วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เลื่อมสลับลาย ตอนที่ 15 (ตอนอวสาน)


ระหว่างที่ปิ่นปักไปดูมิ้มนั้น คุณเศียร คุณขจี และศก ก็มาที่โรงพยาบาล เห็นคุณโปรยนั่งอุ้มหนูหนึ่งอยู่ ก็ปรี่เข้าไปหาคุณขจีไม่ทักคุณโปรยแต่ถามหนูหนึ่งวัยไม่กี่เดือนว่าเจ็บมากไหมลูก

คุณโปรยบอกว่าไม่เป็นอะไรแค่มีรอยฟกช้ำตามตัว ศกหาเรื่องทันทีว่า พูดออกมาได้ยังไง ถ้ากระจกกระเด็นเข้าตาลูกตนมิตาบอดหรือ แล้วแย่งหนูหนึ่งไปอุ้ม ปิ่นปักกลับมาเห็นพอดีเธอพุ่งเข้าไปถามว่าจะเอาลูกตนไปไหนพลางจะเข้าไปแย่ง

“ผมไม่ให้! ผมจะไม่ยอมให้ลูกอยู่กับคนบ้าอย่างคุณอีกแล้ว! หัดกลับไปควบคุมสติอารมณ์ตัวเองก่อนไป!”

ปิ่นปักตะกายจะแย่งหนูหนึ่งมาให้ได้ คุณโปรย คุณยอดและนครินทร์ช่วยกันเข้าไปดึงตัวเธอไว้ เธอร้องกรี๊ดๆตะโกน “เอาลูกฉันคืนมา...เอาลูกฉันคืนมาเดี๋ยวนี้...” นครินทร์กอดน้องไว้บอกให้ใจเย็นๆ เธอดิ้นจนหมดแรงร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของพี่ชาย

“คราวนี้รู้แล้วนะคะ ว่าตาหนูหนึ่งควรจะอยู่กับทางฝั่งใครมากกว่ากัน” คุณขจีเอ่ย มองปิ่นปักอย่างสมเพช

“คงไม่ต้องให้เรื่องถึงโรงถึงศาลแล้วนะ จะได้ไม่เสียเวลา ถ้าพวกคุณอยากจะไปเยี่ยมหลานตอนไหนก็เชิญได้ทุกเวลา ไปเถอะศก” คุณเศียรบอกแล้วชวนกันกลับปิ่นปักจะถลาตามไปอีก นครินทร์กอดน้องไว้แน่น

“ให้เขาไปก่อน พี่สัญญา...พี่จะเอาหลานกลับมาหาปิ่นเอง”

คุณยอดก็ต้องกอดคุณโปรยที่ทำท่าจะเป็นลมไว้เช่นกัน

ooooooo

พาไลกับฝนยังเฝ้ามิ้มอยู่ที่โรงพยาบาล พอหมอออกจากห้องฉุกเฉิน พาไลปราดเข้าไปถามอาการของมิ้ม หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ทั้งพาไลและฝนต่างดีใจ

พอหมอเดินไป พาไลหันไปหาฝน ฝนหุบยิ้มยังโกรธที่ถูกพาไลตบตอนตนอาละวาดกับปิ่นปัก แล้วเดินออกไป พาไลถามว่าจะไปไหน ฝนหันมอง พูดนิ่งๆ ด้วยแววตาเจ็บลึกว่า

“ถึงแกจะไม่ต้องเสียมิ้มไป แต่ว่าแกเสียฉันแล้วไล” พูดแล้วเดินไปเลย พาไลเรียกก็ไม่สนใจ พาไลจึงได้แต่มองตามอย่างทุกข์ใจ

หนูหนึ่งร้องไห้งอแงเพราะไม่คุ้น ศกเปิดประตูเดินออกจากห้องอย่างหงุดหงิด แล้วหันกลับไปบอกในห้องว่า “คุณพ่อคุณแม่รีบทำให้ตาหนูหนึ่งเงียบเสียงเดี๋ยวนี้เลยนะครับ ผมหนวกหูจะตายอยู่แล้ว”

ฝนเดินมาพอดีบอกเขาว่าเด็กมาอยู่กับคนไม่คุ้นเคยก็งอแงแบบนี้แหละ ศกบ่นหัวเสียว่าตั้งแต่กลับมาก็ร้องไม่หยุด

“ถ้าหงุดหงิดนักก็เอาไปคืนแม่เขาสิคะ”

“ไม่! ผมยังไม่หายสะใจ ปล่อยให้ตัวแม่ทุกข์ทรมานคลุ้มคลั่งมากกว่านี้ก่อน ให้สาสมที่ทำให้ผมขายหน้า ว่าแต่คุณเถอะ มาทำไม”

“ฝนมาทวงรางวัลค่ะ ที่ฝนบอกคุณเรื่องโจรลักพาตัวหนูหนึ่ง คุณถึงเอาไปเล่นงานคุณปิ่นได้” ว่าแล้วฝนกระชากคอเสื้อศกไปทวงรางวัล...

ooooooo

นครินทร์โทรศัพท์บอกเพรียวเรื่องปิ่นปักขับรถชนมิ้ม เพรียวตกใจมากบ่นว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเพิ่งโทร.มาบอก แล้วจะไปหาปิ่นเดี๋ยวนั้นเลย

อรผ่านมาได้ยินและแอบฟัง พอเพรียวแต่งตัวจะออกไป ก็ดักถามว่าจะไปไหน พอเพรียวบอกว่าจะไปหาปิ่น อรก็เสียงแข็งทันทีว่า

“แม่ไม่ให้ไป เขาจะเกิดเรื่องอะไรก็ช่างเขาสิ พวกคนรวยไม่มีปัญหาอะไรที่เขาจัดการกันไม่ได้หรอก แกจะไปยุ่งกับเขาทำไม”

“ผมไม่ยุ่งไม่ได้ เพราะปิ่นเป็นเมียผม”

“เพรียว! แกกล้าพูดออกมาเต็มปากเต็มคำเลยเหรอ แกอยากเห็นแม่เป็นบ้าตายใช่ไหม! แกไม่รักแม่แล้วใช่ไหม! ไอ้ลูกไม่รักดี!!” อรกระหน่ำตีเพรียวอย่างเสียใจมาก เพรียวยืนนิ่งปล่อยให้แม่ตีผิดกับทุกครั้งที่เขาจะปัดป้อง ทำให้อรรู้สึกถึงความผิดปกติจึงหยุดตี เพรียวพูดกับแม่อย่างสงบ สะเทือนใจว่า

“วันที่แม่เลิกกับพ่อ ผมยังเด็ก แต่ผมจำได้ ว่าแม่ร้องไห้ทุกวัน แม่โทรศัพท์หาเพื่อน หาญาติพี่น้อง พูดเรื่องพ่อซ้ำไปมา เพราะอะไร? เพราะว่าแม่ต้องการกำลังใจ ต้องการคนคอยปลอบใจ ตอนนี้ปิ่นก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน” อรถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาต้องการกำลังใจจากเรา “ไม่รู้ว่าปิ่นอยากได้หรือเปล่า แต่ผมอยากให้ ผมขอไปหาปิ่นนะแม่”

“จะไปก็ไป แต่ถ้าไป แกก็ไม่ต้องเรียกแม่ว่าแม่” พูดแล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไปอย่างมั่นใจว่าจะหยุดเพรียวได้ แต่เพรียวตัดสินใจเดินออกจากบ้านไป อรชะงักหันมองอย่างคาดไม่ถึง! ตะโกนเรียก “เพรียว!!”

“ไม่ใช่ว่าผมไม่รักแม่ แต่ผมต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง” เพรียวหันมาบอกแม่แล้วเดินออกไป อรมองตามอย่างน้อยใจ...

ooooooo

นครินทร์ดูแลปิ่นปักที่คอนโดอย่างห่วงใย ยกข้าวต้มมาวางบอกให้กินเสีย ตนทำเอง ปิ่นปักไม่สนใจนอนเหม่อน้ำตาไหล นครินทร์ถามว่าแน่ใจหรือว่าจะไม่ให้ตนอยู่เป็นเพื่อน

“ปิ่นอยากอยู่คนเดียว”

เป็นคำตอบที่เหมือนคำขอ นครินทร์จึงเดินออกจากห้องไป แต่พอเปิดประตูก็เจอเพรียวมาถึงพอดี

ปิ่นปักเห็นเพรียวมาก็อึ้ง แปลกใจ เพรียวปราดเข้ากอดเธอไว้แนบแน่นลูบหลังอย่างปลอบใจกระซิบบอก...

“ไม่เป็นไรแล้วนะปิ่น เรื่องร้ายๆมันผ่านไปแล้ว ต่อไปนี้พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่ได้อยู่ดูแลปิ่น พี่สัญญา...”

ปิ่นปักใจอ่อน กำลังจะยกมือกอดตอบ แต่ภาพในอดีตแว่บเข้ามาหลอกหลอน ทั้งเรื่องที่ถูกแม่ของเพรียวด่าอย่างสาดเสียเทเสีย เรื่องที่เธอคบกับระพี เรื่องที่ถูกศกด่าว่าเธอมัวแต่มั่วผู้ชาย จนถึงเรื่องที่เธอขับรถชนมิ้ม และสุดท้ายถูกแย่งลูกไปต่อหน้าต่อตา!

ภาพเหล่านั้นหลอกหลอนจนปิ่นปักผลักเพรียวและไล่ไปให้พ้น โทษว่าเพราะเพรียวทำให้ตนต้องเสียลูก คืนนั้นถ้าเขาไม่ผิดคำพูด ไม่นอนกับตน ตนก็จะไม่มีผัวสองคน ชีวิตก็จะไม่เป็นอย่างนี้

“ปิ่น...พี่ขอโทษ...”

“ออกไป! บอกให้ออกไปไงล่ะ ออกไปสิ!”

เพรียวจับมือปิ่นปักตบตนไม่หยุดแต่อย่าไล่ตนออกไปจากชีวิตเธอเลย ปิ่นปักพยายามดึงมือตัวเองออก เพรียวปล่อยมือเธอ ดึงตัวเข้าไปกอด ปิ่นปักดิ้นขลุกขลัก แต่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นอ่อนโยน ทำให้เธอค่อยสงบลง แต่ก็ยังบอกเขาว่า

“ถ้าพี่เพรียวไม่ออกไป ปิ่นจะหนีไป แล้วจะไม่กลับมาให้พี่เพรียวเห็นหน้าอีกเลย” ปิ่นปักเดินผละไป

เพรียวมองตามปิ่นปักไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาเดินออกจากห้องหันมองด้วยความเป็นห่วงเธอจับใจ...

ooooooo

พาไลกลับถึงบ้านสวน รู้จากพิศมัยว่านครินทร์มาหาและนั่งรออยู่ข้างนอก เธอรีบเดินไปหา เห็นเขาสีหน้าไม่ดี เธอกางแขนรอ นครินทร์เดินเข้ามาสู่อ้อมกอดเธอ ต่างกอดกันแนบแน่น เข้าใจและซึ้งใจกันด้วยสัมผัสในอ้อมกอดของกันและกัน

ครู่หนึ่งนครินทร์บอกพาไลว่า แม่เขาฝากมาบอกว่าค่ารักษาพยาบาลมิ้มทางตนจะจัดการให้เอง พาไลถามว่าแล้วปิ่นปักเป็นอย่างไรบ้าง นครินทร์บอกว่าหนักกว่าเดิม ถามว่าตนควรจะช่วยเธออย่างไรดี

“ไม่มีใครช่วยคุณปิ่นได้หรอกค่ะ เธอต้องช่วยเหลือตัวเอง รักษาเยียวยาตัวเองเท่านั้น” นครินทร์กลัวว่ากว่าน้องจะรักษาตัวเองได้อะไรๆมันจะสายเกินไป

“นั่นเป็นสิ่งที่คุณปิ่นต้องเรียนรู้ว่า ชีวิตมันจะจบบริบูรณ์เหมือนในละครก็ต่อเมื่อเราตาย ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ปัญหาก็จะผ่านเข้ามาทักทายเราเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกแก้ปัญหาไปทางไหน ไปทางดีก็ดีขึ้นสวรรค์ ไปทางเลวก็ลงนรก”

“ถ้าปิ่นเข้มแข็งได้สักครึ่งหนึ่งของคุณก็คงดี”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณปิ่นเจอประสบการณ์ชีวิตหนักหนาขนาดนี้แล้ว เธอจะไม่มีวันอ่อนแอเหมือนเดิม เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเลือกแก้ปัญหาไปทางที่เราคาดไม่ถึง”

ฟังพาไลแล้ว นครินทร์เครียด เป็นห่วงน้องสาวมาก

ooooooo

ด้วยความเป็นห่วงปิ่นปัก เพรียวฝากเพื่อนลางานให้แล้วไปหาปิ่นปักที่คอนโดพร้อมอาหาร เห็นเธอกำลังออกข้างนอก เพรียวตัดสินใจตามไป

ปิ่นปักไปที่บ้านศก บอกคุณขจีว่าตนมาหาลูก คุณขจีบอกว่าหนูหนึ่งเพิ่งหลับ ปิ่นปักไม่สนใจจะเดินเข้าข้างใน ถูกขจีจับแขนไว้ เธอสะบัดหลุดตวาด “คุณแม่อย่ายุ่ง! ปิ่นจะไปหาลูก!”

“ถ้าเธอจะขึ้นไปหาลูก เธอต้องควบคุมสติตัวเองก่อนนะปิ่นปัก”

ศกได้ยินเสียงเอะอะเดินมาดู เห็นปิ่นปักกับคุณขจียังยื้อยุดกันอยู่ คุณขจีบอกให้ศกช่วยด้วยตนไม่ไหวจะพูดกับคนบ้าแล้ว ปิ่นปักบอกว่าตนไม่ได้บ้า ศกพูดอย่างสมเพชว่าไม่มีคนบ้าที่ไหนยอมรับว่าตัวเองบ้าหรอก

“คุณเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองเลวแค่ไหน คุณหลอกฉัน แกล้งทำเป็นรักฉัน ถ้าคุณแสดงธาตุแท้ชั่วๆ ออกมาตั้งแต่แรก ฉันจะไม่มีวันรักคุณ ชีวิตฉันก็จะไม่เป็นแบบนี้”

“ถ้าผมแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่คุณ ผมก็จะไม่ต้องทนอับอายคนอื่นแบบนี้เหมือนกัน”

“กรี๊ดดดดดด!” ปิ่นปักแผดเสียงลั่น ศกยิ้มสะใจที่ทำให้เธอสติแตกแบบนี้ได้

เพรียวได้ยินเสียงปิ่นปักร้องกรี๊ด เขาวิ่งเข้าไปในบ้านถามปิ่นปักว่าเป็นอะไร ศกเห็นเพรียวยิ่งสะใจ เยาะเย้ยปิ่นปักว่าทำเป็นคิดถึงลูก แต่ก็เอาผัวใหม่มาด้วย ไล่ให้กลับไปนอนกกกับผัวใหม่เสีย เพรียวโกรธสุดขีดชกหน้าศกเต็มแรง ศกไม่ตอบโต้บอกว่าจะเก็บไว้เป็นหลักฐานว่าผัวใหม่ของปิ่นปักชอบใช้ความรุนแรงเป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพของเด็ก

“คอยดูนะ ถ้าฉันได้ลูกคืนมา ฉันจะพาลูกหนีไปให้ไกลๆ คุณอย่าหวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีก”

“พาลูกหนีไปให้ไกลๆ ความคิดนี้เข้าท่าดีนะ” ศกยิ้มเจ้าเล่ห์ ปิ่นปักถามว่าเขาจะทำอะไร “ก็พาลูกหนีไปไกลๆ ตามคำแนะนำของคุณไง” ศกเย้ยแล้วเดินเข้าข้างใน

คุณขจีเสนอศกว่าให้เอาลูกคืนปิ่นปักไปดีไหม ตนปวดประสาทถ้าต้องมาทะเลาะกันทุกวันแบบนี้

“ยังไม่คืน ปิ่นทำให้ผมอาย ผมยอมให้เขามีความสุขไม่ได้” ศกจิกตาร้าย คุณขจีกับคุณเศียรมองหน้ากันไม่สบายใจ

ooooooo

เมื่อนครินทร์รู้จากเพรียวว่าศกทำอย่างไรกับปิ่นปัก เขาพึมพำว่า ศกใจร้ายกับปิ่นขนาดนี้เลยหรือ

เพรียวบ่นว่าเสียดายที่ตนชกหน้ามันได้ไม่กี่ครั้งเอง ตนสงสารปิ่นปัก ถามว่ามีทางไหนที่ตนจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ได้ตนจะทำทุกอย่าง

เมื่อนครินทร์ได้คุยกับปิ่นปัก เธอรำพึงอย่างรู้สึกผิดว่า

“ปิ่นน่าจะเชื่อพี่รินทร์ ที่เตือนปิ่นว่า ‘ระวังไว้นะปิ่น ถ้าสิ่งที่คิดข้างในกับสิ่งที่ปิ่นแสดงออกภายนอกมันยิ่งตรงกันข้ามมากเท่าไหร่ ปิ่นจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย’ ถ้าปิ่นเชื่อพี่รินทร์ ปิ่นไม่พยายามทำสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ใจปิ่นคิด เขาก็เอาลูกไปไม่ได้ ปิ่นก็จะไม่เกือบฆ่าคนตาย”

“บอกพี่ได้ไหมว่าปิ่นคิดอะไร”

“ปิ่นอายตัวเองค่ะ ทั้งอายทั้งขยะแขยง ปิ่นอยากทำอะไรก็ได้ที่มันช่วยให้ปิ่นลืมเสียงต่างๆของแม่พี่เพรียว ลืมหน้าตาของคุณพ่อคุณแม่เวลามองปิ่นอย่างผิดหวัง ลืมเสียงซุบซิบนินทาของเพื่อน ของคนในสังคมที่มองว่าปิ่นเป็นตัวตลก”

“พี่เข้าใจปิ่นนะ ว่าปิ่นต้องทุกข์ใจมาก แต่พี่ก็คงทำได้แค่บอกปิ่นว่า...อย่าคิดมาก อย่าเอาชีวิตไปแขวนไว้กับคำพูดของคนอื่น”

ปิ่นปักบอกว่าตนไม่เคยอยากคิดมากแต่เขาจะให้ตนทำอย่างไร นครินทร์ปลอบใจว่ายังมีคนที่มีปัญหาหนักกว่าเธอ ปิ่นปักตัดพ้อว่าเขาไม่ได้เจอปัญหาอย่างตนไม่เข้าใจตนหรอก

ขณะนั้นเองเสียงข้อความในมือถือของปิ่นปักดังขึ้น เธอเปิดดู เป็นภาพถ่ายเซลฟี่ศกอุ้มหนูหนึ่ง ศกยิ้มระรื่นอย่างตั้งใจกวนประสาทปิ่นปัก เธอปามือถือทิ้งด่า “ไอ้ชั่ว”

นครินทร์หยิบมือถือขึ้นดู ปิ่นปักเล่าอย่างเจ็บแค้นว่า

“มันส่งรูปลูกมาให้ปิ่นทุกวัน มันตั้งใจเล่นสงครามประสาทกับปิ่น พี่รินทร์เข้าใจหรือยัง พี่รินทร์ไม่เคยเจอคนชั่วๆแบบนี้ทำลายชีวิต พี่รินทร์ไม่รู้หรอก!”

ปิ่นปักร้องไห้อย่างอัดอั้น นครินทร์ได้แต่มองน้องอย่างกลุ้มใจ

ooooooo

พาไลมาจัดของใช้และเสื้อผ้าเล็กๆน้อยๆจะเอาไปให้มิ้ม ได้ยินเสียงปิ่นปักดังไปถึงที่ห้อง เธอหิ้วกระเป๋าของมิ้มมาถามนครินทร์ว่ามีอะไรหรือ เสียงปิ่นปักดังไปถึงห้องมิ้ม

นครินทร์บอกว่าเห็นทีตนจะต้องทำอะไรกับศกสักอย่างเสียแล้ว พาไลบอกว่าคนอย่างนี้มีแต่ต้องใช้วิธี หนามยอกเอาหนามบ่ง นครินทร์ยิ้มให้อย่างเห็นพ้อง

ที่ถนนหน้าออฟฟิศ พาไลกับนครินทร์เจอจำรูญยืนขายแซนด์วิชอยู่ พาไลจำได้จึงทักทายกัน พาไลตื๊อจำรูญให้เป็นพยานในพฤติกรรมแย่ๆของศก เพราะเขาเคยรับใช้ใกล้ชิด จำรูญไม่อยากยุ่ง นครินทร์จึงขอคุยกับจำรูญเอง เขาหว่านล้อมจำรูญ รู้ว่าจำรูญมีลูกสาว จึงยกตัวอย่างว่าถ้าลูกสาวเขาโดนคนเลวๆทำลายอย่างที่ศกเคยทำกับคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร จำรูญจึงยอมที่จะเป็นพยานให้

เพื่อตอบแทนน้ำใจจำรูญ นครินทร์จึงเหมาแซนด์วิชของเขาทั้งหมด แต่พอเอาไปกินก็ต้องคายออกแทบไม่ทัน

“อี๋! ไอ้บ้าจำรูญ เอาของเน่ามาขายได้ยังไง”

เห็นถึงความไม่ซื่อสัตย์ของจำรูญแล้ว ทั้งสองไม่ไว้ใจ ปรึกษากันว่า เราต้องหาพยานให้ปิ่นปักเพิ่มอีกคนดีกว่า จึงติดต่อพัชริน แต่พัชรินกำลังจะถูกยุทธทิ้ง ไม่มีแก่ใจจะทำอะไร บ่นว่าปิ่นปักยังดียังมีพ่อแม่มีพี่ชายเป็นเพื่อนแต่ตนไม่มีใครเลย ชีวิตตนมีแต่ยุทธคนเดียว แต่เขากำลังจะทิ้งตนไป แล้วตนจะอยู่อย่างไร พูดแล้วร้องไห้เป็นวักเป็นเวน

ooooooo

พัชรินเดินร้องไห้เข้าข้างในเธอชะงักทั้งตกใจทั้งดีใจเมื่อเห็นยุทธยืนอยู่ เธอตรงไปกอดเขาซบหน้ากับแผ่นหลังพร่ำเพ้อว่าเขากลับมาหาตนแล้วใช่ไหม เขารักตนขาดตนไม่ได้เหมือนอย่างที่ตนรักและขาดเขาไม่ได้ใช่ไหม

“ผมกลับมาเก็บของ” ยุทธยืนนิ่งๆ น้ำเสียงไร้อารมณ์ พัชรินผลักยุทธจนเซไปล้มลงบนโซฟาด่าอย่างเกรี้ยวกราด

“ไอ้คนใจดำ! ฉันเคยคิดว่าคุณเป็นคนดี คุณจะรักฉันจริงใจกับฉัน แต่เปล่าเลย...คุณมันก็เป็นแค่ผู้ชายไม่มีความรับผิดชอบ ฉันมองคุณผิดไปจริงๆ”

“ผมก็มองคุณผิดไปเหมือนกัน เมื่อก่อนผมเคยหลงรักคุณ เพราะคุณเป็นผู้หญิงตัวเล็กน่ารัก อารมณ์ดี มีน้ำใจ แต่พอผมแต่งงานกับคุณ ผมถึงรู้ว่าสาวน้อยคนนั้นไม่มีอยู่จริง มันมีแต่ผู้หญิงตัวเตี้ยเอาแต่ใจ ขี้อิจฉาขี้ดูถูกคน ขี้เม้าท์ ขี้นินทา ขี้งก”

“ด่าเลย! ด่าให้พอใจ!! ฉันจะได้รู้ว่าโลกนี้ฉันจะหาคนจริงใจด้วยเลยไม่ได้สักคน!!”

“ถ้าคุณมัวคิดแต่จะเป็นผู้รับแต่ไม่คิดจะให้ใครก่อน คุณก็จะยิ่งไม่มีวันได้ เพราะคนที่เขาให้คุณ แต่คุณไม่เคยให้เขาตอบแทนบ้าง เขาจะรู้สึกเหนื่อยแล้วพาลเบื่อคุณ เหมือนที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ต้องแปลกใจเลยนะ ถ้าต่อไปชีวิตคุณจะไม่เหลือใครสักคน”

ฟังยุทธพูดยาวและจริงจังอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน พัชรินเริ่มมีสติ คิดได้ ครู่หนึ่งเธอหยิบมือถือขึ้นมาโทร.ถึงนครินทร์ “พี่รินทร์คะ พัชเปลี่ยนใจแล้ว พัชจะช่วยเป็นพยานให้ปิ่นค่ะ” ยุทธฟังแล้วยิ้ม เมื่อเห็นพัชรินเริ่มมีสติขึ้น

ooooooo

พาไลกับนครินทร์ไปถึงห้องพักของมิ้ม พาไลดีใจมากเมื่อเห็นมิ้มลุกขึ้นมานั่งขาใส่เฝือกมีผ้าพันหน้าผากส่องกระจกดูสภาพตัวเองอยู่

พาไลถามว่าฟื้นนานหรือยัง มิ้มบอกว่าเมื่อเช้า ลืมตาขึ้นมาไม่เจอหน้าใครสักคน ใจโคตรหวิว

“พ่อแม่แกเขาก็เคยมาเยี่ยมแก”

“ครั้งเดียวใช่ไหม ไล...ฉันเคยคิดว่าชีวิตเราอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นต้องแคร์ใคร แต่ตอนนี้รู้แล้ว ถ้าเราต้องตายไปโดยไม่มีใครสนใจโดยเฉพาะคนในครอบครัว จะเป็นจะตายก็ช่างมัน อาจจะแช่งเราให้ตายๆไปเลยก็ได้ มันเป็นอะไรที่แบบว่า...” มิ้มเสียงสั่นเครือพยายามกลั้นไม่ร้องไห้ก็กลั้นไม่ไหว พูดไปร้องไห้ไปว่า... “โคตรจะเศร้าเลยว่ะ”

พาไลดึงมิ้มเข้าไปกอด บอกให้เลิกเศร้าได้แล้ว เดี๋ยวจะโทร.บอกพ่อแม่ว่าเธอฟื้นแล้ว เขาจะได้สบายใจ

“แกไม่ต้องโทร.หรอก ฉันจะโทร.เอง ฉันทำให้เขาทุกข์ใจกันมามากพอแล้ว ฉันขอทำให้เขาสบายใจบ้าง”

นครินทร์เห็นเพื่อนรักทั้งสองกอดปลอบใจกันแล้วพลอยสุขใจไปด้วย...เมื่อกลับมาที่ห้องนอน เขาเขียนบันทึกว่า...

“มนุษย์ มักจะใช้ชีวิตกับความสุขความทุกข์ที่ผ่านมาในชีวิตประจำวัน แต่เราไม่เคยรู้เลยว่า...จริงๆ แล้วเราควรทำสิ่งใดให้กับชีวิต...”

ความจริงเวลานี้คือ...มิ้มโทร.หาแม่ พอแม่รับสาย มิ้มก็ร้องไห้ ขอโทษแม่...

พัชรินมีการเปลี่ยนแปลง อยู่ดูแลบ้าน ทำอาหารเตรียมรับยุทธเมื่อเขาเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน ยุทธดีใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้ของเธอ

มีแต่เพรียวที่ยังไม่เข้าใจกับแม่ พอกลับบ้านก็เดินขึ้นชั้นบนไปเลย อรได้แต่มองลูกเศร้าๆ

คุณโปรยเศร้าเรื่องปิ่นปัก คุณยอดต้องกอดคอยปลอบใจ และปิ่นปักก็เอาแต่กอดรูปหนูหนึ่งเศร้าอยู่บนเตียง...

“กว่าจะรู้สึกตัวก็เมื่อเกือบจะสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว และคงจะมีไม่กี่คนที่จะโชคดีได้มีโอกาสกลับมาแก้ไขความผิดพลาดให้กับชีวิตของตัวเอง” นครินทร์รำพึงกับภาพชีวิตของคนรอบตัว...

ooooooo

วันนี้ พาไลมาเยี่ยมปิ่นปักที่ห้องคอนโดพร้อมดอกไม้สีขาวที่เธอชอบ ปิ่นปักถามว่าเธอเข้ามาได้ยังไง

“ฉันขออนุญาตคุณรินทร์เข้ามาดูแลคุณค่ะ ดอกไม้นี่มิ้มฝากมาเยี่ยมคุณ” ปิ่นปักมองดอกไม้อย่างสะเทือนใจ “คุณไม่ต้องเป็นห่วงมิ้มหรือว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลยนะคะ มิ้มหายดี เหลือแค่รอรักษาขาที่หักให้หายสนิทเท่านั้นเอง และมิ้นก็ไม่โกรธคุณเลยด้วย”

ปิ่นปักโล่งใจแต่เก็บอาการ เมื่อพาไลยกขนมคุกกี้มายื่นให้บอกว่าคุณแม่ตนทำมาฝาก ปิ่นปักพูดอย่างเย็นชาว่าวางไว้ตรงนั้นและเธอกลับไปได้แล้วตนอยากอยู่คนเดียว แต่พอพาไลติงว่าเธอผอมมาก ก็ถูกตวาด “ฉันบอกว่าฉันอยากอยู่คนเดียว”แล้วปัดจานคุกกี้ในมือพาไลจานตกแตก ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วปิ่นปักก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง

พาไลไม่โกรธ เดินตามไปโพล่งขึ้นว่า

“ไม่มีคนชนะที่ไหนเขาจะทำตัวอ่อนแอแบบคุณ ถ้าคุณอยากเอาชนะคุณศก อยากได้ลูกกลับคืนมา คุณต้องลุกขึ้นมาสู้ไม่ใช่ทำตัวเป็นคนไร้วิญญาณประชดชีวิตไปวันๆแบบนี้”

“เธอไม่ได้เป็นฉัน เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง”

“ก็แค่ชีวิตคู่พัง พ่อแม่ไม่ชื่นชมเหมือนเดิม แม่แฟนใหม่ดูถูก ถูกกล่าวหาว่าเป็นเมียน้อย ลูกถูกแย่งไป จะบอกให้นะคะว่าปัญหาแค่นี้กระจอกมาก”

ปิ่นปักหันตบพาไลจนหน้าหัน แต่พาไลก็ยังหันกลับมาพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้านว่า

“ส่วนฉัน...ถูกพ่อแม่ทิ้งไปตั้งแต่เกิด ทำตัวเป็นเด็กใจแตกตั้งแต่อายุสิบห้า เรียนหนังสือไม่จบ แท้งลูกเพราะถูกพ่อเด็กผลักตกบันได เพราะมันไม่อยากรับผิดชอบฉันกับลูก จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็ถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานา ถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นผู้หญิงขายตัว ไม่มีค่า ไม่ คู่ควรจะรักกับผู้ชายที่ฉันรักหมดหัวใจ คุณคิดว่า สิ่งที่ฉันกับคุณเจอ ใครหนักหนาสาหัสกว่ากัน อย่าคิดว่าสิ่งที่คุณเจอมันหนักหนาที่สุด มีคนที่เขาทุกข์กว่าคุณเยอะค่ะ”

ปิ่นปักร้องไห้บอกว่าตนไม่เข้าใจ ตนทำอะไรผิด ชีวิตถึงต้องเป็นแบบนี้ พาไลน้ำเสียงอ่อนลงอย่างปลอบโยนว่า

“ความผิดของคุณ มีนิดเดียวเองค่ะ คือคุณไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด แต่คุณไปโทษคนอื่น คุณโทษพ่อแม่ที่เลี้ยงคุณมาดีเกินไป คุณถึงไม่รู้จักอะไรเลย คุณโทษคุณศกว่าทำให้ชีวิตคู่ของคุณพัง คุณโทษคุณเพรียวว่าอ่อนแอไม่กล้าห้ามแม่เขาที่ต่อว่าคุณ คุณโทษโชคชะตาที่ทำร้ายคุณมากเกินไป”

ปิ่นปักยิ่งฟังก็ยิ่งร้องไห้กับความจริงที่พาไลพูด

“คุณต้องกลับมามองย้อนดูตัวเองบ้าง ว่าคุณทำอะไรผิดพลาด แล้วให้อภัยตัวเองเสีย ไม่อย่างนั้นคุณจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้”

ปิ่นปักมองพาไลนิ่ง นึกถึงที่ตัวเองเคยพูดดูถูกพาไลและพาไลเตือนว่า...

“ฉันกำลังเตือนสติคุณอย่าประมาทคิดว่าตัวเองอยู่เหนือทุกอย่าง เพราะถ้าวันหนึ่งคุณพลาดพลั้งตกลงมา คุณจะได้ไม่โดนคนอื่นเหยียบซ้ำเหมือนฉันตอนนี้”

“ถ้าฉันพลาด ฉันก็ไม่มีวันตกลงมาต่ำเท่าที่เธออยู่ตอนนี้หรอกพาไล”

“งั้นคอยดูต่อไปแล้วกัน ว่าชีวิตใครจะอยู่ต่ำอยู่สูงกว่ากัน!”

คิดถึงการตอบโต้ท้าทายกันวันนั้นแล้ว วันนี้ ปิ่นปักมองพาไลอย่างชื่นชม ยอมรับว่า

“ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าเธออยู่สูงกว่าฉัน ชีวิตเธอดีกว่าฉัน พาไล”

“ไม่มีชีวิตใครดีกว่าใครหรอกค่ะ มีแต่ใครจะแก้ปัญหาที่ผ่านเข้ามาได้ดีกว่ากัน เริ่มต้นชีวิตใหม่นะคะคุณปิ่นปัก”

น้ำเสียงและคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจของพาไล ทำให้ปิ่นปักร้องไห้ พยักหน้ารับ พาไลเข้าไปกอดเธอไว้อย่างให้กำลังใจ ปิ่นปักกอดตอบด้วยความซาบซึ้งใจ

นครินทร์ดูจากประตูที่แง้มไว้ เห็นภาพผู้หญิงที่เขารักสองคนกอดกันด้วยความรักแล้วซึ้งใจ มีความสุขไปด้วย

ระหว่างเดินออกมาด้วยกัน นครินทร์ขอบคุณพาไล บอกเธอว่า ถ้าจัดการปัญหาเรื่องปิ่นปักเสร็จเราจะแต่งงานกัน พาไลติงว่าที่บ้านเขาไม่มีใครยอมรับตน นครินทร์พูดอย่างมั่นใจว่า เธอทำให้คนอื่นรักได้ไม่ยากหรอก ขนาดตนที่ไม่เคยคิดจะรักใครยังรักเธอเลย

พาไลยิ้มทั้งน้ำตา นครินทร์ดึงเธอเข้าไปกอดด้วยความรัก

เมื่อพาไลไปแล้ว ปิ่นปักโทร.ไปขอโทษเพรียว เพรียวยิ้มเต็มหน้าบอกมาตามสายว่า “พี่รักปิ่นนะ”

ooooooo

นครินทร์กับพาไลเตรียมพยานมาอย่างดีเพื่อจะมาต่อสู้เอาหลานกลับไปเลี้ยงเอง แต่ไปรอจำรูญ แม่มาย และพัชรินที่บ้านศกก็ไม่มีใครมาสักคน พาไลโทร.ตาม ก็ถูกปฏิเสธหมด!

เหตุเพราะก่อนหน้านี้จำรูญไปเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับศกว่าถ้ารับเขากลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมแต่เงินเดือนมากขึ้นตนก็จะไม่ไปเป็นพยานให้พาไลกับ นครินทร์ ศกตอบตกลงทันที

แม่มายก็ถูกศกซื้อด้วยเงินจำนวนสามแสนบาทบอกว่าช่วยแม่มายเพราะรู้ว่ามีลูกมีหลานต้องดูแล ส่วนพัชริน ศกบอกว่าตำแหน่งทูตประจำลอนดอนยังว่าง

ตนช่วยเธอได้ พัชรินรับข้อเสนอโดยไม่รู้ว่ายุทธฟังอยู่อย่างไม่พอใจ

ศกเหยียดเย้ยว่า นครินทร์และปิ่นปักเป็นคนประเภทความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ไล่ให้กลับไปเสีย อย่าพยายามเอาลูกไปจากตนเลย เสียเวลาเปล่า และถ้าจะเอาหนูหนึ่งไปให้ได้ก็ไปฟ้องศาลเอา แต่พวกเขาไม่มีทางเอาชนะตนได้แน่

ขณะเหตุการณ์กำลังตึงเครียดนั่นเอง ปิ่นปักกับเพรียวก็มาถึง ปิ่นปักบอกว่าตนจะมาพาลูกกลับด้วยตัวเอง บอกศกว่าตนต้องการเจรจากับเขาเป็นการส่วนตัว นครินทร์กับเพรียวเป็นห่วง แต่เธอบอกทั้งสองว่า

“เชื่อเถอะค่ะ ชีวิตปิ่น ปิ่นไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อน”

เมื่อไปเผชิญหน้ากัน ปิ่นปักขอโทษศก เขาแปลกใจว่าเธอจะมาไม้ไหน

“ฉันขอโทษจากหัวใจของฉัน ต่อไปนี้ฉันจะไม่โทษคุณหรือโทษใคร ฉันรู้แล้วว่าที่ผ่านมาฉันทำหน้าที่ภรรยาบกพร่องทำให้คุณไม่มีความสุข คุณถึงต้องหนีไปหา ความสุขจากผู้หญิงคนอื่น” ปิ่นปักพูดตรงๆว่า “ที่ฉันขอโทษ เพราะฉันเหนื่อยที่จะเอาชนะคุณ ฉันอยากขอความเห็นใจ ขอลูกคืนให้ฉันเถอะค่ะ”

ศกท้าว่าอยากได้ก็ไปฟ้องศาลเอา เห็นว่ารวบรวมพยานหลักฐานไว้มากมายไม่ใช่หรือ ปิ่นปักบอกว่าไม่อยากให้เรื่องถึงศาลเพราะกลัวหนูหนึ่งจะได้ชื่อว่ามีพ่อขี้คุก ศกงง ถามว่าเธอพูดอะไร?

“ถ้าคุณไม่คืนลูกมาให้ฉัน ฉันจะประกาศให้โลกรู้ว่าที่คุณร่ำรวยมีเงินมหาศาล แล้วเอามันมาใช้กดขี่คนอื่นมาทั้งชีวิตเงินพวกนั้นมันเป็นเงินสกปรก!”

ปิ่นปักมีหลักฐานจากที่ได้ยินศกคุยกับเดโชเรื่องการฮั้วประมูล ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้โครงการที่จะได้กำไรเป็นพันล้าน เธอยิ้มให้ศกอย่างผู้เหนือกว่า พูดอย่างมั่นใจเข้มแข็งว่า แค่ตนกระซิบบริษัทคู่แข่งของเขา พวก เขาก็พร้อมจะตรวจสอบอยู่แล้ว

“ในฐานะที่คุณเคยเป็นผู้ชายที่ฉันรัก และคุณเป็นพ่อของลูกชายฉัน ฉันจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แค่คุณคืนลูกมาให้ฉัน แล้วให้สัญญากับฉันว่า คุณจะไม่เข้าใกล้ลูกอีกเลย”

ศกมองปิ่นปักอย่างโกรธแค้น คิดไม่ถึงว่าเธอจะเข้มแข็งขึ้นมาและรู้เบื้องหลังตนลึกขนาดนี้

เมื่อปิ่นปักออกมา เธอกอดขอบคุณพาไลที่แนะนำตนทำให้ตนเข้มแข็งขึ้นมาได้

ศกมองสองสาวอย่างแค้นใจมาก

ooooooo

หนูหนึ่งได้กลับมาสู่อ้อมอกของคุณยายและคุณตาอีกครั้ง นครินทร์ขอร้องคุณพ่อกับคุณแม่ว่าถ้าพวกศกมาเยี่ยมหลานก็ขอให้ทุกคนต้อนรับเขาดีๆ อย่าไปตั้งแง่รังเกียจกัน ปัญหาจะได้ไม่เกิด

นครินทร์ขอให้คุณแม่ให้อภัยอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเดินออกไปจูงปิ่นปักจากหน้าบ้านเข้ามาบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าปิ่นปักจะกลับมาอยู่ที่นี่กับเรา คุณโปรยยังไม่สบายใจถามว่า แน่ใจแล้วหรือเดี๋ยวพ่อกับแม่ก็สร้างความรำคาญใจให้อีกหรอก

ปิ่นปักยอมรับว่าที่แล้วมาตนทำไม่ดีกับคุณพ่อคุณแม่ แต่ตนเปลี่ยนไปแล้ว ตนจะไม่สร้างปัญหาให้คุณพ่อคุณแม่ทุกข์ใจอีก สัญญาว่า “ปิ่นจะเป็นแม่ม่ายที่ทำงานเลี้ยงลูก เลี้ยงคุณพ่อคุณแม่ ปิ่นแค่ขอให้คุณแม่ยอมรับในสิ่งที่ปิ่นเป็นได้ไหมคะ”

คุณโปรยดึงปิ่นปักเข้าไปกอด ทุกคนพากันยิ้มดีใจกับบรรยากาศดีๆนี้ด้วย

ฝ่ายพัชรินถูกยุทธเอาใบหย่ามาให้เซ็น เธอตกใจมากถามว่าตนทำอะไรผิด ตนก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่เขาต้องการแล้ว

“ผมเข้าใจแล้ว จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ แต่เปลี่ยนสันดานคนไม่ได้ โดยเฉพาะคนเห็นแก่ตัวอย่างคุณ โชคดีนะคุณพัช” แล้วยุทธก็เดินออกไป ทิ้งให้พัชรินร้องไห้โฮๆอยู่คนเดียว

ooooooo

มิ้มออกจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่บ้านสวนกับพาไล เธอบ่นว่าทำไมฝนไม่มาเยี่ยมตนบ้าง เห็นพาไลอึกอัก มิ้มถามว่าเธอมีปัญหาอะไรกับฝนใช่ไหม

ไม่นานฝนก็โทร.มาคุยกับมิ้ม ศกแอบฟังอยู่คิดแผนบางอย่าง เมื่อฝนคุยเสร็จหันมาเจอ เธอถามเขาว่าเป็นอะไรหรือหน้าตาไม่สบายใจมีอะไรให้ตนช่วยไหม

“พาพาไลมาหาผม” ศกพูดหน้านิ่งอย่างมีแผน ฝนแปลกใจแต่ไม่ถาม

วันนี้นครินทร์อยู่บ้าน มิตราโทร.มาแจ้งข่าวดีว่า ท่านคณะบดีบอกว่ามีจดหมายจากมหาวิทยาลัยที่อเมริกาส่งมาเชิญเขากับตนให้ไปเป็นอาจารย์ที่โน่น แล้วชวนไปทานข้าวกัน ตนอยากเลี้ยงฉลองกับเขา

ระหว่างเดินเข้าไปในร้านอาหารนั้น พาไลโทร.หานครินทร์ มิตราที่มารออยู่แกล้งเดินเข้าใกล้เขาเพื่อฟังการสนทนา

“ผมทานข้าวกับคุณมินไม่นาน เสร็จแล้วจะรีบกลับไปหาคุณนะ คิดถึงคุณนะพาไล” พอหันมาเห็นมิตรา เขาเชิญเธอไปที่โต๊ะ เธอนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

มิตราถามว่าเขาจะไปเป็นอาจารย์ที่โน่นไหม นครินทร์บอกว่าตนยังไม่แน่ใจ ถามว่าแล้วเธอจะไปไหม มิตราบอกว่าไป เพราะมันเป็นโอกาสดี ตนจะไปเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเองแล้วนำความรู้ที่ได้มาสอนเด็กไทย

นครินทร์ชื่นชมที่เธอคิดถึงคนอื่นเสมอ มิตราบอกว่าเขาก็เป็นคนแบบนั้น แล้วเลียบเคียงถามว่าเขากับพาไลไปถึงไหนแล้ว นครินทร์ตอบยิ้มๆว่าเราคบกันแล้ว มิตรายินดีด้วยคาดว่าอีกไม่นานก็คงแต่งงานกันใช่ไหม นครินทร์บอกว่าอีกนานเพราะพาไลอยากทำให้คุณพ่อคุณแม่เขายอมรับเธอก่อน มิตราบอกว่าคงมีแต่เขาที่มองพาไลในแง่ดีมากขนาดนี้

“คุณกำลังคิดว่าผมจะโดนพาไลหลอก?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันขอพูดตรงๆ ในฐานะ ‘เพื่อน’ นะคะ ที่ครอบครัวคุณทุกข์ใจเรื่องคุณกับพาไล เพราะคุณคิดกับพาไลแค่ด้านเดียวว่าพาไลจะเปลี่ยนแปลงตัวเองสำเร็จ แต่ฉันอยากให้คุณลองคิดเผื่อไว้บ้าง ถ้าสมมติว่าพาไลกลับตัวไม่ได้แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามใจตัวเองเหมือนเดิม วันนั้นคุณจะทำยังไง” เห็นนครินทร์นิ่งไป เธอถาม “คุณไม่โกรธที่ฉันพูดใช่ไหมคะ”

“ไม่โกรธครับ ไม่โกรธเลยจริงๆ ผมเข้าใจดีว่า สิ่งที่พาไลเคยเป็นมันยากที่ใครจะลืมและให้อภัยเธอ”

“คุณรินทร์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามฉันขอเอาใจช่วยให้คุณผ่านทุกปัญหาไปได้นะคะมีอะไรปรึกษาฉันได้นะคะเพราะเราสองคนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไปค่ะ”

ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเพื่อนที่จริงใจต่อกัน

ooooooo

ทานข้าวกับมิตรากลับถึงห้องนอน นครินทร์ เขียนไดอารี่ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม...

“การเริ่มชีวิตใหม่ของคนที่เคยทำผิดพลาดเป็นเรื่องยาก หลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจจะกลับเนื้อ กลับตัวให้ดีขึ้น เพราะเหตุผลที่ว่า สังคมไม่เชื่อใจ”

หลังจากศกตีหน้าเศร้าบอกให้ฝนพาพาไลมาหาตนแล้ว รุ่งขึ้นฝนก็โทร.ไปหาพาไลแกล้งร้องไห้สะอึกสะอื้น บอกพาไลให้ช่วยตนด้วย ตนกลัว แล้วเอาแต่ร้องไห้

พาไลเป็นห่วงฝนรีบออกจากบ้าน มิ้มบอกให้รอด้วยตนเป็นห่วงฝน แต่พอลุกจะเดินก็เจ็บที่ขาจนทรุดลงกับพื้น

“แกไม่ต้องไปหรอกมิ้ม ฉันไปคนเดียวง่ายกว่า” พาไลประคองมิ้มกลับไปนั่ง ฝากแม่ให้ดูแลมิ้มด้วย แล้วตัวเองก็รีบออกไปด้วยความเป็นห่วงฝน

ไปถึงคอนโดของศก พาไลโทร.หาฝนแต่ฝนไม่รับสาย เดินไปถึงหน้าห้องลองจับลูกบิดหมุน ปรากฏว่าห้องไม่ได้ล็อก พาไลรีบเข้าไปมองหาฝน แต่กลับเจอศกยืนอยู่ พาไลตกใจถอยห่างจากเขา ถามว่าฝนอยู่ไหน

“ไม่รู้สิ เขาโทร.เรียกคุณให้ผม แล้วก็หายไป”

“ฝนโทร.เรียกฉันมาให้คุณ!” พาไลรู้ตัวว่าถูกหลอก

“คนอย่างคุณไม่มีใครจริงใจด้วยหรอกพาไล ขนาดเพื่อนเน่าๆของคุณยังหักหลังกันเอง แล้วนับประสาอะไรกับคนสะอาดๆอย่างคุณรินทร์ คุณพยายามทำตัวเป็นนางเอกไปช่วยพวกเขายังไง เขาก็ไม่มีวันรับคุณเป็นเมียของลูกชายเขาหรอก”

ศกพุ่งเข้ากอดพาไลหมายเผด็จศึก พาไลดิ้นสุดฤทธิ์แต่ยังกำมือถือไว้แน่น เธอถูกศกผลักกระแทกลงกับโฟซา

“คุณศกอย่า!”

ฝนยืนฟังหน้าเครียดอยู่หน้าห้อง คิดไม่ถึงว่าศกจะทำกับพาไลแบบนี้

พาไลต่อสู้สุดฤทธิ์คว้าได้ของใกล้มือก็ฟาดไปที่ใบหน้าศกจนเขาร้องลั่น เธอถีบเข้าเป้าเขาอย่างแรงอีกที ศกเจ็บจุกจนตัวงอหมดแรงที่จะทำอะไรพาไลได้อีก

พาไลหยิบมือถือที่หล่นบนโซฟา คว้ากระเป๋าถือ หันไปเตะศกอีกทีแล้วเดินออกจากห้องไป เจอฝนยืนตระหนกอยู่หน้าประตู พาไลพูดใส่หน้าฝนอย่างผิดหวัง “เสียแรง...ที่ฉันเชื่อใจแก” แล้วเดินผ่านฝนไปเลย ฝนทำท่าจะตามแต่เสียงร้องครวญครางของศกทำให้ฝนรีบเข้าไปดูแลเขา

ooooooo

พาไลกลับถึงบ้านสวนเล่าให้มิ้มฟัง มิ้มโกรธฝน โมโหตัวเองว่าเมื่อไหร่จะหายจะไปตบฝนพลางก็ด่า อีเพื่อนทรยศ อีไส้ศึก

“อย่าไปด่ามันเลยมิ้ม มันอาจจะมีเหตุผลของมัน”

หารู้ไม่ว่าเหตุผลของฝนคือเงินเท่านั้น เมื่อศกให้เงินเธออีกแต่ขอให้เธอทำอะไรให้อย่างหนึ่ง พอเห็นเงินฝนก็ตาโตรับปากศกทันที

วันนี้เพ็ญไปหาพิสมัยที่บ้าน ตีหน้าเศร้าคร่ำครวญถึงความทุกข์ยากแสนเข็ญของตนกับบัวทอง เพราะบริษัทบัวทองปิดกิจการ จึงต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากพิสมัย

พิสมัยบอกว่าตนไม่มีรายได้อะไร จำนวนเงินที่เพ็ญขอมากเหลือเกิน ตนไม่มีให้ ถูกเพ็ญด่าว่าโกหก ตนจะได้ลืมไปว่าไม่เคยมีญาติพี่น้องแล้วจะวิ่งออกไป พิสมัยบอกว่าจะไปก็ไปเถิด ตนไม่มีเงินให้จริงๆ แล้วหันไปสบตากับพาไลที่โผล่มาจากข้างใน

พอเพ็ญวิ่งออกไป บัวทองถามว่าได้เงินไหม พอรู้ว่าไม่ได้ก็ไล่ให้กลับไปขอใหม่เพราะตนไม่มีเงินค่าตั๋วเครื่องบินตามแฟนไปเมืองนอก ยุเพ็ญว่า

“คุณแม่ต้องขึ้นไปขอมาให้บัวให้ได้ คุณแม่อ้างบุญคุณที่เคยช่วยเหลือป้าพิศอะไรก็ได้”

“ไม่ต้องเอาบุญคุณมาอ้างหรอก ฉันจะให้เงินเธอเอง” พาไลตามออกมามือถือซองสีขาวใส่เงินมาด้วย “ฉันช่วยเพราะถือว่าเธอกับน้าเพ็ญเป็นญาติของคุณแม่ แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะ ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เพราะฉันไม่ได้มีเงินใช้เหลือเฟือที่จะเอามาแบ่งใครใช้บ่อยๆ”

พอบัวทองจะรับซอง พาไลดึงมือกลับมีข้อแม้ว่าเธอจะไปไหนก็ให้พาน้าเพ็ญไปด้วย เพราะตนกับแม่อยู่กันสองคนมีความสุขอยู่แล้ว ไม่อยากเอาแม่ของเธอมาเลี้ยงดูอีกคน เดี๋ยวชีวิตจะไม่สงบสุข บัวทองกระชากซองเงินแล้วเดินอ้าวไปเลย เพ็ญรีบวิ่งตามร้องเรียก

“บัว...รอแม่ด้วย...”

พิสมัยขอบใจพาไล เธอบอกว่าไม่เป็นไรเพราะถ้าตนไม่ช่วยแม่ก็ต้องนอนทุกข์เพราะเป็นห่วงน้าเพ็ญอีก ไม่ต้องห่วงเพราะตอนนี้เสื้อผ้าขายดีมากจนนับเงินแทบไม่ทัน พิสมัยจึงจะออกไปซื้อกับข้าวเพื่อทำให้เสร็จทันมิ้มตื่น

พอพิสมัยออกไปและพาไลกำลังจะขึ้นชั้นบน ฝนก็เข้ามาเรียก พาไลถามว่าจะมาหลอกอะไรอีก ฝนบอกว่าตนมีของมาให้ พาไลมองอย่างแปลกใจ

ฝนหยิบขวดแก้วใสใส่น้ำกรดจากกระเป๋าสะพาย นึกถึงที่ศกเอาของให้ กอดจูบอ้อนว่า

“ทำให้สำเร็จนะจ๊ะที่รัก แล้วผมจะให้ทุกอย่างที่คุณต้องการ”

ฝนหยิบขวดน้ำกรดออกมาเปิดฝาทำน้ำกรดหยดลงพื้นเป็นฟองฟู่ พาไลตกใจถอยห่างพลางไล่ฝนให้ถอยไป ฝนสาดน้ำกรดออกไปทันที ขวดน้ำกรดกระแทกพื้น มิ้มใส่เฝือกเดินออกมาจากด้านในเห็นพอดี ก็ร้องกรี๊ดสุดเสียง!

ooooooo

ทันทีที่ฝนกลับถึงคอนโด ศกที่นั่งรออยู่ถามทันทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฝนร้องไห้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวพร่ำถาม

“ฝน...ฝนทำอะไรลงไป หน้าไล...หน้าไล...ฮือๆ ฝนกลัว...ฝนกลัว!!...” ศกยิ้มกริ่มดึงฝนเข้าไปกอดปลอบ

“ไม่ต้องกลัวนะ คุณทำเพื่อผมขนาดนี้ ผมจะปกป้องคุณเอง” ศกหยิบเช็คกับปากกามาเซ็นชื่อส่งให้ฝน “ผมเซ็นให้แล้ว คุณเขียนตัวเลขได้ตามสบายเลย” ฝนหยุดร้องไห้ถามว่าเท่าไหร่ก็ได้หรือ “ใช่...เอาเท่าที่จะทำให้คุณหายกลัว ผมยินดีให้ที่รักของผมอยู่แล้ว”

“ขอบคุณนะคะคุณศก” ฝนหยุดร้องไห้ ศกกอดและจูบหน้าผากฝนอย่างอ่อนโยน แต่ใบหน้าที่เกยอยู่บนไหล่ฝนนั้นยิ้มร้าย!

ต่อมามือถือศกดังขึ้น เขารับสายฟังสมรแล้วพึมพำ “นังฝนหน้าเงินจริงๆ เอาไปตั้งสิบล้าน”

ทันใดนั้น โปรแกรมแชตดังขึ้นจากมือถือศก เขาเปิดดูมีข้อความว่า “ฝนส่งรูปภาพถึงคุณ”

พอเปิดดู เป็นรูปฝน พาไล และมิ้มถ่ายเซลฟี่กันในมือถือแบงก์พันเป็นปึก แล้วเฟซไทม์จากฝนดังขึ้นอีก ศกกดรับถามอย่างฉุนเฉียวว่า “ฝน! คุณทำอะไร ไหนคุณบอกว่าคุณจัดการพาไลแล้วไง” ได้ยินเสียงฝนพูดรัวมาเป็นชุดว่า

“นี่มันหมดยุคสมัยที่ผู้หญิงจะทำร้ายกันเองเพราะผู้ชายแล้ว โดยเฉพาะผู้ชายเฮงซวยอย่างแก” ระหว่างนั้นมิ้มก็พูดให้เสียงแทรกเข้าไปว่า ฝนราดน้ำกรดทิ้งตรงต้นไม้ที่ตนปลูกไว้ตายหมด ตนเลยกรี๊ดลั่น ศกตวาดเรียกฝน ถูกฝนแทรกทันทีว่า

“อย่าเพิ่งขัด พวกฉันยังพูดไม่จบ จะบอกให้นะ ถึงฉันจะโง่แต่ฉันไม่ได้บ้า พาไลมันเป็นเพื่อนฉัน แกเอาหัวแม่โป้งเท้าคิดหรือไงว่าฉันจะทำร้ายเพื่อนฉัน แค่แกหลอกให้ฉันพาเพื่อนฉันไปปล้ำ ฉันก็รู้สึกผิดแย่อยู่แล้ว”

“ที่แกคิดไม่ได้เพราะคนอย่างแกไม่เคยมีเพื่อน แกถึงไม่รู้จักคำว่ามิตรภาพ ไม่รู้ว่าคำว่าเพื่อนสะกดกันยังไง ไอ้สันขวาน!” มิ้มด่าแทรกเข้าไปเป็นระยะ แล้วฝนก็ด่าต่อจนสะใจแล้วตัดสายเลย

ศกปามือถือลงพื้นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ฝนไม่ได้ทำแค่นั้น ก่อนออกมาฝนยังขโมยเอกสารฮั้วประมูลของศกไปให้ตำรวจ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกตำรวจรวบตัวไป จำรูญที่ฝันหวานว่าจะได้กลับไปทำงานกับศกและได้เงินเดือนมากขึ้น เห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวศกถูกจับฐานฮั้วประมูลจนถูกปิดบริษัท

จำรูญปาหนังสือพิมพ์ทิ้ง สบถ “ทำไมเกิดมาซวยอย่างนี้วะกู”

คุณขจีอับอายมากบอกว่าศกเกิดเรื่องจนถูกจับอย่างนี้ตนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน

ฝนที่ฝันหวานจะเอาเงินไปทำหน้าอัพอกที่เกาหลี ก็ถูกตำรวจอายัดเงิน ถือว่าเป็นเงินที่ศกได้มาโดยการฮั้วประมูล ฝนฝันสลาย ทำได้แค่กรี๊ดอย่างสติแตก

ปิ่นปักได้ข่าวศกกับฝน เธอสะใจที่ทั้งสองเคยทำร้ายตนสุดท้ายพวกเขาก็ทำร้ายกันเอง นครินทร์ติงว่าสังคมไหนก็มีทั้งคนดีและคนเลวอยู่ที่เราจะเลือกคบ ปิ่นปักแย้งว่าตนอยากจะเลือกแต่ไม่มีใครให้เลือกเลย นครินทร์บอกว่าเพรียวทั้งรักและจริงใจกับเธอมาก

“แต่เรื่องของปิ่นกับพี่เพรียวเป็นไปไม่ได้ ปิ่นไม่อยากอดทนกับใครอีกแล้ว”

“ชีวิตเรายังไงมันก็หนีไม่พ้นคำว่าต้องอดทนหรอกปิ่น ดูอย่างเพรียวมันอดทนกับปิ่นมานานกี่ปี มันยังทนมาได้ เชื่อพี่เถอะ โลกนี้ปิ่นจะหาผู้ชายอย่างเพรียวไม่ได้อีกแล้ว ถ้าพี่เป็นปิ่นพี่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขาไว้ให้อยู่ในชีวิต”

ในที่สุดปิ่นปักก็คิดได้ ไปหาเพรียวในขณะที่แม่อรกำลังแง่งอนกับเขาที่พูดอะไรไม่ฟังเหมือนแต่ก่อน แต่ปิ่นปักก็เข้าใจความรู้สึกของแม่อร และขอโอกาสกับแม่อรได้คบกับเพรียว แม่อรยอมรับว่าตนไม่ได้รังเกียจเธอแต่หมั่นไส้ท่าทางจองหองของเธอ เมื่อเปิดใจให้กันแล้ว ทั้งสามก็ให้อภัยและรักกัน คนที่มีความสุขที่สุดคือเพรียวที่เขามีผู้หญิงที่รักอยู่เคียงข้างทั้งสองคน

ooooooo

พาไลแต่งตัวสวยเมื่อนครินทร์จะพาไปพบคุณโปรยกับคุณยอดอย่างเป็นทางการ คุณยอดพูดคุยกับพาไลเยี่ยงผู้ใหญ่ที่มีเมตตา แต่คุณโปรยเย็นชา ทั้งยังบอกนครินทร์ว่าอยากให้เขาตอบรับไปสอนที่อเมริกากับมิตรา

พาไลนิ่งอึ้ง คุณโปรยถามว่า “พาไล ถ้าเธอรักตารินทร์เธอก็คงจะคิดไม่ต่างจากฉันใช่ไหม”

ปิ่นปักขอคุยกับคุณโปรย บอกว่าแม้พาไลจะเคยผ่านเรื่องอะไรมา แต่เธอไม่ใช่คนเลว คุณโปรยทำใจไม่ได้ที่จะให้นครินทร์ที่ตนถนอมกล่อมเลี้ยงมาอย่างดีได้กับผู้หญิงอย่างพาไล ปิ่นปักบอกว่า ตนเคยถูกแม่ของเพรียวตัดสินว่าตนเป็นผู้หญิงที่ไม่ดีมาแล้ว ตนไม่อยากให้คุณแม่ตัดสินพาไลเหมือนกัน ขอร้องแม่ว่า

“คุณแม่ให้โอกาสพาไลกับพี่รินทร์เถอะนะคะ แล้วถ้าในอนาคตเรื่องของเขาสองคนจะลงเอยอย่างไร ก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองเถอะค่ะ”

เมื่อนครินทร์เดินมาส่งพาไลที่บ้านสวน เธอขอให้เขาทบทวนความสัมพันธ์กับตนใหม่ว่าเราควรจะรักกันหรือไม่ ยกคำพูดของคุณโปรยมาอ้างว่าถ้าตนรักเขาก็ควรเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตที่ดี ถ้าวันหนึ่งเขาได้พบคนที่คู่ควรตนก็พร้อมจะแสดงความดียินด้วย นครินทร์บอกว่าถ้าเป็นความต้องการของเธอ ตนก็จะตามใจและจะไปเมืองนอกกับมิตรา

พอพาไลเข้าบ้าน มิ้มถามว่า คุณพ่อคุณแม่นครินทร์ว่าอย่างไร พาไลโผกอดแม่ร้องไห้โฮจนทุกคนตกใจ

ooooooo

วันต่อๆมา ทุกคนมีชีวิตที่เปลี่ยนไป...

พาไล มิ้ม และฝน ไปเจอร้านที่ประกาศเซ้ง

ทั้งสามเห็นพ้องกันว่าเอาร้านนี้แหละ แล้วถ่ายเซลฟี่กันอย่างร่าเริง

ปิ่นปักไปสมัครงาน ยอมรับสภาพแม่ม่ายเพราะหย่าร้างอย่างไม่กังวลใจ

เพ็ญไปทำงานเป็นพนักงานเก็บกวาดจานในศูนย์อาหาร เห็นบัวทองลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในสภาพหน้าตาบวมช้ำเพราะถูกผัวซ้อม แม่ลูกโผกอดกันร้องไห้อย่างสะเทือนใจ

วันนี้ เพรียวในชุดปริญญาโท ถ่ายรูปกับแม่อร

ปิ่นปักเดินเข้ามาพร้อมช่อดอกไม้แสดงความยินดี แม่อรยิ้มให้ปิ่นปักอย่างเปิดใจยอมรับเธอได้แล้ว และในที่สุดทั้งสองก็แต่งงานกันโดยมีหนูหนึ่งที่เรียกเพรียวว่าพ่ออย่างสนิทสนมเป็นกำลังใจและคุณยอดกับคุณโปรย

ก็มาแสดงความยินดีเมื่อเห็นว่าเพรียวได้พิสูจน์ตัวเองและรักปิ่นปักไม่เคยเปลี่ยนแปลง

พาไลนั่งขายเสื้อผ้าไปก็อ่านหนังสือของ ม.รามคำแหงไปอย่างมีสมาธิมุ่งมั่น ในที่สุดเธอก็ได้ใส่เสื้อครุยรับปริญญา พิสมัยประคองช่อดอกไม้ไปแสดงความยินดีบอกว่า ถ้าคุณพ่อยังอยู่ท่านจะต้องภูมิใจมาก

มิ้มยังเรียนไม่จบตกแล้วตกอีก แต่มุ่งมั่นจะเรียนให้จบให้ได้

คุณยอดเห็นคุณโปรยมองเพรียวกับปิ่นปักหยอกล้อกันอย่างมีความสุข เขาเอ่ยขึ้นว่า

“ผมดีใจนะที่คุณไม่ห้ามปิ่นกับเพรียว”

“อย่างที่คุณเคยบอกฉัน ถ้าเราอยากมีความสุข เราต้องเลิกหวังให้ลูกเป็นไปอย่างที่เราต้องการ แต่เราต้องยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ชีวิตลูกไม่ใช่ชีวิตเรา”

ขณะนั้นเองจุ้นก็ร้องอย่างตื่นเต้นเข้ามาพร้อมนิตยสารในมือ

“คุณผู้หญิงคุณผู้ชายขา...ดูนี่ค่ะ” แล้วให้ดูนิตยสารในมือ มีรูปพาไลพร้อมข้อความว่า ‘พาไลอดีตพริตตี้ฉาว เจ้าของร้านเสื้อผ้าชื่อดัง Pa-lai ความสำเร็จที่สร้างจากสองมือ’ จุ้นเล่าอย่างรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เล่มแรกที่คุณพาไลลงหนังสือนะคะ เธอเคยลงมาก่อนหน้านี้ ร้านเสื้อผ้าของคุณพาไลกำลังดังค่ะ”

“คุณคิดว่าพาไลดีพอสำหรับรินทร์หรือยัง”

คุณยอดถาม คุณโปรยเงียบ ไม่ตอบ

ooooooo

ฝนเปิดร้านทำเล็บ แต่ทำไม่ขึ้น บ่นกับพาไลและมิ้มว่า ตนคงโง่เกินไปที่จะทำธุรกิจ เปิดมากี่ร้านก็เจ๊งหมด

“คุณรินทร์เคยบอกว่าถ้าสมองเราคิดสิ่งใดมากๆ มันจะเป็นไปแบบนั้น แกต้องหัดคิดใหม่ว่าแกทำได้

แกก็เหมือนกับมิ้ม แกเอาแต่คิดว่าตัวเองโง่เรื่องเรียนถึงเรียนไม่จบสักที “มิ้มถามว่านครินทร์ไปตั้งสี่ปีแล้วยังไม่ลืมเขาหรือ” ไม่ลืม...และฉันก็เชื่อว่าคุณรินทร์จะไม่ลืมฉัน “มิ้มบอกว่าป่านนี้เขาแต่งงานมีลูกไปแล้วมั้ง “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็จะถือว่าตัวเองเกิดมาโชคไม่ดีพอ”

พอดีมีลูกค้าเข้า พาไลไปต้อนรับ ลูกค้าทำหนังสือหล่น พาไลช่วยเก็บ เห็นเต็มตาว่าหน้าปกเป็นรูปวาดตัวเอง ชื่อว่า “พฤติกรรมของมนุษย์กับ ‘การตัดสิน’ ของสังคม” ผู้เขียน นครินทร์

พาไลพลิกดูข้างในล้วนเป็นเรื่องราวของตน แล้วมิ้มกับฝนก็มาทำเซอร์ไพรส์บอกว่าสี่ปีที่ผ่านมานครินทร์ติดต่อมาไม่ได้ขาดแต่พวกตนไม่ได้บอกเธอเท่านั้นเพราะอยากให้ทั้งสองคนใช้ระยะเวลาที่ห่างกันพิสูจน์ตัวเอง

ลูกค้าขอหนังสือคืนบอกว่าถ้าอยากได้ให้ไปซื้อตรงโน้นเขากำลังจัดงานเปิดตัวหนังสืออยู่ พาไลวิ่งออกไปทันทีลูกค้าคนนั้นจึงแบมือขอค่าจ้างจากมิ้ม มิ้มชมว่าเล่นละครได้เข้าท่า วันหลังมีงานจะเรียกใช้อีก

พาไลวิ่งไปถึงที่เปิดตัวหนังสือ ที่นั่นปิ่นปัก เพรียว คุณยอดและคุณโปรยนั่งอยู่ก่อนแล้ว พาไลเห็นคนมุงกันอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง พอคนทยอยกันออกไป พาไลตะลึงงันเมื่อเห็นนครินทร์นั่งเซ็นหนังสือให้ลูกค้าอยู่ มิ้มหันไปหยิบหนังสือที่วางโชว์อยู่ยัดใส่มือพาไลบอกให้เอาไปขอลายเซ็น เธอเดินเข้าไปวางหนังสือบอก “เซ็นให้ด้วยค่ะ”

นครินทร์ยิ้มรับหนังสือไปก้มหน้าก้มตาเขียนให้ พอส่งคืนพาไล เธอเปิดดูถึงกับตะลึงเมื่อเห็นเขาเขียนอย่างสวยงามไว้ว่า

“แต่งงานกับผมนะ”

พาไลน้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติ ต่างมองกันด้วยความรักที่เต็มเปี่ยมหัวใจ...

ooooooo

–อวสาน–

ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น