วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เลื่อมสลับลาย ตอนที่ 13


พิศมัยนั่งถักผ้าพันคอหลังขดหลังแข็งในขณะที่เพ็ญนั่งดูทีวีสบายอารมณ์ พิศมัยถามว่าไม่คิดจะช่วยถักบ้างหรือ ก็ตอบอย่างไร้น้ำใจว่า ไม่ ขี้เกียจ

บัวทองกลับจากทำงานเดินมาถามว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงพิศมัยคุยกับพาไล ถามว่าคุยเรื่องอะไร หรือว่าพาไลโทร.มาว่าจะโอนเงินมาให้ ตนจะได้ไปกดจ่ายค่าเครื่องสำอาง พูดแล้วรีบแก้ว่า “เอ้ย...จ่ายค่าน้ำค่าไฟ”

พิศมัยบอกว่าพาไลโทร.มาถามเรื่องหลานนครินทร์ร้องไห้ไม่หยุด บัวทองถามว่าพาไลกับนครินทร์ยังคบกันอยู่หรือ ตนนึกว่าเลิกยุ่งกันไปแล้วเสียอีก

“ป้าก็ไม่รู้ ป้าไม่อยากถาม แค่พาไลต้องหาเงินมาให้เราใช้ทุกเดือน ทั้งๆที่พาไลไม่ได้เป็นสายเลือดของเราเลยด้วยซ้ำ เขาก็เหนื่อยกายมากพอแล้ว เราอย่า ไปสร้างภาระทางใจให้เขาอีกเลย” พิศมัยตัดบทแล้วลุกเดินไป

บัวทองพูดอย่างหมั่นไส้ว่ายกยอปอปั้นกันเข้าไป เพ็ญฉุกคิดได้ถามว่าหรือเงินที่พาไลส่งมาทุกเดือนเป็นเงินที่ได้จากนครินทร์ เพราะแค่ขายเสื้อผ้าไม่น่าได้เงินมากมายอย่างนั้น บัวทองตาโตขึ้นมาทันที บอกเพ็ญว่าถ้าเป็นเงินจากนครินทร์จริง แสดงว่าเขารวยไม่ใช่เล่น พูดอย่างริษยาตาร้อนว่า

“แล้วมันจะดีกว่าหรือเปล่าล่ะคะ ถ้าเขามาให้บัวโดยตรง เราจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณพาไล”

สองแม่ลูกยิ้มร้ายให้กันอย่างหมายมาด

ooooooo

จุ้นมาที่บ้านสวนแต่เช้ายื่นถุงกระดาษในมือให้พาไลบอกว่าคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายซื้อของมาฝากจากต่างจังหวัด คุณรินทร์เลยแบ่งมาให้ตอบแทนที่เมื่อคืนช่วยไปดูคุณหนูหนึ่งให้

พาไลฝากขอบคุณนครินทร์ด้วย จุ้นเห็นลิปสติกบนริมฝีปากพาไลก็ชมว่าสวย พาไลเลยหยิบจากกระเป๋าให้

“ถ้าชอบก็เอาไป ฉันให้ ฉันเบื่อแล้ว”

จุ้นดีใจมากรับลิปสติกวิ่งแจ้นไปเพ้อเจ้อว่า “มอเตอร์ไซค์ทั้งวินจะต้องสยบให้กับริมฝีปากของอีจุ้น...” พลันก็ชะงักกึกเมื่อเห็นคุณโปรยยืนมองอยู่ถามว่าไปเอาลิปสติกของใครมา “คุณพาไลให้ค่ะ” คุณโปรยสะดุดหูถามว่า

“คุณพาไล? แกไปนับถือมันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่จุ้นได้อ่านหนังสือธรรมะ หลวงพ่อท่านว่าพูดจาดีเป็นศรีแก่ปาก ชีวิตจะเจริญก้าวหน้าค่ะ จริงๆแล้วคุณพาไลเธอก็น่ารัก นิสัยดี มีน้ำใจ อย่างเมื่อคืนเธอก็ยังอุตส่าห์มาช่วยคุณรินทร์ดูแลคุณหนูหนึ่ง”

“ดูแล? ดูแลที่ไหน?!” คุณโปรยสนใจจี๋ นครินทร์มาได้ยินพอดีบอกว่ามาดูแลที่บ้านเรานี่แหละ คุณโปรยร้อนใจถามอย่างไม่พอใจว่า “รินทร์ยอมให้มันเข้าบ้านเราทำไม เดี๋ยวมันก็ดูช่องทางมาปล้นเราอีก”

นครินทร์ติงว่าถ้าเธอคิดจะปล้นก็คงไม่รอมาถึงวันนี้หรอก เธอแค่หวังดีมาช่วยดูแลหนูหนึ่ง คุณโปรยก็หาว่าเป็นแค่มารยาหญิงเท่านั้น เพราะผู้หญิงใจแตกอย่างพาไลจะไปคิดอะไรเป็นนอกจากจับผู้ชาย

“ตอนนี้ปิ่นก็ถูกคนอื่นนินทาว่าเป็น ‘ผู้หญิงใจแตก’ แม่คิดว่าปิ่นจะคิดแต่เรื่องจับผู้ชายหรือเปล่าครับ” คุณโปรยปรามว่าอย่าเอาน้องไปเปรียบเทียบมันไม่เหมือนกัน แก้ต่างแทนลูกว่า

“ตอนนี้ปิ่นแค่เสียใจเรื่องคุณศกถึงได้ทำตัวเหลวไหลไปบ้าง แต่เนื้อแท้ของปิ่นเป็นทอง ไม่ใช่ก้อนกรวดอย่างพาไล สักวันที่ปิ่นหายเสียใจ ปิ่นก็จะต้องกลับมาเป็นปิ่นคนเดิม”

“ถ้าคุณแม่ไม่อยากทุกข์มากไปกว่านี้ คุณแม่ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าปิ่นคนเดิมไม่มีอีกแล้ว”

คุณโปรยนิ่งอึ้งน้ำตาตกใน เพราะลึกๆในใจก็หวั่นไหวอยู่แล้วแต่พูดปลอบใจตัวเองไปอย่างนั้นเอง

ooooooo

ปิ่นปักตื่นขึ้นมาเธอตกใจ ช็อก เมื่อเห็นเพรียวนอนกอดตนอยู่บนเตียง!

เมื่อเพรียวตื่นขึ้นไม่เห็นปิ่นปัก เขาลุกเดินหาไปทั่วบ้าน ปรากฏว่าปิ่นปักกลับไปถึงคอนโดแล้วในสภาพยับเยินทั้งหน้าตาและเสื้อผ้าที่ใส่ไปเที่ยวเมื่อคืน เธอพยายามเก็บกลั้นน้ำตาไว้ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ควานหากุญแจไม่เจอ พอหาเจอก็ทนไม่ไหวร้องไห้ทรุดนั่งอยู่หน้าห้องนั่นเอง

พาไลมาหามิ้มเห็นปิ่นปักนั่งร้องไห้อยู่ เธอตกใจรีบเข้ามาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ปิ่นปักฮึดหยุดร้องไห้บอกว่าตนไม่เป็นอะไร ลุกไขประตูห้องเข้าไปปิดประตูแล้วก็ทรุดร้องไห้อยู่ตรงประตูนั่นเอง พาไลจะบอกเรื่องหนูหนึ่งเลยพูดไม่ทัน

ไม่นานเพรียวก็โทร.มาหาปิ่นปัก เธอดูหน้าจอแล้วไม่รับสาย เพรียวก็ยังเพียรโทร.มาอีก เธอตัดสินใจรับพูดเสียงแข็ง

“อย่าโทร.มาหาปิ่นอีก!” แล้ววางสายเลย แต่ไม่นานเพรียวก็โทร.มาอีก

พอปิ่นปักไม่รับสาย เพรียวครางอย่างเจ็บปวด “ปิ่น พี่ขอโทษ” เพรียวคิดถึงคำสัญญาที่ตนให้ปิ่นเมื่อคืนขณะนั่งดื่มด้วยกันว่า “อย่างน้อย พี่ก็สบายใจว่า ปิ่นปลอดภัยแน่นอน...” ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตัวเองผิด!

มิ้มที่อยู่ถัดไปสองสามห้องเปิดประตูออกมา พาไลบอกว่าไม่รู้ปิ่นปักเป็นอะไรดูไม่ค่อยดี

“ว้าย! อย่าบอกนะว่าชีเพิ่งกลับ ปกติชีจะกลับดึก แต่นี่พัฒนามากลับเช้า สงสัยจะเที่ยวติดลม ไม่ใช่ลมบนนะแก แต่เป็น ลมล่าง” พูดแล้วหัวเราะคิกคัก พาไลติงว่าปิ่นปักอาจไม่ได้ไปทำเรื่องอย่างว่า ถูกมิ้มแย้งอย่างหมั่นไส้ว่า

“แกอย่ามาทำเป็นแก้ตัวแทนเขาหน่อยเลย เราเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ทำไมเราจะมองไม่ออกว่าตอนนี้คุณด็อกเตอร์ปิ่นปักได้เข้าชมรมชะนีมากผัวเหมือนเราแล้วล่ะ”

มิ้มหัวเราะคิกคัก ส่วนพาไลฟังแล้วนึกเป็นห่วงปิ่นปักไม่น้อย

แต่พอรุ่งขึ้นจะไปขายเสื้อ ทั้งพาไลและมิ้มต่างผงะ เมื่อมีป้ายปิดไว้ที่หน้าแผงว่า “เซ้งด่วน” พอเจ้าของตลาดมา ก็อ้างว่าต้องเซ็นสัญญาต่อและจ่ายค่ามัดจำล่วงหน้าหนึ่งเดือน ถ้าไม่เซ็นไม่จ่ายแสดงว่าไม่ต่อ ตนมีสิทธิ์เอาแผงให้คนอื่นเช่าต่อได้ทันที มิ้มฉุนขาดด่าว่า “โกงกันนี่หว่า” ทำท่าจะเอาเรื่อง

“มิ้ม...ใจเย็นๆ เราผิดเองที่ไม่อ่านสัญญาให้ละเอียด เราถึงถูกเขาโกงได้ง่ายๆ” พาไลขอต่อสัญญากับเจ้าของตลาด ถูกปฏิเสธอ้างว่ามีคนมาเซ้งต่อแล้ว

ขณะนั้นเอง แผงข้างๆที่เป็นคู่แข่งก็เอาเสื้อผ้ามาแขวนขาย มิ้มถามว่ามันเซ้งไปเท่าไรมากกว่าพวกตนสองหรือสามเท่า ตนจะให้เพิ่มเป็นสี่เท่า เจ้าของตลาดสนใจทันทีถามว่าจริงหรือ

“ไม่จริง” พาไลตอบทันที แล้วคุยกับมิ้ม “เงินของเราทุกบาทมาจากน้ำพักน้ำแรง เรื่องอะไรจะต้องเอาไปจ่ายให้พวกขี้โกง”

มิ้มเสียดายเพราะนี่เป็นขุมเงินขุมทองของพาไล พาไลชี้ที่สมองตัวเองบอกว่า

“ขุมทองของฉันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงไหนฉันก็ขายของให้ดีได้” แล้วชวนมิ้มกลับ มิ้มให้พาไลไปนั่งรอก่อนตนไปทำอะไรแป๊บเดียวเดี๋ยวมา

มิ้มแกล้งไปทำสะดุดล้มหน้าแผงของตนที่ถูกเซ้งไป เลือดหมูกับปลาเค็มที่ถือมาหกกระเด็นเปื้อนทั้งเสื้อที่แขวนขายและตัวยายเจ๊นั่น ก่อนผละมาก็ทำเป็นขอโทษแต่แช่งให้เจ๊ง ฉิบหาย ขายของไม่ได้ ผัวเบื่อผัวทิ้งแล้วกรีดกรายไป

“อีบ้า! กลับมาชดใช้ให้ฉันเดี๋ยวนี้!” ยายเจ๊เต้นเหยงๆอยู่หน้าแผงที่มีทั้งเลือดหมูและปลาเค็มเหม็นคลุ้งไปหมด

ผ่านการกัดฟันต่อสู้ชีวิตมาด้วยกัน ทำให้มิ้มยิ่งเห็นถึงความเข้มแข็งมุ่งมั่นของพาไลที่ยึดมั่นในความดีความถูกต้องต่างก็ภูมิใจกันที่มีเพื่อนอย่างนี้

ooooooo

บัวทองวางแผนจะจับนครินทร์ วันนี้ทำทีเอาของฝากไปให้เขา เมื่อรู้จากคุณโปรยว่านครินทร์ออกไปแล้วก็บ่นเสียดาย คิดว่าวันนี้วันหยุดเขาคงอยู่บ้านเลยไม่ได้โทร.มาก่อน

บัวทองอ้อยอิ่งไม่กลับเสียที แล้วทำทีถามถึงหนูหนึ่ง ทำเป็นรู้เรื่องดีว่าเมื่อคืนหนูหนึ่งร้องไห้โยเย พาไลโทร.ไปถามคุณป้า ตนช่วยค้นหาจากกูเกิ้ลให้วุ่น แต่ก็มีความสุขเพราะตนเป็นคนรักเด็ก

คุณโปรยเริ่มรู้สึกรำคาญกับความจุ้นจ้านของบัวทอง แต่พอบัวทองพูดว่านครินทร์ถูกพาไลหลอกเอาเงินไปมากมาย คุณโปรยก็หูผึ่ง พอบัวทองกลับไป คุณโปรยรีบขึ้นไปเปิดดูสมุดเงินฝากของนครินทร์ จุ้นกับป้าแสงตามขึ้นมา

ป้าแสงถามว่าคุณโปรยหาอะไรหรือ พอคุณโปรยบอกว่าหาสมุดบัญชีของนครินทร์ดูว่าเขาถูกพาไลสูบเงินไปใกล้หมดเนื้อหมดตัวหรือยัง

“ไม่จริงหรอกค่ะ ถ้าคุณพาไลหลอกเอาเงินคุณรินทร์อย่างคุณบัวทองพูดจริง คุณพาไลไม่ต้องมานั่งปักเสื้อไปขายจนมือด้านกว่าหน้าหนูหรอกค่ะ” จุ้นติง แต่คุณโปรยไม่เชื่อ บ่นนครินทร์ว่า

“รินทร์นะรินทร์ ทำไมถึงปล่อยให้คนพรรณค์นั้นหลอกเอาได้”

“คุณนี่เป็นแม่ที่ใช้ไม่ได้” ป้าแสงโพล่งขึ้น คุณโปรยถามว่าด่าตนทำไม “ก็จริงไหมล่ะคะ ไหนๆพูดแล้วก็ขอพูดให้หมดเถอะค่ะ ที่ผ่านมาคุณพูดคุณทำเหมือนไม่รู้จักนิสัยลูกชายตัวเอง คุณต้องหัดมั่นใจในตัวคุณรินทร์สิคะ”

“มั่นใจเหรอ? ฉันไม่เหลือความมั่นใจอะไรอีกแล้ว ขนาดปิ่นที่ฉันเคยมั่นใจนักหนาว่าเขาเป็นลูกที่ดี จะไม่มีวันทำให้ฉันเสียใจ แล้วดูปิ่นตอนนี้สิ ปิ่นเป็นยังไง ปิ่นทำตัวเป็นคนใจแตก ลูกเต้าก็ไม่ดูแล ปิ่นไม่เหลืออะไรให้ฉันภูมิใจได้เลย” “ก็คุณคาดหวังกับลูกมากเกินไป”

“แล้วมันผิดเหรอ ฉันเป็นแม่ ฉันไม่มีสิทธิ์คาดหวัง อยากเห็นพวกเขามีชีวิตที่ดีอยู่กับคนที่ดี ฉันจะได้นอนตายตาหลับ”

คุณโปรยอัดอั้นร้องไห้อย่างหนักจนทรงตัวไม่อยู่ พร่ำถามป้าแสง... “ฉันผิดเหรอพี่แสง...ฉันผิดเหรอ?...”

ooooooo

ขณะปิ่นปักยังนั่งเสียใจกับเหตุการณ์เมื่อคืน จู่ๆนครินทร์ก็ไขกุญแจห้องเข้ามา เพราะปิ่นปักทำกุญแจสำรองให้ไว้

นครินทร์ถามว่าเมื่อคืนโทร.มาทำไมไม่รับสายเลย ปิ่นปักบอกว่าตนไปเที่ยวไม่ได้ยิน

“ปิ่นหยุดเที่ยวแล้วกลับไปอยู่กับลูกบ้างนะ เมื่อคืนหนูหนึ่งก็ร้องไห้เสียจนพี่ใจเสีย ดีที่พาไลมาช่วยดูให้ ถึงรู้ว่าแกร้องเพราะไม่สบายตัว” ปิ่นปักถามว่าเขากลับไปคบกับพาไลแล้วหรือ “เปล่า...ถามทำไม”

“ถ้าคบกันปิ่นจะได้แสดงความยินดีไงคะ” นครินทร์ถามว่าไม่ห้ามหรือ “ปิ่นไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครอีกแล้วค่ะ”

นครินทร์มองน้องสาวอย่างแปลกใจ ก็พอดีเสียงมือถือเขาดังขึ้น ดูหน้าจอแล้วรับสาย

“ฮัลโหล...เพรียว...”

เพรียวโทร.มาถามว่าคอนโดปิ่นปักอยู่ที่ไหน นครินทร์กำลังจะบอก ปิ่นปักรีบห้ามไว้ว่าอย่าบอก นครินทร์ถามว่าเธอเป็นอะไร ปิ่นปักตอบอึกอัก...

“เออะ...ปิ่น...ปิ่นไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ปิ่นแค่ไม่อยากให้ใครรู้มากว่าอยู่ที่ไหน ปิ่นต้องการความเป็นส่วนตัวค่ะ ปิ่นขอตัวแต่งตัวก่อนนะคะ ปิ่นนัดกับพัชไว้”

ooooooo

ด้วยความสงสัยอากัปกิริยาที่ผิดปกติของปิ่นปัก นครินทร์โทร.ไปถามเพรียวว่ามีปัญหาอะไรกับปิ่นปัก ฟังเพรียวเล่าแล้ว นครินทร์อึ้ง เขาลิ่วไปหาเพรียวที่บ้าน ถามว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพรียวเสียงอ่อยว่า

“อารมณ์มันพาไป รินทร์ ฉันขอโทษ แต่ฉันรักปิ่นจริงๆ ฉันจะไม่แก้ตัวอะไรเลย”

เพรียวพูดอย่างระวังตัว คิดว่าคงต้องถูกนครินทร์ชกแน่ แต่เขากลับไม่ชก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ฉันอยากบอกอะไรแกไว้อย่าง ถึงฉันจะรู้ว่าแกคิดยังไงกับปิ่น แต่ตอนนี้ปิ่นเป็นแม่ม่ายมีพันธะ เรื่องเมื่อคืน ถ้าแกคิดแค่จะเล่น ฉันก็ขอให้มันจบไป อย่าเอาไปพูดทำให้ปิ่นเสียหายอีก”

“ถ้าฉันคิดแค่เล่นๆ ฉันคงจะไม่พยายามตามหาปิ่นอยู่อย่างนี้” นครินทร์ย้ำถามว่าแน่ใจ?! “ฉันจะไม่มีคำสัญญาอะไรพูดกับแกหรอกนะรินทร์ แต่ฉันจะทำให้แกเห็นด้วยตาว่าฉันจริงใจกับปิ่นมากแค่ไหน”

นครินทร์เห็นท่าทางและแววตาที่จริงจังของเพรียว เขาพยักหน้าเชิงรับรู้

ooooooo

ปิ่นปักไปพบพัชรินที่ห้างสรรพสินค้า นั่งคุยกันในร้านอาหาร พัชรินร้องไห้เป็นวักเป็นเวรเล่าเรื่องยุทธจะเลิกกับตนและเวลานี้เขาก็หอบเสื้อผ้าไปอยู่บ้านแม่แล้ว ขอร้องให้ปิ่นปักช่วย ถามว่าตนจะทำอย่างไรดี

ปิ่นปักยังคิดเรื่องตนกับเพรียวอยู่ ใจเหม่อลอยไม่ทันได้ฟัง พัชรินถามว่าฟังตนอยู่หรือเปล่า เป็นอะไรทำไมเอาแต่นั่งเหม่อ ปิ่นปักเรียกสติคืนมาบอกว่าตนไม่เป็นอะไร พัชรินก็เริ่มคร่ำครวญเรื่องของตัวเอง ร่ำร้องให้ปิ่นปักช่วยตนด้วย

“ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นคุณยุทธจะเคยโกรธเธอ เห็นยอมเธอทุกอย่าง เธอไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะ”

พัชรินนิ่งไป ไม่กล้าเล่าเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปิ่นปัก เลยปดว่า

“คุณยุทธเขางอนที่ฉันไม่ค่อยสนใจเขา เพราะมัวแต่ออกไปทำงานการกุศลตามสมาคม” ปิ่นปักถามว่าเรื่องนี้จริงหรือ “ทำไมถามแบบนี้ เธอรู้อะไรมาหรือเปล่า” พัชรินระแวงแบบวัวสันหลังหวะ

“เปล่า แต่ฉันเห็นว่าคุณยุทธเขาออกจะดี เขาไม่น่าจะโกรธเธอด้วยเรื่องแค่นี้”

“เขาจะโกรธฉันด้วยเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ แต่เธอช่วยฉันคิดหน่อยสิ ฉันจะทำยังไงให้เขายอมกลับมาคืนดีกับฉัน”

พอปิ่นปักบอกว่าตนคิดไม่ออก พัชรินชักสีหน้าถามว่าคิดไม่ออกหรือไม่อยากช่วย อยากเห็นตนถูกผัวทิ้งเหมือนตัวเองหรือไง ปิ่นปักชักฉุน เตือนว่าพูดให้มันดีๆหน่อย

“นี่แหละดีที่สุดแล้ว ฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเธอต้องไม่ช่วยฉัน เธอไม่อยากถูกนินทาในกลุ่มเพื่อนตามลำพังว่าเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ เกิดมาเลอเลิศเสียเปล่า แต่ก็รักษาผัวไว้ไม่ได้”

“นี่พวกเธอนินทาฉันลับหลังด้วยเหรอ” ปิ่นปักถามอึ้ง พัชรินรู้ตัวว่าเผลอ พูดไม่ออก ปิ่นปักมองพัชริน พูดอย่างเจ็บปวด ผิดหวังมาก “ต่อหน้า ทุกคนเข้ามาให้กำลังใจฉันแทบทุกวัน แต่ลับหลังก็เรียกฉันว่า นางฟ้าตกสวรรค์”

“มันก็เป็นแค่ฉายาเรียกกันขำๆ” พัชรินแก้ตัว

“ฉันเริ่มจะเข้าใจแล้ว สิ่งที่ชีวิตฉันน่าสมเพชไม่ใช่เรื่องเป็นนางฟ้าตกสวรรค์หรอก แต่เป็นเรื่องที่ฉันมีเพื่อนที่สะกดคำว่าจริงใจไม่เป็นกันสักคน รวมทั้งเธอด้วย!” ปิ่นปักลุกเดินออกไปเลย

“ปิ่น...กลับมาก่อนสิปิ่น มาจ่ายค่าอาหารก่อน... ฮึ่ย! ดวงซวยอะไรขนาดนี้ คำปรึกษาก็ไม่ได้ ตังค์ก็ต้องจ่ายเองอีก!”

ooooooo

มิ้มกับพาไลยังไม่มีที่ขายของ พาไลเปิดคอมพ์หาแต่ก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ มิ้มเพิ่งตื่นเดินหัวฟูออกมาบอกว่าค่อยๆหาถ้ายังไม่ได้ก็ขายในเน็ตไปก่อนก็สบายดี แล้วชวนไปหาอะไรกินกันดีกว่า ตนหิวแล้ว

ปิ่นปักกลับมาถึงคอนโดก็เย็นแล้ว เห็นเพรียวยืนคอยอยู่หน้าคอนโด เธอเมินหน้าหนียังอายกับเรื่องเมื่อคืน เพรียวเรียกไว้บอกว่าอยากคุย อยากขอโทษ อยากให้เธอรู้ว่าเรื่องเมื่อคืน...แต่เพรียวพูดไม่ทันจบก็ถูกปิ่นปักตบหน้าจนเซแล้วเดินเชิดเข้าคอนโดไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพรียวได้แต่มองตามเศร้าๆ

เวลาผ่านไป ฝนทำท่าจะตก ปิ่นปักอดนึกเป็นห่วงไม่ได้เดินไปดูที่หน้าต่างเห็นเพรียวยังยืนอยู่ที่เดิม เธอเมินหน้าหนีทำใจแข็งไม่มอง จนกลางคืน พาไลกับมิ้มกลับมา เห็นเพรียวยืนมองขึ้นไปที่ห้องปิ่นปักและฝนก็ทำท่าจะตกแล้ว พาไลมองขึ้นไปที่ห้องปิ่นปักเห็นเปิดไฟอยู่ เธอเดินไปถามเพรียวว่า

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ”

ครู่หนึ่งพาไลไปเคาะประตูห้องปิ่นปัก เอากล่องให้บอกว่า “คุณเพรียวฝากมาให้คุณค่ะ” ปิ่นปักมองอย่างชั่งใจ พาไลลุ้น “รับไปเถอะค่ะ ในกล่องนี้คงมีอะไรสำคัญที่คุณเพรียวอยากให้คุณจริงๆ”

ปิ่นปักรับกล่องไว้ แต่ขณะเธอกำลังจะปิดประตูพาไลเรียกไว้ พูดนิ่มๆอย่างเข้าใจความรู้สึกกันว่า

“ฉันรู้ค่ะว่าคุณกำลังสับสน” ปิ่นปักมองดุๆ ด้วยสายตาที่สงสัยว่าเธอรู้ได้ยังไง พาไลอ่านสายตานั้นออกบอกว่า “แววตาคุณมันฟ้องน่ะค่ะ ฉันรู้ว่าผู้ชายดีไม่ได้หากันง่ายๆ ยิ่งเป็นผู้ชายที่รักเรา หายากยิ่งกว่า ถ้าคุณโชคดีได้เจอเขา พยายามรักษาเขาไว้เถอะค่ะ”

พูดแล้วพาไลผละไป ปิ่นปักมองตามเงียบๆแล้วปิดประตู เปิดกล่องดู ภายในกล่องเป็นรูปที่เพรียววาดตัวเธอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เธอหยิบดูทีละใบ...ทีละใบ น้ำตาเอ่อท้นจนกลายเป็นไหลพรากอย่างซาบซึ้งสะเทือนใจ

ดูรูปจนหมดแล้ว ปิ่นปักนิ่งคิด แล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เห็นเพรียวยังยืนแหงนมองมาที่ห้องอยู่ที่เดิมทั้งที่ฝนตกแล้ว...ปิ่นปักตัดสินใจลงไปหาเพรียว เธอยิ้มให้เขา...เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เพรียวปลื้มปีติยิ้มออกมาทั้งน้ำตา โผเข้ากอดปิ่นปัก เธอยืนนิ่งอึดใจ แล้วค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นกอดตอบอย่างกระชับแน่น นครินทร์นั่งดูอยู่ในรถ เขายิ้มอย่างปีติเมื่อเห็นน้องมีความสุข พาไลยิ้มดีใจกับปิ่นปักและเพรียว ส่วนมิ้มมายืนมองปิ่นปักกับเพรียวกอดกันท่ามกลางสายฝน พึมพำ...

“แฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วเหรอ”

ooooooo

มิ้มจะขับรถไปส่งพาไลที่บ้านสวน พาไลไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบาก แต่มิ้มเป็นห่วงจะไปส่งให้ได้

นครินทร์ยังนั่งอยู่ในรถ เห็นพาไลกับมิ้มเดินลงมา เขาสงสัยว่าพาไลมาที่นี่ทำไม เขาขับรถไปจอดเทียบ ลงจากรถไปหา มิ้มถามอย่างแปลกใจว่ามาทำอะไรแถวนี้ แล้วแซว “อะๆ อย่าบอกนะคะว่ามาร่วมเป็นสักขีพยานรักของคุณปิ่นกับคุณเพรียว” นครินทร์ถามว่าพวกเธอรู้เรื่องของปิ่นปักด้วยหรือ

“มิ้มอยู่ที่คอนโดนี้ค่ะ อยู่ชั้นเดียวกับคุณปิ่นก็เลยบังเอิญได้เห็นอะไรบ้าง” พาไลตอบแทน

“ดีครับ ปิ่นอยู่ที่นี่ ผมจะได้สบายใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคุณอยู่ใกล้ๆ แล้วนี่คุณจะไปไหน จะกลับบ้านหรือเปล่า กลับกับผมก็ได้นะ”

พาไลบอกว่ามิ้มกำลังจะไปส่ง แต่มิ้มเปลี่ยนใจฉับพลันทำเป็นง่วงเหงาหาวนอน ฉวยโอกาสฝากพาไลไปกับนครินทร์พูดแซวว่า “ฝากพาไลด้วยนะคะ อย่าปล่อยให้มันกลับคนเดียวนะคะ มันสวยเดี๋ยวโดนฉุด ไปล่ะค่ะ”

“มิ้ม...” พาไลเรียก แต่มิ้มเดินอ้าวเข้าคอนโดไปแล้วระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน พาไลถามว่าเรื่องคนร้ายลักพาตัวหนูหนึ่งไปถึงไหนแล้ว เขาบอกว่าเพื่อนที่เป็นตำรวจบอกว่าหาหลักฐานไม่ได้เลย และรถที่ใช้ก็ติดทะเบียนปลอม

“เสียดายจัง หวังว่าพวกมันจะไม่ไปลักขโมยลูกใครอีก” พอดีมาถึงบ้าน พาไลบอกส่งแค่นี้ก็พอแล้วลงจากรถ แต่เหยียบถูกพื้นแฉะลื่นจะล้ม ดีที่นครินทร์รับไว้ทัน ต่างอึ้งอยู่ในอ้อมกอดอย่างใกล้ชิด นครินทร์บอกให้ระวังแต่มือยังไม่ปล่อย พาไลขอบคุณ ต่างมองกันด้วยประกายตาวิบวับใจเต้นแรงจนต่างรู้สึกถึงจังหวะเต้นของหัวใจของกันและกัน

เสียงมือถือนครินทร์ดังขึ้น เขาปล่อยมือจากพาไลรับสาย พอนครินทร์ทักปลายสาย “ครับ...คุณมิน...” พาไลที่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มก็เปลี่ยนไปทันที ความคิดกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงว่าตนไม่ใช่คนที่คู่ควรกับเขา

นครินทร์คุยกับมิตราไม่ได้สังเกต เขาบอกมิตราว่า พรุ่งนี้ตนมีสอนแล้วจะหยิบหนังสือไปให้ หันมองเห็นพาไลกำลังจะเข้าบ้าน เขาโบกมือให้ “พาไล...ฝันดีนะ” แล้วคุยโทรศัพท์ต่อ

มิตราได้ยินชื่อพาไลก็อึ้ง จนนครินทร์คุยต่อ เธอรู้สึกตัวบอกเขาว่า “ค่ะคุณรินทร์...ฉันฟังอยู่ค่ะ”

นครินทร์เข้าบ้านเจอป้าแสงออกมารับ เขาถามว่าหนูหนึ่งนอนแล้วหรือยัง ป้าแสงบอกว่านอนแล้ว นอนกับคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชาย นครินทร์บอกว่าตนจะไปหอมแก้มหลานหน่อย

“อย่าเพิ่งเข้าไปหาคุณผู้หญิงเลยค่ะ เดี๋ยวจะมีดราม่ากันกลางดึก” นครินทรน์ถามงงๆว่ามีอะไรหรือ? “เรื่องคุณกับคุณพาไลเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ ป้าว่าคุณรินทร์คงจะต้องทำอะไรให้เด็ดขาดสักอย่างแล้วนะคะ ถ้าคุณมีใจให้คุณพาไล คุณก็ต้องทำอะไรให้เด็ดขาดไปเลย แต่ถ้าไม่คิดจะคบ คุณรินทร์อาจต้องเปิดใจมีแฟนสักคน ไม่อย่างนั้น คุณผู้หญิงก็จะทุกข์ใจอยู่อย่างนี้

ป้าเห็นแล้วสงสารค่ะ”

นครินทร์นิ่งไปอย่างหนักใจ

ooooooo

รุ่งขึ้น จุ้นแจ้นไปหาพาไลแต่เช้าบอกว่าตนมีเรื่องจะเล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อคืน แต่พาไลก็ไม่กลับมาสักที พาไลถามว่ามีเรื่องอะไรหรือ

“เมื่อวาน คุณบัวญาติคุณมาที่บ้านคุณหญิงค่ะ”

พาไลแปลกใจว่าบัวทองมาทำอะไร

เวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านคุณเชื่อม บัวทองวางถ้วยแกงเขียวหวานลง เพ็ญถามว่าทำเองหรือ “เปล่าค่ะ บัวซื้อมา แต่บัวจะเอาไปฝากคุณแม่ของคุณรินทร์ บ้านนั้นเขามีเชื้อผู้ดี เราก็ต้องทำอะไรผู้ดีๆไปให้ทาน เขาจะได้ปลื้ม”

สองแม่ลูกหัวเราะกันคิกคัก พอดีมีเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน บัวทองหันมองสงสัยว่าใครมา สองแม่ลูกพากันเดินออกมาดู

พาไลพาลูกน้องเสี่ยเจ้าหนี้เข้ามาดูในบ้าน บอกให้ตีราคาของในบ้านให้หมด เพราะตนจะไม่เอาอะไรไปเลย พอลูกน้องเสี่ยเดินเข้าบ้าน บัวทองปราดเข้าไปหาพาไลถามอย่างเอาเรื่องว่า “พาไล แกทำอะไร?”

“ฉันให้เสี่ยมาประเมินราคาบ้าน” บัวทองถามเกือบเป็นตวาดว่าหมายความว่ายังไง! “ฟังกันให้ดีๆชัดๆนะคะ

เพราะฉันจะพูดครั้งเดียว ไม่อยากเปลืองน้ำลายเพราะคิดว่าต้องเก็บไว้ด่าคนอีกชุดใหญ่ ที่ฉันให้เสี่ยมาประเมินราคาบ้าน เพราะฉันไม่อยากทำงานหาเงินใช้หนี้อีกแล้ว ฉันจะขายบ้านหลังนี้ใช้หนี้แทน”

เพ็ญสวนทันควันว่าบ้านหลังนี้เป็นชื่อพี่สาวตน ก็พอดีพิศมัยเดินลงมา พาไลถามแม่ว่าเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จหรือยัง เพ็ญถามว่าพิสมัยรู้เรื่องขายบ้านด้วยหรือ!

“พี่เป็นคนบอกให้พาไลขายเอง พี่ไม่อยากเห็นพาไลเหนื่อยทำงานหาเงินมาใช้หนี้เพื่อให้พวกเราอยู่กันอย่างสุขสบาย แต่ก็ยังไม่วายถูกเอาไปพูดให้ร้าย มันไม่ยุติธรรม” แล้วหันชวนพาไลไปกันเถอะสองแม่ลูกยืนเหวอค้าง ใบ้กินสนิท!

พอตั้งสติได้ บัวทองก็ไปด่าว่าพาไลต่างๆนานา แต่พาไลวันนี้เข้มแข็ง หนักแน่น ไม่สะทกสะท้านกับคำด่าของบัวทอง จนบัวทองทนไม่ได้จะตบหน้า ถูกพาไลจับมือกดลงกับพื้นแล้วเอาถ้วยแกงราดหัว บัวทองทั้งดิ้นทั้งด่า แต่พาไลก็ไม่ปล่อยจนพิสมัยต้องเข้าไปขอให้พอเถอะ ไปช่วยจัดของดีกว่าแม่เวียนหัวอยากออกจากบ้านนี้ไปเต็มทีแล้ว

ooooooo

พาไลพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านสวน บอกว่าหาที่อยู่ได้ใหม่ค่อยย้ายออก พิสมัยถามว่าจะย้ายออกทำไมที่นี่ก็น่าอยู่ดี

“ไลสร้างความเดือดร้อนใจให้พวกเขา ไลจะทนอยู่ต่อไปได้ยังไง”

พิสมัยติงว่าถ้าย้ายไปเธอเองก็จะทุกข์เพราะใจยังอยากอยู่ใกล้นครินทร์ พาไลตกใจที่แม่รู้ พิสมัยถามตรงๆว่า

“ไลรักคุณรินทร์ใช่ไหม”

“ค่ะ ไลรักคุณรินทร์ ถึงแม้ว่าเรื่องของไลกับคุณรินทร์จะเป็นไปไม่ได้ แต่ไลก็ขอให้ได้เห็นเขาบ้างก็พอ จะว่าไปเกิดเป็นคนนี่มันลำบากนะคะแม่ เป็นคนดีก็ลำบากที่ต้องไม่ประมาท ถ้าชั่วขึ้นมาเมื่อไหร่ ไอ้ที่ทำดีไว้ตั้งมากมายก็สูญหายหมด เป็นคนชั่วก็ลำบาก เพราะหาทางกลับเนื้อกลับตัวยากเหลือเกิน ทำดีเท่าไหร่ คนอื่นก็ไม่เคยมองเราว่าดี”

“บางทีเราตัดคนอื่นออกไปบ้างเราจะมีความสุขขึ้น ถ้าเราคิดว่าเราทำดีแล้วเราก็รู้อยู่แก่ใจตัวเอง ใครจะว่าเราตัดสินเรายังไงก็ช่าง เราเป็นสุขอยู่กับตัวเราก็พอ”

“ไลจะไม่แคร์คนอื่นเลยค่ะ ถ้าคนอื่นคนนั้น ไม่ใช่คนในครอบครัวของคุณรินทร์”

พิศมัยลูบหัวพาไลอย่างเข้าใจ และปลอบใจ...

ooooooo

ปิ่นปักซึ้งใจในรักของเพรียว ทั้งสองคบและอยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจกันและกัน เพรียวบอกว่าขอเวลาอีกนิด แล้วเราจะแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ด้วยกัน และหนูหนึ่งจะเป็นลูกชายคนโตของเรา

ปิ่นปักขับรถไปส่งเพรียวที่ทำงาน แต่พอขับรถออกมาจึงเห็นมือถือของเพรียวที่วางอยู่ตรงที่คนขับ เธอจึงขับรถย้อนกลับไปให้เขา

เพรียวถูกเพื่อนๆที่ทำงานแซวว่าเขากับปิ่นปักไปสปาร์กกันตอนไหน เพรียวตอบอย่างไม่พอใจว่าเรื่องส่วนตัว แต่พนักงานคนนั้นก็ยังไม่ยอมหยุด ถามเพรียวว่าผู้หญิงมีเยอะแยะ เพรียวเองก็หล่อ คิดอย่างไรถึงไปเอาแม่ม่าย เพรียวถามว่าแม่ม่ายแล้วผิดตรงไหน

“มันไม่ผิด แต่มันไม่ดี ถ้าเลือกได้มีใครอยากใช้ของมีตำหนิบ้างวะ”

“สำหรับฉัน ปิ่นเป็นเพชรแท้ ต่อให้มีรอยขีดข่วนไปบ้าง แต่เพชรยังไงก็ยังเป็นเพชร แล้วฉันก็ขอร้องนะ ถ้ายังไม่อยากเกลียดขี้หน้ากัน อย่าพูดถึงปิ่นด้วยคำพูด ‘แมวๆ’ เหมือนเมื่อกี๊อีก ฉันไม่ชอบ”

ปิ่นปักได้ยินทุกคำพูดของเพรียว เธอปลื้มปีติและภูมิใจที่เพรียวปกป้องตน เมื่อเพรียวจะเดินไป เธอเรียกไว้ พอเขาหันมาเธอโผเข้ากอดเขาแน่น เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ...

“ขอบคุณนะคะที่รักปิ่น”

“ขอบคุณปิ่นเหมือนกันที่เลือกพี่” เพรียวกอดปิ่นปักไว้แน่น

ขณะนั้นเองคุณหญิงนวลเพื่อนของคุณขจีผ่านมาเห็นปิ่นปักกับเพรียวกอดกันอยู่

“เอ๊ะ! นั่นมันลูกสะใภ้คุณขจีนี่นา...” แล้วจ้องมองอย่างสนใจ เมื่อคุณหญิงนวลโทร.เล่าให้ฟัง คุณขจีจึงจ้างนักสืบเอกชนตามถ่ายรูปเพรียวกับปิ่นปักในที่ต่างๆ และอิริยาบถที่สนิทสนมรักใคร่กัน

คุณขจีดูรูปที่นักสืบถ่ายให้ รอจนศกกลับจากที่ทำงานจึงเอารูปให้ดู

วันรุ่งขึ้น ศกกับคุณขจีไปที่บ้านคุณโปรยสั่งจุ้นให้ไปเก็บของของหนูหนึ่ง ตนจะเอาไปอยู่ที่บ้าน คุณโปรยกับคุณยอดถามว่าปิ่นปักรู้หรือยัง ศกสวนทันควันว่า “ปิ่นกกอยู่กับผัวใหม่ คงไม่อยากรับรู้อะไรแล้วล่ะครับ”

คุณโปรยกับคุณยอดอึ้ง แต่นครินทร์นิ่งเพราะรู้อยู่แล้วว่าปิ่นปักคบกับเพรียว ศกเอารูปที่นักสืบถ่ายส่งให้คุณโปรยกับคุณยอดดู พอคุณโปรยเห็นรูปก็ถึงกับลมจับ นครินทร์โทร.บอกปิ่นปัก เธอรีบกลับบ้านทันที

ขณะศกให้คุณขจีอุ้มหนูหนึ่งไปขึ้นรถนั้น เพรียวขับรถปิ่นปักปราดเข้ามาจอด ปิ่นปักพรวดลงไปสั่งให้เอาลูกตนคืนมา! ปิ่นปักเข้าไปแย่งหนูหนึ่งมาได้ เธอประกาศว่า

“พวกคุณไม่มีสิทธิ์เอาลูกฉันไป โดยที่ฉันยังไม่ได้อนุญาต”

ศกประชดว่าอย่าเสียเวลาหวงลูกเลย เอาเวลาไปมีความสุขกับผู้ชายใหม่ของเธอดีกว่า ปิ่นปักโต้ว่าตนหย่าแล้วย่อมมีสิทธิ์ที่จะคบใครก็ได้ ศกโต้ทันควันว่าจะหาใหม่ก็รักษาหน้าตนหน่อย หาให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ หรือว่าหิวจัด

“จะดูถูกปิ่นไปถึงไหน!” เพรียวทนไม่ได้พุ่งเข้าชกหน้าศกจนเซไปติดรถ แล้วตามไปจะซ้ำอีก คุณขจีจะเข้าไปช่วยศก แต่นครินทร์ดึงตัวไว้ ทำเป็นห้ามล็อกตัวศกไว้แต่แอบส่งสัญญาณให้เพรียวเข้าไปชกจนศกล้มคว่ำเลือดกบปาก

“ไอ้เพรียว พอแล้ว” นครินทร์ร้องห้าม พอเพรียวถอยไป คุณขจีก็เข้าไปดูศก ขู่ว่าตนไม่ปล่อยเพรียวไว้แน่นอน

“เอาสิคะ คุณแม่จะให้คุณศกไปแจ้งตำรวจเชิญนักข่าวมาเล่นงานฉันกับพี่เพรียวเหมือนเมื่อก่อนอีกก็เชิญ ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ฉันจะแฉความน่ารังเกียจของคุณให้หมดว่าทำไมฉันถึงต้องเลิกกับคุณ” ปิ่นปักเข้าปกป้องเพรียว

“ยังหรอก คุณยังมีอะไรต้องเสียอีกเยอะ” ศกคำรามแค้นแล้วขึ้นรถไป คุณขจีรีบตาม

“พี่เพรียว เจ็บมากไหมคะ” ปิ่นปักเข้าประคองเพรียวที่ยังยิ้มได้ นครินทร์มองทุกคนอย่างเหนื่อยใจ

พอศกกลับถึงบ้าน ก็โทร.หาเดโชสั่งเหี้ยม “ไอ้โช ฉันมีเรื่องให้ไปจัดการให้หน่อย!”

ooooooo

พาไลรู้จากจุ้นว่าที่บ้านคุณโปรยมีศึกชิงลูก มี การทะเลาะกันใหญ่โต คุณศกถูกเพรียวชกจนหน้าหงาย คุณผู้หญิงก็ทะเลาะกับคุณปิ่น วุ่นวายกันไปหมด ฟังจากจุ้นแล้วพาไลนึกเป็นห่วงนครินทร์ขึ้นมา

มิตราโทร.มาให้นครินทร์ช่วยส่งเอกสารที่คณบดีให้มาตนอยากอ่านคืนนี้ นครินทร์ไปหยิบหนังสือมือปัดถูกสมุดบันทึกของตัวเองร่วงลง เป็นสมุดที่เขาเขียนบันทึกเรื่องราวของพาไล สมุดเปิดที่หน้าหนึ่ง เขาหยิบอ่านอย่างสนใจ

“พาไลเคยบอกไว้ว่า...ปัญหามันไม่เคยมีตัวตน วิธีที่เราแสดงออกกับเรื่องที่เกิดขึ้นต่างหากคือตัวกำหนดปัญหา ถ้าแสดงออกในด้านบวก ปัญหาก็จะไม่เกิด แต่ถ้าแสดงออกเป็นลบ นั่นแหละคือปัญหาที่แท้จริง”

อ่านแล้วนครินทร์มองไปที่บ้านสวนอย่างคิดถึงพาไลขึ้นมา เขาไปหาเธอที่บ้าน พาไลกลัวคุณแม่เขาเห็นจะเป็นเรื่องขึ้นมาอีก พิศมัยพูดให้กำลังใจลูกว่า

“ถ้าเราบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างน้อยคุณรินทร์เขาก็เป็นคนที่คอยให้กำลังใจไล ทำให้ไลมาถึงทุกวันนี้ได้ ไลก็ควรจะทำอะไรเพื่อตอบแทนเขาบ้าง” พาไลฟังแม่แล้วนิ่งคิดอย่างเห็นด้วยกับคำแนะนำของแม่

ooooooo


ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น