วิศิษฏ์คิดถึงพิศที่หมดโอกาสเจอกันในบ้านเพราะโดนข่ายมนตราของอาจารย์หวังขวางกั้น เขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ข่ายมนตราจะเสื่อมสลายไปเสียที
อยู่ดีๆวันนี้เฟื่องขจรเห็นหมอกเต็มไปหมดรอบตัวบ้าน แต่ชื่นจิตกลับบอกว่าแดดแรงมาก สองคนทุ่มเถียงกันจนวิศิษฏ์ได้ยินรีบมาถามแม่ว่าเห็นหมอกตรงไหนบ้าง ตนจะไล่หมอกให้เอง
“ดีๆๆ ตรงนี้ไง นี่ตรงนี้...เห็นมั้ยมันลอยวน...วนไปทางโน้น...แล้วก็ลอยไปทางนี้ด้วย”
เฟื่องขจรชี้มือไปเรื่อย ชื่นจิตทำหน้าเหวอมองสองแม่ลูกที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย วิศิษฏ์ลากสายยางมุ่งมั่นจะฉีดน้ำทำลายหมอกควันที่เชื่อว่าเป็นข่ายมนตรา โต้งกับติ๋วออกมาจากในบ้านนึกว่าคุณอาจะรดน้ำต้นไม้ บอกให้รดตอนเย็นเดี๋ยวพวกตนช่วยเอง
“ไม่ต้องพูดมาก เปิดก๊อกน้ำให้อาที”
โต้งวิ่งไปหมุนก๊อกน้ำอย่างว่าง่าย วิศิษฏ์ใช้สายยางฉีดไล่หมอก เฟื่องขจรปรบมือดีใจ ชื่นชมลูกชายเก่งที่สุดในโลก ติ๋วกับโต้งเหวอๆงงๆ เช่นเดียวกับชื่นจิตที่คิดว่าแม่ลูกคู่นี้น่าจะเพี้ยนไปแล้ว
“พี่ชื่น...หรือว่าอาศิษฏ์โดนผีสิงจนเพี้ยนเหมือนคุณย่าไปแล้วคะ” ติ๋วกระซิบ
“ลำพังคุณย่าคนเดียวพี่ชื่นก็แย่แล้ว นี่ยังมีคุณศิษฏ์อีก ไม่ไหวหรอกค่ะ ชื่นลาออกไปตัดอ้อยดีกว่า”
วิศิษฏ์ฉีดน้ำมุมนั้นมุมนี้แล้วแต่เฟื่องขจรจะชี้นำ พลันเสียงแตรรถดังมา ชื่นจิตผวาร้องว้าย ท่าทางดีใจที่เห็นวิภาดาขับรถเข้ามาจอด
ติ๋วกับโต้งรายงานวิภาดาทันทีที่เธอลงจากรถว่าคุณย่ากับคุณอาฉีดน้ำไล่หมอกอะไรไม่รู้ เห็นกันอยู่สองคนแต่พวกตนไม่เห็นมีหมอกเลย
“ตายแล้ว...ข่ายมนตรา” วิภาดาพึมพำแล้วเข้าไปแย่งสายยางจากน้องชาย “หยุดนะศิษฏ์ แกจะบ้าเหรอ หยุดๆๆ”
วิศิษฏ์เบี่ยงไม่ให้แย่ง วิภาดาโดนน้ำเปียกปอนไปหมดแถมยังโดนเฟื่องขจรตำหนิเสียงเขียวอีก
“นี่มันอะไรกันยัยวิ...น้องกำลังฉีดน้ำไล่มัน...แกไม่เห็นเหรอหมอกหนาทึบอย่างนี้ บ้านเราไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกันแล้ว...ยัยวินี่ ทำไมโง่แบบนี้นะ”
“คุณแม่ไม่รู้อะไรก็อยู่เฉยๆดีกว่าค่ะ โอ๊ย! ไอ้บ้า ฉันเปียกหมดแล้วเห็นมั้ยเจ้าศิษฏ์...โต้งปิดน้ำ เร็วสิ”
โต้งทำตามคำสั่งคุณป้าแล้วกลับมายืนรวมกับติ๋วและชื่นจิต
“ฉันมีเรื่องต้องพูดกับแกให้รู้เรื่องแล้วศิษฏ์” วิภาดาเสียงแข็งท่าทีฉุนเฉียว จ้องหน้าน้องชายอย่างเอาเรื่อง!
ooooooo
พิศพานิลไปส่งที่ศาลเก่าซึ่งเป็นที่หลบภัยของลิ้นจี่...เพียงเห็นสภาพภายนอกนิลก็ไม่อยากอยู่เสียแล้ว แต่พอเข้ามาข้างในเห็นลิ้นจี่มีบริวารคอยพัดวีค่อยสนใจขึ้นมาหน่อย
“คุณพิศ...ไอ้เด็กจอมกวนนี่ใครล่ะเจ้าคะ”
“กุมารทองของแม่แพรว น้องสาวฉัน”
“คุณพิศหลอกลิ้นจี่แน่ๆเลย ผู้หญิงทันสมัยแบบน้องสาวคุณพิศจะเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”
“อย่าว่าแม่แพรวของข้านะ ไม่งั้นล่ะก็เจอดีแน่”
“อ้าว ไอ้มืดนี่ทำไมมันปากดีนักเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ชื่อมืด ข้าชื่อนิล”
“เออ จะมืดจะนิลมันก็ดำเหมือนกันแหละ แล้วคุณพิศพามันมาทำไมเจ้าคะ”
“ฝากลิ้นจี่ดูแลด้วย...ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาด ไม่งั้นจะถูกหมอผีจับไปเป็นบริวาร นิลต้องเชื่อฟังพี่ลิ้นจี่ แล้วก็เรียกตัวเองว่าหนู อย่าเรียกตัวเองว่าข้า มันไม่ไพเราะ”
นิลเบ้ปากไม่ยำเกรง ลิ้นจี่เห็นแล้วบอกพิศว่าท่าทางมันเชื่อซะที่ไหน ตนอยากรู้ว่านิลไปเป็นกุมารทองของแม่แพรวได้ยังไง
“กรรมทำให้เกิดความผูกพัน...ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญหรอกลิ้นจี่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุมีผลของมันทั้งนั้น เธอเตรียมตัวให้พร้อมไว้ด้วยนะ บางทีเร็วๆนี้ฉันต้องอาศัยเธอทำงานบางอย่าง”
“ยินดีเจ้าค่ะคุณพิศ”
พิศวูบหายไป นิลเหลียวมองพลางร้องเรียกพี่สาว ทำไมไม่อยู่กับตน ตนไม่อยากอยู่กับพวกนี้
“อยากตามไปก็เชิญ จะได้ถูกไอ้หมอผีจอมโหดมันจับขัง ดูสิ ขนาดพวกข้ายังต้องทนอยู่ในเรือนนี้เลย แล้วเจ้าล่ะ บารมีน้อยแค่นี้ทำอะไรใครไม่ได้หรอก”
นิลหน้าง้ำเดินไปนั่งเบะปากจะร้องไห้ ลิ้นจี่ได้ทีแหย่ว่าแค่นี้ก็ขี้แงแล้วจะสู้ใครเขาได้ นิลไม่สบอารมณ์แต่ไม่ตอบโต้...
ooooooo
วิภาดาหงุดหงิดโมโหที่วิศิษฏ์เอาน้ำฉีดไล่ข่ายมนตรา หลังจากเช็ดผมตัวเองที่เปียกโชกแล้วเธอสั่งชื่นจิตให้พาเฟื่องขจรไปพักผ่อนข้างบน ส่วนติ๋วกับโต้งให้ไปอ่านหนังสืออย่ามายุ่งกับเรื่องของผู้ใหญ่
เฟื่องขจรยอมไปแต่ไม่วายสำทับวิภาดาว่าถ้าหมอกไม่หาย เราสองคนต้องเลิกเป็นแม่ลูกกัน
“นี่วิช่วยคุณแม่นะคะ ไม่เอาล่ะค่ะ วิไม่พูดด้วยแล้ว ไว้สักวันหนึ่งคุณแม่จะขอบใจวิเอง...ไปสิโต้ง ติ๋ว นั่งฟังผู้ใหญ่เสียมารยาท”
ทันทีที่ทุกคนออกไป วิศิษฏ์ซึ่งไม่ค่อยพอใจพี่สาวก็เร่งเร้าว่ามีอะไรให้รีบพูดมา
“แกท้าทายฉันมากนะศิษฏ์ แกก็รู้ว่าไอ้หมอกของคุณแม่น่ะมันคือข่ายมนตราของอาจารย์หวัง ฉันทำเพราะต้องการช่วยคุณแม่”
“ถ้าจะช่วยคุณแม่ก็ไปทำที่บ้านร้างของพี่วิ...ไม่ใช่ที่บ้านเรา”
“แกกลัวว่าอาจารย์หวังจะไล่ผีที่ติดตามแกอยู่ใช่ไหม...น่าสงสารจริงๆ แกรู้หรือเปล่าว่าแกถูกผีครอบงำจนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว”
“ก็ยังดีกว่าพี่วิที่หลงเชื่อไอ้หมอผีจอมลวงโลก หลอกเอาเงินพี่วิจนหมดตัว ระวังจะเสียทั้งเงินและเสียทั้งตัวให้ไอ้หมอผี”
“ไอ้บ้า!” วิภาดาขว้างผ้าขนหนูที่เช็ดผมอยู่ใส่หน้าวิศิษฏ์
“พี่วิจำไว้ ผมไม่มีทางให้ไอ้หมอหวังมันทำอะไรบ้านเราได้หรอก”
“แกเรียนวิชาหมอผีมารึไง แกถึงกล้าพูดท้าทายหมอหวัง ระวังตัวไว้เถอะนายศิษฏ์”
วิศิษฏ์ส่ายหน้าเอือมระอา เดินหนีไปอย่างเหนื่อยใจ...
ด้านนงรามที่เหมือนโดนบรรจบผลักไสทั้งที่มีความสัมพันธ์กันลึกซึ้ง เธอกลับถึงบ้านก็เอาแต่ฟูมฟายร่ำไห้กลัวโดนเขาทิ้งจนองุ่นแปลกใจว่าทำไมเป็นเอามากถึงเพียงนี้
สุนทรีก็เช่นกัน อยากรู้อะไรทำให้นงรามหลงใหลบรรจบนักหนา ทั้งที่เมื่อก่อนตนคะยั้นคะยอแทบตายไม่เคยใส่ใจ เมื่อคาดคั้นจนรู้ว่าลูกสาวเสียตัวให้บรรจบไปแล้ว สุนทรีบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบ แต่อยากรู้ว่าลูกรักเขาจริงหรือเปล่า
“นงรักพี่จบคนเดียวค่ะคุณแม่ รักที่สุด ไม่รู้เป็นอะไร คิดถึงพี่เขาทุกลมหายใจเลยค่ะ”
“ก็ดีที่รู้ว่านงคิดแบบนี้ แม่จะได้ดำเนินการเต็มที่” ว่าแล้วสุนทรีผละไปอย่างพอใจ แต่องุ่นซึ่งฟังอยู่ด้วยรู้สึกแปลกใจ เดินตามเธอมาตั้งข้อสังเกตว่าท่าทางนงรามเหมือนโดนเสน่ห์ “เหลวไหลน่าหงุ่น จะโดนมนต์เสน่ห์เล่ห์กลอะไร ถ้าฉันได้เป็นแม่ยายมหาเศรษฐีก็ช่างมันเถอะ”
สุนทรีกล่าวอย่างไม่แคร์ แต่องุ่นอดกังวลไม่ได้
ooooooo
เรืองรุ้งฝันร้ายเกี่ยวกับแพรวพรรณจึงชวนภาณุไปถวายผ้าไตรเผื่อปัญหาทั้งหลายจะคลี่คลายหรือเบาบางลง แต่ดูเหมือนไม่ได้ผล เพราะคืนนี้แพรวพรรณเกือบถูกนางพรายที่สัตตะส่งมาจับตัวไป
โชคดีพิศช่วยไว้ทัน และส่งวิญญาณนางพรายไปรับกรรมที่ก่อไว้ เหตุนี้เองทำให้นงรามคลายมนต์สะกด จากที่เคยหลงใหลบรรจบก็กลับมาเป็นคนเดิมอยากคืนดีกับวิศิษฏ์
นงรามไปพบวิศิษฏ์ที่สำนักงานในวันถัดมา ทำทีสนิทสนมเหมือนไม่เคยมีการตัดสัมพันธ์กับเขามาก่อน
วิศิษฏ์แปลกใจ เช่นเดียวกับคนอื่นที่รับรู้มาตลอดว่านงรามเป็นฝ่ายทิ้งวิศิษฏ์ไป
เธอออดอ้อนและอ้างว่าทั้งหมดเป็นความต้องการของแม่ไม่ใช่ตัวเธอ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอรักเขาเกินกว่าจะไปรักใครได้อีก
“ยกโทษให้นงด้วยนะคะศิษฏ์...นงอยากจะบอกว่าในหัวใจนงไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาแทนที่ศิษฏ์ได้เลย”
“ขอผมทำใจก่อนนะนง”
“ค่ะศิษฏ์...นงจะรอคำตอบจากศิษฏ์ ถ้าศิษฏ์ปฏิเสธนงก็อย่าลืมไปรดน้ำศพนงด้วยนะคะ”
นงรามทิ้งท้ายทั้งน้ำตาแล้วเดินจากไป วิศิษฏ์ละล้า ละลังก่อนก้าวตาม ระรินกับเขียวเห็นแล้วรู้สึกมันเขี้ยวอยากจะตบนงรามสักฉาด ยิ่งเห็นหล่อนโผกอดวิศิษฏ์ก็แทบเต้นด้วยความหมั่นไส้ ภาณุกับแสวงรับไม่ได้เหมือนกัน ไม่พอใจที่นงรามผีเข้าผีออกแบบนี้
เมื่อเรืองรุ้งทราบจากภาณุว่านงรามกลับมาขอคืนดีกับวิศิษฏ์ก็อดเป็นห่วงแพรวพรรณไม่ได้ว่าจะอกหักก็คราวนี้ เธอยิ่งมีเรื่องไม่สบายใจอยู่ด้วย
พูดไม่ทันขาดคำ แพรวพรรณมาถึง หน้าตาเธอซีดเซียวเหมือนอดหลับอดนอน
“ดื่มอะไรดีครับคุณแพรว เดี๋ยวผมบริการเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ...กุมารทองของคุณณุไม่ได้อยู่กับแพรวแล้วนะคะ”
“อะไรนะครับ”
“เธอติดต่อกับเขาไม่ได้เหรอ เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฟังหน่อย”
เรืองรุ้งกับภาณุสบตากันแล้วลงนั่งตั้งใจฟังแพรวพรรณเล่าเรื่องราว
ooooooo
นงรามกลับบ้านอย่างมีความหวังว่าต้องได้คืนดีกับวิศิษฏ์ ไม่งั้นเขาคงไม่ตกลงไปดินเนอร์กับเธอ องุ่นดีใจที่นงรามกลับมาสดใสเหมือนเก่า แต่สำหรับสุนทรีถ้ารู้เรื่องนี้ต้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่
สองคนจึงช่วยกันปกปิดไว้เป็นความลับ โดยนงรามหลอกมารดาว่าเย็นนี้มีนัดเลี้ยงส่งเพื่อนที่สอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกได้
“อ้าว...แม่ก็นึกว่านงจะไปเยี่ยมพี่บรรจบกับแม่ พี่เขากลับบ้านวันนี้แล้วนะ แม่ว่าจะชวนนงไปทานข้าวที่บ้านเขา”
“แต่นงนัดกับเพื่อนแล้วค่ะ เพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยก็ไปกันหลายคน”
“เฮ้อ...นี่ถ้าแต่งงานกับพี่บรรจบไปแล้ว แม่หวังว่า นงจะรู้จักแยกแยะนะว่าเพื่อนแบบไหนควรคบ เพื่อนแบบไหนไม่ควรคบ” สุนทรีท่าทีหงุดหงิด นงรามก้มหน้าซ่อนพิรุธอย่างมิดชิด...
ขณะเดียวกัน วิศิษฏ์กำลังสับสนเรื่องนงราม เขาตั้งตัวไม่ติดที่อยู่ดีๆเธอก็หวนกลับคืนมา ครั้นจะตัดรอนเธอเลยก็สงสาร คิดมาคิดไปแล้วนึกถึงพิศ...เธอไม่น่ามาทิ้งกันไปตอนที่เขากำลังสับสนอย่างนี้
ขณะที่วิศิษฏ์นั่งกลุ้ม ระรินเยี่ยมหน้าเข้ามาบอกว่า “บอสคะ มีแขกของท่านอธิบดีรอพบบอสอยู่ที่ห้องประชุมค่ะ เรื่องด่วน”
“เอ๊ะ ไม่เห็นมีใครนัดมาเลย”
“ท่านเพิ่งแจ้งมาเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
“ขอบใจ”
ระรินยิ้มรับแล้วกลับออกมา แสวงสังเกตสีหน้าท่าทางเพื่อนอยู่ตลอด คันปากยิบๆจนทนไม่ไหว
“ไอ้ศิษฏ์ ใจลอยจังว่ะวันนี้ สับสนเรื่องยัยนงรามทรามสงวนเหรอ...คิดให้ดีนะโว้ย”
“ข้าสงสารเขาว่ะแหวง”
ตอบแล้ววิศิษฏ์เดินหน้าเรียบนิ่งออกไปทางห้องประชุม เปิดประตูเข้ามาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสาวสังคมสวยหรู สวมแว่นตาดำยืนหันหลังให้
“สงสารเขา แต่ไม่สงสารคนที่คอยช่วยเหลือห่วงหาคุณเด๋อเลยเหรอคะ”
เพียงคำพูดประโยคนั้นก็ทำให้วิศิษฏ์ยิ้มร่า เรียกชื่อเธออย่างเต็มปากเต็มคำ
“คุณพิศ...”
พิศหันมาถอดแว่นตาออกมองเขาอย่างสุดจะคาดเดาความรู้สึก
“ผมนั่งสมาธิทั้งคืน ไหนคุณบอกว่าเรียกผมออกไปไง...คุณพิศหลอกลวง”
“หลอกลวง...ฉันมีงานสำคัญ มาหาคุณไม่ได้แค่คืนเดียว แต่ทำไมไม่คิดบ้างว่าฉันรอคอยใครบางคนมานับร้อยปี...ฉันไม่เคยเอาเป็นข้ออ้างว่าใครบางคนนั้นเป็นคนหลอกลวง”
“คุณพิศ” วิศิษฏ์รวบตัวพิศมากอดและจะจูบ แต่เธอเบือนหน้าหนีพร้อมห้ามปราม
“อย่าค่ะ ฉันไม่ใช่มนุษย์อย่างคุณ”
วิศิษฏ์รั้นจะจูบเธอให้ได้ แต่เธอวูบหายไปจนเขาวืดแทบเสียหลัก
พิศปรากฏตัวคนละมุมห้องกับเขา เอ่ยเสียงเศร้าว่า “เห็นไหม...ฉันไม่เหมือนคุณ เราอยู่กันคนละภพ เรารักกันได้แต่เราใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้”
“แล้วทำไมคุณไม่เป็นมนุษย์เหมือนผม”
“บุญและกรรมทำให้เราต่างกัน”
“เขาเข้ามาในขณะที่ผมโหยหาอยากพบคุณพิศ”
“ดูแลหัวใจตัวเองด้วยค่ะคุณเด๋อ อย่าเผลอรักเขา... ฉันยืนยันอีกครั้งว่าคุณเด๋อกับคุณนงรามไม่ใช่เนื้อคู่กัน เขาทำบุญกับด็อกเตอร์บรรจบมากกว่าคุณ”
“แล้วทำไมหัวใจผมต้องหวั่นไหวด้วย”
“ก็เพราะกรรมที่ต่างจะต้องชดใช้กันในชาตินี้... สิ้นกรรมเมื่อไรหัวใจของคุณเด๋อก็จะเป็นอิสระ”
“คุณพิศ...แล้วเราจะได้พบกันมั้ย”
“ถ้าคุณเด๋อยังอยากพบฉันเจ้าค่ะ” พิศน้ำตาไหลพรากแล้ววูบหายไป
วิศิษฏ์หน้าเศร้าทรุดนั่งที่เก้าอี้ รำพึงอย่างทุกข์ใจ “ทำไมคุณไม่เป็นคนเหมือนผม...ผมจะกอดคุณไว้ไม่ยอมให้ห่างกายเลย”
เวลานั้นใกล้ค่ำแล้ว พิศไปปรากฏตัวที่ซากโบราณ สถานเก่าแก่ น้ำตาเธอหยาดไหล สะอื้นเบาๆเคล้าเสียงตัดพ้อของตัวเอง
“กี่ภพกี่ชาติ...ผู้ชายก็สับปลับเหมือนเคย เอ่ยคำว่ารักได้เสมอโดยไม่เคยใส่ใจเลยว่าผู้หญิงจะรู้สึกยังไง”
ooooooo
งามเนตรเคี่ยวเข็ญแพรวพรรณให้ไปเยี่ยมบรรจบแต่เธอหลบไปพบเรืองรุ้งแล้วพากันมาหาหลวงพ่อที่ภาณุเคารพนับถือ
เมื่อโดนแม่โทร.ตามหลายรอบเธอก็บอกว่าติดธุระ และล่าสุดไม่ยอมรับสาย ทำให้งามเนตรหงุดหงิดมากมายจนพาลมาลงที่สามีอีกตามเคย หาว่าเขาให้ท้ายลูกถึงได้เป็นอย่างนี้
“อาจเป็นเพราะว่าลูกไม่ชอบกิจกรรมที่คุณจัดหรือเปล่า”
“จะเป็นอะไรนักเชียว แค่ไปเยี่ยมพี่เขา อย่าลืมนะคะว่าเขามาตกบันไดที่บ้านเรา”
งามเนตรพูดหน้าง้ำแต่พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังและคนโทร.มาคือบรรจบก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่า ทักทายเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน ยืนยันว่าถ้าแพรวพรรณกลับมาจะให้โทร.ไปหาโดยเร็ว...
แต่คงจะอีกนาน เพราะเวลานั้นแพรวพรรณยังอยู่ที่วัดกับเรืองรุ้งและภาณุ เธอต้องการให้หลวงพ่อช่วยตามหากุมารทองชื่อนิล หลวงพ่อรับปากแต่ให้เรืองรุ้งช่วยด้วยเพราะเธอเป็นผู้มีอภิญญาบารมีที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน
ด้านบรรจบที่อยากพบแพรวพรรณใจจะขาด เขาเป็นห่วงเธอมาก กลัวสัตตะจะใช้วิชาอาคมกับเธอ ถ้าเป็นเช่นนั้นรับรองว่ามันต้องเจอลูกปืนของตนแน่ ฝ่ายนงรามที่หลุดพ้นมนต์เสน่ห์จากสีผึ้ง เธอกลับไปหาวิศิษฏ์และตื๊อจนมีโอกาสได้กินข้าวมื้อค่ำกับเขาสมใจ แต่พอเธอพูดเรื่องแต่งงาน อยากให้เขาส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอ ชายหนุ่มกลับแบ่งรับแบ่งสู้ว่าคงไม่มีเงินสินสอดอย่างที่แม่ของเธอต้องการ
“นงจะพูดกับคุณแม่เอง รับปากนงได้ไหมคะว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
“ขอเวลาผมอีกสักพักเถอะ ก่อนหน้านี้ผมก็อยากแต่งงาน ผมเก็บเงินหวังสร้างอนาคตแต่นงก็เปลี่ยนไป”
“เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า นงบอกแล้วไงคะว่านงขัดคุณแม่ไม่ได้ นงไม่ได้รักพี่บรรจบซะหน่อย ทำไมศิษฏ์พูดเหมือนไม่เชื่อนง...นงน้อยใจนะคะ”
“ผมขอโทษ ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”
นงรามยิ้มแย้มดีใจ ในขณะที่วิศิษฏ์พูดไปแล้วก็มีแต่ความหนักใจ
ooooooo
สัตตะยังบริกรรมคาถาอยู่ในป่าช้า โดยปลุกผีทั้งหลายมาเป็นบริวาร แต่แค่นั้นยังไม่พอเขาอยากได้เพิ่ม และล่วงรู้ว่าไม่ไกลกันนักมีศาลไม้เก่าอยู่หลังหนึ่ง
ลิ้นจี่ยึดที่นี่เป็นที่พักอาศัยและมีบริวารหลายตน ส่วนนิลเพิ่งมาใหม่ สัตตะเดินทางมาถึงและคิดจะทำร้ายกุมารทองเพราะรู้จากนางพรายว่าเขาเป็นบริวารของพิศ
เมื่อทำร้ายพิศไม่ได้เสียที สัตตะจะกำจัดบริวารของเธอแทน แต่หลวงพ่อกับเรืองรุ้งนั่งสมาธิถอดกายมาช่วยไว้ กระนั้นก็ไม่ทำให้นิลรอดพ้นอาคมของสัตตะไปได้ นิลถูกเป่ามนต์ใส่กลายเป็นเศษฟางปลิวไปในอากาศ ทันใดพิศปรากฏตัวบีบคอสัตตะจนกระอักเลือด เสื่อมสิ้นวิชาอาคมและคุณไสย
หลวงพ่อกับเรืองรุ้งกลับเข้าร่างที่นั่งสมาธิต่อหน้าภาณุและแพรวพรรณ ก่อนเล่าเรื่องนิลให้ฟังอย่างเศร้าสลด
“เขากลับมาอยู่กับหลวงพ่อแล้ว และอีกนานกว่าธาตุขันธ์เขาจะกลับมามีพลังเหมือนเคย ปล่อยเขาไว้ในความทรงจำเถอะ”
“โธ่...นิล” แพรวพรรณก้มหน้าร้องไห้อย่างสะเทือนใจ
ด้านลิ้นจี่ที่ถูกสัตตะรุกรานถึงศาลไม้ก็ต้องออกจากที่นั่นตามพิศกลับมาบ้านเฟื่องขจร แต่บ้านหลังนี้มีข่ายมนตราของอาจารย์หวังปกคลุม ทั้งคู่เข้าไม่ได้จึงได้แต่ยืนมองอยู่หน้าบ้าน
“แม้แต่คุณพิศก็กลัวหรือเจ้าคะ”
“เราไม่กลัวหรอก ข่ายมนตรานี้ทำร้ายเราไม่ได้ ที่กลัวก็มีอย่างเดียวเท่านั้นคือโองการท้าวมหาพรหม ถ้านายหวังทำพิธีอ่านขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันอาจจะอยู่ไม่ได้”
“ลิ้นจี่ไม่อยากเชื่อเลยเจ้าค่ะว่านางฟ้ามีบารมีมากจะพ่ายแพ้แก่อาคมของหมอไสยศาสตร์คนหนึ่ง”
“เป็นไปได้สิ...ฉันลงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์มากเกินไป บางอย่างเป็นกฎสวรรค์แต่ฉันก็ฝืน...เพื่อใครล่ะ ถ้าไม่ใช่คนที่เรารัก”
“โธ่ คุณพิศ” ลิ้นจี่รำพึงหน้าเศร้า
จังหวะนั้นวิศิษฏ์ขับรถกลับมา ชื่นจิตเปิดประตูรับแล้วยืนมองไปถนนฝั่งตรงข้ามเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยสองคนยืนอยู่ แต่ไม่กี่อึดใจก็หายไป ความกลัวแผ่ซ่านทั้งกายเธอทันที รีบปิดประตูแล้ววิ่งเข้าบ้านอย่างเร็ว
ขณะเดียวกันนั้น แพรวพรรณขับรถไปส่งเรืองรุ้งที่คอนโดฯ โดยภาณุติดรถมาด้วย เขาลงพร้อมเรืองรุ้งแล้วให้แพรวพรรณขับรถกลับบ้านคนเดียว
เมื่ออยู่กันตามลำพัง เรืองรุ้งบอกภาณุว่ามีเรื่องจะเล่าให้ฟังแต่เขาต้องสัญญาก่อนว่าจะเก็บเป็นความลับ ภาณุรับปากแข็งขันด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย เธอเชื่อและนับวันรู้สึกผูกพันกับเขามากขึ้น
เรืองรุ้งเล่าว่าตอนไปกับหลวงพ่อเพื่อตามหานิลได้เห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยหน้าเหมือนแพรวพรรณราวกับเป็นฝาแฝด ตนเคยอ่านเจอว่าฝาแฝดหน้าตาเหมือนกัน คนหนึ่งตายไปแล้วได้เกิดใหม่ แต่อีกคนไม่ยอมไปไหนเพราะรักน้องมากเลยขอเป็นวิญญาณที่ตามดูแลน้องสาว แม้ว่าจะเกิดขึ้นในภพภูมิใหม่แล้วก็ตาม
“หรือว่าคุณแพรวมีฝาแฝด”
“ชาตินี้ไม่มีหรอก...แต่ถ้าชาติก่อนไม่รู้”
และเพื่อคลายความสงสัย เมื่อภาณุกลับไปเรืองรุ้งจึงนั่งสมาธิ...ไม่นานพิศปรากฏร่างขึ้นในห้อง ถามเธอว่าอยากรู้เรื่องของตนมากนักหรือ เรืองรุ้งลืมตาเห็นพิศยืนตรงหน้าก็ตกใจ
“ท่านเป็นใครเจ้าคะ แล้วทำไมหน้าตาเหมือนเพื่อนดิฉันเลย”
“ฉันบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับเธอได้ แต่ต้องมีสัญญาแลกเปลี่ยน เธอต้องช่วยเหลือฉัน เราจะร่วมมือกันเพื่อปกป้องแพรว”
“แพรวเป็นเพื่อนของดิฉัน ดิฉันรับปากเจ้าค่ะ”
“แล้วก็ห้ามเปิดเผยความลับนี้ให้แพรวรับรู้ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากฉันก่อน”
“เจ้าค่ะ”
“หลับตาทำสมาธิสิ...เราจะย้อนอดีตไปพร้อมๆกัน”
เรืองรุ้งหลับตาทำสมาธิอีกครั้ง ได้ยินเสียงพิศเอื้อนเอ่ยอย่างชัดเจน
“ฉันชื่อพิศเป็นพี่สาวฝาแฝดของแม่แพรว เรามีสามีคนเดียวกันคือเจ้าคุณพี่ ซึ่งชาตินี้เขาเกิดมาในนามวิศิษฏ์ เธอจะเชื่อฉันไหมว่าด้วยความรักที่แม่แพรวมีต่อเจ้าคุณพี่ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าฉันอย่างเลือดเย็น จนฉันขาดใจตายไปทีละน้อย...ทีละน้อย”
พลันภาพในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยาเด่นชัดขึ้น...ที่บ้านเรือนไทยหลังใหญ่มีบ่าวไพร่จำนวนไม่น้อย ทุกคนทำงานอย่างขยันขันแข็งนอกเรือน ขณะที่บนเรือนกำลังเกิดเรื่องร้าย พิศถูกแพรววางยาถึงแก่ชีวิตโดยที่นมอิ่มคลางแคลงสงสัยแต่ไม่มีหลักฐานเอาผิดใคร แพรวแสร้งร้องไห้ เสียใจ พอทราบจากบ่าวว่าคุณพระกลับจากทัพแล้วเธอยิ่งบีบน้ำตาปานจะขาดใจ
คุณพระเสียใจยิ่งกว่า ถึงกับน้ำตาไหลอาบหน้าที่ต้องสูญเสียหญิงอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขากอดประคองร่างไร้วิญญาณของเธอ ขณะที่แพรวยังเล่นละครไม่เลิก ร่ำไห้แทบเป็นลมต่อหน้าคุณพระ
แต่ถึงอย่างไรคุณพระก็หาได้ผละจากร่างพิศไปหาแพรว เขาสั่งบ่าวไพร่พาแพรวไปหาหยูกยารักษา หากไม่ดีขึ้นให้ไปตามหมอ แพรวไม่พอใจแต่ไม่กล้าออกฤทธิ์ ได้แต่ทำหน้าบึ้งตึงนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของนมอิ่ม
หลังพิธีศพพิศแล้วคุณพระนำกระดูกเธอใส่โกศมาเก็บไว้ในห้องพร้อมแหวนหัวพญานาควางบนพานใกล้กัน เขาเฝ้ารำพึงรำพันคิดถึงเธอทุกลมหายใจ พิศรักเขามากเช่นกันจึงไม่ยอมไปไหน แถมยังมาปรากฏให้แพรวเห็นจนเธอกลัวสุดใจ ถามนมอิ่มว่ารู้จักพระหรือหมอคุณไสยที่ใดบ้าง ตนรู้สึกว่าวิญญาณพี่สาวยังอยู่ที่เรือนจะเอาชีวิตตน
“ก็เรือนนี้เป็นเรือนตายของนายแม่นี่เจ้าคะ ถ้าแม่แพรวมิได้ทำอันใดนายแม่ วิญญาณนายแม่จะตามรังควานรึเจ้าคะ”
แพรวโมโหแผดเสียงทันที “อยากถูกไล่ไปอยู่เรือนไพร่ข้างล่างรึ ถึงเห็นผีดีกว่าข้า”
“นายแม่ก็พ่ายบุญพ่ายวาสนาแม่แพรวแล้ว ไยต้องตามจองเวรจองกรรมนายแม่อีกเล่าเจ้าคะ กรรมจะตามติดไปทุกชาตินะเจ้าคะ”
“พูดอันใดหาเข้าหูข้าไม่ ข้าไม่ได้ใจร้ายต่อแม่พิศดอก แค่อยากให้มดหมอหรือพระเจ้าช่วยเจรจากับแม่พิศเท่านั้น”
แพรวกราดเกรี้ยวแต่พอเห็นคุณพระก้าวเข้ามาในห้องก็รีบก้มหน้าแกล้งสะอื้น รำพันว่าคิดถึงพี่สาวเหลือเกิน นมอิ่มเห็นละครฉากใหญ่ถึงกับอึ้งไป คุณพระลงนั่งโอบกอดแพรวไว้ด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“พี่ก็เช่นกัน ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่แม่พิศ”
แพรวซบหน้ากับแผ่นอกกว้างของคุณพระ ดวงตาริษยาฉายชัดแต่คุณพระไม่เห็น เขาลูบเรือนผมเธอด้วยมือข้างที่ใส่แหวนพญานาคซึ่งเป็นของสำคัญและมีความผูกพันกับพิศ...
------------
ที่มา ไทยรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น