วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 13


พิศขอให้วิศิษฏ์ปฏิบัติธรรมโดยขับรถเข้าไปในป่าเพื่อทวนอดีตชาติ ด้านเรืองรุ้งก็ทำตามคำแนะนำของพิศด้วยการชวนภาณุ แสวง และระรินไปปฏิบัติธรรมที่วัดกับหลวงพ่อ เพื่อส่งบุญช่วยให้วิศิษฏ์พ้นเคราะห์
วิศิษฏ์ยอมทำตามที่พิศขอและได้พบกับผู้ปฏิบัติ– ธรรมคนหนึ่งชื่อเทียน เขาทำตามที่เทียนสอนทุกอย่างและต้องเป็นเวลาสามวันตามที่พิศบอก ขณะเดียวกันสัตตะถูกบรรจบไล่ออกจากบ้านเพราะทำอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง แถมยังปล่อยให้ผีมาเข้าสิงทุกคนในบ้านจนเกิดความวุ่นวาย
พวกกาฬนั่นเอง เขาไม่ต้องการให้สัตตะอ่านโองการท้าวมหาพรหมจึงเข้าสิงนงรามแล้วจัดการเผาโองการฯ นั้นมอดไหม้ หลังจากนั้นพิศก็พากลิ่นผีตายทั้งกลมไปส่งยมทูตเพื่อชดใช้กรรม
บรรจบตัดเป็นตัดตายกับสัตตะ แต่บุรียังมีความเกรงใจ มอบเงินจำนวนไม่น้อยให้เขาพร้อมกับบอกว่าตนจะติดต่อไปภายหลัง
หลังโดนบรรจบไล่ออกจากบ้าน สัตตะส่งบริวารเข้าไปในบ้านแพรวพรรณและให้คอยติดตามเธอทุกหนแห่ง เมื่อแพรวพรรณนำงานที่รับทำไว้มาเสนอวิศิษฏ์ถึงบ้าน บริวารตนนี้ของสัตตะจึงติดตามมาด้วย แต่นิลก็ตามมาคุ้มครองแพรวพรรณเช่นเดียวกัน
การมาครั้งนี้เกือบเสียเที่ยวเพราะวิศิษฏ์ไปปฏิบัติ– ธรรม แต่ขณะที่แพรวพรรณคุยกับเฟื่องขจรและวิภาดาที่ดูจะชื่นชอบเธอเป็นพิเศษ วิศิษฏ์กลับมาทันพอดี สองแม่ลูกเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวคุยกันตามสบาย โดยตนเองชวนกันออกไปเดินเล่นนอกบ้าน
อยู่ดีๆท้องฟ้าก็มืดครึ้มเหมือนฝนจะตก เฟื่องขจรมองไปที่ชิงช้าแล้วหน้าซีด สะกิดให้วิภาดาดูมันแกว่งเป็นจังหวะเหมือนมีคนนั่ง วิภาดาเห็นเต็มตาหน้าซีดไม่แพ้มารดา พูดเสียงสั่นๆว่า
“เหมือนมีคนนั่งจริงๆด้วยค่ะ นี่มันกลางวันแสกๆ นะคะคุณแม่ วิว่ามันไม่ค่อยดีแล้วล่ะค่ะ”
“คงไม่มีอะไรหรอกน่า แตกตื่นไป คุณแพรวเขาจะตกใจไปด้วย”
วิภาดาจับมือแม่ไว้มั่น มองชิงช้าซึ่งแกว่งไม่หยุดแต่ไม่เห็นนิลนั่งยิ้มแป้น บนกิ่งไม้ใกล้กันกาฬนั่งห้อยขาร่าเริงไม่แพ้กัน
“ยัยวิ แม่ว่าหลบไปในครัวกันเถอะนะ แม่ไม่อยากอยู่ตรงนี้”
“ไปสิคะคุณแม่...นี่วินึกว่าบ้านเราไม่มีผีแล้วนะคะ”
สองแม่ลูกเดินหายไปทางด้านข้างของบ้าน ลิ้นจี่ผีบ้านผีเรือนบอกกับพิศที่ปรากฏตัวว่ามีคนส่งผีร้ายมาลองดี พิศไม่ยี่หระ เพราะไม่คณนามือกาฬ แต่แล้วไม่เห็นกาฬที่กิ่งไม้ สงสัยว่าเด็กชายหายไปไหน
ผีร้ายของสัตตะปรากฏตัวให้ชื่นจิตเห็นในครัว เสียงกรีดร้องของชื่นจิตทำให้ทุกคนในบ้านแตกตื่นตกใจ เฟื่องขจรกับวิภาดาไม่ต้องการให้แขกสาวอย่างแพรว–พรรณหวาดกลัวจึงปกปิดว่าไม่มีอะไร ขณะที่วิศิษฏ์ก็รีบพาหญิงสาวออกจากครัวมาที่ห้องรับแขก
ชื่นจิตยืนยันว่าผีหลอกกลางวันแสกๆ เฟื่องขจรกับวิภาดามองหน้ากันแล้วนึกถึงเมื่อสักครู่ที่เห็นชิงช้าแกว่งเอง แน่ใจว่าชื่นจิตไม่ได้โกหกแต่ไม่ผสมโรงไปด้วย
แพรวพรรณทราบดีว่านิลติดตามตนมาเลยไม่แน่ใจว่าเป็นเขาหรือเปล่าที่หลอกสาวใช้ เธอกังวลใจจึงลากลับ แต่วิภาดาก็ยังต้อนหน้าต้อนหลังอยากให้อยู่ต่อ
พิศจัดการกับผีร้ายจนกลายเป็นเศษฟางลอยละล่องไปตกตรงหน้าสัตตะ...หนุ่มใหญ่ถึงกับผงะ ยอมรับว่ามันแน่จริง แต่อย่าคิดว่าตนจะถอดใจยอมแพ้ไปง่ายๆ
ooooooo
พิศตามหากาฬจนเจอก่อนถามกึ่งตำหนิว่าทำไมปล่อยให้วิญญาณร้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ กาฬตาแดงๆเหมือนจะร้องไห้ ตอบเสียงแผ่วว่าเขามากับผู้หญิงคนนั้น
กาฬหมายถึงแพรวพรรณ พิศทราบดี ขยับเข้ามาใกล้ลดเสียงลง “รู้หรือว่าเขาเป็นใคร”
“ข้าเกลียดผู้หญิงคนนั้น อย่าใช้ข้าทำอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีก ข้าไม่ทำ”
พูดแล้วกาฬวิ่งหายไป พิศหน้าเศร้าสงสารเด็กน้อย...
เมื่อพิศมาปรากฏกายหน้าบ้าน นิลวิ่งมาสวมกอดด้วยความคิดถึง เรียกเธอว่านางฟ้า
“ดูแลแม่แพรวดีหรือเปล่านิล”
“ดีสิ...นางฟ้ารู้ไหม นี่หนูดลใจให้แม่แพรวมาหาพ่อนะ”
“แก่แดดนักนะเรา แล้วรู้หรือเปล่าว่าแม่แพรวไม่ใช่แม่ของเรา ถ้าวันหนึ่งแม่แพรวได้เจอกับลูกที่แท้จริงของเขา นิลจะว่ายังไง”
“หนูไม่ว่าอะไรหรอกจ้า เพราะหนูคงอยู่อีกไม่นานหนูก็จะไปเกิดแล้ว”
พิศดึงนิลเข้ามากอด ลิ้นจี่ปรากฏร่างมองนิลด้วยความเอ็นดู
“เห็นเจ้าหนูนี่แล้วลิ้นจี่ไม่น่าฆ่าตัวตายเลยเจ้าค่ะนายแม่ ไม่อย่างนั้นลิ้นจี่ก็คงได้เลี้ยงลูก เป็นแม่คน นั่งมองดูอนาคตของลูกอย่างมีความสุข”
“คนเราก็อย่างนี้แหละ สติมาปัญญาเกิด หลังจากที่อะไรๆมันผ่านไปแล้ว”
พิศเอ่ยอย่างปลงๆ นิลผละไปหาแพรวพรรณในบ้าน นั่งเท้าคางอมยิ้มดูเธอคุยงานกับวิศิษฏ์อย่างใกล้ชิด
เช่นเดียวกับเฟื่องขจรกับวิภาดาที่มองมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ อยากให้คู่นี้ลงเอยกันเหลือเกิน
ooooooo
พิศยังกังวลและเป็นห่วงความรู้สึกของกาฬ ค่ำนั้นเธอเรียกเขามาอบรมอย่างใจเย็นว่า
“ทำอย่างนี้มันไม่ถูกนะ แม่แพรวเป็นแม่ของเรา เราต้องมีความกตัญญู”
“ให้ข้ากตัญญู แล้วเขารักข้าหรือเปล่าล่ะ เขาเคยนึกว่าเขาเป็นแม่ข้าหรือเปล่า”
“กาฬ...คนเราผิดพลาดกันได้ ถ้าไม่รู้จักให้อภัยกัน โลกนี้จะอยู่ยังไง”
“อยู่อย่างนี้แหละแม่พิศ อยู่ด้วยความทุกข์ ข้าก็จะเร่ร่อนโดดเดี่ยวต่อไป”
“ถ้าหากแม่แพรวสำนึกผิดแล้วล่ะ”
กาฬกอดอกมองหน้าพิศอย่างถือดี “ถ้ามีวันนั้น...ข้าจะตัดสินใจอีกที”
พิศเหนื่อยใจ ร่างเลือนหายไปปรากฏตัวในชุดทันสมัยต่อหน้าวิศิษฏ์ในห้องนอน ชายหนุ่มกำลังนึกถึงเธอและแพรวพรรณ พิศรู้ทันถามเขาว่า
“คิดถึงแม่แพรวหรือเจ้าคะคุณเด๋อ”
“เป็นนางฟ้าซะเปล่า ไม่รู้เหรอว่าผมคิดถึงใคร ผมคิดถึงคุณพิศต่างหาก...มาให้ผมชื่นใจหน่อย”
วิศิษฏ์เข้ามาหา แต่พิศถอยหนีและบอกให้เขาถอยไป
“จ้า...ถอยแล้ว...ผมถามจริงๆเถอะ วันนี้ผมตั้งใจทำให้คุณพิศหึง แล้วหึงบ้างมั้ย”
“เปล่าเลยเจ้าค่ะ เพราะฉันอยากให้คุณเด๋อกับแม่แพรวสนิทสนมใกล้ชิดกันอยู่แล้วนี่เจ้าคะ แล้วจะหึงทำไม”
“แป่ว...เออนี่ ผมไปปฏิบัติธรรมมาแล้วนะ ได้ผลหรือเปล่า รู้มั้ยตอนนั่งสมาธินะ กว่าจะลบภาพคุณพิศออก จากใจได้แทบแย่ คนอะไรสวยจนเข้ามารบกวนจิตใจเค้าตลอดเวลาเลย...บาปกรรม”
พิศหัวเราะขำท่าทีทะเล้นของวิศิษฏ์ แต่ครู่เดียวก็ปรับน้ำเสียงพูดเป็นงานเป็นการ
“ฉันจะมาเตือน...ศัตรูของคุณเด๋อเริ่มปรากฏชัดแล้วนะ คุณแพรวมีเคราะห์อย่างรุนแรง ถ้าคุณเด๋อรู้สึกดีกับฉัน ฉันขอร้องเจ้าค่ะ”
“พูดใหม่สิครับ ต้องพูดว่าถ้าคุณเด๋อรักฉัน...พูดสิ... แล้วผมจะยอมทำทุกอย่างเลย”
พิศอึกอัก เอ่ยอย่างอายๆ “ถ้า...คุณเด๋อรักฉัน”
“รักสิครับ ผมไม่เคยรักใครเท่าคุณพิศเลยนะ พูดจากใจเลยจริงๆ ห้ามพูดว่าขอร้อง จะให้ทำอะไรก็บอกมาเลย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณแพรวมีเคราะห์ ถ้าเธอมาขอความช่วยเหลือจากคุณเด๋อ คุณเด๋อห้ามปฏิเสธ รับปากฉันได้ไหม”
วิศิษฏ์รีบฉวยมือพิศมากุม สบตาเธออย่างลึกซึ้งบ่งบอกความในใจ
“ถ้านี่คือการที่ผมจะได้แสดงออกว่าผมรักคุณพิศ ผมยินดีทำครับ ไม่ใช่ผมทำเพราะรู้สึกดีๆต่อคุณแพรวอย่างที่คุณพิศต้องการ”
พิศซาบซึ้งหัวใจพองโต แต่ในขณะเดียวกันแพรว–พรรณอยู่ที่บ้านกำลังไม่สบายใจ เธอนึกถึงภาพความใกล้ชิดช่วงคุยงานกับวิศิษฏ์เมื่อตอนเย็นแล้วรำพึงเบาๆ อย่างเศร้าใจ
“คุณคงสนิทกับแพรวแค่เรื่องงานเท่านั้น...”
ooooooo

หลังจากระแคะระคายว่าลูกสาวเข้ามาอยู่ ร่วมชายคาเดียวกับบรรจบแล้วมีปัญหาระหองระแหงกันแทบทุกวัน สุนทรีจึงพาองุ่นมาดูแลในฐานะพี่เลี้ยงของนงราม ทำให้บุรีไม่พอใจ ดักคอว่ากลัวตนจะเลี้ยงลูกของเธอไม่ดีหรือยังไง
“ต้องพูดใหม่ค่ะ เลี้ยงลูกสะใภ้ไม่ดีหรือไง...พูดมาก็ดีแล้ว ฉันไปให้พระดูฤกษ์มาแล้วค่ะ ยัยนงกับคุณบรรจบจะแต่งงานกันอีกสามเดือนข้างหน้านี้”
สุนทรีรวบรัดรุกเร่งทั้งที่เคยตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีพิธีแต่งงาน บุรีจึงทักท้วงเธอว่าควรจะปรึกษาตนก่อน
“ไม่จำเป็นมั้งคะ มีลูกสาวฉันเป็นตัวประกันอยู่ในบ้านคุณบุรีแล้ว ฉันเสียเปรียบคุณบุรีทุกอย่าง กรุณาทำตามที่ฉันต้องการดีกว่า”
ทันใดทุกคนได้ยินเสียงตึงตังก่อนเห็นบรรจบกับนงรามวิ่งลงบันไดไล่กันมาด้วยสีหน้าท่าทางอารมณ์เสีย โดยเฉพาะฝ่ายชายที่ดูจะเอาเรื่องฝ่ายหญิงอย่างดุดันน่ากลัว พอนงรามเห็นแม่กับพี่เลี้ยงก็โผเข้าหาร้องไห้กระซิก สุนทรีรู้ทันทีว่าทั้งคู่ทะเลาะกัน
บรรจบไม่ชอบหน้าสองแม่ลูก ถามอย่างรำคาญว่าจะเอายังไงกับตนอีก ยอมให้นงรามเข้ามาอยู่ในบ้านก็ดีถมไปแล้ว แต่จะบอกให้รู้ไว้ด้วยว่าตนกับพ่อกำลังจะไปเจรจาสู่ขอแพรวพรรณอย่างเป็นทางการ
สุนทรีตะลึง จ้องหน้าบุรีอย่างรอคอยคำตอบ ปรากฏว่าบุรีพยักหน้าแล้วตัดบทว่า
“ผมต้องไปก่อนนะ เดี๋ยวจะไม่ทันฤกษ์ ไปกันเถอะบรรจบ”
สองพ่อลูกออกไป นงรามปล่อยโฮอย่างอัดอั้น ขณะที่สุนทรีแค้นเคืองโวยวายดังลั่น
“โอ๊ย! จะร้องไห้ทำไมนง ก็ตามไปอาละวาดมันสิ แม่ไม่ยอมหรอก”
“จะดีเหรอคะคุณผู้หญิง”
“นังหงุ่น แกอยากให้นงรามกินน้ำใต้ศอกผู้หญิงอื่นหรือไง ไปนงราม ไปกับแม่”
“คุณแม่...นงไม่กล้า พี่บรรจบโมโหร้าย ถ้ากลับมาพี่บรรจบอาจจะตบตีนง...นงกลัวค่ะ”
นงรามสะอึกสะอื้นน่าสงสาร สุนทรีเลยนิ่งไปอย่างจนใจ
ooooooo
ในที่สุดงามเนตรก็บงการชีวิตลูกสาวสำเร็จ อ้างว่าการได้แต่งงานกับบรรจบเป็นการเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิม เธอขอร้องสุรเดชอย่ายุ่งกับเรื่องนี้ เพราะตอนนี้แพรวพรรณน่าจะใจอ่อนกับตนแล้ว
เมื่อบุรีกับบรรจบมาถึง งามเนตรต้อนรับสองพ่อลูกในห้องรับแขกโอ่โถง บุรีเปิดฉากเจรจาอย่างนุ่มนวลว่า
“ถ้าคุณหญิงกับคุณสุรเดชไม่รังเกียจที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับครอบครัวผม ผมก็ขอเรียนตรงๆเลยว่าอยากจะสู่ขอหนูแพรวพรรณไปเป็นลูกสะใภ้ จะเรียกสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่ผมไม่ขัดข้องเลยครับ”
งามเนตรยิ้มร่า บอกว่าเห็นเด็กทั้งสองรักกันตนก็พอใจแล้ว
“แพรวยังไม่ตกลงค่ะ”
คำตอบของแพรวพรรณเล่นเอาทุกคนตกใจ
ไม่เว้นแม้แต่สุรเดช ถามนำร่องว่าลูกอยากจะบอกอะไร?
งามเนตรรีบปรามสามีก่อนจะถามลูกสาวว่า
“ก็ไหนแพรวบอกแม่ว่าแพรวยินดีแต่งงานกับคุณบรรจบไงล่ะลูก”
“แพรวยังไม่ได้บอกว่าแพรวจะไม่แต่งค่ะคุณแม่”
บุรีสงสัยว่าแพรวพรรณมีปัญหาอะไร หรือว่ายังไม่พร้อม งามเนตรอยากรู้เหมือนกันจึงคะยั้นคะยอลูกสาวให้พูดมา ขณะที่สุรเดชก็เปิดไฟเขียว ลูกอยากพูดอะไรพูดไป พ่อไม่อยากบังคับจิตใจลูก
“คือแพรวยังมีภาระหน้าที่ที่ยังทำไม่เสร็จค่ะ”
“ติดอะไร ใช้เวลานานไหมลูก”
“ทางเรารอได้ ขอเพียงแต่ว่าหนูแพรวตกลงเท่านั้น ใช่ไหมบรรจบ”
“ครับพ่อ ขอเพียงน้องแพรวตกลงเท่านั้น”
“ขอบพระคุณค่ะ...คือแพรวต้องจัดงานแสงสีเสียงที่อยุธยาให้เสร็จก่อน งานออกแบบทั้งหมดอยู่ที่แพรว ถ้าแพรวเลิกทำก็จะเป็นการเสียหายต่อส่วนรวม”
บรรจบฮึดฮัดไม่พอใจ ถามว่างานของวิศิษฏ์ใช่ไหม จ้างคนอื่นก็ได้ เสียหายเท่าไหร่ เขาจะปรับเท่าไหร่ ตนยอมจ่ายให้จะสักกี่ล้านกันเชียว
“บรรจบ...ไม่เอาน่า” บุรีรีบปราม
“แพรวเป็นคนรับผิดชอบค่ะ ถ้าแพรวรับปาก
ใครแล้วแพรวก็จะทำตามที่พูดไว้ เหมือนแพรวรับปากคุณแม่ว่าจะแต่งงานกับพี่ แพรวก็จะทำตามที่พูด แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ยังให้แพรวไม่ได้ แพรวก็ขอล้มเลิกสัญญา”
“แพรวแน่ใจนะลูก”
“ค่ะคุณพ่อ”
“แล้วอีกนานแค่ไหนถึงจะเสร็จล่ะแพรว”
“งานเลื่อนไปต้นปีหน้า งานแต่งงานก็คงต้องเป็นปีหน้าด้วย ถ้ารอได้แพรวก็โอเค”
บุรีสบตาลูกชาย บรรจบพยักหน้าอย่างจำยอมแล้วสำทับ “หวังว่าถ้าถึงวันนั้นคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ”
“คนอย่างแพรวมีสัจจะค่ะ”
หลังจากสองพ่อลูกกลับไปแล้ว แพรวพรรณเข้าห้องทั้งน้ำตา นิลนั่งมองด้วยความสงสาร
“ไหนว่ามีแผน แต่ทำไมมานั่งร้องไห้ล่ะแม่แพรว หรือว่ายอมแพ้แล้ว”
แพรวพรรณตอบทันทีว่าไม่มีทาง นิลเลยว่าถ้างั้นก็ไม่ต้องร้องไห้ เธอจึงปาดน้ำตาแล้วฝืนยิ้มออกมา
ooooooo
เรืองรุ้งทราบเรื่องนี้จากแพรวพรรณในวัน ถัดมา อดบ่นกับเพื่อนรักไม่ได้ว่า
“ปากว่าไม่ยอมแต่ก็ยอมตกลงกับเขาไปแล้ว เธอต้องการอะไรกันแน่จ๊ะแพรว”
“ฉันจะออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ที่คอนโดฯนี้มีห้องว่างบ้างหรือเปล่า”
“เฮ้ย! จะดีเหรอ”
“ดีสิ...คุณแม่จะได้ทราบว่าฉันไม่ยอมให้บังคับจิตใจ รุ้งก็รู้นี่จ๊ะว่าฉันไม่ได้รักพี่บรรจบ”
“เอาเถอะ ฉันจะหาที่อยู่ให้เธอเอง ว่าแต่จะให้ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย หรือว่าจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่”
“ไม่เป็นไรจ้ะรุ้ง แค่รุ้งรับปากว่าจะช่วยเราก็ดีใจแล้ว”
แน่นอนว่าเรืองรุ้งต้องช่วย เพราะจำคำพิศได้ ขึ้นใจ พิศเคยบอกว่าแพรวพรรณกำลังมีเคราะห์ แต่อยากรู้ว่าใช่เรื่องที่ต้องแต่งงานหรือเปล่า
พิศปรากฏตัวตอบคำถามเรืองรุ้งว่าไม่ใช่เรื่องนั้นอย่างเดียว แต่แพรวพรรณจะต้องพลัดพรากจากที่อยู่ชั่วคราว
“แพรวมาปรึกษารุ้งเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็หาที่ที่เหมาะให้แพรวยังไม่ได้ค่ะ”
“แม่แพรวจะหาที่อยู่ได้เอง เธอเป็นเพียงผู้สนับสนุนเธอเท่านั้น”
“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีใช่ไหมคะ”
“ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเมตตา แม่แพรวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก นี่คือเรื่องกฎแห่งกรรม”
เรืองรุ้งรับทราบและกราบพิศอย่างนับถือ ร่างพิศเลือนหายไปพร้อมความเศร้า เพราะเจ้ากรรมนายเวรที่พูดถึงนั้นคือเธอนั่นเอง
“เจ้ากรรมนายเวรคนนั้นไม่ใช่ใครหรอก
แม่แพรว แต่คือพี่...พี่ที่ห่วงน้องตลอดเวลา พี่ให้อภัยเธอหมดแล้วแม่แพรว...ความทุกข์ของเธอก็คือแรงปรารถนาข้ามภพข้ามชาติที่จะได้อยู่กับเจ้าคุณพี่เท่านั้น รุนแรงเกินกว่าที่พี่จะห้ามเธอได้”
พิศรำพันหน้าเศร้า...อดีตหวนกลับมาในความคิดคำนึงเมื่อครั้งแพรวจงใจเอาชนะเธอทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องทำบุญทำกุศล แต่ไม่ว่าแพรวจะร้ายกาจกับเธอแค่ไหน คนเป็นพี่อย่างเธอไม่เคยโกรธแค้นอาฆาตน้องสาวได้ลงคอ เพียงแต่รอว่าสักวันแพรวจะสำนึกในสิ่งที่กระทำลงไป เมื่อนั้นกรรมก็จะสิ้นสุดหรือเบาบางลง
ooooooo
หลังจากทุ่มเทให้กับงานออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับจนเครียดอยู่สองสามวันแพรวพรรณก็ตั้งใจนำงานมาเสนอวิศิษฏ์ที่สำนักงาน
ปรากฏว่าเขาไม่อยู่ แม่บ้านรายงานว่าเขาเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่ เห็นว่ามารดาไม่สบาย พอภาณุกับแสวงทราบว่าแพรวพรรณมาจึงแนะนำให้เธอตามไปพบเพื่อนของตนที่บ้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น