วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 9


บรรจบไม่สนใจนงรามแต่พยายามตามตื๊อแพรวพรรณผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด วันนี้เขามาพบเธอถึงบ้านโดยได้รับไฟเขียวจากงามเนตรที่อยากได้เขาเป็นลูกเขยทุกเมื่อเชื่อวันงามเนตรบังคับแพรวพรรณอีกตามเคยด้วยการให้ทำอาหารให้บรรจบกิน ปรากฏว่าอาหารทั้งเผ็ดและเปรี้ยวมากจนบรรจบกินไม่ได้เพราะแพรวพรรณตั้งใจแกล้ง งามเนตรเลยให้ลูกสาวแก้ตัวด้วยการออกไปกินข้าวข้างนอกกับเขาแพรวพรรณปฏิเสธไม่ออก แต่ขากลับขอให้เขาแวะส่งเธอทำธุระ บรรจบไม่ยอมส่งอย่างเดียวแต่ขอเข้าไปด้วย จึงเจอพวกวิศิษฏ์ที่นัดแพรวพรรณคุยงานออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับ

บรรจบรู้สึกไม่ถูกชะตากับวิศิษฏ์ที่ท่าทางสนิทกับแพรวพรรณ เขาหาจังหวะดักคอวิศิษฏ์ไม่ให้ยุ่งกับผู้หญิงที่ตนรัก หากไม่เชื่อตนจะทำให้เขาและเพื่อนตกงาน

ปรากฏว่าวิศิษฏ์ยอกย้อนอย่างไม่กลัว บรรจบโกรธมากและวางอำนาจบาตรใหญ่โทร.หาผู้มีอำนาจคนหนึ่งเพื่อให้เล่นงานพวกวิศิษฏ์ แต่พิศบันดาลให้โทรศัพท์มือถือบรรจบระเบิดใช้งานไม่ได้

บรรจบตกใจและไม่รู้สาเหตุ แต่หงุดหงิดโมโหเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ เห็นแพรวพรรณกับพวกวิศิษฏ์คุยงานกันไม่เสร็จเสียทีก็ยิ่งหัวเสีย ผ่านไปจนถึงค่ำทุกคนถึงพากันออกมา บรรจบเดินตรงไปหาสีหน้าเอาเรื่อง

“พี่รอน้องแพรวนานแล้วนะ คุยกันตั้งแต่บ่ายจนมืดค่ำ งานอะไรนักหนา ทำเสร็จแล้วเป็นเศรษฐีเลยหรือเปล่า ระวังจะถูกพวกมันหลอกใช้”

“อ้าว...พูดยังงี้ก็สวยสิครับ” ภาณุสวนทันควัน ขณะที่แสวงก็ไม่พอใจชวนภาณุเคลียร์เลยดีไหมจะได้จบๆกันไป

วิศิษฏ์เห็นสองเพื่อนซี้ฮึดฮัดก็รีบห้ามปราม ก่อนบอกกับบรรจบว่า

“ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจอย่างนั้น งานนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเพราะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว”

“ไม่อยากฟัง กลับกันเถอะน้องแพรว” บรรจบฉวยมือเธอเดินไป แพรวพรรณไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากให้มีเรื่อง เรืองรุ้งมองตาม พึมพำอย่างเห็นใจเพื่อนรัก

“นรกชัดๆเลย...แพรวเอ๊ย”

แพรวพรรณนั่งเงียบไปในรถบรรจบ สีหน้าเธอบึ้งตึงตลอดเวลา บรรจบชำเลืองมองหงุดหงิดแต่พยายามระงับอารมณ์ไว้...

เรืองรุ้งเห็นความร้ายกาจเอาแต่ใจของบรรจบแล้วเป็นห่วงแพรวพรรณที่นั่งรถไปด้วย เธอนึกถึงพิศแล้วภาวนาในใจหากเกิดอะไรขึ้นขอให้ช่วยเพื่อนรักของตนด้วย

บรรจบขับรถเร็วมากจนแพรวพรรณเริ่มกลัว ขอร้องให้เขาขับช้าลงหน่อยแต่กลายเป็นว่าเขายิ่งเพิ่มความเร็ว ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุรถแฉลบลงข้างทางเพราะควบคุมไม่ได้ โชคดีที่ทั้งคู่ไม่เป็นอะไรแค่ตกใจกันเท่านั้น และโชคดีสำหรับแพรวพรรณอีกชั้นที่วิศิษฏ์กับแสวงซึ่งนั่งรถอีกคันผ่านมาเจอ

บรรจบโมโหมากที่แพรวพรรณทิ้งเขากลับไปพร้อมสองหนุ่ม และยิ่งผูกใจเจ็บวิศิษฏ์ที่ดูเหมือนแพรวพรรณจะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเขาเป็นพิเศษ ส่วนงามเนตรก็ไม่ชอบหน้าวิศิษฏ์เช่นกัน เมื่อเขาพาลูกสาวของเธอมาส่งบ้านเป็นครั้งที่สอง เธอแสดงออกชัดเจนจนวิศิษฏ์รู้สึกได้

หลังทราบจากลูกชายในเช้าวันถัดมาว่าโทรศัพท์มือถือของตนระเบิดไฟไหม้แทบทำตนเสียโฉม แถมยังเกิดอุบัติเหตุซ้ำอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน บุรีแปลกใจ เปรยกับสัตตะว่าชักยังไงเสียแล้ว

“ต้องเกิดจากอำนาจของอะไรสักอย่าง...บันดาลให้คุณบรรจบเห็นเป็นแบบนั้น ที่สำคัญทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุด้วย”

“อย่าบอกว่าน้องแพรวนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ครอบครัวเขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้”

“ผมหมายถึงไอ้หนุ่มคนที่รับน้องแพรวไปต่างหาก”

สองพ่อลูกชะงักทันที บุรีถามสัตตะว่าแบบนี้จะทำยังไงดี

“โลกของไสยศาสตร์มีอย่างเดียวเท่านั้นคือต้องปล่อยของลองวิชา ถ้าของกลับมาได้ก็แสดงว่าฝ่ายนั้นมีของดี”

“แล้วจะรอช้าทำไมล่ะอาจารย์”

“ถ้ามันกระอักเลือดตายผมจะสมนาคุณให้อย่างงาม แล้วผมจะยอมรับคุณ”

สัตตะมองบรรจบแล้วเหยียดยิ้ม พอใกล้พระอาทิตย์ตกดินเขาปั้นดินเหนียวเป็นรูปควายธนูส่งไปลองวิชากับวิศิษฏ์ ทุกคนในบ้านเฟื่องขจรตกใจกันหมด วิภาดาอยู่ด้วยรีบโทร.ตามวิศิษฏ์ที่ยังทำงานไม่เสร็จให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นต้นไม้หน้าบ้านสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ต้นเดียวเหมือนแผ่นดินไหว

แม้แต่ผีลิ้นจี่ยังขลาดกลัวร้องเรียกพิศให้มาช่วย ยามนั้นพิศปฏิบัติธรรมจึงมาไม่ได้ แต่แนะนำลิ้นจี่ให้หาทางบอกวิศิษฏ์ว่าต้องใส่แหวนนาคราชติดตัวไว้ตลอด แหวนจะช่วยให้เขาปลอดภัย

วิศิษฏ์ต้องละมือจากงานรีบกลับบ้าน วิภาดาหาว่าเกิดอาเพศเพราะเขาเลี้ยงผีไว้ทำให้แม่ตกใจจนเป็นลม หลานๆและชื่นจิตพากันหวาดกลัว ส่วนภาณุทราบเรื่องจากวิศิษฏ์ก็รีบโทร.เล่าให้เรืองรุ้งฟังเผื่อเธอจะช่วยได้

เรืองรุ้งนั่งสมาธิไม่นานก็เห็นเหตุร้ายที่บ้านวิศิษฏ์ บอกภาณุว่าอันตรายจริงๆ เธอจะสวดมนต์ช่วยเขา และจะบอกแพรวพรรณให้ช่วยอีกแรง

วิศิษฏ์ทำตามที่ผีลิ้นจี่บอก พญานาคราชจากแหวนเล่นงานควายธนูของสัตตะจนพ่ายแพ้กลับไป บรรจบหัวเสียที่รู้ว่าควายธนูแพ้ ต่อว่าต่อขานสัตตะอย่างแรงก่อนจะบอกว่าถ้าใช้ไสยศาสตร์จัดการกับมันไม่ได้

ตนก็จะใช้วิธีของตน วิภาดาแทบไม่เชื่อสายตาว่าวิศิษฏ์จะเก่งกาจต่อสู้กับควายธนูได้ คาดคั้นน้องชายว่าใครส่งควายธนูมา ลองนึกดูว่าเขามีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า

“ผมไม่เคยมีปัญหากับใคร”

“นั่นสิ ลองคิดดูดีๆซิ จะได้หาทางป้องกัน มันจะได้ไม่ส่งอะไรมาอีก...ว่าแต่แหวนที่นิ้วแกน่ะ แม่ไม่เห็นมาตั้งนานแล้ว วันหลังให้แม่ยืมใส่บ้างนะ”

“อย่าเลยครับ ผมหวง”

“แค่นี้ก็ต้องหวง...ไว้วิจะทำให้คุณแม่สักสิบวง”

เฟื่องขจรยิ้มพอใจ วิภาดามองรอบห้องวิศิษฏ์เพื่อหาสิ่งผิดสังเกต

“หาอะไรครับ”

“ก็หาว่าแกเลี้ยงอะไรไว้บ้าง มีกุมารทองมั้ย โหงพรายหรือว่า...ใช่ๆ ควายธนู แกเลี้ยงด้วยใช่มั้ย คนอื่นก็เลยส่งมาประลองกำลัง”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ...เชิญได้แล้ว ผมจะพักผ่อน”

สองแม่ลูกมองหน้ากัน แล้วจำใจออกไปพร้อมชื่นจิต ขณะเดินลงบันไดมาวิภาดาไม่วายตั้งข้อสังเกตว่าวิศิษฏ์มีพิรุธ เฟื่องขจรรีบเออออ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ไล่เราออกมา

“ไว้ว่างๆวิจะค้นห้องนายศิษฏ์ แกต้องช่วยฉันนะนังชื่น”

“จะดีเหรอคะคุณวิ”

“ฉันไม่ให้แกทำงานฟรีหรอกย่ะ”

ชื่นจิตเห็นแก่ค่าจ้างกลับคำทันใดว่า “ค่อยยังชั่ว”

ooooooo

รุ่งขึ้น แพรวพรรณออกจากบ้านแต่เช้ามืดเดินทางไปอยุธยากับเรืองรุ้งและคณะของวิศิษฏ์โดยไม่บอกมารดา กระทั่งบรรจบแวะมาหาเธอที่บ้านงามเนตรถึงเพิ่งรู้จากสุรเดช

แม้สุรเดชบอกว่าแพรวพรรณไปทำงานแต่งามเนตรก็ยังไม่พอใจอยู่ดี อยากให้ลูกสาวได้อยู่ต้อนรับใกล้ชิดกับบรรจบ ขณะที่บรรจบก็อยากรู้ว่าแพรวพรรณไปไหน จึงแอบข่มขู่สาวใช้คนสนิทของเธอจนได้ข้อมูล

บรรจบส่งคนติดตามและวางแผนด้วยความหึงหวงเมื่อรู้ว่าแพรวพรรณไปอยุธยากับคณะของวิศิษฏ์ บรรจบตั้งใจเอาถึงตายให้ลูกน้องยิงวิศิษฏ์แต่พิศช่วยไว้ได้ สองมือปืนเห็นผีก็หนีกระเจิง แล้วโทร.รายงานบรรจบด้วยความหวาดกลัว

“นายครับ ผมยิงมันจนกระสุนหมด มันไม่ระคายเคืองเลย”

“เป็นไปได้ยังไง แล้วมีคนได้ยินเสียงปืนของเอ็งสองคนหรือเปล่า”

“โธ่นาย...จะเหลือเหรอ”

“บรรลัยแล้ว...รีบหนี หาที่ซ่อนตัวด่วน แล้วอย่าซัดทอดมาถึงฉันล่ะ”

บรรจบวางสายสีหน้าหวั่นวิตก บ่นกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ “ควายธนูก็ไม่สำเร็จ ลูกปืนก็ไม่ได้ นี่มันอะไรกันวะ ไอ้นี่มันมีของดีหรือไง”

ฝ่ายแพรวพรรณที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนเป็นลม เรืองรุ้งต้องรีบพาเธอกลับไปส่งบ้านโดยไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่อยุธยาเพราะกลัวจะโดนงามเนตรตำหนิ บอกแค่ว่าไม่ค่อยสบาย แต่พ่อแม่เห็นลูกสาวหน้าซีดมากจึงจะให้ไปหาหมอ

“แพรวไม่ได้เป็นอะไรค่ะคุณแม่ นอนพักสักประเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

“ถ้ายัยแพรวไม่เป็นอะไร เธอก็ควรจะกลับได้แล้ว”

เรืองรุ้งหน้าเสีย ยอมกลับลงไปข้างล่างโดยมีงามเนตรกับสุรเดชเดินตามมาด้วย แล้วงามเนตรก็เปิดฉากไล่เรียงเรืองรุ้งจนรู้ว่าแพรวพรรณไปอยุธยา

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยัยแพรวผูกพันกับอยุธยาเหลือเกิน เดี๋ยวไปๆ มันมีอะไรดีนักหนา”

“ก็เหมือนกับที่ทำไมคุณชอบออกงานสังคมนักหนา...ผมเองก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดี”

“มันคนละประเด็นกัน คุณอย่าชักใบให้เรือเสีย”

สุรเดชเงียบไปอย่างละเหี่ยใจ พลันโทรศัพท์

งามเนตรดังขึ้น เธอดูหน้าจอแล้วอารมณ์แช่มชื่น รับสายบรรจบเสียงอ่อนเสียงหวาน พอได้ยินเขาถามว่าแพรวพรรณเป็นยังไงบ้างก็แปลกใจ

“คุณทราบเหรอคะ”

“เพื่อนผมที่เป็นนักข่าวท้องถิ่นโทร.มาเล่าว่ามีการยิงกันในโบราณสถานที่อยุธยา อุกอาจมากเลยครับ น้องแพรวรอดตายหวุดหวิด”

“ตายจริง น้าอยากเป็นลม”

“คุณหญิงต้องสั่งห้ามไม่ให้น้องแพรวไปไหนมาไหนกับเพื่อนกลุ่มนี้นะครับ คนกลุ่มนี้ต้องมีศัตรูคอยปองร้าย น้องแพรวจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย”

งามเนตรวางสายแล้วจ้องมองเพื่อนสนิทของลูกสาวด้วยสายตาชิงชัง “เรืองรุ้ง...ถ้าลูกสาวฉันตายไปวันนี้ ใครจะรับผิดชอบ”

“คือ...ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนะคะ มันเป็นเรื่องบังเอิญ”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะว่าห้ามเธอติดต่อกับยัยแพรวอีกต่อไป หวังว่าเธอคงเข้าใจ”

เรืองรุ้งหน้าซีดไปกันใหญ่ จ๋อยสนิทกลับออกมาบอกภาณุกับวิศิษฏ์ที่รออยู่หน้าบ้าน

“แพรวอาการดีขึ้น แต่แม่เธอห้ามไม่ให้คบกับพวกเราอีกแล้ว”

สองหนุ่มฟังแล้วหน้าเจื่อนไปด้วยกัน

ooooooo

นงรามไปหาวิศิษฏ์ที่สำนักงานแต่ไม่พบ จึงกลับออกมารอเขาที่บ้านอยู่ครึ่งค่อนวัน รอไปรอมาหาว่าคนที่บ้านปิดบังไม่ยอมบอกว่าวิศิษฏ์ไปไหน เฟื่องขจรไม่พอใจเลยสวนเข้าให้ว่า

“ฉันจะปิดหล่อนทำไม”

นงรามสะบัดหน้าพรืด แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าวิศิษฏ์อาจพักผ่อนอยู่บนห้องไม่ได้ไปทำงาน จึงตะล่อมถามติ๋วกับโต้งที่นั่งทำการบ้านกันอยู่

“เด็กดีต้องไม่โกหกอา บอกอามาดีกว่าว่าอาศิษฏ์อยู่บนห้องใช่ไหม”

“อยากรู้ก็ไปดูเองสิคะอานงราม”

นงรามเชื่อคำตอบของติ๋ว หันไปบอกเฟื่องขจรว่าเด็กไม่โกหก ตนขออนุญาตขึ้นไปดู

“เดี๋ยวแม่นงรามทรามสวาท หล่อนจะยุรยาตรไปไหนกันยะ นี่มันบ้านฉันนะ แล้วห้องที่หล่อนจะขึ้นไปน่ะมันห้องผู้ชาย”

นงรามไม่สนใจเดินลิ่วขึ้นไป ติ๋วกับโต้งสบตากันแล้วว่าเดี๋ยวคงเจอดีจนได้ โดนผีหลอกก็คงกลับลงมาเอง

จริงแท้แน่นอน...ผีลิ้นจี่หมั่นไส้นงราม หลอกหลอนจนหล่อนกลัวขนหัวลุก กรีดร้องวิ่งลงมาหน้าตาตื่น ทำเอาทุกคนข้างล่างตกใจถามว่าเป็นอะไร ทำไมแหกปากร้องเป็นบ้าเป็นบอขนาดนั้น

นงรามบอกว่าตนถูกผีหลอก แล้ววิ่งออกไปกอดวิศิษฏ์ที่กลับมาพอดี พูดระรัวว่าตนโดนผีหลอก ผีผู้หญิงในห้องของเขาน่ากลัวมาก

ลิ้นจี่กับพิศปรากฏร่างมุมหนึ่ง ลิ้นจี่หมั่นไส้ไม่หายบอกพิศว่าตนจะดลใจให้นงรามกลับไป...วิศิษฏ์แปลกใจที่จู่ๆนงรามก็หายกลัวผี ขอตัวกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อะไรของเขานะ หรือว่าเป็นฝีมือคุณพิศ...ฮึ่ม ไว้คืนนี้ก่อนเถอะ”

ชายหนุ่มพึมพำแล้วเดินเข้าบ้านมาเผชิญหน้ากับทุกคนที่ยังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว เขาย้ำกับมารดาว่า

“ห้องผมไม่มีผี ผมยืนยันได้ คุณแม่เชื่อผมเถอะ อย่าเชื่อพี่วิเลย”

“แต่ยัยนงรามก็เห็น แล้วจะไม่ให้แม่เชื่อได้ยังไง”

วิศิษฏ์ส่ายหน้าระอาใจแล้วเดินขึ้นห้องไปมองหาพิศ “คุณพิศ...บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะว่าเกิดอะไรขึ้น”

พิศปรากฏร่างในชุดสวยงามทันสมัยพร้อมตั้งคำถามเสียงเรียบว่า “ทำไมถึงโทษฉันล่ะคะคุณเด๋อ”

“ก็มีคุณคนเดียวที่ทำเรื่องแปลกๆได้ เพราะคุณพิศไม่ใช่คนไง อ้อ นี่แต่งชุดใหม่กะจะยั่วให้ผมหายโมโหใช่ไหม”

พิศไม่ตอบแต่หมุนตัวทีเดียวเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ไฉไลกว่าเดิม ลอยหน้าถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง วิศิษฏ์ไม่สนใจจับมือเธอไว้พร้อมถามเสียงเครียดว่าทำอะไรนงราม

“ไม่ได้ทำ”

“โกหก...คุณรู้ไหมว่าทั้งคุณแม่และพี่วิหาว่าผมเลี้ยงผี ผมไม่อยากถูกกล่าวหาอย่างนั้น เนี่ย เป็นเพราะคุณพิศคนเดียวทำให้คนเข้าใจผมผิด”

พิศถอยห่าง ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า “คุณเด๋อไม่เชื่อฉันไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฉันจะไม่พบกับคุณเด๋อสักระยะ หวังว่าคุณเด๋อคงมีความสุขดี ผ่านกรรมที่กำลังจะมาถึงให้ได้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ”

เธอเลือนหายไป วิศิษฏ์ตกใจเรียกชื่อเธอหลายครั้งแต่ไร้การตอบรับ รู้สึกเสียใจที่พูดออกไปอย่างนั้น ลิ้นจี่เห็นพิศหน้าเศร้าออกมา สำนึกตัวว่าผิดเองที่ไปคะยั้นคะยอพิศให้มาช่วย

“ไม่เป็นไรหรอกลิ้นจี่ ฉันต่างหากที่ผิด ผิดที่พยายามฝืนกรรมของเขา ทั้งที่มันฝืนไม่ได้”

“แล้วคุณพิศจะไปจากที่นี่จริงๆหรือเจ้าคะ”

“ฉันเพียงแต่จะไม่ปรากฏตัวและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น...ดูแลบ้านด้วยนะลิ้นจี่”

“โธ่...คุณพิศ” ลิ้นจี่รำพึงหน้าเศร้า น้ำตาคลอ

ooooooo

นงรามถูกผีที่บ้านเฟื่องขจรหลอกหลอนเมื่อวานจนป่านนี้ผ่านไปหนึ่งวันก็ยังไม่กล้าออกจากบ้านตัวเอง บ่นกับองุ่นว่าวิศิษฏ์คงไม่คิดจะคืนดีกับตนแล้ว ตนคงไม่พ้นต้องแต่งงานกับบรรจบ

สุนทรีเข้ามาได้ยินพอดี สวนเสียงใสว่า “ไม่ดีหรือไง...ต่อไปชีวิตจะได้สุขสบาย แต่งงานไปแล้วก็ได้เป็นสะใภ้มหาเศรษฐี”

“แต่นงไม่ได้รักเขา”

“พูดอย่างอื่นเป็นบ้างมั้ย ลองคิดดูสิ ถ้านายศิษฏ์รักแกจริงเขาก็ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอแล้ว นี่ฉันรอจนจะลงโลง ก็ไม่เห็นความรักของแกกับเขาคืบหน้า อย่าโง่สิ แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าเกิดเป็นลูกแม่ต้องไม่โง่”

“คุณแม่...ผีบ้านผีเรือนเขาคงไม่ต้อนรับนงด้วยล่ะ”

“พูดอะไร พูดเรื่องผีๆสางๆ ไม่สบายหรือเปล่านง หมู่นี้มีอะไรแปลกๆนะ”

“จริงๆนะคะแม่ มันน่ากลัวมากเลย เมื่อคืนนงนอนไม่ได้เลยค่ะ มันติดตานงจนถึงตอนนี้”

คำยืนยันเสียงสั่นเครือและท่าทางหวาดกลัวของนงรามเล่นเอาสุนทรีกับองุ่นเริ่มลังเล สุนทรีให้ลูกสาวเล่ารายละเอียดมา ขณะที่องุ่นเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว...

เช้าวันเดียวกัน งามเนตรบุกไปหาวิศิษฏ์ถึงสำนักงาน ประกาศไม่อนุญาตให้แพรวพรรณรับงานออกแบบเสื้อผ้าบ้าบอของเขา

“แต่คุณแพรวรับงานนี้ไปแล้ว ทางหน่วยงานเรา เสียหายมากนะครับ โปสเตอร์งานก็ประชาสัมพันธ์ไปแล้วด้วย”

“เรื่องอื่นฉันไม่สนใจ แล้วก็อย่าคิดคบหากับลูกสาวฉันอีก แพรวพรรณไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนรักของคนอย่างคุณ”

งามเนตรเน้นเสียงแล้วเดินนวยนาดจากไป วิศิษฏ์และทุกคนนิ่งอึ้ง ไม่นึกว่าจะมีระเบิดลูกใหญ่ลงแต่เช้า... ขณะที่แพรวพรรณก็โดนเหมือนกัน งามเนตรกลับมากระชากกระดาษออกแบบเสื้อผ้าของเธอถึงโต๊ะทำงาน

“อย่าค่ะคุณแม่”

“หวงกระดาษพวกนี้มากกว่าความหวังดีของแม่เหรอ เมื่อวานเกือบตายก็เพราะทำงานนี้ไม่ใช่เหรอแพรว”

“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ แล้วอีกอย่างแพรวก็ไม่เป็นอะไรนี่คะ คุณแม่อย่าฟังคนอื่นมากกว่าแพรวสิคะ”

“แต่ก่อนแพรวไม่เคยเถียงแม่ เป็นเพราะคบเพื่อนไม่ดีก็เลยติดนิสัยไม่ดีมาด้วย แม่ขอประกาศเลยนะ ห้ามคบกับพวกนายวิศิษฏ์อีก ยัยเรืองรุ้งนั่นก็ด้วยอวดตัวถือดีว่าเป็นผู้วิเศษ โธ่เอ๊ย เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ”

สุรเดชตรงเข้ามาหาภรรยาเหมือนจะปราม แต่เธอกลับตวาดขึ้นเสียก่อน

“คุณไม่ต้องยุ่ง ฉันกำลังอบรมลูก แล้วก็ปกป้องลูกไม่ให้เป็นอันตราย”

“ปกป้องเหรอ ผมว่าคุณกำลังข่มขู่ลูก ทำร้ายจิตใจลูกมากกว่า ถ้าลูกทำงานแล้วมีความสุข คุณควรจะดีใจ”

“มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ฉันจะดีใจก็คือได้เห็นยัยแพรวเป็นเจ้าสาวของคุณบรรจบ...เรื่องเดียวเท่านั้นจริงๆ”

“คุณแม่...”

“ไม่มีการต่อรองอะไรทั้งนั้น”

แพรวพรรณเสียใจน้ำตาไหลพราก สุรเดชทนไม่ไหวคว้าแขนงามเนตรดึงออกไปคุยกันนอกห้อง

“เรามีลูกสาวคนเดียวนะคุณหญิง อย่าผลักไสลูกให้ออกห่างเราด้วยการบังคับในสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ”

“แล้วทียัยแพรวทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ทำไมไม่คิดบ้าง”

“คุณหญิงไม่รักลูกแล้วจะรักใครล่ะ รักตัวเองเหรอ”

“คุณสุรเดช! ก็เพราะฉันรักลูกไง ฉันถึงต้องทำอย่างนี้ เมื่อวานลูกเราเกือบตาย คุณบรรจบก็บอกแล้วว่าเป็นเพราะพวกนายวิศิษฏ์มีศัตรู ฉันกลัวยัยแพรวจะโดนลูกหลงไปด้วย แบบนี้ฉันยังไม่รักลูกอีกเหรอ”

“บอกตรงๆนะ ผมไม่เคยเชื่อคำพูดของนายบรรจบเลย”

“แต่ฉันเชื่อ!” งามเนตรเสียงแข็ง จ้องหน้าสามีอย่างไม่ยอม!

ในห้อง พิศปรากฏร่างข้างหลังแพรวพรรณที่กำลังร่ำไห้อย่างอัดอั้น ลูบผมน้องสาวด้วยความรักและสงสาร แพรวพรรณรู้สึกผิดปกติเหลียวมองทางหางตาเห็นเพียงแว่บเดียว ลุกพรวดขึ้นกวาดตามองรอบห้อง

“เธอเป็นใคร...ใช่ผู้หญิงในความฝันที่ฉันเคยฝันเห็นหรือเปล่า แล้วเธอต้องการอะไร อย่ามาวุ่นวายกับฉันนะ...ไปสิ”

แพรวพรรณตื่นตระหนก โทร.หาเรืองรุ้งขอความช่วยเหลือเสียงสั่นระรัว แต่เพื่อนรักตอบกลับอย่างใจเย็นว่า

“เขามาดี...เชื่อฉันเถอะแพรว...เขาปกป้องคุ้มครองเธอนะ ไม่อย่างนั้นเมื่อวานนี้เธอคงไม่รอด ทำใจให้สบายนะ แล้วถ้ามีโอกาสก็ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ้าง”

“รุ้ง...ช่วยฉันด้วยนะ...ฉันทำบุญอะไรดี”

เพียงวันรุ่งขึ้น เรืองรุ้งก็นัดหมายไปทำบุญกับแพรวพรรณโดยมีสุรเดชขับรถให้นั่งด้วยความเต็มใจ งามเนตรทราบจากสาวใช้หลังจากสองพ่อลูกออกไปแล้วก็แทบเต้นแร้งเต้นกา เพราะตัวเองเจ้ากี้เจ้าการนัดบรรจบมากินข้าวกลางวัน

งามเนตรร้อนรนโทร.หาแพรวพรรณแต่สุรเดชรับสายแทน บอกว่าตนพาลูกไปทำบุญเสร็จแล้วจะหาอะไรกินตามประสาพ่อลูก เธอไม่ต้องห่วง

“ไม่ต้องห่วงได้ไงกันล่ะ ฉันอุตส่าห์นัดคุณบรรจบมาพูดคุยกับลูก ยัยแพรวจะได้สบายใจขึ้น”

“ผมว่าลูกจะยิ่งเครียด เอางี้ ไหนๆคุณหญิงก็นัดนายบรรจบมาแล้วก็อยู่คุยแล้วก็กินข้าวกับเขาไปเลย...ตามสบาย”

สุรเดชวางสายแล้วหันมายิ้มกับลูกสาว ฝ่ายงามเนตรโมโหแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง

ooooooo

บุรีเพิ่งทราบว่าบรรจบส่งนักเลงไปเก็บวิศิษฏ์เพราะความหึงหวงแพรวพรรณ เขาติงลูกชายว่าเอาความคิดนี้ มาจากไหน ถ้าเกิดหมอนั่นตายขึ้นมาแกเข้าคุกแน่

“พ่อก็ทำตื่นเต้นไปได้ ผมรู้ว่าพ่อช่วยผมได้ทุกเรื่อง”

“มันก็ไม่เสมอไปหรอก...แล้วเป็นไงล่ะ”

“นั่นไง พ่อก็สนใจใช่ไหม”

“เออ...อยากรู้”

“ลูกน้องผมทำอะไรมันไม่ได้เลย มันเล่าว่ามีผีผู้หญิงมาปัดปืนตก แถมยังยืนขวางกระสุนอีก”

บุรีอึ้งกิมกี่ เหลือบเห็นสัตตะยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ถามเขาว่าถ้าผีช่วยคนกลางวันแสกๆได้หมายความว่ายังไง

“ผีตนนั้นต้องมีพลังเหนือกว่าผีทั่วไป”

“แล้วจะช่วยผมได้หรือเปล่า หาของดีไปจัดการมันให้หน่อยสิ ยังไงก็เอาที่เก่งกว่าควายธนูหน่อยนะ จะได้ไม่แพ้มันกลับมา แต่ถ้าไม่มีปัญญาช่วยผมล่ะก็ไสหัวไปเลย พ่อผมจะได้จ้างที่ปรึกษาคนใหม่”

“บรรจบ!” บุรีตวาดปรามลูกชาย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะบรรจบยังแข็งกร้าวไร้ความเคารพสัตตะ

“พ่อไม่ต้องห้ามผม เราเสียเงินจ้างเขามา เขาก็ต้องทำงานให้เรา ทำไมพ่อต้องเกรงใจเขาด้วย”

บรรจบมองหน้าสัตตะอย่างถือดี เดินหัวเราะในลำคอหยามหยัน สัตตะจ้องตามแววตาดุดัน จนบุรีใจคอไม่ดี ขอร้องเขาอย่าถือสาลูกชายตน เมตตามันด้วย มันวู่วามตามประสาคนหนุ่ม

“เขากำลังเคราะห์ร้าย ให้เขารอก่อน จะเอาของดีให้เขาไว้ป้องกันตัว”

“ผมดีใจที่อาจารย์ไม่โกรธมัน...ผมจะรีบไปบอกมันเดี๋ยวนี้”

บุรีสาวเท้าออกไป สัตตะยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบตะปูเก่าคร่ำคร่าที่ได้มาจากสัปเหร่อออกจากย่ามแล้วท่องคาถาสั่งให้ผีตะปูโลงศพตามมันไป...

สองพ่อลูกยืนคุยกันข้างรถ บรรจบสีหน้าไม่เชื่อถือสัตตะ ถามพ่ออย่างดูแคลนเขาว่า

“พ่อเชื่อมันด้วยเหรอ ผมไม่เห็นมันทำอะไรสำเร็จสักอย่าง ผมน่ะไม่มีเคราะห์หรอก มันต่างหากล่ะกำลังจะถูกไล่ออกก็เลยหาวิธีให้พ่อเห็นความสำคัญของมัน”

สัตตะเดินออกมาได้ยินทุกคำของบรรจบแต่แสร้งไม่สนใจ ทักเรื่องเขากำลังมีเคราะห์ ของขลังของตนช่วยได้ พกติดตัวไว้ไม่หนักหนาอะไร แล้วเขาจะขอบใจตน

บรรจบอยากรู้ว่าของขลังอะไร พอสัตตะส่งตะปูตอกฝาโลงศพให้ ชายหนุ่มแทบหัวเราะก๊ากออกมา

“หึๆ ตะปูเก่าๆเนี่ยนะ แกไปเก็บมาจากข้างทางที่ไหนแล้วมาหลอกพ่อฉัน ฉันกับพ่อไม่โง่หรอก”

“บรรจบ...แค่เอาไว้ติดตัวมันคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า...รับไป” บุรีส่งสายตาบังคับ บรรจบเลยต้องรับมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วขึ้นรถขับออกไปโดยมีผีหนึ่งตนนั่งประกบ

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น