่...” อัปสรร้องลั่น ก่อนจะสะดุ้งตื่น เหงื่อท่วม พรวุฒิพลอยตื่นไปด้วย โดดผลุงเดียวมาถึงตัว ถามว่าเป็นอะไร ฝันร้ายถึงแม่หรือ อัปสรไม่ตอบ ได้แต่หลบสายตา

ooooooo

ณ เรือนปั้นหยาของละอองคำซึ่งตอนนี้ทรุดโทรมลงมาก เด็กน้อยสามคนเล่นซนกันมาถึงหน้าประตูรั้ว เด็กตัวอ้วนได้ยินมาว่าที่นี่มีปอบจึงชวนไปเล่นที่อื่น แต่อีกสองคนไม่กลัว รู้ดีว่าปอบจะมีฤทธิ์เฉพาะตอนกลางคืน กลางวันแบบนี้ทำอะไรใครไม่ได้

“ถ้างั้นเราช่วยกันเอาหินขว้างมันสิ ผีปอบมันจะได้ออกมา” สิ้นเสียง เด็กทั้งสามคนช่วยกันเอาก้อนหินปาเข้าไปในบ้าน เงียบไม่มีเสียงใดๆ เด็กๆย่ามใจชวนกันเข้าไปดูในตัวบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นเนื่องจากขาดการดูแล เด็กทั้งสามคนเล่นซนกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งมีเสียงประตูเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเปิดโลงผี

“ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ข้าจะจับกินให้หมดคอยดู” ละอองคำแสยะยิ้มน่ากลัว

เด็กๆร้องลั่น สองคนวิ่งหนีไปได้เหลือเด็กตัวอ้วนที่กลัวจัดขยับขาไม่ออก ละอองคำย่างสามขุมเข้าหาคว้าคอเสื้อเด็กไว้แต่ยังไม่ทันจะควักตับออกมากินมี

ก้อนหินปาเข้ามาถูกอย่างจัง เธอหันขวับไปเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่กำลังขว้างปาก้อนหินใส่จนเธอต้องยกมือป้อง เด็กตัวอ้วนสบช่องวิ่งไปหลบหลังพวกชาวบ้าน

“ขว้างมันเข้าไป เอาให้มันตายไปเลย”

“ดีนะที่พวกเรารู้ทัน มันเลยหมดทางหากินเลยจะกินเด็ก ร้ายนักอีปอบ”

หนึ่งในพวกชาวบ้านยุให้เผาปอบทั้งเป็นจะได้สิ้นเรื่อง แต่คนอื่นไม่เห็นด้วย ขืนทำอย่างนั้นอาจต้องเข้าไปกินข้าวแดงในคุก เอาแค่สั่งสอนให้หลาบจำก็พอ แล้วพากันขว้างปาก้อนหินใส่โดนหัวละอองคำเลือดอาบ จนต้องหนีไปหลบในห้อง พลางตะโกนต่อว่าผีเจ้าที่ไม่ยอมช่วยเหลือ ปล่อยให้พวกชาวบ้านทำร้ายตน

“เจ้าเลี้ยงข้าไม่ดี เจ้าปล่อยให้ข้าหิวโหยข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว”

ละอองคำแก้ตัวขืนออกไปข้างนอกพวกชาวบ้านจะทำร้ายเอาได้ ผีเจ้าไม่พอใจ ในเมื่อเธอเลี้ยงดูพวกตนไม่ได้ก็ต้องไปหาทายาทมาสืบทอด ละอองคำรับปากถ้าอัปสรกลับมาเมื่อไหร่จะให้สืบทอดแทน ผีเจ้าหิวจัด รอไม่ไหวพุ่งใส่ร่างละอองคำเพื่อกินตับไตไส้พุง ไม่ได้มีแต่ผีเจ้าตนเดียว ยังมีผีบริวารอีกนับสิบที่ร่วมวงด้วย ละอองคำร้องโหยหวนเจ็บปวดสาหัส

“อัปสร...อัปสรช่วยแม่ด้วย กลับมาหาแม่...กลับมา”

เสียงคร่ำครวญของละอองคำดังไปถึงหูของอัปสรซึ่งนอนหลับอยู่ในห้องพักไกลกันคนละซีกโลก เธอตกใจตื่นมองไปรอบๆห้องพัก ต้องตกใจซ้ำสองเมื่อเห็นแม่นั่งพับเพียบอยู่ที่ปลายเตียง ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยเลือด เธอกลัวมากลุกหนี ละอองคำอ้อนวอนทั้งน้ำตาให้เธอกลับมาช่วย อัปสรใจอ่อนจะเข้าไปหาแล้วนึกขึ้นได้ว่าแม่เป็นปอบ รีบถอยห่าง ละอองคำคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา

“แม่ทรมานเหลือเกิน หนูไม่สงสารแม่หรือลูก หนูต้องช่วยแม่ อัปสรช่วยแม่ด้วยโอ๊ย...”

อัปสรยกมือปิดหูไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น ตะโกนสุดเสียงว่าไม่ แล้วสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายซ้อน มองไปรอบๆ ห้องไม่เห็นแม่อยู่ถึงกับถอนใจโล่งอก

ooooooo

แม้เมื่อคืนจะฝันร้าย แต่ตอนสายอัปสรกลับได้รับข่าวดีเมื่อพรวุฒิแจ้งว่าได้คุยกับพ่อและแม่ของเขาแล้ว ท่านยินดีให้เราตั้งรกรากและสร้างครอบครัวที่อังกฤษได้

“ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดี ผมจะสร้างครอบครัวของเราให้มีความสุขที่สุด แล้วคุณต้องมีเจ้าตัวเล็กให้ผมไวๆ” พรวุฒิว่าแล้วดึงอัปสรมาหอมแก้ม ทั้งคู่ยิ้มให้กันมีความสุข...

ขณะที่อัปสรวางแผนจะอยู่ถาวรที่อังกฤษ ผีเจ้าโกรธละอองคำมากที่ปล่อยให้ตนต้องหิวโหยแถมยังหาทายาทมาสืบทอดตามที่สัญญาไม่ได้ จะเอาวิญญาณของเธอมาเป็นทาสรับใช้ ละอองคำกลัวลนลาน

“อย่าทำอะไรข้าเลยนะ รอลูกข้ากลับมาก่อนไม่งั้นใครจะสืบทอดการเลี้ยงผี”

“ข้าเตรียมผู้สืบทอดของข้าไว้แล้ว” ผีเจ้าหัวเราะชอบใจ พลันแมวดำตัวหนึ่งโดดมายืนข้างๆละอองคำ ผีเจ้ากลายร่างเป็นกรวยดอกไม้พุ่งเข้าใส่ร่างเธอล้มลงดิ้นทุรนทุราย เลือดออกจากจมูกและปาก ตาเบิกโพลงสิ้นใจอย่างน่าอนาถ แมวดำโดดใส่ร่างไร้วิญญาณของเธอเลียเลือดที่ทะลักออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย...

แม่ชีรุ้งแก้วกำลังนั่งสมาธิอยู่ในอาศรมกลางป่า รับรู้ถึงการตายของละอองคำ ลืมตาขึ้นจากนั่งสมาธิ อธิษฐานขอให้วิญญาณของเธอไปสู่สุคติโดยเร็ว แล้วกราบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่บูชา

คำอธิษฐานไม่เป็นผล 25 ปีผ่านไปแต่วิญญาณของละอองคำยังใช้กรรมที่ตัวเองก่อไว้ไม่หมด

ooooooo

ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พรวุฒิและอัปสรสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งคู่มีลูกสาวหน้าตาสะสวยด้วยกันหนึ่งคนชื่อ มนต์ทิพย์ แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่ความรักของทั้งคู่ยังหวานชื่นเหมือนเมื่อครั้งที่ยังรักกันใหม่ๆ เช้านี้ก็เช่นกัน ต่างหยอดคำหวานให้กันจนมนต์ทิพย์อดกระเซ้าไม่ได้

ระหว่างที่สามคนพ่อแม่ลูกกินมื้อเช้าด้วยกัน บุญสลักคนรักของมนต์ทิพย์แวะมารับเธอไปมหาวิทยาลัย เห็นอาหารหน้าตาน่ากิน ก็เลยขอร่วมโต๊ะอาหารด้วยคน...

หลังเรียนคาบเช้าเสร็จ มนต์ทิพย์ชวนบุญสลักมา อ่านหนังสือฆ่าเวลาเพื่อรอเรียนคาบบ่ายที่สวนหย่อมในมหาวิทยาลัย แทนที่เขาจะอ่านตำรากลับจ้องเธอไม่วางตาจนเธอต้องเตือน ไม่ตั้งใจเรียนระวังจะสอบตก

“เมื่อไหร่ทิพย์จะยอมรับรักผมสักที”

“ตั้งใจเรียนก่อนเถอะค่ะ เรียนจบแล้วค่อยว่ากัน”

“ทิพย์พูดแบบนี้ทุกที ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี จนนี่จะจบปริญญาโท ผมจะขาดใจตายอยู่แล้วนะครับ ไม่รู้ล่ะ พอเรียนจบปุ๊บ เราต้องแต่งงานกันทันที ผมจะขยันมากๆจะได้เรียนจบพร้อมทิพย์แล้วเราจะได้แต่งงานกัน” บุญสลักว่าแล้วรีบคว้าตำรามาอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ มนต์ทิพย์แอบยิ้มพอใจ...

อัปสรเห็นลูกคร่ำเคร่งกับการเรียน นำนมอุ่นๆมาบริการให้ถึงห้อง จู่ๆเธอก็เห็นภาพของแม่ซ้อนทับร่างมนต์ทิพย์ หันมายิ้มให้ เธอตกใจทำแก้วนมหลุดมือตกแตก มนต์ทิพย์ละจากหนังสือตรงหน้า รีบลุกขึ้นมาเก็บเศษแก้วที่เกลื่อนพื้น พลางถามแม่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

“ช่างเหมือนกันเหลือเกิน” อัปสรเพ้อเบาๆก่อนจะได้สติรีบช่วยลูกเก็บเศษแก้ว...

ฝ่ายพรวุฒิมีปัญหาที่ทำงาน เสนอโครงการเข้าบอร์ดแต่ถูกปฏิเสธถึงสามครั้งซ้อน จึงคิดจะเอาโครงการนี้กลับไปทำที่เมืองไทย ลองปรึกษากับอัปสรว่าเห็นควรอย่างไร เธอขอเวลาคิดสักพักหนึ่งก่อน

“ผ่านมาตั้งสี่สิบปี คุณยังฝันร้ายเกี่ยวกับญาติๆคุณอีกหรือ” พรวุฒิเห็นสีหน้าท่าทางของเมียรัก รีบบอกว่า “แต่ถ้าคุณไม่อยากกลับ ผมจะไม่บังคับคุณให้ต้องลำบากใจ”

ooooooo

บุญสลักโดดตัวลอยร้องเย้ๆลั่นมหาวิทยาลัยเมื่อมนต์ทิพย์บอกว่าครอบครัวของเธอจะย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย เขาคว้ามือเธอไปกุมไว้

“ทันทีที่กลับถึงเมืองไทย เราจะแต่งงานกันเลยนะทิพย์”

มนต์ทิพย์ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มกว้าง บุญสลักดีใจมากในที่สุดก็จะได้แต่งงานกับหญิงคนรักสักที...

ทางฝ่ายอัปสรแม้จะยอมย้ายกลับเมืองไทย แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ พรวุฒิเข้ามากอดปลอบใจว่าอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป เขาจะพิสูจน์ให้เห็นเองว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเราไม่ผิดพลาด เธอไม่ได้กังวลเรื่องงาน เพราะมั่นใจว่าเขาทำได้ พรวุฒิอยากรู้ว่าเธอไม่สบายใจเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องญาติๆของเธอ มันผ่านมานานแล้วป่านนี้คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว อัปสรก็หวังอย่างนั้นเช่นกัน

อีกมุมหนึ่งใกล้ๆกัน มนต์ทิพย์กับบุญสลักกำลังดูหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทย เธอสนใจบ้านเรือนไทยริมน้ำพลางชี้ชวนให้คนรักดู บุญสลักสัญญาจะทำงานเก็บเงินแล้วจะซื้อบ้านแบบนี้ให้เธอเป็นของขวัญแต่งงานของเรา อัปสรฟังแล้วยิ่งใจคอไม่ดี นึกถึงเรือนปั้นหยาของแม่ขึ้นมาทันที

ooooooo

หลังจากส่งมนต์ทิพย์กับครอบครัวที่บ้านในเมือง ไทยเรียบร้อย บุญสลักกลับบ้านตัวเอง ทั้งป้าแหวนและแช่มต่างดีใจกันมากโดยเฉพาะพวงครามแม่ของเขา แต่ท่านไม่วายต่อว่าจะกลับมาทำไมไม่บอกท่านจะได้ไปรับที่สนามบิน เขาอ้างว่ากลับเองได้ท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อย พวงครามโอบกอดลูกด้วยความคิดถึง

“ไม่เอานะลูก คราวหน้าต้องบอกให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่าทำแบบนี้อีก”

“ไม่มีคราวหน้าแล้วล่ะครับ เพราะผมเรียนจบแล้ว”

“นี่หมายความว่าลูกจะไม่กลับไปอีกใช่ไหม โอ... แม่ดีใจเหลือเกิน” พวงครามหอมแก้มลูกชายซ้ายทีขวาที ขณะที่ป้าแหวนกับแช่มพลอยดีใจไปด้วย...

ระหว่างกินมื้อเย็นกับแม่ บุญสลักเปรยๆถึงเรื่องที่จะแต่งงานกับมนต์ทิพย์ ผู้หญิงที่เคยเล่าให้แม่ฟัง ตอนนี้เธอกับครอบครัวย้ายมาอยู่เมืองไทยแล้ว พวงครามไม่ปลื้มเท่าใดนัก ยิ่งเห็นสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขของลูกเวลาพูดถึงผู้หญิงคนนี้ก็ยิ่งขัดใจ ลอบสบตากับป้าแหวน แล้วหันมาทางลูกชาย

“ลูกยังเด็ก ยังมีเวลาอีกมาก แม่อยากให้ดูๆกันไปก่อนอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ”

บุญสลักยิ้มๆ ไม่ทันเอะใจกับสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจะไม่ค่อยพอใจของแม่

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้นอัปสรขอให้พรวุฒิพามาที่เรือนปั้นหยา เธอเห็นสภาพทรุดโทรมของมันแล้วรู้สึกใจหาย เขาสงสัยว่าเป็นบ้านของใคร เธอโกหกว่าเป็นบ้านของคนรู้จักแต่คงจะย้ายออกไปนานแล้ว พรวุฒิบ่นเสียดาย บ้านหลังนี้ในอดีตคงจะสวยมากถ้ามนต์ทิพย์มาเห็นต้องหลงรักแน่ๆ อัปสรทนดูต่อไปไม่ไหวชวนเขากลับ

“จะไม่ลงไปดูเสียหน่อยหรือ”

อัปสรปฏิเสธทันทีว่าอย่าดีกว่า แล้วเร่งให้กลับ พลันมีแมวดำกระโดดขึ้นมาที่หน้ากระโปรงรถ จ้องมองอัปสรเขม็ง แถมขู่ด้วยเสียงน่ากลัว พรวุฒิลงไปไล่ เธอจะห้ามแต่ไม่ทัน แมวโดดกัดแขนเขาอย่างแรงแล้วโดดหายไป อัปสรตกใจรีบลงมาดู เห็นเลือดไหลไม่หยุดก็ยิ่งใจเสีย แนะให้รีบไปโรงพยาบาล...

ไม่นานนัก พรวุฒิกับอัปสรกลับถึงบ้าน มนต์ทิพย์เห็นแขนของพ่อมีผ้าพันแผลก็ร้องถามไปโดนอะไรมา ท่านโดนแมวกัดตอนที่พาอัปสรไปเยี่ยมญาติแต่ดูท่าจะย้ายไปที่อื่นหมดแล้ว เหลือแต่แมวดำตัวที่กัดท่าน

“แมวดำกับบ้านร้าง แหม เหมือนในหนังผีเลยนะคะ” มนต์ทิพย์พูดไปหัวเราะไป อัปสรไม่ขำด้วย เครียดจัดกลัวปอบจะมาทำร้ายถึงกับเป็นลมล้มพับ สองพ่อลูกต้องช่วยกันประคองไปนอนที่โซฟา...

ด้วยความกลัวปอบฝังใจ อัปสรเก็บเอาไปฝันร้ายเห็นแม่ตัวเองที่หน้าตาทรุดโทรมไม่แพ้เรือนปั้นหยา พยายามจะให้เธอสืบทอดการเลี้ยงผีเจ้า เธอไม่ยอมทำตามที่ท่านต้องการก็ถูกข่มขู่ จะยอมรับเลี้ยงผีเจ้าต่อจากท่านหรือจะยอมให้ผัวตัวเองตาย อัปสรยืนกรานไม่ยอมเป็นทายาทของท่านเด็ดขาด

“อวดดี ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ฤทธิ์เดชของผีเจ้า คนที่ไม่นำพาต่อผีเจ้า มันจะต้องมีอันเป็นไปทุกคน” สิ้นเสียงละอองคำกลายร่างเป็นแมวดำ ดวงตาแดงฉานเหมือนตาผี ขู่อัปสรท่าทางเอาเรื่อง เธอกลัวสุดขีดตะโกนลั่นว่าไม่ พรวุฒิที่นั่งเฝ้าอยู่เขย่าตัวถามว่าเป็นอะไร อัปสรลืมตาขึ้นมาเห็นเขากับลูกก็ปล่อยโฮแล้วโผกอดเขาไว้ พรวุฒิได้แต่กอดตอบปลอบใจทั้งที่ไม่รู้สาเหตุอะไรกันที่ทำให้เธอหวาดกลัวขนาดนี้....

ดึกคืนนั้น พรวุฒิจับไข้หนาวสั่น อัปสรต้องเอาผ้ามาห่มให้ สังหรณ์ใจชอบกลว่านี่ต้องเป็นฝีมือของแม่ตัวเอง เข้าไปกอดเขาไว้ ภาวนาอย่าให้เขาเป็นอะไรไป อยู่ๆพรวุฒิทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง มองเธอตาขวาง

“ข้าจะกินให้หมด ข้าหิวมานานแล้ว” เสียงที่เปล่งออกมาจากปากพรวุฒิกลับเป็นเสียงใครก็ไม่รู้ อัปสรกลัวจัด แต่ต้องข่มเอาไว้ พยายามเขย่าแขนเรียกสามีให้รู้สึกตัว เขากลับเริ่มเคี้ยวบางอย่างในปาก สักพักมีเลือดสดๆไหลออกมา เสียงผีเจ้าข่มขู่ในเมื่อเธอไม่ยอมรับเลี้ยงผี เธอก็จะไม่มีวันสงบสุข

“ในเมื่อเจ้าไม่นับถือข้าข้าก็จะกินผัวเจ้าให้หมดไส้ หมดพุง” พรวุฒิซึ่งถูกผีเจ้าสิง ใช้นิ้วแทงท้องตัวเอง ควัก ไส้สดๆออกมา อัปสรกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด

ooooooo

เมื่อสิ้นพรวุฒิ บุญสลักอยากแต่งงานกับมนต์ทิพย์ให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ดูแลเธอกับอัปสร จึงพาเธอมาที่บ้านเพื่อพบกับแม่ของเขา มนต์ทิพย์สร้างความประทับใจให้ป้าแหวนกับแช่มคนของบุญสลักด้วยความสวยน่ารักและกิริยามารยาทอันงดงาม ทำให้บุญสลักมั่นใจว่าเธอจะต้องทำให้แม่ของเขาประทับใจเช่นกัน

เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่เขาหวัง พักตร์พริ้งอาของเขาทราบข่าวว่าเขาจะพาหญิงคนรักมาคุยกับพวงครามเรื่องแต่งงาน ก็เลยตามมาขัดขวาง หาเรื่องต่อว่าเธอต่างๆ นานาว่าพ่อเพิ่งเผาไปไม่กี่วัน ไม่คิดจะไว้ทุกข์ก่อนหรือ หรือที่ไม่ยอมไว้ทุกข์เพราะอยากจะแต่งงานกับหลานของตนให้เร็วที่สุด

“อุตส่าห์บินข้ามฟ้าข้ามทะเลมาตั้งไกลจะคว้า น้ำเหลวได้ยังไง จริงไหมจ๊ะ” ด่าเสร็จ พักตร์พริ้งเดินเลี่ยงออกไป มนต์ทิพย์มองหน้าบุญสลักอย่างเอาเรื่อง เขาถึงกับหน้าเสีย แม่นมผ่องขอร้องมนต์ทิพย์อย่าไปถือสา

“ใช่จ้ะ คุณอาก็เป็นอย่างนี้เองไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เอ้อ หนูมนต์ทิพย์จ๊ะ แล้วตอนนี้คุณแม่หนูทำใจเรื่องคุณพ่อหนูได้บ้างหรือยัง” พวงครามรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“คุณแม่จะย้ายกลับไปอยู่อังกฤษค่ะ” คำพูดของมนต์ทิพย์ทำเอาบุญสลักถึงกับอึ้ง...

มนต์ทิพย์ยังเคืองไม่หายที่ถูกพักตร์พริ้งตั้งแง่รังเกียจ เมื่อบุญสลักขับรถมาส่งบ้านจึงตัดสินใจบอกเขาว่าจะกลับอังกฤษกับแม่ เขาพยายามทักท้วงว่าเรากำลังจะแต่งงานกันแต่เธอไม่ฟัง วิ่งหนีเข้าบ้าน...

ทางด้านพักตร์พริ้งคอยพูดยุแยงจนพวงครามพาลไม่ชอบขี้หน้ามนต์ทิพย์ไปด้วยและยังเสี้ยมให้เธอหาทางตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่บุญสลักจะหลงผิดมากกว่านี้...

แฟรงค์เพื่อนสนิทของมนต์ทิพย์เงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำเมื่อเห็นบุญสลักเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นหรือว่าทะเลาะกับไอ้ทิพย์มา”

“ก็เพื่อนรักนายน่ะสิ ไม่ยอมแต่งงานจะกลับไปอังกฤษกับคุณน้าท่าเดียว” บุญสลักพูดจบทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างเซ็งจัด แฟรงค์รู้จักเพื่อนของตัวเองดีว่าไม่ใช่คนเหลวไหล ดังนั้นเขาต้องทำอะไรไม่ดีแน่ๆ มนต์ทิพย์ถึงทำแบบนั้น บุญสลักปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเพราะเขาแต่เป็นเพราะเธอโดนอาพักตร์พริ้งเล่นงาน ท่านไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไหร่ ส่วนเธอเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ท่าน แฟรงค์หัวเราะร่วน

“ทำใจไว้แต่เนิ่นๆเลยเพื่อน ยิ่งทำตัวเป็นจงอางห่วงไข่ ไอ้ทิพย์ไม่ยอมลงให้อาพักตร์ของนายง่ายๆแน่”

จังหวะนั้นเขมิกาเปิดประตูห้องเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ เห็นแฟรงค์มีแขกก็ตกใจรีบขอโทษ

“แขกที่ไหนครับเพื่อนกันทั้งนั้น นี่บุญสลักแฟนไอ้ทิพย์มัน...นี่คุณเขมแฟนฉัน”

“พูดจาน่าเกลียด ใครเป็นแฟนคุณคะ” เขมิกาต่อว่าจบปรายตามองบุญสลักแอบพอใจอยู่ลึกๆ เขาขอโทษแฟรงค์ด้วยไม่รู้ว่ามีนัด แล้วขอตัวกลับก่อน เขมิกามองตามตาเป็นประกายจนแฟรงค์ต้องเตือนว่าสายตาแบบนั้นอนุญาตให้เอาไว้มองเขาคนเดียว เธอไม่สนใจกับท่าทีหึงหวงของเขา ซักว่าเพื่อนของเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครเรียนจบอะไรมา แฟรงค์ขอร้องเวลาที่อยู่กับเขาอย่าพูดถึงคนอื่น

ooooooo

ขณะที่อัปสรยืนเหม่อใจลอยมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอน ยังเศร้าใจไม่หายกับการจากไปไม่มีวันกลับของสามี มีเสียงแมวร้องดังฝ่าความเงียบยามค่ำคืนเข้ามา เธอถึงกับสะดุ้งโหยง กวาดตามองไปรอบๆแต่ไม่พบอะไร ข่มความกลัวเดินไปดูที่ประตูทางออกระเบียงห้อง

อารามสนใจแต่เสียงร้องของแมว อัปสรจึงไม่ได้ยินเสียงลูกเคาะประตูเรียก พลันมีแมวดำโผล่พรวดขึ้นมาบนระเบียง จ้องเธอเขม็ง อัปสรกลัวจัดถอยกรูด มนต์ทิพย์เปิดประตูห้องเข้ามาเห็นสีหน้าตื่นๆของแม่ ปรี่เข้ามาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เคาะประตูเรียกตั้งหลายครั้งทำไมไม่ขานตอบ เธอโกหกว่าไม่มีอะไร

“เอางี้ แม่ไปนอนกับทิพย์ดีกว่า” อัปสรรีบพาลูกออกไปจึงไม่เห็นแมวดำดวงตาแดงก่ำยืนมองอยู่...

อัปสรคุยเปิดใจกับลูกว่าไม่ค่อยเห็นด้วยนักที่เธอจะตามกลับไปอยู่ที่อังกฤษด้วย เพราะถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะเอาบุญสลักไปไว้ไหน มนต์ทิพย์อ้างว่าหากเขารักเธอเหมือนที่พ่อรักแม่ ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหา อัปสรว่าไม่เหมือนกัน เขามีแม่ที่ต้องดูแล มนต์ทิพย์สวนทันทีตนเองก็มีแม่คนเดียวเหมือนกัน

“ส่วนเรื่องมรดกของคุณพ่อ เราให้คุณตาช่วยจัดการก็ได้นี่คะ”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราไปกราบลาคุณตากัน”...

ดึกมากแล้วอัปสรถึงข่มตาหลับได้ แต่ไม่วาย

ฝันร้ายเห็นละอองคำมาขอร้องแกมบังคับให้สืบทอดการเลี้ยงผีเจ้าของตน เธอปฏิเสธเหมือนเช่นเคย ละอองคำยื่นข้อเสนอหากจะไม่ให้ยุ่งกับเธออีก เธอต้องมอบมนต์ทิพย์ให้ทำหน้าที่แทนเธอ

“ไม่ แม่อย่าทำอะไรลูกหนูนะ อย่านะแม่...อย่า” อัปสรตะโกนสุดเสียง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากที่นอน พลอยทำให้มนต์ทิพย์ที่นอนอยู่ข้างๆตกใจตื่นไปด้วย ถามว่าเป็นอะไร อัปสรไม่อยากให้ลูกกลัว รีบตัดบทว่าไม่มีอะไร แล้วล้มตัวลงนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่มนต์ทิพย์งุนงงกับท่าทางแปลกๆของแม่

ooooooo

เมื่อคุณตาของมนต์ทิพย์ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของอัปสร ก็มอบสร้อยคอทองคำกับพระเลี่ยมทองให้สองแม่ลูกไว้คล้องคอ อัปสรกำชับให้ลูกสวมติดตัวไว้ตลอดห้ามถอดเด็ดขาด

“พระท่านจะได้ปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากเภทภัยทั้งปวง”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่มนต์ทิพย์ก็รับคำ อัปสรยิ้มมั่นใจตนเองกับลูกต้องพ้นเงื้อมมือละอองคำแน่ๆ...

เสร็จจากไปรับตั๋วเครื่องบินที่แฟรงค์จัดหามาให้ สองแม่ลูกรีบกลับบ้านเพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางวันพรุ่งนี้ เกือบเที่ยงคืนอัปสรถึงเก็บข้าวของเสร็จ จึงเดินไปรูดม่านหน้าต่างเตรียมเข้านอน เห็นผีเจ้าในคราบมนต์ทิพย์เดินอยู่ที่สนามหญ้าคิดว่าเป็นลูกก็ตกใจ ร้องเรียกให้ขึ้นบ้าน แต่เธอไม่หันมอง

พลันมีเสียงละอองคำดังแว่วเข้ามา “ขอมนต์ทิพย์ให้แม่นะอัปสร”

ด้วยความรีบร้อนจะลงไปหาลูก อัปสรไม่ทันระวังสร้อยพระถูกตะขอเกี่ยวขาดตกพื้นโดยไม่รู้ตัว ครู่ต่อมา เธอมาถึงสนามหญ้า เห็นมนต์ทิพย์ยืนอยู่ไกลๆตะโกนเรียกให้กลับมาแต่ลูกไม่ฟังยังคงเดินตรงไปที่ประตูรั้ว เธอตามมาคว้าแขนแต่ลูกกลับหายวับไป กวาดตามองหาไปทั่วบริเวณเจอลูกยืนอยู่นอกรั้วบ้าน รีบวิ่งตาม มนต์ทิพย์ตัวจริงได้ยินเสียงเอะอะของแม่ วิ่งออกมาจากตัวบ้าน เห็นแม่กำลังเปิดประตูรั้ว

“แม่คะ แม่อย่าออกไปค่ะ แม่”

อัปสรหันมองตามเสียง เห็นมนต์ทิพย์ยืนอยู่ก็ดีใจจะวิ่งมาหา ละอองคำปรากฏตัวซ้อนร่างมนต์ทิพย์ไว้

พร้อมกับส่งยิ้มสยองมาให้ อัปสรกลัวลนลานร้องเอะอะลั่นว่าแม่อย่าทำหนู แล้วหันหลังวิ่งหนีเพราะคิดว่า ละอองคำจะมาทำร้าย มนต์ทิพย์จะวิ่งตามแต่แม่วิ่งหายไปในความมืดเสียก่อน

กว่าอัปสรจะรู้ตัวว่าถูกละอองคำกับผีเจ้าหลอกล่อให้ออกจากบ้าน ก็เป็นตอนที่วิ่งหนีมาถึงเรือนปั้นหยาบ้านของละอองคำ เธอจะหนีไปอีกทางก็ถูกทั้งผีและแมวดำล้อมกรอบถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นร้องไห้โฮ...

ทางฝ่ายมนต์ทิพย์มืดแปดด้านไม่รู้จะไปตามหาแม่ที่ไหน โทร.เรียกบุญสลักกับแฟรงค์ให้ช่วย สร้างความไม่พอใจให้พวงครามเป็นอย่างมากที่ลูกชายถูกตามตัวออกจากบ้านดึกๆดื่นๆ

ooooooo

มนต์ทิพย์ไม่ได้หลับได้นอนรอฟังข่าวของแม่ทั้งคืน แต่ไม่มีวี่แวว แม้จะแจ้งความให้ตำรวจช่วยตามหาอีกทางหนึ่งก็ไม่พบแม้เงา เธอเครียดจัดเป็นลมล้มพับ บุญสลักกับแฟรงค์ต้องช่วยกันปฐมพยาบาลจนเธอฟื้น ทันทีที่รู้สึกตัว มนต์ทิพย์จะออกไปตามหาแม่ แฟรงค์ขอร้องให้เธอพักผ่อนบ้างไม่สบายขึ้นมาจะยุ่งเปล่าๆ

“แต่ทิพย์รออยู่เฉยๆไม่ได้หรอกค่ะ ทิพย์จะออกไปตามหาแม่”

แฟรงค์กับบุญสลักทนเสียงรบเร้าของเธอไม่ไหว จึงต้องพาเธอไปตามหาอัปสร...

คนที่มนต์ทิพย์ บุญสลักกับแฟรงค์กำลังตามหาให้ควั่ก ถูกผีเจ้าขังไว้ในเรือนปั้นหยา เธอพยายามหนีแต่ประตูหน้าต่างปิดล็อก ผีเจ้าในคราบละอองคำขู่ให้เธอยอมสืบทอดการเลี้ยงผี แต่เธอไม่ยอมทำตาม

“นังอัปสรถ้าเจ้าไม่รับเลี้ยงผีของข้าข้าจะควักไส้เจ้ากินเหมือนที่ข้าควักไส้ไอ้ฉัตรกับอีซ่อนกลิ่นย่าของเจ้า จำได้หรือไม่” ผีเจ้าว่าแล้วย่างสามขุมเข้าหา อัปสรกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะเป็นลมหมดสติ...

พักตร์พริ้งดูจะร้อนใจที่หลานชายหายไปกับ มนต์ทิพย์ตั้งแต่เมื่อคืนจนบ่ายคล้อยก็ยังไม่กลับมากกว่าพวงครามผู้เป็นแม่ แถมยังกล่าวหาว่าอัปสรกับมนต์ทิพย์ตั้งใจจะจับบุญสลักถึงได้หาเรื่องให้เขาไปขลุกอยู่ที่บ้านพวกเธอไม่เว้นวัน พ่อตายก็ครั้งหนึ่งแล้ว นี่ยังกุเรื่องแม่หายขึ้นมาอีก

“อุ้ย คงไม่ขนาดนั้นมั้งคะ คุณพักตร์” แม่นมผ่องแย้ง

“โอ๊ย พวกสิบแปดมงกุฎล่ะสินมผ่อง...คุณพี่ พวงครามจะใจอ่อนไม่ได้นะคะ ยิ่งพวกมันเห็นว่าเราอยู่ในสังคมชั้นสูงแบบนี้ มันก็ยิ่งทำตัวให้น่าสงสาร ตาบุญสลักก็กระไร เรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนาแทนที่จะหางานทำให้เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลกลับทำตัวเหลวไหล”

“พี่ก็หนักใจเรื่องนี้ล่ะค่ะ” พวงครามถอนใจเฮือกที่ถูกพักตร์พริ้งจี้ใจดำ...

ทั้งมนต์ทิพย์ บุญสลักและแฟรงค์ขับรถตระเวนหาอัปสรไปทั่วทุกที่ที่คิดว่าท่านจะไปแต่ก็ไม่พบ จึงต้องกลับมาปักหลักที่บ้านเผื่อตำรวจมีข่าวคืบหน้าจะได้ติดต่อกันได้ แฟรงค์เห็นเพื่อนรักเหนื่อยมาทั้งวัน สั่งให้พักผ่อนบ้าง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจตามหาไปก่อน บุญสลักเห็นด้วย หากเธอล้มป่วยไปจะยิ่งลำบาก

“ใช่ๆฟังกันบ้างก็ดีนะไอ้ทิพย์ ฉันขอไปเคลียร์งานที่ออฟฟิศสักเดี๋ยวแล้วจะรีบกลับมา อ้อฉันว่าจะให้พี่ปีบมาอยู่เป็นเพื่อนแกสักพัก”

มนต์ทิพย์น้ำตาซึมซาบซึ้งกับน้ำใจของเพื่อน

ooooooo

หลังจัดการเรื่องงานเรียบร้อย แฟรงค์กลับมาที่บ้านของมนต์ทิพย์อีกครั้งพร้อมกับปีบ จากนั้นไม่นาน พักตร์พริ้งกับพวงครามซึ่งอดรนทนรอให้บุญสลักกลับบ้านไม่ไหวบุกมาตามตัวถึงที่นี่ บุญสลักยังกลับไม่ได้ เนื่องจากยังหาตัวอัปสรไม่พบ ขนาดให้ตำรวจช่วยตามหาก็ยังไม่คืบหน้า

“ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจก็ดีอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาเดือดร้อนคนอื่นเขาไปทั่ว อุตส่าห์ไปเติบโตอยู่เมืองนอกเมืองนา ทำไมเรื่องแค่นี้ไม่มีปัญญาจะจัดการด้วยตัวเอง” พักตร์พริ้งลอยหน้าด่าฉอดๆ มนต์ทิพย์ตัดรำคาญ บอกให้บุญสลักกลับไปกับแม่ ทางนี้เธอจัดการเองได้ไม่ต้องห่วง เขารีๆรอๆไม่ยอมไป

“กลับบ้านกับแม่บุญสลัก แม่จะรอที่รถ” พวงครามสั่งเสียงเฉียบ แล้วเดินนำพักตร์พริ้งออกไป บุญสลักขอตัวหญิงคนรักสักครู่ ไปคุยกับคุณแม่ให้เข้าใจก่อนแล้วจะรีบกลับมา มนต์ทิพย์ไม่อยากรบกวนเขามากไปกว่านี้ เรื่องของเธอให้เธอจัดการเอง แล้วผละจากไป แฟรงค์ตบไหล่บุญสลักเบาๆอย่างเห็นใจ

“นายไปจัดการเรื่องที่บ้านก่อนเถอะ ฉันจะดูแลไอ้ทิพย์ให้เอง”

“ขอบใจเพื่อน” บุญสลักว่าแล้วรีบร้อนออกไป แฟรงค์มองตามก่อนจะพึมพำเบาๆ

“โชคดีนะที่ฉันไม่เจอบ้านคุณเขมกีดกันแบบนี้”...

บังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่เขมิกาเป็นหลานของโฉม พอเธอรู้ว่าวันนี้แฟรงค์ไม่มาหาหลานสาวของเธอเพราะแม่เพื่อนของเขาหายตัวไปก็เลยต้องไปช่วยตามหา ก็อดถามไม่ได้ว่าเพื่อนคนนั้นไม่มีญาติที่ไหนหรือจึงต้องมาไหว้วานแฟรงค์ โฉมซักไปซักมาจนรู้ว่าแม่เพื่อนที่ว่าคืออัปสรที่เพิ่งกลับมาเมืองไทยถึงกับตกใจ...

ฝ่ายอัปสรยังคงถูกผีเจ้ากักตัวไว้ในบ้านละอองคำและบังคับให้เธอยอมรับเป็นทายาทสืบทอดการเลี้ยงผี เธอขัดขืนไม่ยอมทำตาม ผีเจ้าโกรธลงมือตบตีจนล้มกลิ้งล้มหงาย อัปสรกลัวลนลานพลางตะโกนลั่น

“ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังไปถึงหูชายหาปลาที่กำลังเหวี่ยงแหอยู่ในลำคลองใกล้ๆ ถึงกับขนหัวลุก นึกว่าผีปอบเฮี้ยนหนัก ถึงขนาดออกมาหลอกผู้คนกลางวันแสกๆ รีบพายเรือหนี สวนกับเรืออีกลำหนึ่งที่หนุ่มสาวคู่รักพายมาตามลำคลองช้าๆ ชายหนุ่มตะโกนถามจะรีบร้อนไปไหน

“ไม่ไหวว่ะ ผีบ้านนี้มันเฮี้ยนจัด ข้าไปก่อนล่ะ” ชายหาปลาพายเรือหนีไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าผีที่ไหนจะหลอกตอนกลางวันแสกๆ พายเรือเทียบท่าน้ำบ้านละอองคำ แล้วชวนคู่ควงไปนั่งที่ศาลาหวังจะใช้เป็นที่พลอดรัก อัปสรมองผ่านรอยแตกของฝาบ้าน เห็นหนุ่มสาวกำลังจีบกัน ตะโกนขอความช่วยเหลือ

“ช่วยฉันด้วย ฉันถูกขังอยู่บนนี้ ช่วยเปิดประตูให้ฉันที”

ทั้งคู่ได้ยินเสียงร้องถึงกับตาเหลือกคิดว่าถูกผีหลอก พากันเผ่นแน่บไม่คิดชีวิต

ooooooo

ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น