วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร เลื่อมสลับลาย ตอนที่ 14


ด้วยความคิดถึงอยากเห็นหน้าพาไล นครินทร์เดินไปที่ประตูเชื่อมระหว่างบ้าน เจอพาไลที่เดินมาเช่นกัน เขากลับเขิน

“คุณมาทำอะไรตรงนี้คะ” พาไลถาม เขาแก้เกี้ยวว่ามาเดินเล่น “ฉันก็มาเดินเล่นเหมือนกันค่ะ...จุ้นบอกว่าที่บ้านคุณมีปัญหา คุณเป็นยังไงบ้างคะ”

นครินทร์บอกว่ารู้สึกแย่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเห็นครอบครัวเป็นแบบนี้ พาไลเปรียบเทียบว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีครอบครัว ลองมาเป็นคนไม่มีครอบครัวอย่างตนบ้าง จะรู้สึกแย่กว่าเยอะ ให้กำลังใจเขาว่า

“ปัญหามันอยู่กับเราไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ให้ฉันปลอบใจคุณนะ” ขณะนครินทร์งงๆ ว่าเธอจะปลอบใจอย่างไรนั้น พาไลก้าวเข้าประชิดเขย่งขึ้นเป่าหน้าผากเขาเหมือนที่เขาเคยทำให้ตน “โอม...ความทุกข์ความเครียดจงหายไปเหลือแต่จิตใจที่ผ่องใส เพี้ยง!” พอถอยออกมา เธอถาม “ดีขึ้นไหมคะ”

“ดีขึ้นมากเลย ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณจริงๆ”

เมื่อเห็นเขาดีขึ้น พาไลขอตัวกลับ แต่นึกขึ้นได้หันบอกว่า “คุณรินทร์คะ ฉันได้ยินว่าคุณเพรียวกับคุณศกมีปัญหากัน ถ้าเป็นไปได้ช่วยเตือนคุณเพรียวให้ระวังตัวด้วยนะคะ เพราะคุณศกเป็นพวกกัดไม่ปล่อย”

แล้วเหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่พาไลเตือนจริงๆ เพราะขณะเพรียวขับรถจะไปส่งปิ่นปักนั้น ที่ทางเปลี่ยว ถูกมอเตอร์ไซค์ที่มีคนซ้อนปาดหน้าจนรถล้ม ชายสองคนใส่หมวกกันน็อกลงไปนอนร้องครวญครางที่ถนน พอเพรียวกับปิ่นปักลงไปดู ก็ถูกพวกมันรุมทำร้ายจนเพรียวบอบช้ำทำอะไรไม่ได้ แล้วพวกมันก็พากันหนีไป

ooooooo

ปิ่นปักพาเพรียวไปที่บ้านเขา แม้จะเจ็บจากการถูกรุมแต่เพรียวก็พูดให้ปิ่นปักสบายใจว่าตนไม่เป็นอะไรมาก ปิ่นปักบอกว่าไม่ต้องห่วงตนจะต้องหาหลักฐานมาจัดการพวกนั้นให้ได้ ตนรู้จักศกดี เชื่อว่าพวกนั้นเป็นคนของศก

ปิ่นปักตำหนิตัวเองที่เลือกคนผิด มองข้ามผู้ชายดีๆอย่างเขา ถ้าตนไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบแล้วไปเลือกศก เพรียวขอร้องอย่าพูดถึงเขาอีกเลยตนไม่ชอบ ปิ่นปักรับปากว่าตนจะไม่พูดถึงเขาอีก

เพรียวจูบปิ่นปักอย่างทะนุถนอม นาทีนี้ทั้งสองจึงมีแต่กันและกันด้วยความรักและเข้าใจกัน

บังเอิญอร แม่ของเพรียวกลับจากถือศีลที่วัด เจอเพื่อนบ้านก็บอกว่าเอาบุญมาฝาก

“ขอบใจ... แหม...แม่อรใจบุญแบบนี้นี่เอง ถึงได้ลูกสะใภ้สวย”

“ลูกสะใภ้? ป้าพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ” แม่อรงงๆ แต่พอเดินเข้าบ้านเห็นเพรียวกำลังจูบปิ่นปักอยู่ก็ผงะ เพรียวกับปิ่นปักเองก็ตกใจต่างผละจากกัน ปิ่นปักลุกขึ้นจะเดินออกไป

“จะไปไหนนังหน้าด้าน! กล้าดียังไงถึงมานอนกับลูกชายฉันถึงในบ้าน อุตส่าห์มีความรู้ มีเชื้อผู้ดี หย่ากับผัวยังไม่ทันไรก็คิดจะมาจับลูกชายฉันทำผัวเสียแล้ว!!”

เพรียวขอร้องแม่อย่ามองปิ่นปักอย่างนั้น แต่อรทนไม่ได้ไล่ปิ่นปักให้ออกจากบ้านตนไปเลย อย่ามายุ่งกับลูกชายตน พอปิ่นปักวิ่งออกจากห้อง เพรียวจะตามก็ถูกอรห้าม

“แกไม่ต้องตามมันไป แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่า สันดานของแกมันมักมากมักง่ายเหมือนพ่อแกไม่มีผิด ทำไมแกเป็นคนแบบนี้ ทำไมๆๆ” อรทุบเพรียวร้องไห้ด้วยความผิดหวังเสียใจจนเป็นลม

“แม่!!” เพรียวถลาเข้าประคองแม่ จนไม่อาจตามปิ่นปักไปได้

ooooooo

เมื่อดูแลแม่จนดีขึ้นแล้ว เพรียวโทร.หาปิ่นปัก ลุ้นให้รับสาย หันเห็นแม่มองดู เขาถามว่าแม่เป็นยังไงบ้าง อรสะบัดเสียงว่าไม่ต้องมายุ่งแล้วลุกจะออกไป

เพรียวถามแม่ว่าจะไปไหน อรบอกว่าไปให้พ้นจากที่นี่ ตนทนอยู่บ้านที่เขาพาผู้หญิงมามั่วไม่ได้ ตนรังเกียจ!

“แม่ใจเย็นแล้วฟังผมก่อน ผมกับปิ่นรักกัน เราสองคนคบกันอยู่

“แม่บอกแกตั้งกี่หนแล้วว่าเราคนโสด ความรู้หน้าที่การงานก็มี หาผู้หญิงดีๆมาแต่งงานด้วยมันไม่ยากเลย แต่ทำไมต้องไปคว้าคนที่มีพันธะ” เห็นเพรียวหน้าฟกช้ำถามว่าโดนผัวเขาซ้อมมาใช่ไหม คาดคั้นถามจนเพรียวบอกว่าตนไม่รู้ว่าพวกที่มาดักทำร้ายตนเป็นใคร

อรเชื่อว่าต้องเป็นพวกของศก เตือนแกมขอร้องเพรียวว่าอย่าหาเหาใส่หัวเลย เพรียวบอกแม่ว่าตนรักปิ่นปัก รักมานานแล้ว

“แม่ก็รักพ่อแก ใครเตือนแม่ว่าพ่อแกเจ้าชู้ยังไง นิสัยใช้ไม่ได้ยังไง แม่ก็ไม่เคยฟัง เพราะรักเขา แล้วดูสิว่าตอนนี้เป็นยังไง ความรักมันช่วยอะไรบ้าง แม่ไม่อยากเห็นแกช้ำใจเหมือนแม่” เพรียวบอกว่าปิ่นปักเป็นคนดี “คนดีที่ไหนเขาทิ้งลูกมานอนกับผู้ชายบ้าง มันคงมองไม่เห็นใครแล้วก็เลยหันมาจับแก แกอย่าโง่ให้มันหลอกนะเพรียว”

เพรียวบอกแม่ว่าปิ่นปักไม่ใช่ผู้หญิงจนตรอก เธอมีทั้งความรู้ความสวยและยังรวยมากด้วย เธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นแน่ และถ้าเป็นผู้หญิงแบบนั้น ตนก็ไม่พาตัวไปให้ใครเกาะได้

“ตกลงว่าแกจะเอาแม่นี่ใช่ไหม” เพรียวบอกว่าตนรักปิ่นปัก “ได้! งั้นก็คอยดูว่าระหว่างแม่กับนังแม่ม่าย แกจะรักใครกว่ากัน”

เพรียวได้แต่มองแม่อย่างหนักใจมาก...

ooooooo

ความรักความผูกพันที่มีต่อกันมายาวนานแม้ฝนกับมิ้มจะโกรธกัน แต่พอฝนรู้ว่าพาไลกับมิ้มไม่ได้ขายเสื้อผ้าแล้วก็เป็นห่วง มาหาพาไลถึงบ้าน เห็นพาไลกำลังนั่งปักเสื้อหน้ามันหัวยุ่งอยู่และมิ้มก็กำลังพับเสื้อเตรียมส่งลูกค้าก็แปลกใจ

ถามไถ่จึงรู้ว่าร้านถูกโกงไปแล้ว เวลานี้เลยขายทางอินเตอร์เน็ต ขายดีมากและไม่ต้องเสียค่าเช่าร้านด้วย

พาไลบอกเพื่อนรักทั้งสองให้ดีกันเร็วๆ ตนอยากเปิดปาร์ตี้ส้มตำแล้ว ทำเอาทั้งมิ้มและฝนขำหัวเราะออกมา เพียงเท่านี้ความขุ่นข้องหมองใจทั้งหมดก็มลายไปสิ้น สามเพื่อนรักจึงกินส้มตำไปคุยกันไป ไม่นานมิ้มก็บอกพาไลว่าวันนี้ตนอยู่ช่วยงานไม่ได้เพราะต้องไปทำธุระกับสามี

มิ้มเห็นฝนจับช้อน จับส้อม เก้ๆ กังๆ ถามว่าเป็นอะไร ฝนบอกว่าเพิ่งไปทำเล็บมา ทำมาแพงกลัวมันพัง

มิ้มด่าว่าดัดจริต ถ้าทำแพงแล้วชีวิตยุ่งยากนักก็ไม่ต้องไปทำ พาไลเห็นด้วย ถามฝนว่าตอดเงินจากศกมาได้ตั้งเยอะ ก็ให้หัดเก็บๆไว้บ้าง เงินถ้าไม่หาใหม่

ใช้ไปเดี๋ยวก็หมด ฝนบอกว่ารู้ ถึงได้หาทางหาเงินจากศกอีก พาไลถามว่าคิดดีแล้วหรือ

“แกไม่ต้องห่วงฉันหรอก บ้านนั้นน่ะ แค่อ้าปากฉันก็เห็นลิ้นไก่ แล้วฉันก็ตัดสินใจแล้วว่าชีวิตฉันลำบากมามาก ยังไงชาตินี้ฉันก็ต้องเป็นสะใภ้เศรษฐีให้ได้ ว่าแต่แกเถอะ กับคุณรินทร์เป็นยังไงบ้าง เคยได้กันรึยัง?” มิ้มเหน็บว่ามัวเล่นตัวเป็นนางเอก ไม่กล้าไปอ่อยเขาหรอก ฝนเตือนว่า “ทำใจเย็นไปเถอะไล ผู้ชายดีๆ อย่างคุณรินทร์ ถ้าไม่รีบจับ สักวันจะโดนผู้หญิงอื่นคาบไปรับประทาน”
พาไลได้แต่ถอนใจปลงๆ ไม่ตอบและไม่โต้

ooooooo

วันนี้ขณะนครินทร์กับมิตราสอนเสร็จลงลิฟต์ มาด้วยกัน เกิดไฟดับลิฟต์ค้าง มิตราที่เป็นคนกลัวความแคบใจไม่ดี แม้นครินทร์จะโทร.แจ้งพนักงานแล้วแต่รอนานจนมิตราเริ่มหน้าซีดจะเป็นลม

นครินทร์ประคองมิตราไว้ซับเหงื่อให้ ความใกล้ชิดทำให้มิตราหวั่นไหว แต่นครินทร์แค่มองเธอด้วยความเป็นห่วง เร่งให้พนักงานรีบมาแก้ปัญหา

ไม่นานพนักงานก็มาเปิดลิฟต์ให้ มิตราขอบคุณนครินทร์ที่ดูแลตน นครินทร์ยิ้มให้ โล่งใจที่พนักงานมาช่วยทัน

บัวทองมาดักรอนครินทร์ที่มุมสวนในมหาวิทยาลัย เห็นนครินทร์เดินมาก็มารยาบีบน้ำตาร้องไห้ฮือๆ นครินทร์กำลังคิดอะไรเพลินไม่ได้ยิน บัวทองเปลี่ยนจากร้องไห้ฮือๆ เป็นโฮๆ เขาก็ยังไม่ได้ยินอีก เลยเปลี่ยนเป็นร้องเรียก

“คุณรินทร์คะ...เดี๋ยวค่ะ”

นครินทร์หลุดจากภวังค์ ถามบัวทองว่ามาทำอะไรที่นี่ เธอบอกว่ามาหาเขา ทำทีถามว่าเขาเป็นอะไรดูเหม่อลอยจัง นครินทร์ไม่ตอบแต่ถามว่ามาหาตนมีอะไรหรือ

บัวทองบีบน้ำตาทำเป็นสะอื้นจนจุกพูดไม่ออก ครู่หนึ่งจึงบอกว่าตนกับแม่ถูกพาไลไล่ออกจากบ้าน ร้องไห้โฮโผกอดเขาไว้แน่น ใส่ไฟว่า

“พาไลเข้าใจบัวผิด หาว่าบัวไปบอกคุณแม่คุณว่าพาไลหลอกเอาเงินคุณรินทร์ แต่บัวไม่ได้พูด พาไลไม่ฟังบัวอธิบาย อยู่ๆก็ไล่บัวกับคุณแม่ออกจากบ้าน เราสองคนแม่ลูกต้องออกมาเช่าคอนโดอยู่กันเอง เราลำบากกันมาก คุณรินทร์ต้องเห็นใจบัวนะคะ”

นครินทร์ถามงงๆว่าเธอจะให้ตนช่วยอะไร บัวทองบอกว่าเรื่องที่พาไลโกรธตน

“ไม่แปลกหรอกครับที่พาไลจะโกรธ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงโกรธเหมือนกัน” บัวทองร้องอ้าว มองค้าง “ส่วนเรื่องขายบ้าน คุณต้องไม่ลืมว่า เจ้าของบ้านตัวจริงคือคุณป้าของคุณไม่ใช่พาไล ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณป้า”

“พาไลกล่อมคุณป้า เรื่องหลอกให้รักให้หลงให้คนเข้าข้าง ไม่มีใครเก่งเกินมันหรอกค่ะ” บัวทองเริ่มเสียงแข็ง

“งั้นคุณอาจจะต้องไปเรียนรู้สิ่งนี้จากพาไลบ้าง คุณจะได้ไม่ต้องไปเรียกร้องความเห็นใจจากใคร” นครินทร์หันหลังเดินไป บัวทองถามว่าเขารักพาไลหรือ? นครินทร์หยุดเดินหันบอกเต็มปากเต็มคำว่า “ครับ...ผมรักพาไล”

“ทำไมคะคุณรินทร์! พาไลเคยเน่ามามากขนาดไหนคุณก็รู้ ไหนจะเคยเล่นยา เคยขายตัว ทำแท้ง แต่ทำไมคุณยังโง่ไปรักมัน! หรือว่ามันทำให้คุณติดใจเรื่องบนเตียง ถ้าเป็นเรื่องนี้...บัวก็ทำได้ดีไม่แพ้มันหรอกค่ะ” บัวทองก้าวเข้าไปยั่วยวน

“ครับ ผมเชื่อ แต่ที่ผมรักพาไลเพราะผมสงสารที่มีแต่คนคอยดูถูกและซ้ำเติม แม้กระทั่งกับคนที่เติบโตมาด้วยกัน ความสงสารเป็นบ่อเกิดของความรักครับ”

“แต่แม่คุณไม่ชอบพาไล คุณกับมันจะไม่มีทางสมหวังกัน!”

“ปล่อยให้เป็นเรื่องของเราสองคนเถอะครับ” นครินทร์ตัดบทแล้วเดินไปเลย บัวทองแทบจะกรี๊ดอยู่ตรงนั้น

เดินหนีจากบัวทองมาแล้ว นครินทร์คิดถึงคำเตือนของป้าแสงเมื่อเร็วๆนี้ที่ว่า

“ป้าว่าคุณรินทร์คงจะต้องทำอะไรให้เด็ดขาด ไปสักอย่างแล้วนะคะ ถ้าคุณมีใจให้คุณพาไล คุณก็ต้องทำอะไรให้เด็ดขาดไปเลย แต่ถ้าไม่คิดจะคบ คุณรินทร์อาจต้องเปิดใจมีแฟนสักคน”

นครินทร์คิดตามคำพูดของป้าแสง แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครในใจตน แม้แต่กับมิตราที่ติดอยู่ในลิฟต์ด้วยกันเมื่อครู่นี้ แม้จะใกล้ชิดกันมาก แต่เขาก็ไม่รู้สึกอะไร เหมือนอย่างที่รู้สึกกับพาไลเลยแม้แต่นิดเดียว คิดแล้วนครินทร์แน่ใจว่าตนรักพาไล

ooooooo

นครินทร์โทร.ปรึกษามิ้ม มิ้มดีใจจนร้องไห้ นครินทร์ถามว่าร้องไห้ทำไม

“ฉันดีใจแทนไลค่ะ เพราะมันเองก็รักคุณเหมือนกัน” นครินทร์ดีใจมากถามว่าจริงหรือ มิ้มยืนยันว่า “ไลมันรักคุณมานานแล้ว มันไม่กล้าพูด มันบอกว่า...ถ้ามันบอกคุณ เกิดคุณไม่คิดเหมือนมัน ไม่ใช่แค่มันจะหน้าแตก แต่มันจะเสียเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างคุณไป”

นครินทร์ฟังไปยิ้มไปทั้งดีใจทั้งปลื้ม

“ว่าแต่คุณแน่ใจตัวเองแล้วใช่ไหม ฉันเตือนไว้ก่อนนะ ถ้าทำให้เพื่อนฉันมีความหวังแล้วจากไป ฉันไปปาระเบิดใส่บ้านคุณแน่”

นครินทร์ขำจนหัวเราะออกมา ยืนยันกับมิ้มว่า “แน่ใจครับ”

“ถ้าแน่ใจก็จัดเลยค่ะ ส่วนเรื่องที่คุณถามว่าเซอร์ไพรส์บอกรักมันยังไงดี ก็ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากหรอกค่ะ ดอกไม้ก็ไม่ต้องเอาไปนะคะ ไลมันเคยได้จากผู้ชายอื่นมาเยอะแล้ว คุณหอบความจริงใจใส่หัวใจคุณไปให้เต็มก็พอค่ะ”

“โอเคครับ! แต่ผมรบกวนคุณมิ้ม อย่าเพิ่งบอกพาไลก่อนนะครับ ผม...เขิน...”

“ค้า...ค่ะๆๆ ไม่บอกหรอกค่ะ สวัสดีค่ะคุณว่าที่เพื่อนเขย” มิ้มวางสายแล้วพูดเสียงแหลมด้วยความดีใจสุดขีด “อีไล!! ฉันมีอะไรจะบอกแก!!!”

ooooooo

พาไลขอบใจมิ้มที่โทร.มาบอก เมื่อนครินทร์กลับในตอนเย็น พิสมัยถามว่าแบบนี้เราคงไม่ต้องย้ายออกไปจากบ้านนี้แล้วใช่ไหม

พาไลบอกแม่อย่างไม่แน่ใจว่านครินทร์จะมารักคนอย่างตนได้จริงๆหรือ พิศมัยเตือนให้สติลูกว่า

“อย่าถามแม่เลย แม่ไม่ใช่คุณรินทร์ เอาไว้รอถามเขาเองดีกว่าลูก แต่ไลต้องสัญญากับแม่ว่าไลจะไม่เอาอดีตของตัวเองมาขัดขวางความรักของไลกับคนดีๆ อย่างคุณรินทร์เด็ดขาด”

พาไลยิ้มให้แม่อย่างอดตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกัน

ฝ่ายบัวทอง เมื่อถูกนครินทร์ปฏิเสธแล้ว เห็นมิตราเดินมา บัวทองรี่เข้าไปทัก “นี่เธอ” มิตราหยุดมองอย่างแปลกใจ แล้วเชิดหน้าคอแข็งใส่บัวทอง บัวทองบอกว่าตนกำลังจะมาบอกบุญ แล้วพูดอย่างอวดดีว่าตนรู้ว่ามิตราคิดอย่างไรกับนครินทร์ แต่รู้ใช่ไหมว่านครินทร์มีใจให้พาไล มิตราตัดบทว่าจะพูดอะไรก็พูดมาเลยไม่ต้องอ้อมค้อม

“คือฉันไม่ชอบขี้หน้านังชะนีที่คุณรินทร์ไปหลงนัก เพราะมันไม่มีอะไรคู่ควรกับคุณรินทร์เลย แถมพ่อแม่พี่น้องเขาก็ไม่ชอบมัน เธอคู่ควรกับคุณรินทร์มากกว่าเยอะ ฉันเชียร์เธอ” มิตราถามว่ามาเชียร์ตนทำไม เธอเองก็ชอบเขาอยู่ไม่ใช่หรือ? “ชอบ...แต่เขาไม่ชอบฉัน จบไหม?”

บัวทองเห็นมิตราเงียบไปก็รุก

“ฟังไว้ให้ดี เธอเหมาะสมกับคุณรินทร์มากกว่าทุกคน หัดรู้จักใส่เกียร์เดินหน้า อย่ามาทำเหนียมอาย ที่พาไลมันได้หัวใจคุณรินทร์ไปครอง ไม่ใช่เป็นเพราะว่ามันสวยกว่าเธอ อึ๋มกว่าเธอ แต่เป็นเพราะว่ามันหน้าด้าน อ่อยคุณรินทร์เต็มที่ ถ้าเธอรักเขา อย่าให้เขาตกนรกไปกับนังพาไลเด็ดขาด”

นครินทร์กลับมาแล้ว พิสมัยมองไปทางบ้านนั้นบอกพาไลว่าเดี๋ยวเขาคงมาที่นี่

นครินทร์ถามจุ้นว่าคุณพ่อคุณแม่ล่ะ? จุ้นบอกว่าอยู่ห้องน้องหนึ่ง ถามว่าเขาจะรับของว่างก่อนไหม นครินทร์บอกว่าไม่ต้อง ตนจะไปหาพาไลก่อน

นครินทร์ยังไม่ทันไปไหน เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น มองไปเห็นอรแต่งตัวแบบชาวบ้านมายืนหน้าบึ้งอยู่หน้าบ้าน

ooooooo

นครินทร์พาอรเข้าไปในห้องรับแขก บอกคุณโปรยกับคุณยอดว่าแม่ของเพรียวมีธุระจะคุยกับคุณพ่อคุณแม่ คุณโปรยถามหน้าตึงว่ามีธุระอะไรหรือ

“ฉันต้องการให้คุณไปสั่งสอนลูกสาวของคุณว่าอย่ามายุ่งกับลูกชายของฉัน”

นครินทร์ คุณโปรยและคุณยอดมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ นครินทร์เอ่ยขึ้นว่า “แต่น้าอรครับ ปิ่น กับเพรียวรักกัน”

อรเหน็บว่าคงรักกันมากถึงได้ไปมีอะไรกันที่บ้านตน ทุกคนช็อก คุณโปรยปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่จริง ปิ่นปักไม่ทำตัวแบบนั้นแน่ แม่อรยืนยันว่าทำแน่ ตนเห็นกับตาหลายครั้งและชาวบ้านแถวนั้นก็บอกว่าเคยเห็นแบบนี้มาแล้วตอนตนไม่อยู่บ้าน

คุณยอดย้อนถามว่าทำไมไม่เตือนลูกของตัวเองบ้าง แม่อรอ้างว่าลูกตนเป็นคนซื่อ ตอนนี้ชาวบ้านพากันนินทาว่าลูกชายตนอยากรวยถึงกับไปคว้าแม่ม่ายลูกอ่อนมาทำเมีย แต่ตนไม่เคยยินดีเลย ตนอยากให้ลูกได้กับคนที่ดีมากกว่าคนที่รวย

คุณโปรยปรี๊ดทันทีถามว่าลูกตนไม่ดีตรงไหน ไล่อรให้ออกจากบ้านตนไปเลย แม่อรพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า

“ไม่ต้องมาไล่ ฉันไปแน่ แต่อย่าลืมเรื่องที่ฉันขอ คุณก็น่าจะเข้าใจหัวอกแม่ด้วยกันดี แม่ทุกคนอยากให้ลูกได้มีคู่ชีวิตที่ดีที่คู่ควร เราถึงจะนอนตายตาหลับ” พูดแล้วลุกไป คุณโปรยโกรธจนเป็นลม นครินทร์กับยอดต้องรีบช่วยประคองไว้

ที่ห้องครัว จุ้นเม้าท์กับป้าแสงว่า แม่หวงลูกชายเหมือนที่คุณโปรยไม่อยากให้คุณรินทร์ไปยุ่งกับคุณพาไลไม่มีผิด เวรกรรมมันเร็วติดจรวดจริงๆ ป้าแสงบอกว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน อย่าโทษเวรโทษกรรมเลย

“แต่ใครจะไปเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับคุณปิ่น คุณลูกเพอร์เฟกต์”

“ไอ้ความเพอร์เฟกต์ สมบูรณ์มันมีจริงเสียที่ไหน มโนสร้างกันขึ้นมาเอง แล้วก็เจ็บเอง” ป้าแสงพูดอย่างมองโลกได้ถ่องแท้ จุ้นฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย

ooooooo

คุณยอดบอกให้นครินทร์ดูแลแม่ด้วย ตนขอไปพักผ่อน เพราะตอนนี้ตนหนักเกินกว่าจะรับไหวแล้ว

คุณโปรยร้องไห้บอกนครินทร์ว่าตนอาย แม่ของเพรียวคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้ามาด่าแม่อย่างไร้มารยาท นครินทร์บอกว่าน้าอรก็คงรักลูกเหมือนที่แม่รักตนกับปิ่นปัก บอกคุณโปรยว่า

“ผมไม่อยากให้แม่ตัดสินน้าอร เพราะถ้าเพรียวกับปิ่นรักกันไปแบบนี้ ต่อไปมันจะยิ่งเป็นปัญหา คุณโปรยถามว่าแล้วทำไมจะต้องไปคบหาคนที่จะสร้างปัญหาให้ด้วย พูดกับนครินทร์อย่างฝากความหวังสุดท้ายไว้ว่า

“รินทร์เองก็อย่าทำตัวแบบปิ่นนะลูก ถ้าจะคบใครก็เลือกคบคนที่เขาจะไม่สร้างปัญหาให้เราเถอะ” นครินทร์ถามอย่างรู้ทันว่าอย่างมิตราใช่ไหม พอคุณโปรยรับว่าใช่ เขาบอกแม่ตามตรงว่า “ตอนนี้ ผมยืนยันกับแม่ได้เต็มปากว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณมิตรา”

“อย่าเพิ่งใจร้อนสิรินทร์ ดูๆกันไปก่อน”

“ผมไม่ได้ใจร้อน ผมแน่ใจมากๆ คุณมิตราเขาเป็นได้แค่ ‘มิตร’ที่ดี และผมจะไม่แต่งงานกับใครที่ผมรักไม่พอ” คุณโปรยเห็นด้วย แต่พอเขาย้ำว่า “และจะไม่แต่งงานกับใครเพราะความดีด้วย” คุณโปรยก็นิ่งก่อนเอ่ยทิ้งท้ายว่า

“แม่จะไม่บังคับรินทร์แล้ว รินทร์ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่รินทร์ต้องไม่ลืมว่า...ว่า...แม่เหลือรินทร์คนเดียว”

คุณโปรยเสียงเครือ น้ำตารื้น จนนครินทร์เงียบไปด้วยความหนักใจ เมื่อออกมาจากบ้าน เขามองไปทางบ้านสวนอย่างคิดไม่ตก

เวลาเดียวกัน มิ้มที่เป็นคนบอกพาไลว่านครินทร์จะมาสารภาพรัก ก็โทร.ถามเพื่อน พอรู้ว่าเขายังไม่มาก็บอกพาไลให้วางสายก่อนตนจะโทร.กลับไปถามนครินทร์ดู พาไลรีบห้ามไว้ คาดว่าเขาอาจจะไม่ว่างหรือไม่ก็อาจเปลี่ยนใจแล้วก็ได้

พาไลบอกมิ้มว่าตนจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเขาไม่มา ก็จะไม่รอ แล้วเริ่มนับหนึ่ง...สอง...พอสาม หันหลังจะเข้าบ้าน เสียงนครินทร์ก็เรียกขึ้น

“พาไล...”

พอหันมอง ก็เห็นนครินทร์ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูเชื่อม พาไลดีใจมากแต่พยายามเก็บอาการ นครินทร์ถามว่าทำไมเธอยังไม่นอน มาทำอะไรตรงนี้ พาไลจะบอกว่ามาโทรศัพท์คุยกับมิ้ม ฉุกคิดได้กลัวเขาจะรู้ทัน เลยเปลี่ยนเป็นบอกว่า โทรศัพท์คุยกับลูกค้า นครินทร์ถามว่าเธอรู้จากมิ้มแล้วใช่ไหมว่าตนจะมาพูดอะไรด้วย พาไลอึกอัก เขาพูดอย่างรู้ทันว่า

“คุณเป็นเพื่อนสนิทกัน คุณไม่มีเรื่องปิดบังกัน ผมแค่อยากรู้ว่าคุณรู้สึกเหมือนผมอย่างที่คุณมิ้มบอกจริงๆหรือเปล่า ผมดีใจนะ ที่เจอคุณรอผมอยู่ตรงนี้” พอเขารู้ทันพาไลตัดพ้อว่าถ้ารู้ว่าตนรอแล้วทำไมถึงมาช้า “ที่บ้านผมมีปัญหา เรื่องปิ่นกับเพรียวน่ะครับ หน้าที่เป็นความหวังของคุณพ่อคุณแม่จึงตกเป็นของผมเต็มๆ”

“คุณก็เลยคิดอยู่นานว่าจะยอมทำให้คุณพ่อคุณแม่ ผิดหวังเพราะฉันหรือเปล่า?” พาไลใจแป้ว

นครินทร์ยอมรับว่าตนหนักใจ แต่พอเธอถามว่าแล้วทำไมถึงยังมา นครินทร์ตอบไม่ลังเลว่า

“เพราะว่า ผมรักคุณไง” พาไลถามเสียงเครือว่าทำไมถึงรัก “ไม่ต้องถาม ผมไม่มีเหตุผลให้ ผมรู้แต่ว่ารัก และจะรักตลอดไป”

พาไลซึ้งสะเทือนใจจนร้องไห้โฮ บอกเขาเหมือนให้สัญญาว่า

“คุณยอมให้เกียรติรักผู้หญิงอย่างฉัน นับจากนี้ไป ขอให้คุณคอยรับแต่สิ่งตอบแทนจากฉันเถอะค่ะ ฉันจะสร้างตัวเองให้มีค่าเท่ากับมาตรฐานของผู้หญิงดีๆที่พ่อแม่ คุณอยากให้คุณแต่งงานด้วย”

“ผมเชื่อว่าคุณทำได้” นครินทร์ดึงพาไลเข้าไปกอด พาไลกอดตอบ หลับตาพริ้มในอ้อมแขนเขาอย่างมีความสุข...

ooooooo

ปิ่นปักอยู่ในภาวะสับสนในชีวิตของตัวเอง ประชดชีวิตด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ คืนนี้ขณะเธอแต่งเปรี้ยวฉูดฉาดจะไปเที่ยวกลางคืนตามปกติ ถูกจิตใต้สำนึกตามเตือนตามหลอน...

เธอคิดถึงคืนวันแต่งงานที่มีความสุขอย่างที่สุดในชีวิต วินาทีเดียวเสียงแม่ของเพรียวที่ด่าเมื่อเจอเธอกับเพรียวกำลังนัวเนียกันอยู่ที่บ้าน “ลูกยังไม่ทันหย่านม ก็ร่านมาหาผัวใหม่ อีทุเรศ!”

ปิ่นปักสับสนกดดันจนเธอหยิบลิปสติกขึ้นมาละเลงบนกระจกโต๊ะเครื่องแป้งระบายอารมณ์!

คืนนี้เธอดื่มจนเมา เพรียวที่ตามไปคอยดูแลอย่างเป็นห่วงเข้าไปเตือนว่าเมามากแล้วกลับบ้านกันเถอะ ถูกปิ่นปักสะบัดตวาดว่าอย่ามายุ่งกับตน

“ปิ่นเป็นเมียพี่ พี่ไม่ยุ่งไม่ได้”

“ก่อนจะเรียกปิ่นว่าเมีย กลับไปถามแม่พี่ก่อนดีไหมคะว่าอยากได้ลูกสะใภ้เป็นผู้หญิงสกปรกอย่างปิ่นหรือเปล่า”

“พี่จะคุยกับแม่เรื่องของเรา พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้แม่พี่เข้าใจปิ่น เข้าใจเรา ปิ่นอดทนรอพี่หน่อยนะ”

“ไม่ค่ะ! ปิ่นจะไม่อดทน ปิ่นเจ็บเพราะคำนี้มามากพอแล้วค่ะ” ปิ่นปักเมามาก พูดแล้วนึกได้ย้ำว่า “อ้อ...แล้วก็อย่าเรียกปิ่นว่าเมียอีก เราแค่สนุกด้วยกันเท่านั้น”

ปิ่นปักสะบัดตัวเองออกจากเพรียวเดินหนีไป เพรียวมองตามอย่างเจ็บปวด แล้วเดินตามไป

ooooooo

เพรียวตามไปดึงแขนปิ่นปัก เธอสะบัดอย่างแรงจนตัวเองเซไปเข้าอกระพี หนุ่มหล่อเท่มาดดีที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

ระพีประคองปิ่นปักไว้ในอ้อมอก ก้มถามว่าคุณโอเคไหมครับ เพรียวทนดูไม่ได้เข้าไปบอกว่าแฟนตน ตนดูแลเองได้ ถูกปิ่นปักมองตาขุ่นตวาดเสียงเขียว

“พี่เพรียว!”

“ท่าทางคุณผู้หญิงจะไม่ชอบให้คุณดูแลแล้วล่ะครับ ผมขอรับหน้าที่ไว้เองแล้วกัน” ระพีตีขลุม ก้มถาม “โอเคไหมครับ” พอปิ่นปักตอบค่ะ ระพีก็ประคองเธอออกไป เพรียวได้แต่มองตามอย่างเสียใจ

ระพีพาปิ่นปักไปนั่งด้วยกัน แนะนำตัวเองพลางยื่นนามบัตรให้ “ผมระพีครับ”

“ระพี เอื้อมวงษ์ คุ้นจังเลยค่ะ...ฉันเคยอ่านเจอชื่อคุณในหนังสือพิมพ์ธุรกิจ” ปิ่นปักนึกได้

“ครับ คุณพ่อผมเป็นคนไทย ผมอยู่ฝรั่งเศสมาตั้งแต่เด็ก ตั้งใจจะมาทำธุรกิจที่นี่ ยังไม่มีเพื่อนคนไทยสักคน หวังว่าคืนนี้ผมคงโชคดีได้คุณเป็นเพื่อน”

ทั้งคู่สนิทกันอย่างรวดเร็ว คืนนี้ระพีขับรถไปส่งปิ่นปักที่คอนโด เธอบอกเขาว่ากฎของห้องตนคือไม่ต้อนรับแขกที่เพิ่งรู้จักกันวันเดียว ระพีไม่ฝืน บอกว่า “งั้นผมกลับนะ แล้วพรุ่งนี้ผมจะโทร.มาหา”

ปิ่นปักยิ้มรับ แต่พอระพีเดินออกไป รอยยิ้มก็หายไปทันที

เพรียวสะกดรอยตามมาด้วยความเป็นห่วง พอเห็นปิ่นปักเข้าห้องเขาจึงกลับไป

ooooooo

เพรียวกลับถึงบ้านตีสอง เจอแม่ยังนั่งรออยู่ พอถามว่าทำไมแม่ยังไม่นอน ก็ถูกตอบเหน็บอย่างน้อยใจว่า

“ลูกชายยังไม่กลับ แม่จะข่มตาหลับได้ยังไง ไหนบอกมาซิว่าแกจะเอายังไง” อรเข้าเรื่องอย่างตึงเครียด เพรียวถามแม่ว่าตนจะแต่งงานกับปิ่นปักได้ไหม อรก็ปรี๊ดทันที “ได้สิ! แต่แม่จะขายบ้านหลังนี้ แล้วย้ายไปอยู่กับป้าแกที่เพชรบูรณ์”

เพรียวเหนื่อยใจ ขอร้องแม่ว่าพูดกันดีๆได้ไหม อรเสียงแข็งว่านี่แหละดีที่สุดแล้ว รำพึงรำพันถึงชีวิตที่ผ่านมาว่า

“เมื่อก่อน แกเคยตามใจแม่ทุกอย่าง แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงทำตามที่แม่บอกไม่ได้ แกคงหลงเสน่ห์แม่ม่ายเข้าเยอะแล้ว นี่ไม่ใช่ว่า ป่านนี้แอบจดทะเบียนกันมาแล้วเหรอ” เพรียวติงว่าแม่ตีราคาตนสูงเกินไปแล้ว ตนไม่ได้ดีจนปิ่นปักจะอยากจดทะเบียนด้วยหรอก อรบอกว่า “ลูกใคร ใครก็ตีราคาสูงกันทั้งนั้นแหละ”

เพรียวปกป้องปิ่นปัก ขอร้องแม่ว่าอย่าโทษเธอเลย ตนผิดเองที่ไม่ยับยั้งชั่งใจเพราะรักเธอ รักมานานแล้ว ถามว่า

“แม่ขัดขวางผมไม่ให้ผมรักกับผู้หญิงที่ผมรัก แม่ไม่สงสารผมบ้างเหรอ”

“แม่จะสงสารแกมากกว่านี้ ถ้าแกต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น”

“ผมบอกแล้วไง ว่าปิ่นเขาเป็นคนดี เขาเจอเรื่องร้ายมามาก เหมือนกับแม่”

“แต่แม่ไม่เคยทำตัวแบบเขา คนเรามันก็เจอปัญหาเจอความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเขาเลือกหาทางออกด้วยการมีผัวไปเรื่อยๆ แกก็ยิ่งไม่ควรไปคว้าคนพรรค์นี้มาเป็นเมีย”

ฟังแม่แล้ว เพรียวยิ่งเครียด เมื่อเข้าห้องนอน คิดอย่างไรก็หาทางออกไม่ได้ เขาเอาหมอนมาปิดหน้า แผด เสียงระบายความอัดอั้น อรได้ยินเสียงเพรียว ได้แต่ร้องไห้อย่างหนักด้วยความสงสารลูก แต่ไม่ยอมตามใจเด็ดขาด

ooooooo

เพื่อขยายการขายเสื้อผ้าให้กว้างขึ้น มิ้มไปหาที่ขายใหม่เป็นทำเลดีแต่ไม่เหมาะกับสินค้าของเราเพราะเป็นย่านธุรกิจมีแต่สาวออฟฟิศ พาไลเสนอว่าอยากได้แหล่งวัยรุ่นมากกว่า

พาไลเห็นนครินทร์เดินมาทางบ้านสวน บอกมิ้มว่าแฟนมาแล้วคุยแค่นี้ก่อนนะ แล้วออกไปรับนครินทร์ ถามว่าเขาจะไปสอนแล้วหรือ นครินทร์บอกว่าใช่ แต่แวะมาขอกำลังใจก่อน

ทั้งสองต่างให้กำลังใจให้สู้ๆกัน พาไลถามว่าวันนี้คุณแม่เขาอยู่บ้านไหม บอกว่าตนจะไปประจบแต่ไม่สอพลอ ท่านจะได้เมตตายอมรับตน ต่างหอมให้กำลังใจให้สู้ๆกันต่อไป

เพราะรู้ว่าจุ้นชอบแต่งตัวพาไลจึงเอาทั้งเครื่องสำอางและเสื้อผ้าวัยรุ่นไปฝากและสอนการแต่งหน้าให้ แต่ถ้าแต่งเสร็จ ขอให้จุ้นทำอะไรบางอย่างเป็นการตอบแทนตนบ้าง

พอคุณโปรยเห็นจุ้นทั้งแต่งหน้าและใส่เสื้อผ้าใหม่ ถามว่าจะไปไหนทำไมแต่งตัวแบบนี้ จุ้นบอกว่าไม่ไปไหนแต่ได้เสื้อผ้าใหม่เลยอยากใส่

“ใครให้มา”

“คุณพาไลค่ะ เสื้อจากร้านพาไลของคุณพาไล ออกแบบโดยคุณพาไล ปักเลื่อมโดยคุณพาไล ขายโดยคุณพาไล”

“ถ้าแกพูดชื่อผู้หญิงคนนั้นอีกคำเดียว ฉันจะไล่แกออกจากบ้าน!” คุณโปรยปรามเสียงขุ่น แต่คุณยอดกลับชมว่าฝีมือดีเหมือนกันนะ “คุณ! ไปชมมันทำไม!!”

“เอ้าคุณ...ผมก็พูดไปตามน้ำ เด็กเขาทำดี เราก็ต้องชื่นชม”

“ใช่ค่ะคุณผู้ชาย คุณพาไลนะคะเธอเก๊ง...เก่งงง ขยันตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอต ไหนจะต้องเรียนหนังสือ คนแบบนี้ต้องชื่นชมค่ะ” จุ้นสาระแนถูกเรื่อง คุณยอดพยักหน้าเห็นด้วย แต่คุณโปรยหน้าตึง แม้จะนึกชื่นชมแต่ทิฐิเหนือกว่า

จุ้นแอบสังเกตคุณโปรยและลุ้นตลอดเวลา

พอพาไลกลับบ้านสวนเล่าให้พิสมัยฟัง แม่ถามว่า “ทำไมไลไม่ไปเข้าหาคุณโปรยเอง ทำไมต้องให้จุ้นไปพูดถึงไลให้คุณโปรยฟังด้วย”

“ขืนไลเข้าไป เขาได้ไล่ตะเพิดไลออกมาสิคะ ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ” พาไลยิ้ม พิสมัยยิ้มรับอย่างเข้าใจ

ooooooo

มิตราฟังคำยุยงจากบัวทอง กอปรกับตัวเองก็มีใจให้นครินทร์อยู่แล้ว วันนี้จึงชวนเขาไปดูหนังกัน นครินทร์แปลกใจมากว่าปกติเธอไม่เคยชวนแบบนี้ เธอบอกว่าก็อยากลองทำอะไรที่ไม่ปกติ เผื่อชีวิตจะได้มีสีสันมากขึ้น

“งั้นก็ได้ครับ ผมขอเป็นพรุ่งนี้นะ วันนี้ผมต้องไปหาปิ่น” มิตราถามว่าตนไปเป็นเพื่อนไหม “อย่าดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณจะอึดอัดเสียเปล่าๆ เพราะผมมีเรื่องต้องคุยกับน้องผมเยอะเลย”

มิตรายิ้มเจื่อนอย่างผิดหวัง

เมื่อไปหาปิ่นปักที่คอนโด เธอถามว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า พอนครินทร์บอกว่าเพรียวให้ตนมาพูดกับเธอ ปิ่นปักก็หน้าตึงทันทีถามว่า

“เรื่องอะไรล่ะคะ ถ้าเป็นเรื่องแม่เขา พี่รินทร์ไม่ต้องพูดให้เหนื่อยหรอกค่ะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ ปิ่นตัดไปแล้ว”

นครินทร์ติงว่าเธอมีความสุขเวลาอยู่กับเพรียว ปิ่นปักยอมรับ แต่ถ้าเพรียวยังเป็นลูกแหง่ที่ให้แม่คอยบงการชีวิต ตนก็ไม่เอาเหมือนกัน นครินทร์ชี้แจงว่าป้าอร ไม่ได้ใจร้ายอะไรแต่เป็นคนที่เจ็บช้ำเพราะคู่ชีวิตเหมือนที่เธอเป็น

“แล้วทำไมเขาต้องมาลงกับปิ่น ต้องมาด่าปิ่นสาดเสียเทเสีย มาหาว่าปิ่นไปจับลูกชายเขา”

“เพราะเขายังไม่รู้จักปิ่นดีพอ”

“ถ้าไม่รู้จัก ก็อย่ามาตัดสินปิ่น!” ปิ่นปักปรี๊ด

นครินทร์ติงว่าเมื่อเธอไม่ชอบให้ใครมาตัดสินตัวเองก็อย่าไปตัดสินใครเหมือนกัน ถ้าเธอพยายามทำความเข้าใจคนอื่นบ้าง เธอจะมีความสุขมากกว่านี้ ปิ่นปักบอกว่าตนมีความสุขดีอยู่แล้วกับระพี ขอไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะนัดกับระพีไว้

นครินทร์ถามว่าระพีเป็นใคร เธอบอกว่าแฟนใหม่ของตน และคบกันแล้วตนมีความสุขดี นครินทร์ติงว่าแต่แววตาเธอบอกว่าไม่มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว เตือนน้องอย่างห่วงใยว่า

“ระวังไว้นะปิ่น ถ้าสิ่งที่คิดข้างในกับสิ่งที่ปิ่นแสดงออกภายนอกมันยิ่งตรงกันข้ามมากเท่าไหร่ ปิ่นจะมีปัญหาตามมาอีกมากมาย”

“ไม่มีปัญหาอะไรหนักไปกว่าที่ปิ่นผ่านมาแล้วหรอกค่ะ ปิ่นขอตัวนะคะ” พูดแล้วเดินออกไป นครินทร์มองตามอย่างเหนื่อยใจ มองไปเห็นปิ่นปักเดินไปหาระพี ที่ถือช่อดอกไม้รออยู่ ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปอย่างสนิทสนม เห็นแล้วนครินทร์ยิ่งเป็นห่วงปิ่นปักมากขึ้น

ooooooo

เมื่อคุยกับปิ่นปักไม่สำเร็จ นครินทร์กลับไปบอกและปลอบใจเพรียวที่นอนก่ายหน้าผากอยู่ที่บ้าน

“ไม่เป็นไร ลองให้ปิ่นไปเจอคนอื่นดูบ้าง ปิ่นจะได้รู้ว่า ไม่มีใครรักปิ่นได้เท่าฉัน”

คืนนี้ขณะปิ่นปักออกไปเที่ยวกับระพี เพรียวเอากล่องใส่รูปที่ตนวาดปิ่นปักไปที่หน้าห้องเธอ มองประตูเศร้าๆ

ปิ่นปักกลับมาโดยมีระพีที่พยายามจะเข้าไปที่ห้อง เธอยังยึดกฎที่ห้ามพาคนอื่นเข้าห้องเหนียวแน่น บอกว่าถ้าเขาดื้อตนจะไม่ให้ขึ้นมาโดยเด็ดขาด

หารู้ไม่ หายนะกำลังจะเกิด! ปิ่นปักไม่ทันเข้าห้องก็ถูกซูซี่ภรรยาของระพีตบหน้าด่าอย่างเกรี้ยวกราด

“หน้าตาก็ดี ทำไมไม่รู้จักหาผัวเอง มาแย่งผัวคนอื่นเขาทำไม!”

ปิ่นปักตะลึงอึ้ง ถามระพีว่าทำไมไม่บอกว่าตัวเองมีเมียแล้ว ซูซี่ตอบแทนว่า “เพราะเขาจะหลอกกินแกฟรีไงล่ะ!”

“หยุดพูดจาหยาบคายกับฉันได้แล้ว!” ปิ่นปักปราม ถูกซูซี่ด่าว่าแย่งผัวตนแล้วยังจะมาขึ้นเสียงอีกหรือแล้วปราดเข้าตบตีปิ่นปัก เธอพยายามปัดป้องแต่สู้ไม่ไหว ระพีก็ได้แต่ร้องบอกซูซี่ให้พอแต่ไม่กล้าเข้าห้าม

มิ้มกับพาไลเพิ่งกลับมา มิ้มเห็นคนตบกันก็หยิบมือถือเข้าไปจะถ่ายคลิป จึงเห็นว่าเป็นปิ่นปัก พาไลร้องเรียก รปภ.ให้มาจัดการ ซูซี่ได้ยินเสียงเรียก รปภ.จึงผละจากปิ่นปัก พาไลรีบประคองปิ่นปักขึ้นมา ระพีดึงซูซี่ไป ซูซี่ชี้หน้าปรามปิ่นปักว่า

“จำเอาไว้เลยนะ ถ้าแกมายุ่งกับผัวฉันอีก แกเจอหนักกว่านี้แน่” แล้วกลับไปกับระพี

พาไลถามปิ่นปักว่าเป็นอะไรมากไหม ปิ่นปักไม่ตอบคว้ากระเป๋าสะพายวิ่งเข้าไปในคอนโด มิ้มมองตามพึมพำว่าด็อกเตอร์ของเราฉาวโฉ่อีกแล้ว พาไลมองตามปิ่นปัก รำพึงสงสาร...

“เมื่อไหร่คุณปิ่นจะหยุดทำร้ายตัวเองสักที”

ปิ่นปักวิ่งมาเข้าห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำผมเผ้าเสื้อผ้ากระเซิงยับเยินเพราะถูกตบ เท้าเหยียบอะไรบางอย่างลื่นๆ พอหยิบดู เห็นเป็นรูปวาดตัวเองที่เพรียวเอามาสอดใต้ประตูเข้ามา เธอทรุดร้องไห้อย่างสับสนกับชีวิตตัวเอง

ooooooo

รุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์มีทั้งภาพและข่าวปิ่นปักถูกซูซี่เมียระพีตบตี ศกปาหนังสือพิมพ์ลงพื้นด่า...

“ทุเรศ! คบกับไอ้กระจอกเพรียวยังไม่พอ ยังจะไปเป็นเมียน้อยคนอื่น”

ทั้งศก คุณเศียรและคุณขจี ต่างตำหนิปิ่นปักอย่างรุนแรงว่ากลายเป็นผู้หญิงใช้ผัวเปลือง ลูกเต้าไม่ดูแลหนีไปมีผัวใหม่ ศกเองถึงกับเหยียดปากว่า ตอนหย่ากันใหม่ๆ รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวตนยังนึกเสียดาย แต่ตอนนี้ให้ฟรีก็ไม่เอา

คุณขจีและศกวางแผนจะฟ้องเพื่อเอาหนูหนี่งมาเลี้ยงเอง บอกคุณเศียรว่าปิ่นปักทำตัวแบบนี้ฟ้องไปยังไงเราก็ชนะ

คุณเศียรท้วงติงว่า อย่าลืมว่าทางเราก็ไม่สะอาด ฟ้องไปถ้าแพ้ ศกเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายต้องอาย

“ถ้าหลักฐานการเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องของคุณปิ่นยังไม่พอ ฝนมีเพิ่มให้อีกนะคะ รับรองว่าเลิศ!” ฝนสาระแนแทรกขึ้น ศกไม่พอใจถามพ่อกับแม่ว่าทำไมยังให้ฝนเข้าบ้านเราอีก

“พ่อกับแม่ห้ามจนปากฉีกถึงรูหู เคยฟังเสียที่ไหน พอขู่ว่าจะแจ้งตำรวจจับก็บอกว่าไม่กลัว พ่อกับแม่ก็เลยคิดว่าปล่อยมันไป เดี๋ยวมันก็เบื่อไปเอง” คุณเศียรพูดอย่างเอือมระอา คุณขจีบอกศกว่าอย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่น สนใจว่าฝนรู้อะไรมาดีกว่า

เมื่อศกไปถามฝน ฝนอ่อย ยั่ว บอกว่าถ้าตนบอกเขาต้องให้รางวัล แล้วเข้าไปกระซิบข้างหู ศกพยักหน้าอย่างพอใจ

ooooooo

วันนี้ปิ่นปักกลับไปที่บ้าน ถามหาหนูหนึ่ง คุณยอดบอกว่าอยู่กับป้าแสง พอปิ่นปักจะไปหาลูก คุณยอดถามว่า

“เมื่อไหร่ปิ่นจะกลับมาอยู่บ้าน บ้านเราก็มี ปิ่นจะเร่ร่อนไปอยู่คอนโดทำไม ปิ่นจะไม่นึกถึงใครก็นึกถึงลูกตัวเองบ้าง หนูหนึ่งก็โตขึ้นทุกวัน เด็กอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ จะขาดความอบอุ่น”

ปิ่นปักบอกคุณยอดว่าตนคิดอยู่เรื่อยๆว่าจะทำอย่างไรกับลูกดี คุณยอดบอกว่าดีที่ยังรู้จักคิด เตือนสติว่า

“มนุษย์เราขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์โลกที่สอนได้ ขัดเกลาได้ ลูกเองก็ร่ำเรียนมาออกขนาดนี้ ต้องรู้จักผิดชอบชั่วดี งั้นก็อย่าละเลยหน้าที่ที่มนุษย์โลกเขาไม่ละเลยกันเลยนะ”

ปิ่นปักบ่นว่าตนไม่อยากกลับบ้านเพราะเสียงบ่นของคุณพ่อนี่แหละ ทำไมทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ปล่อยตนเป็นตัวของตัวเองบ้าง คุณยอดถามว่าที่แล้วมาปิ่นยังไม่ได้เป็นตัวของตัวเองอีกหรือ พอหย่าก็ออกจากบ้านไปใช้ชีวิตลำพังกับผู้ชายจนข่าวลือเต็มสองหู รู้หรือเปล่าว่าพ่อกับแม่อายชาวบ้านขนาดไหน

“ดูชาวบ้านมีอิทธิพลกับคุณพ่อจังเลยนะคะ แต่สำหรับปิ่น ปิ่นไม่แคร์”

“ไอ้การแคร์คำครหาไว้มั่งเป็นของดี เพราะมันทำให้เราสำรวม คิดหน้าคิดหลัง ทำแต่สิ่งที่ดีงาม คนไม่แคร์ใครมีลู่ทางผิดได้เยอะ เพราะนึกว่าโลกนี้เป็นของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ไม่เดือดร้อนใคร แต่นี่มันเดือดร้อนกันหมด ทั้งลูกตัวเอง ทั้งพ่อแม่พี่น้อง”

“ถ้าคุณพ่อรู้ว่าปิ่นเป็นยังไง ก็ทำใจเถอะค่ะ อย่ามาคาดหวังอะไรจากปิ่นอีกเลย” ปิ่นปักตัดบทอย่างไม่แคร์แล้วเดินเข้าบ้านไป คุณยอดมองตามอย่างหนักใจ

ooooooo

ปิ่นปักไปหาหนูหนึ่งที่อยู่กับป้าแสง ป้าแสงเห็นสีหน้าเธอไม่ดีถามว่าทะเลาะกับคุณยอดมาหรือ เธอพยักหน้าเศร้าๆ

“ป้าอยากให้คุณปิ่นเห็นใจคุณพ่อคุณแม่ ทุกอย่างที่พวกเขาพูด ก็เพราะว่ารักลูกห่วงหลาน เขาอยากให้คุณปิ่นนึกถึงลูกก่อน อย่าเพิ่งทิ้งลูกไปหาความสุข...”

“ป้าแสงคะ” ปิ่นปักขัดขึ้น “อย่าเข้าใจผิด สิ่งที่ปิ่นเป็นอยู่ ปิ่นไม่เคยเรียกมันว่าความสุข ปิ่นแค่บาดเจ็บมาก ปิ่นแค่อยากรักษาแผลเพื่อกลับมายืนหยัดเหมือนเดิม”

“ถ้าอย่างนั้นป้าก็ขอให้แผลคุณปิ่นหายไวๆก็แล้วกันนะคะ ยังไงป้าก็อยากเห็นคุณปิ่นกลับมารักตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ถึงจะไม่ค่อยน่ารัก แต่ก็ยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้”

ป้าแสงเดินออกไปเพื่อให้แม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน

ปิ่นปักอุ้มหนูหนึ่งขึ้นวางบนตัก มองลูกน้ำตาไหล หนูหนึ่งในวัย 5-6 เดือนส่งเสียงอ้อแอ้...อ้อแอ้ ยกมือป่ายปะไปที่หน้าปิ่นปักเหมือนจะเช็ดน้ำตาให้แม่

“หนูหนึ่ง...” ปิ่นปักกอดลูกถามเสียงเครือ “ปลอบใจแม่เป็นแล้วเหรอ ขอบคุณนะคะ” เธอจับมือน้อยๆขึ้นจูบน้ำตาไหลพราก...

ooooooo

วันต่อๆมา ปิ่นปักอยู่กับหนูหนึ่งมากขึ้น จนป้าแสงชมให้นครินทร์ฟังว่า พักนี้เธอดีขึ้น อยู่บ้านกับหนูหนึ่งตลอด กลางคืนก็เอาไปนอนกอด หอม เห็นแล้วชื่นใจ

แต่พอสายๆ จุ้นก็หน้าตาตื่นมาบอกป้าแสงว่า คุณศกมา มาพร้อมกับทนายความด้วย ทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเข้ามานั่งคุยกันในห้องรับแขก คุณโปรย ปิ่นปัก คุณยอดและนครินทร์จึงรู้ว่าศกจะฟ้องเอาลูกไปเลี้ยงเอง ศกอ้างว่า ตนคิดว่าคนที่นี่คงไม่ยอมจึงต้องขอความช่วยเหลือจากทนาย

“ปิ่นไม่ให้ลูกกับใครทั้งนั้น ถ้าพวกคุณไม่อยากเสียเวลาอันมีค่าไปขึ้นศาล ก็เชิญฟ้องได้ตามสบาย” ปิ่นปักแข็งกร้าว ศกถามเย้ยๆว่ามั่นใจสินะว่าตัวเองจะชนะ “ให้เด็กอนุบาลดูก็ยังรู้ว่าใครจะชนะ ระหว่างคนที่ทำหน้าที่แค่ให้น้ำเชื้อ แล้วก็หนีไปมีผู้หญิงอื่น ทำเหมือนฉันกับลูกไม่มีตัวตน ไม่เคยเหลียวแล กับฉันที่เป็น...”

“แม่สำส่อน” ศกโพล่งขึ้น ทำให้ครอบครัวปิ่นปักทุกคนอึ้ง นครินทร์เตือนว่ากรุณาพูดให้เกียรติน้องสาวตนด้วย

ทนายความแทรกขึ้นว่า ที่ศกทำไม่ดีไว้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนหนูหนึ่งจะเกิด ตอนนี้เขาก็รู้สึกผิดมากและอยากจะแก้ตัวด้วยการขอรับหนูหนึ่งไปเลี้ยงเพราะเห็นว่าปิ่นปักไม่พร้อมที่จะดูแลลูก

ปิ่นปักถามอย่างโกรธจัดว่าเอาอะไรมาพูดว่าตนไม่พร้อม คุณเศียรถามว่าถ้าพร้อมแล้วทำไมถึงทิ้งลูกไว้ให้คนอื่นเลี้ยง ส่วนตัวเองออกไปมั่วกับผู้ชายอื่น คุณขจีกระหน่ำซ้ำว่า ได้ยินว่าไม่ค่อยอยู่บ้านให้นมลูกจนหนูหนึ่งป่วยกระเสาะกระแสะ แม่ที่ดีเขาไม่ทำตัวแบบนี้หรอก

ปิ่นปักโต้ว่าตนกับครอบครัวดูแลหนูหนึ่งอย่างดี พวกเขาไม่มีสิทธิ์เอาเด็กไป ถูกศกสวนทันควันว่าดูแลอย่างดียังไง หนูหนึ่งถึงเกือบถูกลักพาตัวไป คุณโปรยกับคุณยอดไม่เคยรู้เรื่องนี้ปรามว่าอย่ามาใส่ร้ายกัน

ศกถามว่าแน่ใจหรือว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แล้วมองไปที่จุ้น ปิ่นปักถามจุ้นว่าเกิดอะไรขึ้น จุ้นตกใจอึกๆอักๆ

“จริงครับ หนูหนึ่งเคยถูกลักพาตัว” นครินทร์ยอมรับ ทุกคนตะลึงอึ้ง “แต่พาไลไปช่วยไว้ได้ทัน พี่พยายามให้เพื่อนที่เป็นตำรวจสืบหาคนร้ายแต่ไม่สำเร็จ”

นครินทร์ถามศกว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ศกตะแบงว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง คุณเศียรก็ช่วยลูกชายสรุปว่าหนูหนึ่งถูกลักพาตัวจริง ปิ่นปักเป็นแม่ไร้ความสามารถในการดูแลหลานตน เพราะมัวไปปรับทุกข์กับผู้ชายอื่น

“คราวนี้ คงยอมตกลงกันดีๆแล้วใช่ไหมจ๊ะหนูปิ่น” คุณขจีถามอย่างเป็นต่อ

“ไม่! ปิ่นไม่ให้ลูก ลูกเป็นชีวิตของปิ่น ปิ่นรักเขา ใครหน้าไหนก็เอาลูกปิ่นไปไม่ได้!”

“ปิ่น...พี่ว่าเรายอม...”

“ไม่พี่รินทร์!!” ปิ่นปักกรี๊ด ตะโกนสุดเสียง “ปิ่นไม่ให้ลูก...ปิ่นไม่ให้!!” แล้ววิ่งเตลิดออกจากห้องไปเลย

ปิ่นปักวิ่งไปแย่งหนูหนึ่งจากป้าแสง บอกว่าพวกนั้นจะมาแย่งลูกไป ตนจะพาลูกหนี ป้าแสงขอไปด้วยบอกว่าไปไหนไปกัน แล้วไปเปิดประตูรถให้ปิ่นปักอุ้มหนูหนึ่งเข้าไปไว้ในรถแล้ววิ่งไปที่นั่งคนขับ ขับรถออกไปอย่างเร็ว

ทั้งนครินทร์และพวกคุณขจีวิ่งออกมาไม่ทัน คุณขจีสั่งให้รีบตามไปห้ามปิ่นปักเร็ว เพราะหลานตนอยู่ในรถ

นครินทร์วิ่งไปที่รถตนขับตามรถปิ่นปักไปทันที

ปิ่นปักขับรถไปอย่างเร็ว ร้องไห้อย่างอัดอั้น จนป้าแสงที่อุ้มหนูหนึ่งอยู่เบาะหลังปลอบให้ใจเย็นๆ

ooooooo

พาไลทั้งขายเสื้อผ้าและเรียนหนังสืออย่างจริงจัง มิ้มมองปลื้มที่เห็นเพื่อนกำลังไปได้ดี บอกว่าดีแล้วที่กลับมาเรียนหนังสือ เพราะพาไลเป็นคนชอบเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็กแล้ว

“แกเองก็ชอบเรียนเหมือนกัน ไม่คิดจะกลับมาเรียนบ้างหรือ” มิ้มบอกว่าไม่มีเวลา พาไลหว่านล้อมมิ้มให้กลับมาเรียน กศน. ไม่ถึงปีก็ได้วุฒิม.6 แล้วเราก็จะไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน จบด้วยกัน ใส่ชุดครุยรับปริญญาด้วยกันนะมิ้มนะ

“ก็ได้” มิ้มตอบหลังจากไตร่ตรองอยู่อึดใจ พาไลดีใจมาก มิ้มชวนว่าตอนนี้ออกไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่าตนหิวแล้ว

ระหว่างไปนั่งกินอาหารร้านริมถนนกันนั้น มือถือมิ้มมีสายเข้า มิ้มควักมือถือจากกระเป๋าไม่ทันระวัง แบงก์ร้อยปลิวออกไปที่ถนน พาไลบอกให้มิ้มคุยโทรศัพท์ไปตนจะวิ่งตามเก็บให้เอง

พาไลวิ่งตามเก็บแบงก์ที่ปลิวไปกลางถนน เป็นจังหวะที่รถของปิ่นปักขับตะบึงมาอย่างเร็วพอดี ปิ่นปักหักรถหลบร่างพาไล รถพุ่งไปชนมิ้มจนถุงในมือตกพื้น

“โครม!!!” เสียงชนลั่น พาไลหันมองร้องสุดเสียง

“มิ้ม!!!!”

พาไลวิ่งไปกอดร่างมิ้มร้องไห้โฮ ร้องขอความช่วยเหลือ จนพามาถึงโรงพยาบาลก็พร่ำบอก

“มิ้ม...แกต้องอดทนนะ แกห้ามตาย แกได้ยินฉันไหมมิ้ม...”

มิ้มบีบมือพาไลเบาๆ พยายามบอก “ไล...บอก... พ่อ...แม่...” มิ้มพูดได้แค่นั้นพาไลก็กรีดร้อง

“ไม่...ไม่บอก แกไม่ต้องมาพูด ถ้าแกอยากให้พ่อแม่รู้อะไร แกต้องลุกขึ้นมาบอกเอง!” พอดีพยาบาลเข็นมิ้มเข้าห้องฉุกเฉิน พาไลจะตามเข้าไป ถูกพยาบาลกันไว้แล้วปิดประตู พาไลตะโกนสุดเสียง “จำไว้นะมิ้ม! ฉันจะไม่พูดกับใครแทนแกทั้งนั้น แกต้องลุกขึ้นมาบอกเอง! ได้ยินไหมมิ้ม...แกต้องลุกขึ้นมาบอกเอง!!” พาไลร้องไห้แทบขาดใจอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน...

ooooooo

คุณโปรยกับคุณยอดและนครินทร์มาถึงโรงพยาบาล ถามป้าแสงว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“ดิฉันหัวแตกค่ะ เย็บไปสิบเข็ม แล้วก็เศษกระจกบาดตามลำตัวนิดๆหน่อยๆ ส่วนคุณหนูหนึ่งมีแค่รอยฟกช้ำ” นครินทร์ถามว่าแล้วปิ่นปักไปไหน ป้าแสงรู้ว่าปิ่นปักไปไหน แต่ไม่ตอบ

ฝนมาถึงโรงพยาบาล ถามพาไลว่ามิ้มเป็นอย่างไรบ้าง พอรู้ว่าอยู่ห้องฉุกเฉินยังไม่ออกมา พาไลบอกฝนว่า

“ฝน...ฉันกลัวมิ้มมันตาย...”

ฝนปลอบใจพาไลทั้งที่ตัวเองใจไม่ดีว่า มิ้มไม่ตายหรอก มันถึกจะตาย แล้วให้พาไลเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่าทำไมมิ้มถึงถูกรถชน

“คุณปิ่นชน”

พอดีหมอออกจากห้องฉุกเฉิน พาไลรีบไปถามว่ามิ้มเป็นอย่างไรบ้าง หมอบอกว่าอาการค่อนข้างสาหัส พาไลกับฝนช็อก ฝนถามแทบคุมสติไม่อยู่ว่า “บอกมาสิ! ว่ามันจะรอด บอกมาสิ!!” พยาบาลมองหน้าฝนแล้วขอตัว

ขณะนั้นเองปิ่นปักเดินมาอย่างเร็วด้วยความรู้สึกผิดมาก พอฝนเห็นปิ่นปักก็คำราม “อีปิ่น!!” แล้ววิ่งพุ่งไปทันทีไปถึงก็ตบปิ่นปักไม่ยั้ง ปิ่นปักไม่สู้เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจจนไม่รู้สึกเจ็บปวดกับการที่ถูกฝนตบตี

“ฝน! ฝนพอแล้ว!!” พาไลตามมาห้าม ถูกฝนตวาดอย่ามายุ่ง แล้วจับปิ่นปักเหวี่ยงลงกับพื้น จิกหัวขึ้นมาถาม “มิ้มมันทำอะไรให้ ถึงต้องฆ่ามัน! ถ้าแกเกลียดฉันก็มาลงที่ฉัน อย่ายุ่งกับเพื่อนฉัน!”

“ฉันขอโทษ...”

ฝนไม่สนใจลากตัวปิ่นปักไปที่หน้าห้องฉุกเฉินกดหัวเธอลงสั่งให้กราบขอโทษเพื่อนตนเดี๋ยวนี้ พาไลเข้าไปดึงฝนออกมาบอกให้พอได้แล้ว ถามว่า แกบ้าไปแล้วหรือไง บอกฝนว่าปิ่นปักไม่ได้ตั้งใจ

“มันตั้งใจ แกจำไม่ได้รึไงมันเคยจะขับรถชนฉัน ทำไมมันจะทำอีกไม่ได้”

“ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ...” ปิ่นปักร้องไห้โฮตะโกนขอโทษอย่างไม่อายใคร พาไลเข้าประคองปิ่นปักถูกฝนตวาด ไม่ให้ยุ่งกับปิ่นปัก ให้กราบกับพื้นอย่างนั้นแหละ พาไลมองฝนอย่างไม่พอใจ ก็พอดีนครินทร์มาถึง ถามว่าปิ่นปักเป็นอะไร พาไลบอกให้เขาพาเธอออกไปก่อน

“อีฆาตกร! อีชั่ว! แกจำไว้ ถ้ามิ้มเป็นอะไรไป ฉันจะตามไปฆ่าแก!” มิ้มตะโกนไม่หยุด พาไลขอให้พอสักทีได้ไหม ก็ถูกหาว่าเพราะปิ่นปักเป็นว่าที่น้องสามีเธอเลยปกป้องถามว่าเห็นมันดีกว่าเพื่อนเราได้ไง พาไลตบหน้าฝนเต็มแรง

“เรากำลังจะเสียมิ้มไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แกอย่าเพิ่งบ้าเรื่องอื่นได้ไหม”

ฝนมองหน้าพาไลอย่างโกรธมาก

ooooooo
 

ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น