บรรจบไม่สนใจนงรามแต่พยายามตามตื๊อแพรวพรรณผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด วันนี้เขามาพบเธอถึงบ้านโดยได้รับไฟเขียวจากงามเนตรที่อยากได้เขาเป็นลูกเขยทุกเมื่อเชื่อวันงามเนตรบังคับแพรวพรรณอีกตามเคยด้วยการให้ทำอาหารให้บรรจบกิน ปรากฏว่าอาหารทั้งเผ็ดและเปรี้ยวมากจนบรรจบกินไม่ได้เพราะแพรวพรรณตั้งใจแกล้ง งามเนตรเลยให้ลูกสาวแก้ตัวด้วยการออกไปกินข้าวข้างนอกกับเขาแพรวพรรณปฏิเสธไม่ออก แต่ขากลับขอให้เขาแวะส่งเธอทำธุระ บรรจบไม่ยอมส่งอย่างเดียวแต่ขอเข้าไปด้วย จึงเจอพวกวิศิษฏ์ที่นัดแพรวพรรณคุยงานออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับ
บรรจบรู้สึกไม่ถูกชะตากับวิศิษฏ์ที่ท่าทางสนิทกับแพรวพรรณ เขาหาจังหวะดักคอวิศิษฏ์ไม่ให้ยุ่งกับผู้หญิงที่ตนรัก หากไม่เชื่อตนจะทำให้เขาและเพื่อนตกงาน
ปรากฏว่าวิศิษฏ์ยอกย้อนอย่างไม่กลัว บรรจบโกรธมากและวางอำนาจบาตรใหญ่โทร.หาผู้มีอำนาจคนหนึ่งเพื่อให้เล่นงานพวกวิศิษฏ์ แต่พิศบันดาลให้โทรศัพท์มือถือบรรจบระเบิดใช้งานไม่ได้
บรรจบตกใจและไม่รู้สาเหตุ แต่หงุดหงิดโมโหเพิ่มพูนขึ้นเป็นทวีคูณ เห็นแพรวพรรณกับพวกวิศิษฏ์คุยงานกันไม่เสร็จเสียทีก็ยิ่งหัวเสีย ผ่านไปจนถึงค่ำทุกคนถึงพากันออกมา บรรจบเดินตรงไปหาสีหน้าเอาเรื่อง
“พี่รอน้องแพรวนานแล้วนะ คุยกันตั้งแต่บ่ายจนมืดค่ำ งานอะไรนักหนา ทำเสร็จแล้วเป็นเศรษฐีเลยหรือเปล่า ระวังจะถูกพวกมันหลอกใช้”
“อ้าว...พูดยังงี้ก็สวยสิครับ” ภาณุสวนทันควัน ขณะที่แสวงก็ไม่พอใจชวนภาณุเคลียร์เลยดีไหมจะได้จบๆกันไป
วิศิษฏ์เห็นสองเพื่อนซี้ฮึดฮัดก็รีบห้ามปราม ก่อนบอกกับบรรจบว่า
“ผมไม่อยากให้คุณเข้าใจอย่างนั้น งานนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเพราะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว”
“ไม่อยากฟัง กลับกันเถอะน้องแพรว” บรรจบฉวยมือเธอเดินไป แพรวพรรณไม่ขัดขืนเพราะไม่อยากให้มีเรื่อง เรืองรุ้งมองตาม พึมพำอย่างเห็นใจเพื่อนรัก
“นรกชัดๆเลย...แพรวเอ๊ย”
แพรวพรรณนั่งเงียบไปในรถบรรจบ สีหน้าเธอบึ้งตึงตลอดเวลา บรรจบชำเลืองมองหงุดหงิดแต่พยายามระงับอารมณ์ไว้...
เรืองรุ้งเห็นความร้ายกาจเอาแต่ใจของบรรจบแล้วเป็นห่วงแพรวพรรณที่นั่งรถไปด้วย เธอนึกถึงพิศแล้วภาวนาในใจหากเกิดอะไรขึ้นขอให้ช่วยเพื่อนรักของตนด้วย
บรรจบขับรถเร็วมากจนแพรวพรรณเริ่มกลัว ขอร้องให้เขาขับช้าลงหน่อยแต่กลายเป็นว่าเขายิ่งเพิ่มความเร็ว ในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุรถแฉลบลงข้างทางเพราะควบคุมไม่ได้ โชคดีที่ทั้งคู่ไม่เป็นอะไรแค่ตกใจกันเท่านั้น และโชคดีสำหรับแพรวพรรณอีกชั้นที่วิศิษฏ์กับแสวงซึ่งนั่งรถอีกคันผ่านมาเจอ
บรรจบโมโหมากที่แพรวพรรณทิ้งเขากลับไปพร้อมสองหนุ่ม และยิ่งผูกใจเจ็บวิศิษฏ์ที่ดูเหมือนแพรวพรรณจะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเขาเป็นพิเศษ ส่วนงามเนตรก็ไม่ชอบหน้าวิศิษฏ์เช่นกัน เมื่อเขาพาลูกสาวของเธอมาส่งบ้านเป็นครั้งที่สอง เธอแสดงออกชัดเจนจนวิศิษฏ์รู้สึกได้
หลังทราบจากลูกชายในเช้าวันถัดมาว่าโทรศัพท์มือถือของตนระเบิดไฟไหม้แทบทำตนเสียโฉม แถมยังเกิดอุบัติเหตุซ้ำอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน บุรีแปลกใจ เปรยกับสัตตะว่าชักยังไงเสียแล้ว
“ต้องเกิดจากอำนาจของอะไรสักอย่าง...บันดาลให้คุณบรรจบเห็นเป็นแบบนั้น ที่สำคัญทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุด้วย”
“อย่าบอกว่าน้องแพรวนะ เป็นไปไม่ได้หรอก ครอบครัวเขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้”
“ผมหมายถึงไอ้หนุ่มคนที่รับน้องแพรวไปต่างหาก”
สองพ่อลูกชะงักทันที บุรีถามสัตตะว่าแบบนี้จะทำยังไงดี
“โลกของไสยศาสตร์มีอย่างเดียวเท่านั้นคือต้องปล่อยของลองวิชา ถ้าของกลับมาได้ก็แสดงว่าฝ่ายนั้นมีของดี”
“แล้วจะรอช้าทำไมล่ะอาจารย์”
“ถ้ามันกระอักเลือดตายผมจะสมนาคุณให้อย่างงาม แล้วผมจะยอมรับคุณ”
สัตตะมองบรรจบแล้วเหยียดยิ้ม พอใกล้พระอาทิตย์ตกดินเขาปั้นดินเหนียวเป็นรูปควายธนูส่งไปลองวิชากับวิศิษฏ์ ทุกคนในบ้านเฟื่องขจรตกใจกันหมด วิภาดาอยู่ด้วยรีบโทร.ตามวิศิษฏ์ที่ยังทำงานไม่เสร็จให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นต้นไม้หน้าบ้านสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ต้นเดียวเหมือนแผ่นดินไหว
แม้แต่ผีลิ้นจี่ยังขลาดกลัวร้องเรียกพิศให้มาช่วย ยามนั้นพิศปฏิบัติธรรมจึงมาไม่ได้ แต่แนะนำลิ้นจี่ให้หาทางบอกวิศิษฏ์ว่าต้องใส่แหวนนาคราชติดตัวไว้ตลอด แหวนจะช่วยให้เขาปลอดภัย
วิศิษฏ์ต้องละมือจากงานรีบกลับบ้าน วิภาดาหาว่าเกิดอาเพศเพราะเขาเลี้ยงผีไว้ทำให้แม่ตกใจจนเป็นลม หลานๆและชื่นจิตพากันหวาดกลัว ส่วนภาณุทราบเรื่องจากวิศิษฏ์ก็รีบโทร.เล่าให้เรืองรุ้งฟังเผื่อเธอจะช่วยได้
เรืองรุ้งนั่งสมาธิไม่นานก็เห็นเหตุร้ายที่บ้านวิศิษฏ์ บอกภาณุว่าอันตรายจริงๆ เธอจะสวดมนต์ช่วยเขา และจะบอกแพรวพรรณให้ช่วยอีกแรง
วิศิษฏ์ทำตามที่ผีลิ้นจี่บอก พญานาคราชจากแหวนเล่นงานควายธนูของสัตตะจนพ่ายแพ้กลับไป บรรจบหัวเสียที่รู้ว่าควายธนูแพ้ ต่อว่าต่อขานสัตตะอย่างแรงก่อนจะบอกว่าถ้าใช้ไสยศาสตร์จัดการกับมันไม่ได้
ตนก็จะใช้วิธีของตน วิภาดาแทบไม่เชื่อสายตาว่าวิศิษฏ์จะเก่งกาจต่อสู้กับควายธนูได้ คาดคั้นน้องชายว่าใครส่งควายธนูมา ลองนึกดูว่าเขามีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า
“ผมไม่เคยมีปัญหากับใคร”
“นั่นสิ ลองคิดดูดีๆซิ จะได้หาทางป้องกัน มันจะได้ไม่ส่งอะไรมาอีก...ว่าแต่แหวนที่นิ้วแกน่ะ แม่ไม่เห็นมาตั้งนานแล้ว วันหลังให้แม่ยืมใส่บ้างนะ”
“อย่าเลยครับ ผมหวง”
“แค่นี้ก็ต้องหวง...ไว้วิจะทำให้คุณแม่สักสิบวง”
เฟื่องขจรยิ้มพอใจ วิภาดามองรอบห้องวิศิษฏ์เพื่อหาสิ่งผิดสังเกต
“หาอะไรครับ”
“ก็หาว่าแกเลี้ยงอะไรไว้บ้าง มีกุมารทองมั้ย โหงพรายหรือว่า...ใช่ๆ ควายธนู แกเลี้ยงด้วยใช่มั้ย คนอื่นก็เลยส่งมาประลองกำลัง”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ...เชิญได้แล้ว ผมจะพักผ่อน”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน แล้วจำใจออกไปพร้อมชื่นจิต ขณะเดินลงบันไดมาวิภาดาไม่วายตั้งข้อสังเกตว่าวิศิษฏ์มีพิรุธ เฟื่องขจรรีบเออออ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ไล่เราออกมา
“ไว้ว่างๆวิจะค้นห้องนายศิษฏ์ แกต้องช่วยฉันนะนังชื่น”
“จะดีเหรอคะคุณวิ”
“ฉันไม่ให้แกทำงานฟรีหรอกย่ะ”
ชื่นจิตเห็นแก่ค่าจ้างกลับคำทันใดว่า “ค่อยยังชั่ว”
ooooooo
รุ่งขึ้น แพรวพรรณออกจากบ้านแต่เช้ามืดเดินทางไปอยุธยากับเรืองรุ้งและคณะของวิศิษฏ์โดยไม่บอกมารดา กระทั่งบรรจบแวะมาหาเธอที่บ้านงามเนตรถึงเพิ่งรู้จากสุรเดช
แม้สุรเดชบอกว่าแพรวพรรณไปทำงานแต่งามเนตรก็ยังไม่พอใจอยู่ดี อยากให้ลูกสาวได้อยู่ต้อนรับใกล้ชิดกับบรรจบ ขณะที่บรรจบก็อยากรู้ว่าแพรวพรรณไปไหน จึงแอบข่มขู่สาวใช้คนสนิทของเธอจนได้ข้อมูล
บรรจบส่งคนติดตามและวางแผนด้วยความหึงหวงเมื่อรู้ว่าแพรวพรรณไปอยุธยากับคณะของวิศิษฏ์ บรรจบตั้งใจเอาถึงตายให้ลูกน้องยิงวิศิษฏ์แต่พิศช่วยไว้ได้ สองมือปืนเห็นผีก็หนีกระเจิง แล้วโทร.รายงานบรรจบด้วยความหวาดกลัว
“นายครับ ผมยิงมันจนกระสุนหมด มันไม่ระคายเคืองเลย”
“เป็นไปได้ยังไง แล้วมีคนได้ยินเสียงปืนของเอ็งสองคนหรือเปล่า”
“โธ่นาย...จะเหลือเหรอ”
“บรรลัยแล้ว...รีบหนี หาที่ซ่อนตัวด่วน แล้วอย่าซัดทอดมาถึงฉันล่ะ”
บรรจบวางสายสีหน้าหวั่นวิตก บ่นกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ “ควายธนูก็ไม่สำเร็จ ลูกปืนก็ไม่ได้ นี่มันอะไรกันวะ ไอ้นี่มันมีของดีหรือไง”
ฝ่ายแพรวพรรณที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจจนเป็นลม เรืองรุ้งต้องรีบพาเธอกลับไปส่งบ้านโดยไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่อยุธยาเพราะกลัวจะโดนงามเนตรตำหนิ บอกแค่ว่าไม่ค่อยสบาย แต่พ่อแม่เห็นลูกสาวหน้าซีดมากจึงจะให้ไปหาหมอ
“แพรวไม่ได้เป็นอะไรค่ะคุณแม่ นอนพักสักประเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
“ถ้ายัยแพรวไม่เป็นอะไร เธอก็ควรจะกลับได้แล้ว”
เรืองรุ้งหน้าเสีย ยอมกลับลงไปข้างล่างโดยมีงามเนตรกับสุรเดชเดินตามมาด้วย แล้วงามเนตรก็เปิดฉากไล่เรียงเรืองรุ้งจนรู้ว่าแพรวพรรณไปอยุธยา
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยัยแพรวผูกพันกับอยุธยาเหลือเกิน เดี๋ยวไปๆ มันมีอะไรดีนักหนา”
“ก็เหมือนกับที่ทำไมคุณชอบออกงานสังคมนักหนา...ผมเองก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดี”
“มันคนละประเด็นกัน คุณอย่าชักใบให้เรือเสีย”
สุรเดชเงียบไปอย่างละเหี่ยใจ พลันโทรศัพท์
งามเนตรดังขึ้น เธอดูหน้าจอแล้วอารมณ์แช่มชื่น รับสายบรรจบเสียงอ่อนเสียงหวาน พอได้ยินเขาถามว่าแพรวพรรณเป็นยังไงบ้างก็แปลกใจ
“คุณทราบเหรอคะ”
“เพื่อนผมที่เป็นนักข่าวท้องถิ่นโทร.มาเล่าว่ามีการยิงกันในโบราณสถานที่อยุธยา อุกอาจมากเลยครับ น้องแพรวรอดตายหวุดหวิด”
“ตายจริง น้าอยากเป็นลม”
“คุณหญิงต้องสั่งห้ามไม่ให้น้องแพรวไปไหนมาไหนกับเพื่อนกลุ่มนี้นะครับ คนกลุ่มนี้ต้องมีศัตรูคอยปองร้าย น้องแพรวจะพลอยโดนลูกหลงไปด้วย”
งามเนตรวางสายแล้วจ้องมองเพื่อนสนิทของลูกสาวด้วยสายตาชิงชัง “เรืองรุ้ง...ถ้าลูกสาวฉันตายไปวันนี้ ใครจะรับผิดชอบ”
“คือ...ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนะคะ มันเป็นเรื่องบังเอิญ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะว่าห้ามเธอติดต่อกับยัยแพรวอีกต่อไป หวังว่าเธอคงเข้าใจ”
เรืองรุ้งหน้าซีดไปกันใหญ่ จ๋อยสนิทกลับออกมาบอกภาณุกับวิศิษฏ์ที่รออยู่หน้าบ้าน
“แพรวอาการดีขึ้น แต่แม่เธอห้ามไม่ให้คบกับพวกเราอีกแล้ว”
สองหนุ่มฟังแล้วหน้าเจื่อนไปด้วยกัน
ooooooo
นงรามไปหาวิศิษฏ์ที่สำนักงานแต่ไม่พบ จึงกลับออกมารอเขาที่บ้านอยู่ครึ่งค่อนวัน รอไปรอมาหาว่าคนที่บ้านปิดบังไม่ยอมบอกว่าวิศิษฏ์ไปไหน เฟื่องขจรไม่พอใจเลยสวนเข้าให้ว่า
“ฉันจะปิดหล่อนทำไม”
นงรามสะบัดหน้าพรืด แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าวิศิษฏ์อาจพักผ่อนอยู่บนห้องไม่ได้ไปทำงาน จึงตะล่อมถามติ๋วกับโต้งที่นั่งทำการบ้านกันอยู่
“เด็กดีต้องไม่โกหกอา บอกอามาดีกว่าว่าอาศิษฏ์อยู่บนห้องใช่ไหม”
“อยากรู้ก็ไปดูเองสิคะอานงราม”
นงรามเชื่อคำตอบของติ๋ว หันไปบอกเฟื่องขจรว่าเด็กไม่โกหก ตนขออนุญาตขึ้นไปดู
“เดี๋ยวแม่นงรามทรามสวาท หล่อนจะยุรยาตรไปไหนกันยะ นี่มันบ้านฉันนะ แล้วห้องที่หล่อนจะขึ้นไปน่ะมันห้องผู้ชาย”
นงรามไม่สนใจเดินลิ่วขึ้นไป ติ๋วกับโต้งสบตากันแล้วว่าเดี๋ยวคงเจอดีจนได้ โดนผีหลอกก็คงกลับลงมาเอง
จริงแท้แน่นอน...ผีลิ้นจี่หมั่นไส้นงราม หลอกหลอนจนหล่อนกลัวขนหัวลุก กรีดร้องวิ่งลงมาหน้าตาตื่น ทำเอาทุกคนข้างล่างตกใจถามว่าเป็นอะไร ทำไมแหกปากร้องเป็นบ้าเป็นบอขนาดนั้น
นงรามบอกว่าตนถูกผีหลอก แล้ววิ่งออกไปกอดวิศิษฏ์ที่กลับมาพอดี พูดระรัวว่าตนโดนผีหลอก ผีผู้หญิงในห้องของเขาน่ากลัวมาก
ลิ้นจี่กับพิศปรากฏร่างมุมหนึ่ง ลิ้นจี่หมั่นไส้ไม่หายบอกพิศว่าตนจะดลใจให้นงรามกลับไป...วิศิษฏ์แปลกใจที่จู่ๆนงรามก็หายกลัวผี ขอตัวกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรของเขานะ หรือว่าเป็นฝีมือคุณพิศ...ฮึ่ม ไว้คืนนี้ก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มพึมพำแล้วเดินเข้าบ้านมาเผชิญหน้ากับทุกคนที่ยังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว เขาย้ำกับมารดาว่า
“ห้องผมไม่มีผี ผมยืนยันได้ คุณแม่เชื่อผมเถอะ อย่าเชื่อพี่วิเลย”
“แต่ยัยนงรามก็เห็น แล้วจะไม่ให้แม่เชื่อได้ยังไง”
วิศิษฏ์ส่ายหน้าระอาใจแล้วเดินขึ้นห้องไปมองหาพิศ “คุณพิศ...บอกผมมาเดี๋ยวนี้นะว่าเกิดอะไรขึ้น”
พิศปรากฏร่างในชุดสวยงามทันสมัยพร้อมตั้งคำถามเสียงเรียบว่า “ทำไมถึงโทษฉันล่ะคะคุณเด๋อ”
“ก็มีคุณคนเดียวที่ทำเรื่องแปลกๆได้ เพราะคุณพิศไม่ใช่คนไง อ้อ นี่แต่งชุดใหม่กะจะยั่วให้ผมหายโมโหใช่ไหม”
พิศไม่ตอบแต่หมุนตัวทีเดียวเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ไฉไลกว่าเดิม ลอยหน้าถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง วิศิษฏ์ไม่สนใจจับมือเธอไว้พร้อมถามเสียงเครียดว่าทำอะไรนงราม
“ไม่ได้ทำ”
“โกหก...คุณรู้ไหมว่าทั้งคุณแม่และพี่วิหาว่าผมเลี้ยงผี ผมไม่อยากถูกกล่าวหาอย่างนั้น เนี่ย เป็นเพราะคุณพิศคนเดียวทำให้คนเข้าใจผมผิด”
พิศถอยห่าง ตาแดงเหมือนจะร้องไห้ ตัดพ้ออย่างน้อยใจว่า “คุณเด๋อไม่เชื่อฉันไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฉันจะไม่พบกับคุณเด๋อสักระยะ หวังว่าคุณเด๋อคงมีความสุขดี ผ่านกรรมที่กำลังจะมาถึงให้ได้ก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
เธอเลือนหายไป วิศิษฏ์ตกใจเรียกชื่อเธอหลายครั้งแต่ไร้การตอบรับ รู้สึกเสียใจที่พูดออกไปอย่างนั้น ลิ้นจี่เห็นพิศหน้าเศร้าออกมา สำนึกตัวว่าผิดเองที่ไปคะยั้นคะยอพิศให้มาช่วย
“ไม่เป็นไรหรอกลิ้นจี่ ฉันต่างหากที่ผิด ผิดที่พยายามฝืนกรรมของเขา ทั้งที่มันฝืนไม่ได้”
“แล้วคุณพิศจะไปจากที่นี่จริงๆหรือเจ้าคะ”
“ฉันเพียงแต่จะไม่ปรากฏตัวและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาเท่านั้น...ดูแลบ้านด้วยนะลิ้นจี่”
“โธ่...คุณพิศ” ลิ้นจี่รำพึงหน้าเศร้า น้ำตาคลอ
ooooooo
นงรามถูกผีที่บ้านเฟื่องขจรหลอกหลอนเมื่อวานจนป่านนี้ผ่านไปหนึ่งวันก็ยังไม่กล้าออกจากบ้านตัวเอง บ่นกับองุ่นว่าวิศิษฏ์คงไม่คิดจะคืนดีกับตนแล้ว ตนคงไม่พ้นต้องแต่งงานกับบรรจบ
สุนทรีเข้ามาได้ยินพอดี สวนเสียงใสว่า “ไม่ดีหรือไง...ต่อไปชีวิตจะได้สุขสบาย แต่งงานไปแล้วก็ได้เป็นสะใภ้มหาเศรษฐี”
“แต่นงไม่ได้รักเขา”
“พูดอย่างอื่นเป็นบ้างมั้ย ลองคิดดูสิ ถ้านายศิษฏ์รักแกจริงเขาก็ส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอแล้ว นี่ฉันรอจนจะลงโลง ก็ไม่เห็นความรักของแกกับเขาคืบหน้า อย่าโง่สิ แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าเกิดเป็นลูกแม่ต้องไม่โง่”
“คุณแม่...ผีบ้านผีเรือนเขาคงไม่ต้อนรับนงด้วยล่ะ”
“พูดอะไร พูดเรื่องผีๆสางๆ ไม่สบายหรือเปล่านง หมู่นี้มีอะไรแปลกๆนะ”
“จริงๆนะคะแม่ มันน่ากลัวมากเลย เมื่อคืนนงนอนไม่ได้เลยค่ะ มันติดตานงจนถึงตอนนี้”
คำยืนยันเสียงสั่นเครือและท่าทางหวาดกลัวของนงรามเล่นเอาสุนทรีกับองุ่นเริ่มลังเล สุนทรีให้ลูกสาวเล่ารายละเอียดมา ขณะที่องุ่นเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว...
เช้าวันเดียวกัน งามเนตรบุกไปหาวิศิษฏ์ถึงสำนักงาน ประกาศไม่อนุญาตให้แพรวพรรณรับงานออกแบบเสื้อผ้าบ้าบอของเขา
“แต่คุณแพรวรับงานนี้ไปแล้ว ทางหน่วยงานเรา เสียหายมากนะครับ โปสเตอร์งานก็ประชาสัมพันธ์ไปแล้วด้วย”
“เรื่องอื่นฉันไม่สนใจ แล้วก็อย่าคิดคบหากับลูกสาวฉันอีก แพรวพรรณไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นคนรักของคนอย่างคุณ”
งามเนตรเน้นเสียงแล้วเดินนวยนาดจากไป วิศิษฏ์และทุกคนนิ่งอึ้ง ไม่นึกว่าจะมีระเบิดลูกใหญ่ลงแต่เช้า... ขณะที่แพรวพรรณก็โดนเหมือนกัน งามเนตรกลับมากระชากกระดาษออกแบบเสื้อผ้าของเธอถึงโต๊ะทำงาน
“อย่าค่ะคุณแม่”
“หวงกระดาษพวกนี้มากกว่าความหวังดีของแม่เหรอ เมื่อวานเกือบตายก็เพราะทำงานนี้ไม่ใช่เหรอแพรว”
“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ แล้วอีกอย่างแพรวก็ไม่เป็นอะไรนี่คะ คุณแม่อย่าฟังคนอื่นมากกว่าแพรวสิคะ”
“แต่ก่อนแพรวไม่เคยเถียงแม่ เป็นเพราะคบเพื่อนไม่ดีก็เลยติดนิสัยไม่ดีมาด้วย แม่ขอประกาศเลยนะ ห้ามคบกับพวกนายวิศิษฏ์อีก ยัยเรืองรุ้งนั่นก็ด้วยอวดตัวถือดีว่าเป็นผู้วิเศษ โธ่เอ๊ย เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ”
สุรเดชตรงเข้ามาหาภรรยาเหมือนจะปราม แต่เธอกลับตวาดขึ้นเสียก่อน
“คุณไม่ต้องยุ่ง ฉันกำลังอบรมลูก แล้วก็ปกป้องลูกไม่ให้เป็นอันตราย”
“ปกป้องเหรอ ผมว่าคุณกำลังข่มขู่ลูก ทำร้ายจิตใจลูกมากกว่า ถ้าลูกทำงานแล้วมีความสุข คุณควรจะดีใจ”
“มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ฉันจะดีใจก็คือได้เห็นยัยแพรวเป็นเจ้าสาวของคุณบรรจบ...เรื่องเดียวเท่านั้นจริงๆ”
“คุณแม่...”
“ไม่มีการต่อรองอะไรทั้งนั้น”
แพรวพรรณเสียใจน้ำตาไหลพราก สุรเดชทนไม่ไหวคว้าแขนงามเนตรดึงออกไปคุยกันนอกห้อง
“เรามีลูกสาวคนเดียวนะคุณหญิง อย่าผลักไสลูกให้ออกห่างเราด้วยการบังคับในสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ”
“แล้วทียัยแพรวทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ทำไมไม่คิดบ้าง”
“คุณหญิงไม่รักลูกแล้วจะรักใครล่ะ รักตัวเองเหรอ”
“คุณสุรเดช! ก็เพราะฉันรักลูกไง ฉันถึงต้องทำอย่างนี้ เมื่อวานลูกเราเกือบตาย คุณบรรจบก็บอกแล้วว่าเป็นเพราะพวกนายวิศิษฏ์มีศัตรู ฉันกลัวยัยแพรวจะโดนลูกหลงไปด้วย แบบนี้ฉันยังไม่รักลูกอีกเหรอ”
“บอกตรงๆนะ ผมไม่เคยเชื่อคำพูดของนายบรรจบเลย”
“แต่ฉันเชื่อ!” งามเนตรเสียงแข็ง จ้องหน้าสามีอย่างไม่ยอม!
ในห้อง พิศปรากฏร่างข้างหลังแพรวพรรณที่กำลังร่ำไห้อย่างอัดอั้น ลูบผมน้องสาวด้วยความรักและสงสาร แพรวพรรณรู้สึกผิดปกติเหลียวมองทางหางตาเห็นเพียงแว่บเดียว ลุกพรวดขึ้นกวาดตามองรอบห้อง
“เธอเป็นใคร...ใช่ผู้หญิงในความฝันที่ฉันเคยฝันเห็นหรือเปล่า แล้วเธอต้องการอะไร อย่ามาวุ่นวายกับฉันนะ...ไปสิ”
แพรวพรรณตื่นตระหนก โทร.หาเรืองรุ้งขอความช่วยเหลือเสียงสั่นระรัว แต่เพื่อนรักตอบกลับอย่างใจเย็นว่า
“เขามาดี...เชื่อฉันเถอะแพรว...เขาปกป้องคุ้มครองเธอนะ ไม่อย่างนั้นเมื่อวานนี้เธอคงไม่รอด ทำใจให้สบายนะ แล้วถ้ามีโอกาสก็ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ้าง”
“รุ้ง...ช่วยฉันด้วยนะ...ฉันทำบุญอะไรดี”
เพียงวันรุ่งขึ้น เรืองรุ้งก็นัดหมายไปทำบุญกับแพรวพรรณโดยมีสุรเดชขับรถให้นั่งด้วยความเต็มใจ งามเนตรทราบจากสาวใช้หลังจากสองพ่อลูกออกไปแล้วก็แทบเต้นแร้งเต้นกา เพราะตัวเองเจ้ากี้เจ้าการนัดบรรจบมากินข้าวกลางวัน
งามเนตรร้อนรนโทร.หาแพรวพรรณแต่สุรเดชรับสายแทน บอกว่าตนพาลูกไปทำบุญเสร็จแล้วจะหาอะไรกินตามประสาพ่อลูก เธอไม่ต้องห่วง
“ไม่ต้องห่วงได้ไงกันล่ะ ฉันอุตส่าห์นัดคุณบรรจบมาพูดคุยกับลูก ยัยแพรวจะได้สบายใจขึ้น”
“ผมว่าลูกจะยิ่งเครียด เอางี้ ไหนๆคุณหญิงก็นัดนายบรรจบมาแล้วก็อยู่คุยแล้วก็กินข้าวกับเขาไปเลย...ตามสบาย”
สุรเดชวางสายแล้วหันมายิ้มกับลูกสาว ฝ่ายงามเนตรโมโหแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง
ooooooo
บุรีเพิ่งทราบว่าบรรจบส่งนักเลงไปเก็บวิศิษฏ์เพราะความหึงหวงแพรวพรรณ เขาติงลูกชายว่าเอาความคิดนี้ มาจากไหน ถ้าเกิดหมอนั่นตายขึ้นมาแกเข้าคุกแน่
“พ่อก็ทำตื่นเต้นไปได้ ผมรู้ว่าพ่อช่วยผมได้ทุกเรื่อง”
“มันก็ไม่เสมอไปหรอก...แล้วเป็นไงล่ะ”
“นั่นไง พ่อก็สนใจใช่ไหม”
“เออ...อยากรู้”
“ลูกน้องผมทำอะไรมันไม่ได้เลย มันเล่าว่ามีผีผู้หญิงมาปัดปืนตก แถมยังยืนขวางกระสุนอีก”
บุรีอึ้งกิมกี่ เหลือบเห็นสัตตะยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ถามเขาว่าถ้าผีช่วยคนกลางวันแสกๆได้หมายความว่ายังไง
“ผีตนนั้นต้องมีพลังเหนือกว่าผีทั่วไป”
“แล้วจะช่วยผมได้หรือเปล่า หาของดีไปจัดการมันให้หน่อยสิ ยังไงก็เอาที่เก่งกว่าควายธนูหน่อยนะ จะได้ไม่แพ้มันกลับมา แต่ถ้าไม่มีปัญญาช่วยผมล่ะก็ไสหัวไปเลย พ่อผมจะได้จ้างที่ปรึกษาคนใหม่”
“บรรจบ!” บุรีตวาดปรามลูกชาย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะบรรจบยังแข็งกร้าวไร้ความเคารพสัตตะ
“พ่อไม่ต้องห้ามผม เราเสียเงินจ้างเขามา เขาก็ต้องทำงานให้เรา ทำไมพ่อต้องเกรงใจเขาด้วย”
บรรจบมองหน้าสัตตะอย่างถือดี เดินหัวเราะในลำคอหยามหยัน สัตตะจ้องตามแววตาดุดัน จนบุรีใจคอไม่ดี ขอร้องเขาอย่าถือสาลูกชายตน เมตตามันด้วย มันวู่วามตามประสาคนหนุ่ม
“เขากำลังเคราะห์ร้าย ให้เขารอก่อน จะเอาของดีให้เขาไว้ป้องกันตัว”
“ผมดีใจที่อาจารย์ไม่โกรธมัน...ผมจะรีบไปบอกมันเดี๋ยวนี้”
บุรีสาวเท้าออกไป สัตตะยิ้มเจ้าเล่ห์ หยิบตะปูเก่าคร่ำคร่าที่ได้มาจากสัปเหร่อออกจากย่ามแล้วท่องคาถาสั่งให้ผีตะปูโลงศพตามมันไป...
สองพ่อลูกยืนคุยกันข้างรถ บรรจบสีหน้าไม่เชื่อถือสัตตะ ถามพ่ออย่างดูแคลนเขาว่า
“พ่อเชื่อมันด้วยเหรอ ผมไม่เห็นมันทำอะไรสำเร็จสักอย่าง ผมน่ะไม่มีเคราะห์หรอก มันต่างหากล่ะกำลังจะถูกไล่ออกก็เลยหาวิธีให้พ่อเห็นความสำคัญของมัน”
สัตตะเดินออกมาได้ยินทุกคำของบรรจบแต่แสร้งไม่สนใจ ทักเรื่องเขากำลังมีเคราะห์ ของขลังของตนช่วยได้ พกติดตัวไว้ไม่หนักหนาอะไร แล้วเขาจะขอบใจตน
บรรจบอยากรู้ว่าของขลังอะไร พอสัตตะส่งตะปูตอกฝาโลงศพให้ ชายหนุ่มแทบหัวเราะก๊ากออกมา
“หึๆ ตะปูเก่าๆเนี่ยนะ แกไปเก็บมาจากข้างทางที่ไหนแล้วมาหลอกพ่อฉัน ฉันกับพ่อไม่โง่หรอก”
“บรรจบ...แค่เอาไว้ติดตัวมันคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า...รับไป” บุรีส่งสายตาบังคับ บรรจบเลยต้องรับมาอย่างเสียไม่ได้ แล้วขึ้นรถขับออกไปโดยมีผีหนึ่งตนนั่งประกบ
ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น