วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 10


เถาว์เครือยังพาลไม่เลิก พอเจอหน้าตลับนาคก็แขวะใส่ ทำไมยังไม่เก็บข้าวของย้ายกลับบ้านสวนอีกไม่นานชิดชบาจะต้องระเห็จเข้าคุกแล้ว เธอแดกดันกลับ ทำไมเถาว์เครือถึงมั่นใจนักว่าเกมจะไม่พลิก คดีนี้เป็นแค่เกม รอให้รู้แน่เสียก่อนไม่ดีกว่าหรือว่าใครถูกใครผิด เถาว์เครือคุยว่ามีหลักฐานมัดตัวชิดชบาแน่นหนา

“สังคมก่นด่าหลานสาวของคุณทุกวี่ทุกวัน แล้วฉันก็จะเป็นพยานปากสำคัญที่ให้การต่อศาลรวมถึงปฐวีด้วย เขาโกรธที่โสมสุภางค์ถูกทำร้าย เขาเกลียดหลานสาวของคุณจนไฟสวาทเหลือแต่เถ้าล้วนๆ”

“เอาเถอะ ไว้ถึงวันนั้น ถ้าหลานของฉันเดินเข้าคุก ฉันก็จะกลับไปทำหน้าที่ส่งปิ่นโต ว่าแต่คุณเถอะ คุณแน่ใจนะว่าคนที่จะเดินเข้าคุกไม่ใช่คุณ” ตลับนาคดักคอเถาว์เครือถึงกับสะดุ้ง จังหวะนั้นจำเรียงเข้ามารายงานตลับนาคว่าอรุณณรงค์มา เธอสั่งให้ไปบอกเขาทีว่าชิดชบาไม่ต้องการพบใคร...

ในเวลาเดียวกัน พยาบาลพิเศษที่เฝ้าไข้โสมสุภางค์ต้องไปเบิกยาที่ห้องยา จึงขอให้โสมสุภางค์อยู่คนเดียวสักครู่ ทันทีที่พยาบาลลับสายตา เธอเริ่มร้องไห้อย่างอัดอั้น ดึงสายน้ำเกลือออกจากขวดน้ำเกลือ แล้วจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับพลัดตกเตียง ปฐวีเข้ามาเห็นเธอนอนกองอยู่กับพื้น มีเลือดไหลออกจากสายน้ำเกลือที่แขนนองเต็มไปหมด ก็ตกใจร้องเรียกพยาบาลเสียงลั่น โสมสุภางค์คร่ำครวญทั้งน้ำตานองหน้า

“ฉัน...เดินไม่ได้...แล้วใช่ไหมคะวี ฉันเดินไม่ได้แล้ว...ใช่ไหม”

พยาบาลสองคนปรี่เข้ามาประคองร่างโสมสุภางค์แล้วเชิญปฐวีออกไปรอข้างนอก เขาเห็นสภาพของภรรยาหมาดๆแล้วนึกโกรธชิดชบาขึ้นมา รีบกลับบ้านไปเอาเรื่อง เธอไม่คิดจะขัดขืน

“เอาสิคะ จะกรีดจะสับหรือจะฆ่าฉันก็เชิญ ถ้ามันทำให้ฉันล้างบาปที่พ่อฉันทำกับพ่อคุณได้ ฉันฝันร้ายทุกคืน ฉันรู้แล้วว่าคนที่ติดอยู่กับฝันร้ายน่ะ มันทุกข์ทรมานแค่ไหน ฆ่าฉันเถอะ เมื่อฉันตายทุกอย่างจะได้จบ”

“เราจะเจอกันในศาล เราจะฟ้องคุณข้อหาพยายามฆ่าโสมสุภางค์” ปฐวีชี้หน้าเธออย่างเคืองแค้น...

หัวหน้ากอง บก.ชักจะไม่เห็นด้วยที่การขุดคุ้ยเรื่องการพนันของธวัชพงษ์กลับกลายไปเกี่ยวข้องกับคดีพยายามฆ่า เขาเชื่อว่าชิดชบาไม่ใช่ฆาตกรแต่เป็นเหยื่อ หัวหน้ากอง บก.เตือนว่าหน้าที่ของเขาคือการเสนอความจริง ไม่ใช่ยัดเยียดความคิดกับอารมณ์ของตัวเองลงไปในเนื้อข่าว สั่งให้เขาหยุดทำแบบนั้น

“ผมไม่หยุด ผมมาไกลแล้ว ถึงเรื่องจะกลายเป็นว่าผมยิ่งลึกยิ่งถลำ แต่ผมก็ทิ้งชิดชบาไม่ได้ มีความจริงอยู่ในเรื่องนี้...พี่ เชื่อผมอีกครั้งเถอะครับ เพราะคนบริสุทธิ์ไม่ควรจะเดินเข้าคุก”

“แกบ้าไปแล้วหรือ แกคิดว่าแกเป็นอะไร นั่นเป็นเรื่องที่ศาลต้องพิสูจน์ถูกผิด ถ้าแกหยุดไม่ได้ ฉันจะถอดแกออกจากหน้าที่นักข่าว” ท่าทีเอาจริงของหัวหน้ากองบก. ทำเอาธวัชพงษ์ชักจะหวั่นๆ...

ดึกแล้ว ตลับนาคเห็นชิดชบาเดินไปเดินมาสีหน้าเศร้าหมอง ทักว่าทำไมยังไม่นอนอีก เธอไม่กล้าหลับกลัวฝันร้ายเห็นพ่อฆ่าตัวตาย แล้วถามว่ารู้เรื่องที่พ่อของเธอโกงจนเพื่อนต้องฆ่าตัวตายหรือเปล่า ตลับนาคเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตใกล้กัน รู้แต่เขาทำอะไรมาเยอะ รวมทั้งธุรกิจค้าข้าวด้วย

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น ชิดชบาขอให้ธวัชพงษ์พามาที่ท่าข้าวริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเคยเป็นโรงสีข้าวเก่าของชิดชงค์ เขาอดถามไม่ได้ว่านึกอย่างไรถึงได้สนใจเรื่องข้าวขึ้นมา

“ฉันควรรู้ไว้ไม่ใช่หรือว่าท่าข้าวนี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ถ้ามีเรื่องราวของเพื่อนสองคนรักกันฆ่ากัน ฉันก็ควรจะทำความรู้จักไว้ในฐานะที่ฉันเป็นผู้ไถ่บาป... ธวัชพงษ์ ฉันไม่มีใครเลยนะ คนรอบตัวฉันที่พอมี ก็เปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้ากันไปหมด ฉันโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนมีแต่คุณป้าคอยหวังดี”

ธวัชพงษ์เถียง ไม่เป็นความจริง เธอยังมีเฉวียงที่พยายามหาทางต่อสู้เรื่องคดีให้เธอ และยังมีเขาอีกคนหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้ ชิดชบาขอร้องอย่าทิ้งกันไปไหน เขารับปาก เพื่อนย่อมไม่ทิ้งเพื่อนอยู่แล้ว...

อาการของโสมสุภางค์ทรุดหนักอีกครั้ง ต้องกลับไปอยู่ห้องไอซียู เถาว์เครือต้องการจะเล่นงานชิดชบาให้ได้จึงโยนความผิดว่าเป็นเธอที่ฉวยโอกาสเข้ามาทำร้ายโสมสุภางค์ตอนที่พยาบาลไม่อยู่ เร่งให้ปฐวีทำเรื่องฟ้องร้องให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้เอานังนั่นมาลงโทษ เขากำลังดำเนินการอยู่เธอไม่ต้องเป็นห่วง

“ตำรวจจะสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง คนทุกคนที่อยู่ในบ้านในคืนเกิดเหตุ รวมทั้งคุณแม่ด้วย”

เถาว์เครือถึงกับหน้าเสียที่ต้องถูกสอบปากคำ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ...

ขณะที่เถาว์เครือพยายามทำทุกอย่างให้ปฐวีเร่งเอาผิดชิดชบา ชัยยงค์กับชัยญากำลังคุยถึงเรื่องนี้อยู่ที่ห้องอาหารหรูเช่นกัน ชัยยงค์ภาวนาอย่าให้โสมสุภางค์ตายตอนนี้ ขอแค่ยังมีลมหายใจอยู่จนกว่าเขาจะเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นได้เสียก่อน ชัยญาไม่ได้ฟังพ่อพูดเพราะมัวแต่มองระรินที่เดินควงมากับนักธุรกิจต่างชาติโดยที่ไม่ทันเห็นเขา ความหึงหวงทำให้เขาทนไม่ไหวปรี่เข้าไปตบเธอล้มคว่ำ

“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนะ คุณตบฉันทำไม”

ชัยญาโกรธจะตบระรินซ้ำ นักธุรกิจหนุ่มคนนั้นถลันเข้ามาปกป้อง เขาข่มขู่ไม่ให้มายุ่ง ชัยยงค์เห็นคนในร้านเหลียวมองเป็นตาเดียวกัน รีบดึงตัวลูกชายออกไปข้างนอก ตบสั่งสอนพร้อมกับด่าไปด้วย

“แกเป็นบ้าไปแล้วหรือ ก็แค่ผู้หญิงสำส่อน แกไปให้ราคามันทำไม แกรู้ไหมถ้าแกเป็นข่าว แกจะทำลายความน่านับถือของฉัน คิดเรื่องใหญ่ๆ อย่าคิดเรื่องเล็ก สมองของฉันนี่ ฉันคิดเรื่องใหญ่ฉันยังพลาดเลย อย่าโง่ ฉลาดไว้ตอนนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บ้านหลังนั้นมา ต้องคิดอย่างเดียว ทำยังไงชิดชบาถึงจะติดคุก”...

เสร็จจากชมท่าข้าว ธวัชพงษ์พาชิดชบาไปยังโรงสีข้าวที่ทันสมัยซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกัน เดินดูยังไม่ทันกี่ก้าว ยามประจำโรงสีเข้ามาเชิญให้ทั้งคู่ออกไป ธวัชพงษ์อ้างตัวเป็นนักข่าวจะขอดูวิธีการสีข้าวของที่นี่ ยามให้ดูไม่ได้ มีคำสั่งจากเจ้าของโรงสี ห้ามไม่ให้เขาเข้ามา ชิดชบาชักเอะใจ ใครกันที่เป็นเจ้าของที่นี่

“คุณปฐวี” ยามตอบเสียงห้วน

ooooooo

ระหว่างที่ตลับนาคกำลังดูแลให้จำเรียงและบุญถิ่นตั้งสำรับสำหรับมื้อเย็น ปฐวีเข้ามาถามว่าเมื่อสองวันก่อนชิดชบาไปไหน เธอไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าชิดชบาออกไปข้างนอกทุกวัน

“ถ้างั้นคุณป้าก็คงจะยังไม่ทราบว่าหลานสาวของคุณป้าไปที่โรงพยาบาล จากนั้นก็พบว่าโสมสุภางค์ตกเตียงต้องกลับเข้าไปอยู่ในห้องไอซียู ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ผมไม่คิดเลยว่าหลานสาวของคุณป้าจะใจร้ายใจดำโหดเหี้ยมอำมหิต รังแกคนที่ไม่มีทางสู้อย่างโสมสุภางค์ บอกชิดชบาด้วยว่าผมจะไม่มีวันถอยเรื่องดำเนินคดี คนทำผิดจะต้องเข้าคุก” พูดจบ ปฐวีเดินขึ้นข้างบน บุญถิ่นใจคอไม่ดี เผลอทำจานกระทบกันเสียงดัง จนตลับนาคกับจำเรียงอดมองด้วยความสงสัยไม่ได้...

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ตอนที่ธวัชพงษ์ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งชิดชบาที่หน้าประตูรั้วบ้านปฐวี แล้วปลอบไม่ให้คิดมากเรื่องที่ถูกไล่ออกจากโรงสีแห่งนั้น หากเธอมีอะไรต้องการให้ช่วย โทร.หาเขาได้ทันที

“ขอบใจอีกครั้งธวัชพงษ์ ฉันจะโทร.หาคุณ เอ้า เอาหมวกกันน็อกของคุณคืนไป” ชิดชบายืนส่งจนมอเตอร์ไซค์ของธวัชพงษ์ลับสายตาแล้วขยับจะเข้าข้างใน ต้องชะงักเมื่อเจออรุณณรงค์เดินเข้ามาหา ขอโทษที่มาแสดงความจริงใจต่อเธอช้าไป แต่อยากให้รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอเสมอแล้วถามว่าคดีเป็นอย่างไรบ้าง

“กำลังจะเริ่มเมื่ออัยการเห็นควรฟ้อง”

“ไม่จริงใช่ไหมครับ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่จริง คุณไม่ได้ผลักโสมสุภางค์ตกบันได” ไม่พูดเปล่า อรุณณรงค์จับมือเธอมากุมไว้ ชิดชบาประชดตัวเอง ในเมื่อเธอทำเรื่องบ้าบอได้สารพัด ทำไมจะทำเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วขอร้องให้เขาปล่อย อรุณณรงค์ทนไม่ไหวสารภาพความในใจว่ารักเธอมาก แล้วยกมือเธอขึ้นมาจูบ ชิดชบารีบชักมือกลับ เอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง ปฐวียืนอยู่ที่ระเบียงห้องตัวเองมองทั้งคู่ไม่พอใจ...

หลังจากแดกดันชิดชบาที่อรุณณรงค์มาแสดงความรักความห่วงใยถึงหน้าประตูบ้าน ปฐวีอดถามไม่ได้ว่าเธอไปที่โรงสีข้าวนั่นเพื่ออะไร เธออยากรู้เรื่องราวของเพื่อนสองคนที่เคยล่องเรือค้าข้าวด้วยกัน

“ถ้าพ่อฉันหักหลังเพื่อนจนเพื่อนต้องฆ่าตัวตาย ฉันก็ควรจะไถ่บาปของพ่อ ที่พ่อทำให้ชีวิตคุณลำบาก ฉันฝันร้าย ฉันรู้แล้วว่าฝันร้ายซ้ำซากมันทรมานแค่ไหน ฉันกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา คุณพอใจหรือยังคุณปฐวี” ชิดชบาว่าแล้วผละจากไป ปฐวีพยายามฝืนใจอย่างหนักเพื่อไม่ให้มีเยื่อใยต่อเธอ

ooooooo

เถาว์เครือเห็นแพรวาออกจากห้องไอซียู ปรี่เข้ามาต่อว่าว่าไม่อนุญาตให้ใครเยี่ยมโสมสุภางค์แล้วทำไมยังฝ่าฝืน เธอไม่เข้าใจ ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนรักของโสมสุภางค์ ทำไมถึงเยี่ยมไม่ได้ เถาว์เครืออ้างว่าทำไปก็เพื่อปกป้องลูก แพรวาชักไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เถาว์เครือทำเป็นการปกป้องโสมสุภางค์จริงหรือ

“พูดอย่างนี้เหมือนดูถูกฉันเลยนะ หมอแพรวา”

แพรวาไม่ได้ดูถูก แต่ที่พูดก็เพราะเป็นห่วง ชัยยงค์ไม่ใช่คนที่น่าไว้วางใจ เถาว์เครือโกรธ ห้ามเธอมายุ่งเรื่องส่วนตัวของตน แพรวาไม่ยุ่งไม่ได้เพราะมันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของโสมสุภางค์

“หนูห่วงโสมสุภางค์ กลัวจะตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้”

“ออกไป แล้วอย่ามายุ่งกับลูกของฉันอีก ถ้าฉันเห็นหน้าหมอเข้าใกล้ลูกของฉันฉันจะแจ้งตำรวจว่าหมอแพรวาประทุษร้ายโสมสุภางค์”...

แพรวานำคำขู่ของเถาว์เครือไปเล่าให้ธวัชพงษ์ฟัง เขาปลอบว่าไม่ต้องคิดมาก แค่คำกล่าวหา เธอไม่ได้ทำอย่างที่เถาว์เครือว่า และที่สำคัญตอนนี้เถาว์เครืออาจจะสับสนเพราะมีแต่เรื่องร้ายกับร้ายเข้ามาพร้อมๆกัน ร้ายเรื่องแรกก็คือโสมสุภางค์ป่วยหนัก ส่วนร้ายเรื่องที่สองก็เรื่องที่ชัยยงค์มีเบื้องหลังเป็นเซียนพนัน

“แล้วคดีของชิดชบาไปถึงไหนแล้ว”

“ตำรวจกำลังสอบปากคำพยานเพื่อรอสรุปสำนวนส่งอัยการ ถ้าชิดชบาปฏิเสธ มันก็แค่ข้อกล่าวหา”

“ข้อกล่าวหาอย่างที่ฉันโดนคุณแม่กล่าวหาว่าประทุษร้ายโสมสุภางค์ใช่ไหม” แพรวาครุ่นคิดสงสัย...

ขณะที่ชิดชบาและตลับนาคกำลังรอให้จำเรียงและบุญถิ่นจัดสำรับเช้าขึ้นโต๊ะ ปฐวีเข้ามาแจ้งให้ทุกคนรู้ว่าตำรวจจะเรียกตัวคนในบ้านหลังนี้ไปให้ปากคำ คงไม่ต้องย้ำกับทุกคนว่าควรจะพูดความจริง เพราะความจริงพูดกี่ครั้งก็จะเหมือนกัน แจ้งเสร็จ เขาผละจากไป จำเรียงปรึกษาชิดชบาว่าจะให้การอย่างไรดี เธอแนะให้พูดความจริงเหมือนอย่างที่ปฐวีบอก แล้วลุกหนีขึ้นข้างบน

“แต่หนูก็กลัวค่ะคุณป้าตลับนาค หนูเห็นก็แค่ตอนที่คุณโสมสุภางค์ตกลงมาแล้ว ตอนนั้นหนูตกใจเพราะเสียงคุณนายเถาว์เครือร้องลั่นบ้าน น้าบุญถิ่นได้ยินไหม”

ตลับนาคหันมองบุญถิ่นอย่างแปลกใจที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นด้วย เธอได้แต่อึกอักพูดไม่ออก...

ระหว่างบุญถิ่นเริ่มจะปิดอาการมีพิรุธไม่อยู่ ชัยญามาดักรอระรินที่รถป้ายแดงคันโก้ของเธอที่เสี่ยนักธุรกิจต่างชาติซื้อให้ ทันทีที่เจอหน้า เขาปรี่จะเข้าไปเอาเรื่องที่เธอบังอาจจะแยกวงไปได้ดิบได้ดีมีเสี่ยเลี้ยง

“คนอย่างฉัน ถ้าฉันไม่อนุญาตให้ไป ผู้หญิงคนไหนจะไปไม่ได้” ชัยญาพูดจบ ถลันเข้ามาจะทำร้าย ระรินดึงมีดออกจากกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูขึ้นมาขู่ ถ้าขืนเข้ามาใกล้จะแทง เขาถึงกับชะงัก

“รู้ไหม ผู้ชายที่คิดว่าจะขังผู้หญิงไว้ในคอกได้น่ะ ควาย เขาเลิกคิดกันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว”

ooooooo

ตลับนาคเห็นชิดชบาดื่มไวน์แต่เช้า ขอร้องให้หยุดดื่มสักวัน สติจะได้อยู่กับตัว เพราะวันนี้เป็นวันที่ตำรวจจะเรียกตัวคนรับใช้ของที่นี่ไปสอบปากคำเรื่องโสมสุภางค์

“ความจริงนี่บางทีเราก็ไม่รู้ว่ารูปร่างมันเป็นอย่างไร คนหนึ่งเห็นความจริงก็ใช่ว่าอีกคนจะเห็นเหมือนกัน”

“นี่แหละค่ะคุณป้าที่หนูกลัว ถ้าหนูติดคุกเพราะความจริงมันผิดเพี้ยนไป หนูจะทำอย่างไรดีคะ”

“ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องมันถลำลึกเข้ามาไกลเกินไป เราทำได้แค่ภาวนา ขอให้ความจริงมันเป็นความจริง” ตลับนาคหลับตาเพื่อซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ ด้วยไม่อยากทำให้หลานสาวใจเสีย...

สมควรไม่เข้าใจจำเรียงจะกลัวอะไรหนักหนา ขนาดปัสสาวะราดกลางห้องสอบสวนเมื่อถูกตำรวจเรียกเข้าไปให้ปากคำ ทำเหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตกบันไดของโสมสุภางค์ เธอปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ที่กลัวก็เพราะถ้าเธอให้การไม่ดี อาจทำให้ชิดชบาติดคุกได้

“ฉันรักคุณชิดชบา เพราะคุณชิดชบารักพวกเรา เธอเป็นคนมีน้ำใจมีเมตตา ไปนอกยังซื้อของมาฝากคนรับใช้ทุกคน คุณนายเถาว์เครือน่ะ มีสักครั้งไหม ไม่สับก็โขก ไม่โขกก็เหยียบ เห็นหัวคนเสียที่ไหน”

บุญถิ่นที่ฟังอยู่ด้วย เริ่มเห็นข้อเปรียบเทียบระหว่างชิดชบากับเถาว์เครือที่ไม่เคยไยดีตนเอง...

หม่อมจรัสเรืองถูกเรียกตัวไปให้ปากคำในเหตุการณ์คืนวันงานแต่งงานของปฐวี จึงชวนอุราศรีไปเป็นเพื่อน อรุณณรงค์ทักท้วงหม่อมแม่ ทำแบบนั้นเท่ากับเป็นการซ้ำเติมชิดชบา พยายามขอร้องให้ท่านเปลี่ยนใจ แต่ไม่เป็นผล หม่อมจรัสเรืองอ้างว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองดีพึงกระทำ

“ดีนะที่เขาเรียกหม่อมป้าไม่ได้เรียกคุณชายเอี่ยวไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะลำบากใจ”

“แต่เขาก็เรียกตัวคุณชัยยงค์ไปให้ปากคำด้วย เพราะคุณชัยยงค์อยู่ในงานเลี้ยงด้วย ไปกันเถอะหนู” หม่อมจรัสเรืองว่าแล้วขึ้นรถไปกับอุราศรี ขณะที่อรุณณรงค์ มองตามไม่สบายใจ...

ชัยยงค์เดินกระหยิ่มลงมาจากสถานีตำรวจกับชัยญาและถกล พอใจที่ให้การปรักปรำชิดชบาผ่านไปด้วยดี เดินยังไม่ทันถึงรถที่จอดอยู่ เหลือบเห็นหม่อมจรัสเรืองเดินนำอุราศรีขึ้นไปบนสถานีตำรวจ ชัยญามองผู้หญิงที่มากับท่านด้วยความสนใจ ก่อนจะหันไปถามถกลว่าเธอคนนั้นเป็นใคร

ooooooo

ตลับนาคเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าแล้วใจคอไม่ดี รีบขึ้นไปหาชิดชบาที่เพิ่งตื่นนอนด้วยอาการเมาค้างนิดๆ เพื่อแจ้งว่ามีข่าวตำรวจเรียกพยานในงานแต่งงานไปให้ปากคำหลายปาก หนึ่งในนั้นมีชัยยงค์กับหม่อมจรัสเรืองรวมอยู่ด้วย ดูท่าแล้วไม่น่าเป็นผลดีกับทางเรา

“ทั้งนายชัยยงค์ทั้งหม่อมจรัสเรืองล้วนแต่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูทั้งนั้น”

“แต่หนูไม่ได้...ช่างเถอะค่ะ หนูยังนับถือความจริงอยู่ มันต้องผ่านไปได้ค่ะคุณป้า อย่างที่คุณป้าบอกหนู มันจะต้องผ่านไปได้” ชิดชบาพยายามปลอบใจตัวเอง ตลับนาคสงสารหลานสาวจับใจ ดึงตัวมากอดไว้ ภาวนาให้เป็นอย่างที่เธอว่าเช่นกัน ทั้งป้าทั้งหลานไม่ทันเห็นบุญถิ่นแอบมองอยู่หน้าประตูห้องอย่างรู้สึกผิด ระหว่างเธอเดินลงบันไดด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เจอเถาว์เครือเดินสวนขึ้นมาพอดี

“อ้อ แก ฉันกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวฉันมีนัด แล้วต้องกลับไปเฝ้าลูก กุญแจห้องฉันอยู่ที่แก เดี๋ยวขึ้นไปไขห้องให้ด้วย ฉันไม่อยู่แกเข้าไปยุ่งกับของมีค่าของฉันหรือเปล่า ฉันจะขนกระเป๋าเครื่องเพชรไปด้วยก็ไม่ไว้ใจใคร คนสมัยนี้เห็นหน้าแล้ว เชื่อใจใครได้ที่ไหน”

บุญถิ่นทนอยู่กับความรู้สึกผิดไม่ไหว ตัดสินใจขอลาออก เถาว์เครือปัดสวะ ไล่ให้ไปบอกตลับนาค ตนไม่ได้มีหน้าที่จ่ายเงินเดือนให้เธอสักหน่อย และถ้าคิดจะขอเงินก็อย่าหวัง เธอจะมีปัญหากับใครจนอยู่ที่นี่ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องอะไรของตน แล้วไล่บุญถิ่นรีบไปเอากุญแจห้องมาให้ เธอน้อยใจสุดๆที่เถาว์เครือไม่แยแส...

ฝ่ายปฐวีไม่พอใจที่ธวัชพงษ์พาชิดชบาถามซอกแซก ถึงเรื่องในอดีตของตนเอง จึงใช้เส้นสายจัดการให้เขาถูกไล่ออกจากสำนักพิมพ์ ชิดชบารู้เรื่องนี้เข้าก็ตามมาต่อว่า และด่าทอปฐวีว่าเป็นหมาจิ้งจอก เขาไม่ยอมถูกด่าคนเดียว ด่าเธอคืนบ้างว่าเป็นฆาตกรเลือดเย็นเหมือนพ่อของเธอ ตอนที่พ่อของเขาผูกคอตาย

“ผมไม่เคยเห็นเงาของเพื่อนรักมาร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวเรา มันเหมือนกับสิ่งที่คุณทำกับโสมสุภางค์ คุณผลักเธอตกบันได ซ้ำยังตามไปทำร้ายเธอถึงโรงพยาบาล คิดดูว่าคุณใจร้ายใจดำอำมหิตโหดเหี้ยม เหมือนใคร” ปฐวีขว้างแก้วไวน์ในมือแตกกระจายด้วยแรงโทสะ ชิดชบาพยายามอธิบายว่าไม่ได้ทำ
--------------
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น