วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 14


ในที่สุดแพรวพรรณก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านเช่าของเฟื่องขจร แต่ด้วยความกลัวว่าผีจะมารังควานเธอ เฟื่องขจรจึงให้วิศิษฏ์กับวิภาดานำน้ำมนต์ไปพรมทั่วบ้านเช่า ซึ่งก็ตรงตามความต้องการของพิศพอดี

วิศิษฏ์แปลกใจทำไมแพรวพรรณถึงผูกพันกับบ้านร้างหลังนั้น ถามพิศก็ได้คำตอบว่า

“เมื่อครั้งแพรวเกิดในอดีตชาติได้ดีมีสุขในเรือนไทยหลังหนึ่ง ต่อมากรุงศรีอยุธยาเกิดศึกสงคราม เรือนไทยหลังนั้นก็ร้างลง ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่เสาเรือนไม้สักทองเนื้อดียังคงสภาพเดิม ถูกขายทอดมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเสาบางต้นในบ้านร้างหลังนั้น”

“ใช่ต้นที่ตกน้ำมันหรือเปล่าครับ”

“ถูกต้องเจ้าค่ะ ทุกอย่างกำลังทวนหาอดีตของมัน”

“โห...ผมนึกว่าเรื่องข้ามภพข้ามชาติจะมีเฉพาะคนซะอีก เสาเรือนก็ข้ามภพข้ามชาติกับเขาเหมือนกันเหรอเนี่ย”

“ยังมีเรื่องเร้นลับอีกมากที่คุณเด๋อยังไม่ทราบแล้ววันหนึ่งคุณเด๋อจะทราบทุกอย่าง...ไปพรมน้ำมนต์อย่าลืมใส่แหวนนาคราชไปด้วยนะเจ้าคะ ลาก่อนเจ้าค่ะ”

พิศวูบหายไป ส่วนวิศิษฏ์เตรียมตัวไปบ้านร้างพร้อมแม่และพี่สาว นำน้ำมนต์ไปพรมไล่ผีและให้ชื่นจิตเก็บกวาดทำความสะอาด ด้านแพรวพรรณกับสาวใช้ก็มาพร้อมสัมภาระจำนวนไม่น้อย รวมทั้งพ่อกับแม่ก็ติดตามมาดูสถานที่พักอาศัยของลูกสาว

พอเห็นสภาพบ้านร้าง งามเนตรทำท่าจะเป็นลมเสียให้ได้ บอกว่าบ้านโทรมอย่างนี้ลูกจะอยู่ได้ยังไง เปลี่ยนใจเถอะลูก

“ไม่ค่ะคุณแม่ แพรวตัดสินใจแล้ว”

“อย่าลืมที่สัญญากับพ่อไว้นะ ถ้าอยู่ไม่ได้แพรวต้องรีบกลับบ้านเรา”

“ค่ะคุณพ่อ”

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงได้สนับสนุนลูกอย่างนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับยัยแพรว ฉันจะไม่ให้อภัยคุณเลยนะคุณสุรเดช”

“คนเราคิดไม่เหมือนกันนะคุณหญิง เคารพการตัดสินใจของลูกบ้าง”

“เฮ้อ...แม่ไม่เข้าใจหนูจริงๆ เลยแพรว ไม่เข้าใจจริงๆ”

งามเนตรบ่นกระปอดกระแปด แพรวพรรณซึมลงอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รู้แต่ว่าตนต้องมาที่นี่

ooooooo

ขณะคนงานช่วยกันจัดการกับบ้านร้างเพื่อให้แพรวพรรณเข้าอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย งามเนตรกับสุรเดชมีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มของเฟื่องขจร

“บอกตรงๆนะคะว่าดิฉันไม่เต็มใจที่จะให้ลูกสาวมาอยู่ที่นี่ ห่วงว่าจะไม่ปลอดภัย หวังว่าทางคุณจะช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลลูกสาวดิฉันบ้าง”

งามเนตรเปิดฉากซะเฟื่องขจรหน้าเสีย ยิ้มแหยแล้วสบตากับวิภาดาให้ช่วยพูด

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณหญิง บ้านหลังนี้อาจจะดูวังเวงไปหน่อยแต่ไม่มีอันตรายอะไร รับรองค่ะ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็สบายใจ”

“ผมจะเดินไฟ เครื่องปรับอากาศ แล้วก็ตกแต่งบริเวณรอบๆให้เร็วที่สุดครับ” วิศิษฏ์ให้ความมั่นใจกับสองสามีภรรยา เฟื่องขจรเอ็นดูแพรวพรรณไม่น้อย บอกเธอว่าจะรอให้เราปรับปรุงเสร็จก่อนค่อยเข้าอยู่ก็ได้ แต่กลายเป็นว่าเปิดช่องให้งามเนตรเสียนี่

“ก็ดีเหมือนกันนะแพรว เผื่อว่าหนูจะมีเวลาคิดตัดสินใจอีกที”

“อุ๊ย แต่หนูแพรวจ่ายค่าเช่าล่วงหน้ามาปีนึงแล้วนะคะ ดิฉันไม่ยอมคืนเงินหรอกค่ะ”

“คุณแม่!” วิภาดาปรามมารดาไม่ให้งกออกนอกหน้า

“แพรวจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่คืนนี้เลยค่ะ ใครก็เปลี่ยนใจแพรวไม่ได้”

ในเมื่อลูกสาวยืนยันขันแข็งอย่างนั้น งามเนตรเลยหน้าม้าน แต่ยังไม่วายอยากเอาชนะเฟื่องขจรอยู่ดี เชิดหน้าบอกว่า “อย่าคิดว่าดิฉันเต็มใจนะคะที่ให้ลูกสาวมาอยู่ที่นี่”

“ทราบค่ะ ว่าคุณหญิงไม่เต็มใจ แต่หนูแพรวเต็มใจ เห็นว่ายังไงก็จะเช่า”

“ล่อหลอกยัยแพรวยังไง อย่าให้ดิฉันรู้นะคะ บ้านสับปะรังเคแบบนี้คงหาคนเช่าไม่ได้ล่ะสิ ก็เลยหลอกลูกสาวดิฉัน”

“คุณหญิง...เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” สุรเดชปรามภรรยา

“ไม่ได้หรอกค่ะ ขืนไม่พูดเขาก็จะหาว่าเราโง่ยอมให้ลูกสาวโดนหลอกมาเช่าบ้าน บอกไว้เลยค่ะ ถ้าลูกสาวดิฉันเปลี่ยนใจไม่อยู่...”

“ไม่มีการคืนเงินมัดจำใดๆทั้งสิ้น” เฟื่องขจรรีบพูดด้วยความงก

“ก็จะบอกอยู่นี่แหละว่าฉันสงเคราะห์ผู้ยากไร้”

“คุณหญิงพูดแบบนี้ไม่ถูกนะคะ กรุณาให้เกียรติทางเราด้วย เราไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกจนกระทั่งต้องหลอกลวงเอาเศษเงินจากทางคุณ แต่ทั้งหมดนี่เป็นความต้องการของลูกสาวคุณต่างหาก”

วิภาดาตอบโต้เสียงดังจนชื่นจิตและคนงานหันมอง แพรวพรรณกับวิศิษฏ์ที่หายเข้าไปในบ้านโผล่ออกมาได้ยินพอดี

“แพรวบอกแล้วไงคะว่าแพรวเป็นคนตัดสินใจ ถ้าคุณแม่ขืนยังไม่ฟังเหตุผลและความต้องการของแพรว ระวังเถอะค่ะ แพรวจะไม่กลับไปอยู่ที่บ้านอีกเลย”

“ยัยแพรว!”

“กลับกันเถอะคุณหญิง ไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาเยี่ยมลูกใหม่”

สุรเดชจูงมืองามเนตรที่ยังอิดออดออกไปจนได้ ส่วนแพรวพรรณสีหน้าไม่ค่อยดี พนมมือไหว้เฟื่องขจร

“แพรวขอโทษแทนคุณแม่ด้วยค่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกหนูแพรว ยังไงป้าก็เคารพการตัดสินใจของหนู จะอยู่หรือไม่อยู่หนูเท่านั้นที่เป็นคนบอก ป้าไม่ฟังคนอื่น”

วิศิษฏ์ลอบถอนใจ เริ่มเห็นเค้าความยุ่งยากบางอย่าง...ฝ่ายงามเนตรที่จำยอมออกมาพร้อมสามี ท่าทีเธอยังหงุดหงิดไม่หาย

“ไม่รู้ว่าผีตนไหนมันดลใจให้ยัยแพรวเป็นอย่างนี้นะ แต่ฉันบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะว่าฉันไม่ยอมเด็ดขาด”

“คุณหญิงพูดเหมือนไม่รู้จักลูกสาวตัวเอง มีใครห้ามอะไรยัยแพรวได้บ้างล่ะ แกก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ฟังสามีทักท้วงแล้วงามเนตรนิ่งเงียบไป แต่ยังไงในใจก็ค้านอยู่ดีว่าไม่ยอม!

ooooooo

ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวที่รักปานดวงใจ งามเนตรอดรนทนไม่ไหวที่จะให้เธออยู่บ้านร้างตามลำพังกับสาวใช้ จึงโทร.ไปรบกวนบรรจบให้มาพบตนที่บ้านในยามวิกาล

“คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจะรีบโทร.ให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่โรงงานไปดูแลน้องแพรวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเลยครับ”

“ถ้าเป็นแบบนั้นน้าก็ดีใจ ยัยแพรวคงทำงานเสร็จเร็วแน่”

“ผมหวังว่าลูกสาวผมจะปลอดภัย ไม่ใช่ว่าถูกรบกวนจิตใจจนทำงานไม่สำเร็จ”

ถูกสุรเดชดักคออย่างรู้ทัน บรรจบถึงกับถลึงตาใส่เขาอย่างลืมตัว “ไม่ต้องห่วงครับ แต่ถ้าน้องแพรวทำงานสำเร็จ ผมหวังว่าคุณน้าทั้งสองต้องให้น้องแพรวแต่งงานกับผมตามสัญญา”

“อุ๊ย เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง สัญญาต้องเป็นสัญญา”

“คุณหญิง...อย่าพูดจาอะไรผูกมัดตัวเอง ระวังถ้าโจรไม่มีสัจจะ เราก็ต้องไม่มีสัจจะด้วย”

“หมายความว่ายังไง” บรรจบเสียงขุ่น

“ผมก็พูดตามประสาคนมองโลกในแง่ร้าย ไม่มีอะไรหรอกคุณบรรจบ อย่าให้เรื่องร้ายๆมันเกิดขึ้นเพราะคุณเป็นต้นเหตุก็แล้วกัน”

บรรจบลุกขึ้นมองหน้าสุรเดชอย่างไม่พอใจ บอกลาเสียงห้วน แล้วรับปากงามเนตรอีกครั้งว่าตนจะรีบไปจัดการตามที่เธอต้องการในคืนนี้เลย

เมื่อบรรจบไปถึงบ้านร้างพร้อมลูกน้องสี่คนที่จะอยู่ยามเฝ้าระวังความปลอดภัยให้แพรวพรรณ ปรากฏว่าวิศิษฏ์ยังอยู่ช่วยเธอจัดข้าวของและดูแลความเรียบร้อย บรรจบไม่พอใจและเกิดความระแวงจึงดักคอว่าคืนนี้ลูกชายเจ้าของบ้านคงไม่ได้นอนเป็นเพื่อน

“นี่คุณ ถ้าจะพูดอะไรกระทบผมกรุณาเกรงใจคุณแพรวด้วย อย่าลืมว่าเธอเป็นผู้หญิง เพศแม่ของคุณและผม ให้เกียรติเธอด้วย”

บรรจบสะอึก มองวิศิษฏ์ตาขวางก่อนจะหันมาพูดกับแพรวพรรณ “พี่เอายามมาเฝ้าอยู่หน้าบ้าน กลางคืน น้องแพรวจะได้อุ่นใจ ขาดเหลืออะไรก็โทร.บอกพี่นะครับ”

“ขอบคุณค่ะพี่บรรจบ ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว ขอเชิญสุภาพบุรุษทั้งสองท่านกลับก่อนค่ะ”

วิศิษฏ์กับบรรจบมองหน้ากัน ไม่มีใครยอมออกไป แพรวพรรณต้องย้ำอีกครั้ง

“เชิญค่ะ แพรวจะอาบน้ำและพักผ่อน วันนี้เหนื่อยมามากแล้ว”

วิศิษฏ์ออกไปก่อน แต่บรรจบเดินเข้าใกล้แพรวพรรณ ย้ำว่าตนเป็นห่วงจริงๆ เห็นความหวังดีของตนบ้างหรือเปล่า หญิงสาวไม่ตอบคำถาม แต่กล่าวคำขอบคุณก่อนตัดบทว่าถ้ามีปัญหาตนจะโทร.หาก็แล้วกัน

ooooooo

ไม่ทันข้ามคืน ยามสี่คนของบรรจบถูกแก๊งผีชุบและอวบหลอกหลอนจนอยู่ไม่ได้ แต่แล้วแก๊งผีก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เพราะพิศไม่ต้องการให้พวกเขารบกวนแพรวพรรณ ขู่ว่าจะจับส่งท่านยมทูตให้หมด

บรรจบโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลังทราบจากยามสี่คนในเช้าวันถัดมาว่าเมื่อคืนพวกตนโดนผีหลอก บุรีได้ยินลูกชายอาละวาดลั่นบ้านก็เข้ามาสอบถามก่อนจะให้พวกนั้นกลับไป แล้วคุยส่วนตัวกับลูกชาย

“ทำไมไม่คิดบ้างว่าแกกำลังจะชนะใจหนูแพรวพรรณ บางทีแกอาจจะได้แต่งงานเร็วๆนี้ก็ได้”

“ยังไงหรือครับคุณพ่อ”

“ให้อาจารย์สัตตะไปสะกดพวกมัน...เท่าที่ฟังดูมันก็แค่ไอ้พวกผีชั้นต่ำ ไม่น่ายากหรอก”

“ผมด่าเขาไว้เยอะ ผมไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือเขาหรอก”

“ไม่ยากหรอก เงินง้างได้ทุกอย่าง ดูอย่างยัยคุณหญิงงามเนตรแม่หนูแพรวสิ ที่ยอมให้แกเข้านอกออกในได้ไม่ใช่เพราะอำนาจเงินเหรอ เรื่องนี้พ่อจัดการเอง”

“ถ้าผมได้แต่งงานกับน้องแพรวเมื่อไหร่ ผมสมนาคุณไม่อั้น”

บรรจบยิ้มย่อง แต่นงรามที่ได้ยินทุกถ้อยคำถึงกับตาร้อนผ่าวกลั้นน้ำตาไม่อยู่เดินเข้ามาถามเขาเสียงสั่นเครือ

“แล้วคุณเอานงไปไว้ที่ไหนล่ะคะ บอกนงซิ คนใจร้าย”

บรรจบสีหน้าดุดันไม่พอใจ นงรามกลัวถูกทำร้ายวิ่งหนีขึ้นข้างบน แต่คงไม่รอดพ้นเอื้อมมือเขาที่วิ่งตาม บุรีตกใจถึงกับตวาดปรามลูกชาย แต่ดูเหมือนจะไร้ผล

บรรจบไล่กวดนงรามมากระชากตัวอย่างไม่ปรานี นงรามทั้งกลัวทั้งเก็บกด ประกาศกร้าวว่าไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับใครหน้าไหนทั้งนั้น

คำพูดเธอยิ่งทำให้ความโมโหของบรรจบพลุ่งพล่านขึ้นอีก จับเธอกระแทกข้างฝาจนหน้าผากแตกเลือดอาบ บุรีตามขึ้นมาเห็นตกใจหน้าซีดเผือด

“หนูนงเป็นไงบ้าง ไปหาหมอกับพ่อนะ”

“ถ้าคุณพ่อจะช่วยเหลือนังนี่ ก็อย่าลืมธุระที่เราเพิ่งคุยกัน” บรรจบกระแทกเสียงแล้วผลุนผลันออกไป ไม่สนใจว่านงรามจะเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจสักเพียงใด

หลังจากทำแผลเรียบร้อยแล้วนงรามตัดสินใจไปหาวิศิษฏ์ที่สำนักงาน ครวญครางขอความช่วยเหลือ แต่พิศกระซิบบอกบทวิศิษฏ์ให้พูดตามซึ่งจับใจความได้ว่าไม่ให้ยุ่งไม่ให้ช่วยเหลือนงราม ไล่เธอกลับไปเพราะเธอมีสามีแล้ว

วิศิษฏ์พูดตามพิศแต่จำได้ไม่หมดจึงติดๆขัดๆ คนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างพากันสงสัยว่าเขาเป็นอะไร แต่ก็สะใจที่ไล่นงรามกลับไปเสียได้...

ตกกลางคืน กาฬกับนิลมารวมตัวที่บ้านร้าง ตั้งใจช่วยกันสกัดสัตตะไม่ให้ทำอะไรแพรวพรรณ แต่สองหนูน้อยไม่สามารถช่วยแก๊งผีชุบได้ ผีทั้งหกตนถูกสัตตะท่องคาถาจับลงหม้อดินถ่วงน้ำ แต่สัตตะก็โดนกาฬกับนิลเล่นงาน แถมโดนพิศทำร้ายโดยใช้แหวนนาคราชต่อสู้

เสร็จภารกิจปกป้องดูแลแพรวพรรณแล้วพิศกลับมาหาวิศิษฏ์ที่บ้านในชุดสาวสวยทันสมัย แทนที่เขาจะชื่นชมความสวยของเธอ กลับต่อว่าต่อขานทันทีที่เห็นหน้า

“มาแล้วเหรอแม่ตัวดี วันนี้ทำผมขายหน้า แล้วก็ทำให้ผมใจร้ายต่อคุณนงด้วย”

“ฉันเหรอ...ฉันทำเหรอคุณเด๋อ”

“ยังจะมาทำพูดดี ก็ใครล่ะบอกบทให้ผมพูด...ยอมให้ลงโทษซะดีๆ”

“อุ๊ย กลัวจัง จะลงโทษยังไงล่ะ เอ้า ให้ตีก้นสองที ตีให้ถูกนะ”

พิศแอ่นก้นให้อย่างน่ารัก วิศิษฏ์ตีด้วยความมันเขี้ยวแต่ไม่โดนเพราะเธอหลบวูบหายวาบทางโน้นทางนี้

“อย่าให้ผมจับได้นะ ฮึ่ม!”

“จะจับฉันโยงกับขื่อ เฆี่ยนห้าร้อยครั้ง แล้วเอาเกลือทาให้แสบไปถึงหัวใจเลยหรือเจ้าคะ”

“ทำเป็นปากดี...มาให้ผมกอดแล้วก็จูบซะดีๆ นี่คือบทลงโทษสำหรับความผิดครั้งนี้”

“ก็เอาสิ ฉันจะเปลี่ยนชื่อคุณจากนายเด๋อเป็นนายหื่น”

“ผมชอบมากกว่าชื่อเด๋ออีก ต่อไปเรียกหื่นก็ได้นะ”

“บ้า! คนผีทะเล” พิศงอนหน้าง้ำ ร่างเลือนหายไป วิศิษฏ์หัวเราะชอบใจ เห็นเป็นเรื่องสนุกที่กระเซ้าเย้าแหย่ เธอได้

ooooooo

เมื่อคืนที่บ้านร้าง แพรวพรรณกึ่งหลับกึ่งตื่นเห็นผู้หญิงหน้าตาคล้ายตนเองใส่ชุดโบราณมีเลือดไหลออกจากปาก ซึ่งเธอเคยฝันเห็นหลายครั้งแล้ว และเคยเล่าให้เรืองรุ้งฟังแต่ไม่ได้คำตอบสักที

ครั้งนี้ก็เช่นกัน แพรวพรรณไปหาเรืองรุ้งในตอนเช้าและได้คำตอบเหมือนทุกครั้งว่าไม่รู้จริงๆ

“ไม่รู้หรือเธอไม่ยอมบอกฉัน ทุกครั้งที่ฉันถามถึงผู้หญิงที่มีหน้าตาคล้ายฉัน มีเลือดไหลออกจากปาก...เธอ ต้องปฏิเสธทุกที”

“ฉันว่าไปหาคนที่เขามีอภิญญาหรือมีวาระจิตที่ละเอียดกว่าฉันดีกว่านะ บางทีเขาอาจจะบอกได้”

“แล้วใครล่ะรุ้ง แนะนำหน่อยสิ”

เรืองรุ้งไม่ตอบแต่เดินห่างออกมาคุยโทรศัพท์กับภาณุนัดหมายไปเจอกันที่วัด โดยภาณุมาพร้อมวิศิษฏ์และแสวงที่วัดแห่งนี้ วิศิษฏ์ได้พบเทียนอีกครั้งหลังจากพบกันในป่าตอนปฏิบัติธรรม เทียนบอกวิศิษฏ์เหมือนที่พิศเคยบอกไว้เช่นกันว่าอดีตกำลังจะเปิดเผย กรรมที่ใครเคยก่อไว้จะต้องได้รับการชดใช้ ส่วนแพรวพรรณที่อยากรู้ว่าผู้หญิงหน้าตาคล้ายตนเป็นใคร ก็ได้รับคำตอบจากเทียนว่า

“ขอให้รู้ไว้ว่าเขามาดี เขามาช่วยเหลือ”

“แล้วทำไมเขาต้องทำให้ดิฉันกลัวด้วยล่ะคะ”

“เราอาจจะเคยทำอะไรให้เขากลัวกว่านี้มาก่อนก็ได้นะ”

“ถ้าเขามาดี ดิฉันก็จะดีด้วย แต่ถ้าไม่ได้มาดีอย่างที่ท่านบอก ดิฉันก็ต้องป้องกันตัวค่ะ”

แพรวพรรณกล่าวเด็ดเดี่ยว คนอื่นๆพากันหนักใจ ฝ่ายวิศิษฏ์อยากรู้ว่าตนจะได้พบอาจารย์เทียนอีกหรือไม่ เทียนตอบสีหน้าเรียบนิ่งก่อนแยกย้ายกันไปว่า...เมื่อจิตของเธอส่งพลังถึงฉัน เราอาจจะได้พบกัน

ภาณุกับแสวงนั่งฟังอยู่ด้วยตลอดเวลา นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงอ่อนหวานอย่างแพรวพรรณจะดื้อรั้นทำเหมือนไม่เชื่อแล้วก็ไม่สนใจฟังอาจารย์เทียน แถมยังทำท่าท้าทายอาฆาตมาดร้ายคนที่ฝันถึงเสียด้วย

วิศิษฏ์ยังมีข้อสงสัยอีกหลายอย่างจึงอยากเจอเทียนอีกครั้ง ภาณุสนับสนุนว่าดีบางทีอาจารย์อาจจะอยากเปิดเผยกับเขาคนเดียว

พิศพยายามนำแพรวพรรณไปในอดีตชาติเพื่อให้เธอสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำ แต่แพรวพรรณจิตแข็งจึงไม่สามารถทำได้ แต่ยังไงพิศก็ไม่ละความพยายาม เพราะเราจะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมต่อกัน

ooooooo

วันรุ่งขึ้น งามเนตรกับสุรเดชมาที่บ้านร้างพร้อมบรรจบเพื่อติดตามความเป็นอยู่ของแพรวพรรณว่าสุขสบายไร้สิ่งรบกวนจริงหรือเปล่า

บรรจบคุยอวดว่าเมื่อคืนพ่อของตนให้อาจารย์ฝีมือดีมาจับผีลงหม้อไปถ่วงน้ำ งามเนตรเลยชื่นชมว่าที่ลูกเขยเป็นการใหญ่ที่ห่วงใยลูกสาวตน ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องปราบผี

แพรวพรรณออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ พวกงามเนตรจึงมาไม่เจอเธอ แต่หลังจากเธอผิดหวังไม่เจออาจารย์เทียนที่วัดก็เดินทางกลับบ้านร้าง แล้วพบบรรจบกำลังดุด่าขวัญที่ไม่ยอมบอกว่าแพรวพรรณไปไหน

แพรวพรรณระอาความเอาแต่ใจของบรรจบเต็มที จึงตำหนิเขาไปหลายคำก่อนตัดบทขอตัวพักผ่อนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน บรรจบไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกลับไประบายความคับแค้นใจกับบุรี

“น้องแพรวไม่ได้เห็นความดีของเราสักนิดที่ให้นายสัตตะไปจับผีพวกนั้นถ่วงน้ำ ผมผิดหวังแล้วก็แค้นใจ ทำไงดีล่ะพ่อ ผมอยากให้น้องแพรวออกจากบ้านหลังนั้น หรือว่าเผามันเลยดีมั้ย”

“แกอย่าวู่วาม พ่อจัดการเอง งานนี้สงสัยว่าเจรจากันดีๆคงไม่ได้ผล” บุรีสีหน้ามุ่งมั่นคิดทำบางอย่างแม้ต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก

ด้านวิศิษฏ์ที่ได้พบเทียนอีกครั้งในวันนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เทียนไม่ให้ความกระจ่างใดๆ นอกจากพูดทำนองเดิมว่าทุกอย่างมีเงื่อนไขในตัวของมันเอง อีกไม่นานสิ่งที่เขาสงสัยจะชัดเจนขึ้นมา...

วิศิษฏ์กลับมาทำงานได้ไม่นาน บุรีกับลูกน้องสองคนพร้อมด้วยทนายความมาขอพบ บุรีต้องการซื้อบ้านร้างของเฟื่องขจร แต่การเจรจาของเขาออกแนวข่มขู่ ทำให้วิศิษฏ์ไม่พอใจเล่นแง่ไปว่า

“ทำไมไม่เจรจากับคุณแม่ผม ผมตัดสินใจแทนท่านไม่ได้”

“ผมก็แค่มาบอกคุณก่อน เชื่อว่าแม่คุณคงไม่ปฏิเสธ แต่คุณห้ามยุ่งก็แล้วกันไม่งั้นเจอดีแน่ ช่วยเซ็นเป็นพยานให้ด้วยว่าแม่คุณตัดสินใจขายบ้านหลังนั้นให้ผม”

“ผมไม่เซ็น จนกว่าคุณแม่ของผมท่านจะตัดสินใจด้วยตัวเอง...กรุณาเก็บปืนด้วย ที่นี่มีกล้องวงจรปิดไว้ทุกมุม ผมไม่อยากให้เศรษฐีระดับประเทศอย่างคุณต้องคดีบุกรุก ข่มขู่และพยายามฆ่า”

บุรีตวัดสายตาส่งซิกให้ลูกน้องเก็บปืน แล้วบอกวิศิษฏ์ว่าเรามาพูดกันด้วยสันติวิธีดีกว่า

“ถ้าเริ่มด้วยแบบนี้คงสันติไม่ได้แล้วล่ะครับ ผมตัดสินใจแทนคุณแม่ได้เลยว่าท่านไม่ขายบ้านหลังนั้นเด็ดขาด...เชิญ”

บุรีลุกพรวดไม่พอใจ ทนายและลูกน้องลุกตามสีหน้าเข้มดุกันทุกคน แสวงทนไม่ไหวพูดโพล่งว่าแบบนี้นักเลงนี่หว่า เรียก รปภ.เลยดีกว่า

“ไอ้แหวง ใจเย็น” ภาณุปรามเสียงดังบุรีมองหน้าทุกคนก่อนพาคนของตนกลับออกไป... วิศิษฏ์สีหน้าหนักใจ บอกภาณุว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบ้านแต่มันเกี่ยวกับแพรวพรรณอย่างแน่นอน พูดแล้วอดเป็นห่วงแม่ไม่ได้ พิศปรากฏตัวบอกวิศิษฏ์ว่าไม่ต้องกังวล พวกนั้นกำลังไปหาเฟื่องขจร แต่แม่ของเขาเอาตัวรอดได้

บุรีกับลูกน้องมาพบเฟื่องขจรที่บ้าน เป็นจังหวะที่วิภาดาอยู่ด้วย สองแม่ลูกดีใจที่บุรีเสนอเงินจำนวนมากซื้อบ้านร้าง แถมยังจะให้เพิ่มอีกหลายล้านถ้าทำการซื้อขายกันพรุ่งนี้เลย

วิภาดาสบตาเฟื่องขจรที่ฉวยแววความโลภ แต่ยังทำอิดออดบอกบุรีว่า

“เราขอปรึกษากันก่อนนะคะ ว่าแต่ทำไมคุณบุรีถึงอยากได้บ้านหลังนั้นล่ะคะ”

“ผมมีโครงการพัฒนาเชิงธุรกิจ แต่ยังบอกไม่ได้ หวังว่าผมจะได้รับคำตอบที่พอใจนะครับ”

ขาดคำของบุรี ลูกน้องขยับเสื้อโชว์ปืนที่เหน็บเอว สองแม่ลูกเห็นแล้วหวาดผวา เชิญบุรีกลับไปก่อนเราขอปรึกษากันแล้วจะส่งข่าว

บุรียิ้มย่องนำลูกน้องออกมาหน้าบ้าน แต่แล้วรอยยิ้มพวกเขาเหือดหายกลายเป็นหวาดกลัว โดนลิ้นจี่ผีบ้านผีเรือนหลอกหลอนแทบขนหัวลุก

บุรีเปิดแน่บไปหาสัตตะที่สำนัก อาการตื่นตระหนกของเขาทำให้สัตตะสงสัยว่าหนีใครมา

“อาจารย์ช่วยผมด้วย ช่วยผมด้วยครับ น่ากลัวจริงๆ”

“ใจเย็นๆ ถ้าเข้ามาในสำนักผมได้แล้วก็วางใจเถอะ ไม่มีใครทำอะไรคุณบุรีได้”

“ผี...ผีที่บ้านคุณนายเฟื่องขจรครับอาจารย์”

“ผมพอรู้อะไรมาบ้าง มันไม่ธรรมดาเหมือนผีที่ผมจับถ่วงน้ำ มันร้ายกว่าที่คิด เราคงต้องร่วมมือกัน ผมพอจะมีวิธี...แหวนวงนั้นเป็นปริศนา มันอยู่ที่แหวนวงนั้น”

สัตตะนึกถึงแหวนนาคราชที่พิศใช้ต่อสู้กับตนที่บ้านร้างเมื่อวันก่อน แหวนวงนั้นมีอานุภาพ แต่บุรีไม่เข้าใจ อยากรู้ว่าแหวนอะไร?

ooooooo

คืนเดียวกัน พิศเข้าไปในสมาธิของเรืองรุ้ง บอกให้เธอทราบว่ายังมีแหวนนาคราชอีกวงหนึ่ง

“เรืองรุ้ง...เธอมีบารมีพอจะช่วยเพื่อนรักของเธอได้ ไม่มีใครทำให้แพรวรู้อดีตของตนได้ดีเท่าแหวนนาคราช”

“แหวนนาคราช แล้วดิฉันจะทราบได้ยังไงว่าแหวนวงนั้นอยู่ที่ไหน”

“พลังของอดีตชาติจะนำพาเธอไปเอง...เรืองรุ้ง”

เรืองรุ้งค่อยๆลืมตา ทบทวนเรื่องแหวนอยู่ไปมา ก่อนจะพาแพรวพรรณไปซื้อแหวนนาคราชอีกวงที่ร้านค้าของเก่าในเช้าวันถัดมา

หลังจากได้แหวนนาคราชมาแล้วแพรวพรรณต้องทำบุญด้วยเงินหนึ่งพันบาทตามที่เจ้าของร้านกำชับ โดยเรืองรุ้งพาเพื่อนรักไปที่วัดแห่งหนึ่ง ให้เพื่อนตั้งจิตอธิษฐานตามต้องการ

“หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลใจให้ฉันได้พบกับแหวนวงนี้ ขออำนาจบุญกุศลที่ฉันทำบุญนี้จงดลบันดาลให้แหวนนี้มีอำนาจเป็นสื่อกลางของความรักระหว่างฉันกับคุณวิศิษฏ์ด้วยเถิด”

แพรวพรรณถือเงินหนึ่งพันยกขึ้นจบแล้วหย่อนลงในตู้ทำบุญ...พิศยืนอยู่มุมหนึ่ง เรืองรุ้งหันไปเห็นแต่ไม่กระโตกกระตากกลัวเพื่อนสงสัย ได้ยินเสียงพิศดังแว่วมากับสายลม

“ขอให้อานิสงส์จากการทำบุญนี้ทำให้คำอธิษฐานของแม่แพรวเป็นจริงด้วยเถิด”

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น