วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 4


พิศกำราบผีทั้งหกตนโดยเฉพาะชุบกับอวบหัวหน้าแก๊งไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคนของตน แต่ผีสองผัวเมียตอบโต้อย่างไม่ยอม พิศเลยบีบคอชุบจนดิ้นพราดร้องไม่ออก

“อย่าลองดีกับข้า ผู้ชายคนนั้นเป็นของข้า”

“อีแก่ที่มากับมันก็เป็นคนของข้า มันเคยทำกรรมไว้กับข้า ข้าจะต้องเอาคืน” ชุบประกาศกร้าว แต่อวบโดนบีบคอเจ็บมาก บอกผัวให้หยุดก่อน...ผีทั้งหมดจึงเลือนหายไปต่อหน้าพิศอย่างเป็นรอง

ขณะขับรถกลับบ้าน วิศิษฏ์ถามหยั่งเชิงมารดาที่ยังดูนิ่งๆกลัวๆกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ว่า

“บ้านผีสิง คุณแม่ยังอยากได้อีกเหรอครับ”

เฟื่องขจรอึ้งๆ ยอมรับกับตัวเองว่ากลัวแต่เสียดายมากกว่า

“ให้เขาเช่า คนเช่ามันก็ต้องเจอผีเองแหละ เราไม่ได้มาอยู่จะกังวลไปทำไม อีกอย่างมันก็ของขวัญวันเกิดนะ ยัยวิอุตส่าห์ยกให้แม่ จะให้แม่ขายก็กระไรอยู่”

“คุณแม่ห่วงพี่วิหรือห่วงเงินค่าเช่ากันแน่ครับ”

“แกกลายเป็นคนกลัวผีไปตั้งแต่เมื่อไหร่...แม่รอบคอบน่า...แกอย่าห่วง”

วิศิษฏ์ส่ายหน้า เห็นพิศปรากฏตัวที่เบาะหลังแล้วโน้มหน้ามาเป่าเบาๆที่ต้นคอเฟื่องขจร ผ่านไปครู่เดียวก็ได้ยินเสียงแม่บ่นง่วงนอนและหาวติดกันหลายครั้ง

“ทำไมง่วงแบบนี้นะ แม่ของีบหน่อยนะ” พูดขาดคำ พิศเป่าพรวดแรงกว่าเก่า เฟื่องขจรคอพับทันที

“นี่คุณเด๋อ บอกแม่คุณด้วยว่าอย่ายุ่งกับบ้านหลังนี้ เลย อันตราย”

“คุณพิศก็ทราบนี่ครับ แม่ผมน่ะงกที่สุดในสามโลกเลย”

“เจ้ากรรมนายเวร ถ้าเขาอาฆาต เขาไม่ปล่อยแน่”

“หนีไม่ได้เลยเหรอครับ”

วิศิษฏ์มองดูพิศทางกระจกมองหลัง พลางขับรถไปด้วย เห็นสีหน้าพิศเศร้าลง แถมน้ำเสียงก็ดูแปร่งๆ

“ขึ้นชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรแล้วหนีกันไม่พ้นหรอกค่ะ ยังไงก็ต้องมาพบกัน ไม่ว่าด้วยรักหรือด้วยชัง”

“วันนี้คุณพิศพูดแปลกๆ”

พิศไม่ตอบแต่วูบหายไป วิศิษฏ์หน้าเสีย บ่นงึมงำว่าไปซะแล้ว...พิศย้อนกลับไปสู่อดีต เธออยู่ในชุดไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา รำพึงรำพันว่า

“คุณพี่เจ้าขา...พิศตามหาคุณพี่ข้ามภพข้ามชาติก็เพื่อจะทวงสัญญาเก่าๆ คุณพี่อย่าหนีพิศไปที่ใดอีกนะเจ้าคะ”

ในอดีตชาตินั้น แพรวรักชอบคุณพระซึ่งเป็นสามีของพี่สาว เธอพยายามเอาชนะพิศด้วยการเสนอตัวให้คุณพระ ออดอ้อนเว้าวอนขอความเห็นใจจากเขาทั้งน้ำตา

“คุณพี่...ถึงข้าจะมาทีหลัง แต่ก็หาได้รักคุณพี่น้อยไปกว่าแม่พิศแน่เจ้าคะ”

“พี่ก็รักเจ้าเสมอแม่พิศ...แต่พี่บอกเจ้าก่อนนะว่าทั้งนี้ต้องสุดแท้แต่แม่พิศเขา”

“สุดแท้แต่แม่พิศ หมายความว่ากระไรเจ้าคะ”

“ถ้าแม่พิศหาขัดข้องไม่ พี่ก็จะเลี้ยงดูเจ้าออกหน้าออกตา”

“แล้วถ้าแม่พิศขัดข้องล่ะเจ้าคะ”

“พี่ก็ต้องเลือกแม่พิศ...ส่วนเจ้าก็สุดแท้แต่แม่พิศเช่นกัน”

แพรวได้ฟังถึงกับร้องไห้โฮ ตัดพ้อต่อว่าเขาใจร้าย ตนเป็นเมียคนหนึ่งของเขา ถ้าจะทิ้งขว้างตนไม่ยอมแน่

คุณพระเหมือนไม่ใส่ใจ เดินจากไปโดยไม่เห็นพิศที่รู้เห็นทุกอย่างด้วยความหนักใจในการกระทำของน้องสาว

ooooooo

แม้ได้รับการยืนยันทั้งจากแม่และน้องชายว่าบ้านเก่าหลังนั้นมีผีสิงแต่วิภาดาก็ไม่เชื่อ หาว่าแม่ไม่อยากได้เลยแต่งเรื่องหลอกตน

“ถ้าคุณแม่ไม่อยากได้ก็บอกมาตรงๆ ไม่ต้องใช้วิธีนี้หรอก แกก็เหมือนกันตาศิษฏ์ มัวแต่ทำตัวไร้สาระอยู่ รู้ไหมว่ายัยนงรามควงหนุ่มไปกินข้าวในโรงแรม นี่ขนาดเป็นแค่แฟนเขายังกล้ามีคนอื่น ถ้าแต่งไปแล้วคงไม่แคล้วสวมเขาให้แกแน่ๆ”

วิศิษฏ์ตกใจ เฟื่องขจรก็เช่นกัน แต่วิภาดาไม่สนปฏิกิริยาของใคร คว้ากระเป๋าแล้วพูดโพล่งก่อนเดินหน้าตึงออกไปว่าตนต้องพิสูจน์ว่าบ้านหลังนั้นมีผีจริงหรือเปล่า ถ้ายังไม่เห็นกับตาตนไม่เชื่อเด็ดขาด

วิภาดาไปที่บ้านหลังนั้นจริงๆ แล้วก็เจอดีเข้าจนได้ เธอถูกผีหลอกกรีดร้องจนสลบอยู่ข้างรถ ก่อนที่พิศจะปรากฏตัวขัดขวางผีเจ้ากรรมนายเวรของเฟื่องขจรจนพ่ายไป เมื่อวิภาดาฟื้นขึ้นมาก็รีบเผ่นขึ้นรถเปิดแน่บด้วยความกลัว ส่วนพิศต้องรีบกลับเหมือนกันเพราะวิศิษฏ์เรียกหา

วิศิษฏ์ต้องการรู้ความจริงว่านงรามทำตัวไม่งามอย่างที่วิภาดาพูดหรือเปล่า พิศไม่สาธยายอะไรมากแต่ย้ำคำเดิมว่านงรามไม่ใช่เนื้อคู่ของเขา

“ทั้งที่นัดจะดูแหวนหมั้น หาฤกษ์หมั้น เดินไปดูห้องจัดเลี้ยงตามโรงแรมแล้วเนี่ยนะ อย่าโกหกผมเลยดีกว่าคุณพิศ”

“ฉันไม่เคยโกหก ถ้าคุณเด๋ออยากรู้จะลองดูไหมล่ะเจ้าคะ ฉันจะพาไปดูว่าตอนนี้เขาอยู่ด้วยกันหรือเปล่าหลับตาสิเจ้าคะ”

วิศิษฏ์หลับตาอย่างว่าง่าย...เห็นภาพเหตุการณ์จริงที่บรรจบกับนงรามใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกอดจูบกันในรถขณะฝ่ายชายมาส่งฝ่ายหญิงหน้าบ้าน แต่ไม่เห็นว่าก่อนหน้านี้ทั้งคู่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไปแล้ว

วาจาและท่าทีนงรามหลงใหลบรรจบเอามากๆ อยากอยู่ร่วมบ้านกับเขาใจจะขาดแต่เขาปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่ายังไม่ถึงเวลา...

วิศิษฏ์ทนไม่ไหวพยายามลืมตาและพ้นจากภาพบาดตาบาดใจนั้นในที่สุด แล้วโวยวายต่อว่าพิศสร้างภาพหลอนขึ้นมาหลอกตน

“เป็นความจริงค่ะคุณเด๋อ คุณนงรามกำลังเสวยกรรมที่ตนเองเคยทำไว้ เลยทำให้ชาตินี้ต้องรับเคราะห์แทนคนอื่น ฉันบอกคุณเด๋อได้เท่านี้...คุณเด๋อทำใจเสียเถอะค่ะ คุณไม่มีวันได้แต่งงานกับคุณนงราม”

“ไม่จริง...คุณพิศหลอกผม”

“ฉันไม่ได้หลอกคุณเด๋อ แทนที่คุณเด๋อจะกังวลเรื่องผู้หญิงอย่างคุณนงราม ฉันว่าคุณเด๋อหาวิธีไม่ให้คุณแม่ของคุณเด๋อเจอเจ้ากรรมนายเวรดีกว่าเจ้าค่ะ”

พิศวูบหายไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ทิ้งชายหนุ่มนั่งอึ้ง ทั้งเรื่องแม่และเรื่องแฟนสาวล้วนน่าหนักใจ

ooooooo

คืนนั้น เฟื่องขจรฝันร้ายเป็นตุเป็นตะว่าถูกผี หกตนหลอกหลอนหมายเข่นฆ่าแต่มันตามเข้ามาในบ้านไม่ได้ ภาพความฝันเหมือนจริงมากจนเธอนอนไม่หลับตลอดคืน เช้าขึ้นรีบลุกไปใส่บาตรแล้วมานั่งเล่าให้ลูกชายฟัง

“แม่ฝันไม่ดี ฝันว่าผีตั้งหกตัวจะมาฆ่าแม่ มันมาถึงรั้วบ้านเลยนะศิษฏ์ โชคดีที่มันเข้าบ้านไม่ได้”

ชื่นจิตยืนฟังอยู่ด้วย เสนอหน้าเข้ามาทันที “หกตัวเลยเหรอคะคุณนาย”

“ใช่ ผีบ้านผีเรือนเราต้องเก่งมากๆ ดีนะที่แม่ทำบุญบ้านก่อน ไม่งั้นล่ะก็มันคงฆ่าแม่ตายแล้ว”

“ก็แค่ความฝันน่ะครับ”

“แต่มันน่ากลัวเหมือนจริงมากเลย...เฮ้อ! หรือว่ามันจะเกี่ยวกับบ้านของวิภาดา”

วิศิษฏ์ชะงัก นึกถึงที่พิศย้ำว่าบ้านเก่าหลังนั้นมีเจ้ากรรมนายเวรของเฟื่องขจร

“ขนาดนี้แล้วคุณแม่ยังจะเก็บไว้อีกเหรอครับ”

ชายหนุ่มถามโดยไม่รอฟังคำตอบ ลุกพรวดจากโต๊ะอาหารกลับขึ้นห้องเปิดตู้หยิบแหวนนาคราชออกมา

“คุณพิศ...ผมรู้ว่าแม่ผมดื้อ ยังไงท่านก็ต้องไปที่บ้านร้างนั่น คุณพิศช่วยท่านด้วยนะครับ” เขาพูดลอยๆ ออกไป แต่เชื่อว่าพิศต้องรับรู้...

วันเดียวกัน วิภาดาพาอาจารย์หวังไปดูลาดเลาเพื่อปราบผีที่บ้านร้าง เธอยินดีจ่ายไม่อั้นถ้าสำเร็จ

“ไม่ต้องห่วง ผีกระจอกแบบนี้ไม่เกินมืออาจารย์หวังหรอกครับ”

“รีบจัดการเลยนะคะอาจารย์”

“ไว้ผมไปทำของดีมาปราบพวกมันก่อน”

“ดีค่ะ งั้นอาจารย์เอามัดจำไปก่อนเลยนะคะ”

วิภาดาหยิบเงินในกระเป๋าปึกหนึ่งส่งให้ อาจารย์หวังรับไปสีหน้าย่ามใจ แล้วพากันเดินกลับมาที่รถ โดยมีสายตาแก๊งผีหกตนมองตามไม่พอใจ แต่เพียงแค่อาจารย์หวังที่อาคมแก่กล้าใช่ย่อยหันมาพนมมือท่องคาถาแล้วเป่าออกไป แก๊งผีก็กรีดร้องและเลือนหายไปในอากาศ

เมื่อวิภาดามาเล่าสู่กันฟังที่บ้านมารดาเรื่องจ้างอาจารย์หวังปราบผีที่บ้านร้าง เฟื่องขจรตกใจมากร้องลั่นว่าตายแล้ว!

“คุณแม่ตกใจที่อาจารย์หวังเห็นผีที่บ้านนั้นเหรอคะ”

“เปล่า แต่ตกใจว่าหล่อนให้เงินอาจารย์หวังไป มากมายได้ไง น่าเสียดาย”

โธ่...ไล่ผีนะคะคุณแม่ ไม่ได้จ้างเขามาขุดดินจะได้จ่ายถูกๆ”

“จะไล่ผีไล่สาง แกก็ไม่น่าจะต้องจ่ายมากยังงั้น”

“ไม่มากหรอกค่ะคุณแม่ ถ้าอาจารย์หวังทำสำเร็จวิจะสมนาคุณให้อีกก้อน”

เฟื่องขจรชักสีหน้า ความงกแล่นพล่านในกายจนอยู่เฉยไม่ได้ ชวนชื่นจิตไปบ้านร้างในวันเดียวกันนี้พร้อมขันน้ำมนต์เก้าวัดที่สะสมไว้นาน

“ผีมันจะอยู่ได้ก็ให้รู้ไป แกคิดสินังชื่น ถ้าเราทำสำเร็จเงินก้อนที่ยัยวิจะให้อาจารย์หวังมันจะเป็นของใคร ถ้าไม่ใช่ของเราสองคน”

ชื่นจิตที่หวาดกลัวตลอดเวลา ตาวาวขึ้นทันใด “ใช่ๆ คุณนายสัญญานะคะว่าจะแบ่งให้ชื่นด้วย”

แล้วสองนายบ่าวก็เดินตามกันเข้าไปข้างในช่วยกันพรมน้ำมนต์ทั่วบ้านพร้อมส่งเสียงไล่ราวกับไล่หมูหมา ผีชุบกับอวบมองมาไม่พอใจ ตกลงกันว่าอีกเดี๋ยวจะไล่ทั้งคู่ให้เปิดแน่บ

เสียงหัวเราะของชุบดังกึกก้องจนบ้านสะเทือน เลื่อนลั่น ชื่นจิตผวาเหลียวมองรอบทิศ เช่นเดียวกับเฟื่อง–ขจรที่เลิ่กลั่ก ถูกอวบกระชากที่พรมน้ำมนต์ในมือขว้างทิ้ง แล้วโรมรันพันตูจะบีบคอทั้งนายและสาวใช้ที่บังอาจ มารุกราน

เฟื่องขจรเกือบเสียท่าถ้าพิศไม่โผล่วูบออกจากแหวนนาคราชที่วิศิษฏ์ให้แม่ติดตัวมา ประกายวิบวับจากหัวแหวนทำให้ผีสองผัวเมียผงะและถอยหนีไปในที่สุด

ooooooo

สุนทรียินดีเป็นที่สุดที่นงรามหลงรักบรรจบ แต่องุ่นคาใจเพราะสองวันก่อนยังเห็นคุณหนูของตนฟูมฟายจะเป็นจะตายว่าวิศิษฏ์มีผู้หญิงคนใหม่

“องุ่นก็...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ นอกจากนงรามตาสว่างแล้ว...ใช่ไหมนง แม่บอกแล้วไงว่าพี่บรรจบน่ะเพอร์เฟกต์ที่สุด ถ้ามั่นใจว่านงรักพี่เขา แม่ก็จะเดินหน้าเต็มที่ ยังไงก็หนีเราไม่พ้นหรอก”

นงรามยิ้มรับแทนคำตอบ แต่ทันใดวิศิษฏ์พรวดพราดเข้ามาบอกว่าตนมีธุระจะพูดกับนงราม

“แต่นงไม่มีอะไรจะคุยกับคุณค่ะ”

“ได้ยินแล้วก็กลับไปซะ อย่าให้ฉันถึงขั้นต้องเรียกตำรวจ...องุ่น เอามันออกไป”

องุ่นทำตามคำสั่งสุนทรี พยายามดันตัววิศิษฏ์ออกจากบ้านแต่เขาดึงดันไม่ยอม คาดคั้นนงรามว่าเมื่อคืนนัดกับด็อกเตอร์บรรจบจริงหรือเปล่า

“ใช่ค่ะศิษฏ์...นงกับพี่บรรจบรักกัน คุณกลับไปเถอะค่ะ เรื่องของเราจบแล้ว”

“นง...คุณถูกแม่คุณบังคับใช่มั้ย บอกผมสิ จะแต่งงานเมื่อไหร่ต้องใช้สินสอดเท่าไหร่ผมก็ยินดี ขออย่างเดียวให้ผมได้แต่งงานกับคุณ ผมรักคุณนะนง”

“โอ๊ย...หนวกหู...องุ่น ถ้าแกไล่แล้วมันไม่ไปก็ โทร.เรียกยามของหมู่บ้านมาลากคอมันส่งตำรวจ...ไปสิ”

องุ่นรีบเดินไปที่โทรศัพท์ วิศิษฏ์ตวาดเสียงแข็งอย่างมีอารมณ์

“ไม่ต้อง! นง...ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อวันก่อนเรายังคุยกันเรื่องแหวนหมั้นอยู่เลย”

นงรามท่าทีไม่แคร์และไม่ตอบ เดินเข้าไปข้างในหน้าตาเฉย สุนทรีสะใจเป็นบ้าตะคอกใส่วิศิษฏ์ด้วยถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม

“กลับไป! อย่าให้ฉันต้องทำอะไรรุนแรงจนคุณหมดอนาคต แล้วก็เจียมตัวไว้ด้วย ถ้าอยากให้ยัยนงรักคุณ คุณก็กลับไปสร้างฐานะให้มันทัดเทียมคุณบรรจบ แต่ฉันว่าตายแล้วเกิดอีกสิบชาติก็ไม่มีทางทำได้”

วิศิษฏ์ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจเดินกลับออกไป ส่วนนงรามที่เข้ามาในห้องเริ่มน้ำตาคลอเสียใจแต่ทำอะไรไม่ถูกรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง องุ่นกับสุนทรีตามเข้ามาประกบซ้ายขวา

“ลูกแม่ตัดสินใจถูกแล้วจ้ะ ไม่ต้องเสียใจอะไรนะจ๊ะ แม่เชื่อว่าพี่บรรจบเหมาะสมกับลูกสาวของแม่มากที่สุด ว่าแต่นงของแม่ทำไมถึงตกหลุมรักพี่บรรจบเข้าอย่างจังแบบนี้ล่ะ แม่เห็นวันก่อนนงยังไม่อยากเจอพี่เขาเลย”

“นงตอบไม่ได้หรอกค่ะ จู่ๆนงก็รักพี่บรรจบอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อนเลยค่ะคุณแม่”

สุนทรียิ้มหวาน ขณะที่องุ่นกังขาในคำตอบของนงราม กลับออกมาพูดกับสุนทรีด้วยท่าทีเกรงๆ

“คุณผู้หญิงคะ ท่าทางคุณหนูเหมือนคนถูกของหรือไม่ก็มนต์เสน่ห์อะไรสักอย่างค่ะ”

“เหลวไหล เขาน่ะเรียนสูงแค่ไหน เขาไม่งมงายอย่างที่แกคิดหรอกย่ะ” สุนทรีตวัดเสียงใส่แล้วเดินเชิดหน้าจากไป ทิ้งให้องุ่นยืนหน้าจ๋อยแต่ยังไม่วายสงสัยในความเปลี่ยนไปของนงราม

ooooooo

วิศิษฏ์เสียใจและผิดหวังในตัวนงรามจึงไปดื่มเหล้ากับแสวงในสภาพเหมือนคนอกหัก แต่อยู่ได้ไม่นานพิศก็มาตามเขากลับบ้าน บอกว่าเฟื่องขจรมีอันตราย

ผีสองผัวเมียพร้อมด้วยบริวารอีกสี่ตนตามเฟื่องขจรมาถึงบ้าน อาละวาดจะเข้าไปทำร้ายเพราะโกรธที่เธอเอาน้ำมนต์มาพรมทั่วบ้านร้าง ผีลิ้นจี่พยายามขัดขวางแต่ไม่สำเร็จ แก๊งผีเจ้ากรรมนายเวรหลุดเข้าไปบีบคอเฟื่องขจรดิ้นทุรนทุรายแต่ไม่ปรากฏตัวให้ชื่นจิตกับเด็กสองคนเห็น ทุกคนจึงเห็นแต่เฟื่องขจรบีบคอตัวเองอยู่ไปมาอย่างน่ากลัว

แม้ไม่เห็นสิ่งลี้ลับแต่ชื่นจิตก็ฟันธงว่าต้องเป็นผี จึงโทร.ตามวิภาดาให้รีบมา บอกว่าคุณนายโดนผีเข้า ...เวลานั้นวิศิษฏ์จอดรถหน้าบ้านพอดี พิศช่วยลิ้นจี่ต่อสู้กับบริวารของผีสองผัวเมีย สั่งห้ามไม่ให้พวกมันยุ่งกับบริวารของเธอ ส่วนวิศิษฏ์ให้รีบเข้าไปช่วยแม่ที่กำลังถูกผีชุบกับอวบบีบคออยู่ในบ้าน

“แล้วทำไมคุณพิศไม่ช่วยแม่ผม”

“นี่เป็นเรื่องของกรรมเก่าของแม่คุณเด๋อ ฉันยุ่งไม่ได้ แต่คุณเป็นลูก สายเลือดที่ผูกพันกันมาจะช่วยได้ ...ไปสิ ฉันจะช่วยอยู่ห่างๆ แต่ขวางกรรมของพวกเขาที่ผูกกันมาไม่ได้”

“แล้วผมจะช่วยได้ยังไง ผีนะครับ ไม่ได้เป็นคนเหมือนผม”

“คุณเด๋อใช้บุญที่มีอยู่ช่วยได้เจ้าค่ะ รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”

วิศิษฏ์รีบวิ่งไป หลานๆดีใจร้องเรียกคุณอาเป็นเสียงเดียว บอกว่าคุณย่าเป็นอะไรไม่รู้จะบีบคอตัวเอง น่ากลัวจังเลยอา...วิศิษฏ์เขย่าตัวเฟื่องขจรให้รู้สติ และขอบุญกุศลที่ตนเคยสร้างไว้ช่วยปกป้องท่านด้วย พลันประกายแสงสีทองปรากฏขึ้นรอบตัวเฟื่องขจร ผีสองผัวเมียวูบหายไปทันที พิศปรากฏร่างมุมหนึ่งด้วยรอยยิ้มบางๆ

เฟื่องขจรสงบนิ่งแต่ยังตาลอย ติ๋วกับโต้งชื่นชมคุณอาเก่งที่สุด วิศิษฏ์หันไปบอกชื่นจิตให้มานอนเป็นเพื่อนแม่ของตน ชื่นจิตทำท่าผวาถามว่าจะดีหรือ ตนนอนกรน แต่โต้งแทรกขึ้นอย่างรู้ทันว่า

“กลัวล่ะสิ เดี๋ยวโต้งกับพี่ติ๋วมานอนเป็นเพื่อนก็ได้”

หลังจากตกลงกันได้แล้ววิศิษฏ์กลับมาที่ห้องของตน พิศตามมาย้ำให้เขาเอาแหวนนาคราชจากแม่คืนมา

“อยู่กับแม่ผม คุณพิศจะได้ช่วยท่านได้ไงครับ”

“ไม่ได้เจ้าค่ะ แหวนนั้นต้องอยู่กับคุณเด๋อ ฉันจะช่วยได้ก็ต่อเมื่อคุณเด๋อขอร้องเท่านั้น เพราะฉันกับท่านไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาในชาติใดชาติหนึ่ง”

“เงื่อนไขเยอะจัง ผมอยากรู้ว่าผีพวกนั้นเป็นใครกัน แล้วมันเจาะจงมาเอาชีวิตแม่ผมทำไม”

“พวกเขาเคยเป็นบริวารของแม่คุณเด๋อในชาติหนึ่ง ผูกใจเจ็บที่แม่คุณเด๋อใช้งานและทารุณพวกเขา บ้านร้างหลังนั้นสร้างขึ้นบนที่ดินที่เคยเป็นเรือนเก่าที่ทุกคนเคยใช้ชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ยอมไปผุดไปเกิดเพราะแรงแค้นฝังอยู่ในดวงจิตเจ้าค่ะ”

“ถึงว่า...ทำไมแม่ผมถึงได้ผูกพันกับบ้านหลังนั้นมากนัก ผมพอจะเข้าใจแล้ว”

“แม่คุณจะยังมีอาการอ่อนเพลียไปอย่างนี้อีกหลายวัน แต่ก็ยังต้องระวัง พวกมันไม่ยอมเลิกจองเวรง่ายๆดอกเจ้าค่ะ ฉันไปก่อนนะเจ้าคะ”

“เดี๋ยวสิ ผมอยากรู้เรื่องคุณนงราม”

“ทุกอย่างเป็นผลจากกรรมที่เธอเคยทำไว้เจ้าค่ะ ฉันตอบคุณเด๋อได้เท่านี้”

พิศเลือนหายไป วิศิษฏ์ส่ายหัวบ่นอุบ “อะไรก็กรรม...ที่ผมต้องมาเจอคุณพิศก็กรรมด้วยใช่ไหม โธ่เอ๊ย ...ไม่ช่วยแล้วยังใจร้ายรีบหนีไปอีก”

ooooooo

เช้าขึ้น วิภาดามารับเด็กๆไปส่งโรงเรียนแล้วบอกชื่นจิตไว้ว่าตอนบ่ายจะมาเยี่ยมเฟื่องขจร วิศิษฏ์รับทราบจากชื่นจิตก่อนจะกลับขึ้นไปดูอาการมารดา เห็นท่านหลับสนิทหายใจฟืดฟาดเหมือนคนป่วยหนัก

เขาหยิบแหวนนาคราชออกมาแล้วบอกพิศว่าฝากแม่ของตนด้วย พลันพิศวูบขึ้นตรงหน้ามีข่าวใหม่ มารายงาน

“คุณเด๋อ...วันนี้พี่สาวคุณจะพาหมอผีมาไล่...เขาอาจจะช่วยได้หรือเปล่าฉันตอบไม่ได้ เพราะแรงอาฆาตของผีพวกนี้แรงนัก”

“อ้าว...แล้วจะทำยังไงล่ะครับคุณพิศ”

“ฉันอาจอยู่ไม่ได้ ถ้าหมอผีเกิดอ่านโองการท้าวมหา-พรหมขึ้นมา”

“ไหนว่าเป็นนางฟ้าไง ทำไมกลัวโองการด้วย ถ้าเป็นผีก็ว่าไปอย่างหนึ่ง”

“บทสวดจะกล่าวรวมๆ บางทีลิ้นจี่ก็อยู่บ้านนี้ไม่ได้ ฉันเองก็จะเข้าบ้านนี้ลำบาก โองการบทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่แผ่นผ้ายันต์เจ้าค่ะ เป็นแผ่นผ้ายันต์ที่กันทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหมอผีพูดรวมๆก็อาจทำให้ฉันมาหาคุณเด๋อไม่ได้”

วิศิษฏ์อึ้งไป มองหน้าพิศเหมือนอาลัยอาวรณ์...พิศยอมให้เขาจับมือ ทั้งสองสบตากัน พริบตาเดียวพิศน้ำตาไหลพราก รำพันเสียงเศร้าว่า “ฉันใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะตามหาคุณเด๋อพบ ฉันไม่อยากจากไป...”

“คุณพิศ...” วิศิษฏ์รวบตัวพิศมากอดและให้สัญญาว่า “ผมจะทำทุกอย่างไม่ให้หมอผีอ่านโองการท้าวมหาพรหมได้”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณ...วันนี้ฉันขอไม่อยู่กับแม่คุณนะเจ้าคะ”

“แล้วคุณพิศจะไปไหน”

“ฉันมีภาระต้องทำ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก...รับปากฉันแล้วนะเจ้าคะ” พิศถอยออกจากอ้อมกอดของเขา ร่างค่อยๆเลือนหายไป...

ooooooo

วิภาดาอยู่ที่บ้านอาจารย์หวัง...สองคนกำลังเตรียมตัวไปปราบผี แต่อาจารย์อยากรู้ว่าจะไปที่ไหนก่อนระหว่างบ้านเฟื่องขจรหรือบ้านร้าง

“ไอ้ผีที่บ้านร้างนั่นแหละที่มันเล่นงานแม่คุณนาย มันแค้นที่แม่คุณนายเอาน้ำมนต์ไปพรมบ้าน”

“อะไรนะ! คุณแม่น่ะเหรอคะ”

“เออ...ข้าเห็นในสมาธิเป็นอย่างนั้น”

“ฮึ! ถ้ามันมาจากที่บ้านร้างนั่น เราก็ไปที่บ้านร้างก่อนสิคะ แล้วค่อยไปดูอาการคุณแม่”

“ได้ ว่าแต่คุณนายไม่กลัวนะ”

“อุ๊ย มีอาจารย์หวังอยู่ทั้งคน วิไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”

อาจารย์หวังหัวเราะ หันไปบอกลูกศิษย์ชื่อทินให้อยู่ปั้นลูกอมไว้เยอะๆ เย็นๆตนจะกลับมา...

ด้านวิศิษฏ์เข้าทำงานได้ไม่นานก็เห็นพิศปรากฏตัวนั่งไขว่ห้างเห็นขาขาวเนียนผุดผ่อง แถมเธอยังยิ้มยั่ว ส่งสายตาให้เขาซะหยาดเยิ้ม

“แบบนี้ผมไม่มีสมาธิทำงานแน่”

ระรินเข้าใจว่าเขาชมเธอ ยิ้มเอียงอาย เอ่ยอย่างดีใจว่า “แค่รินใส่ชุดใหม่ก็ทำให้หัวหน้าหวั่นไหวถึงเพียงนี้เชียวเหรอคะ งั้นต่อไปนี้รินจะใส่ชุดใหม่ทุกวันเลย”

“จนตาย...” แสวงเสริมขึ้นหน้าตาเฉย เลยโดนเธอหันมาตาเขียวใส่ก่อนหันกลับไปเจ๊าะแจ๊ะกับวิศิษฏ์ต่อ

“เพื่อความสดชื่นของหัวหน้า รินยอมจน”

วิศิษฏ์ยิ้มแหยๆ แอบชำเลืองมองพิศที่สะบัดหน้างอนๆ เขาบอกระรินให้เก็บเงินไว้ซื้อขนมกินดีกว่า เพราะเธอใส่ชุดไหนก็สวย

ระรินยิ้มปลื้ม ถามหัวหน้าว่าเช้านี้จะรับกาแฟหรือเปล่า เมื่อวิศิษฏ์ตอบรับเธอจึงกุลีกุจอออกไปจัดการ

ภาณุขะมักเขม้นทำงาน นึกได้บอกวิศิษฏ์ว่าพวกเราหาคนออกแบบเครื่องประดับงานแสงสีเสียงที่จะโปรโมตซากโบราณสถานได้แล้ว

เมื่อทราบจากภาณุว่าคนออกแบบเครื่องประดับคือแพรวพรรณ วิศิษฏ์พอใจเพราะเธอทำงานด้านนี้อยู่แล้ว น่าจะมีไอเดียดีๆ จึงกำชับเพื่อนรีบส่งโครงการให้เธอ

พิศอยู่ในห้องอย่างไม่มีตัวตนแต่ฟังอยู่ด้วยตลอด เธอพอใจที่วิศิษฏ์จะมีโอกาสพบเจอกับแพรวพรรณ แต่กับระรินที่คอยจะอ่อยเขาอยู่เรื่อย พิศไม่ปล่อยให้ลอยนวลง่ายๆ แกล้งชนเธอขณะนำกาแฟเข้ามาให้วิศิษฏ์จนหกรดตัวเองวิ่งแจ้นร้องลั่นออกไปทางห้องน้ำ

ภาณุรู้สึกเหมือนมีคนวิ่งชนระริน แสวงหาว่าเขาเพี้ยน สองคนเถียงกันใหญ่แต่วิศิษฏ์ซึ่งทราบดีว่าเป็นฝีมือพิศไม่พูดอะไร เดินออกไปเรียกหาเธอ ทวงสัญญาที่ว่าจะไม่ทำให้เกิดเรื่องยุ่งขึ้นในออฟฟิศของตน แต่ไร้เสียงตอบรับหรือการปรากฏตัว ทำให้ชายหนุ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า?

พิศไปปรากฏตัวที่บ้านแพรวพรรณ กำชับกุมารทองให้คอยดูแลเธอ หากมีใครรุกรานแล้วสู้ไม่ได้ให้เรียกหาตนโดยเร็ว...

เวลาเดียวกันนั้น สัตตะปรากฏตัวในห้องนอนบรรจบด้วยการถอดจิตมา เขาอยากรู้ว่าแพรวพรรณโดนสีผึ้งมหาเสน่ห์ของตนแล้วเป็นยังไงบ้าง

เพียงได้ฟังว่าบรรจบเอาไปลองใช้กับนงรามแล้วสำเร็จ สัตตะโกรธมากบีบคอเขาพร้อมกับตะคอกใส่ว่าของของตนทำขึ้นเฉพาะคน แล้วทำไมไม่ใช้ รู้ไหมว่ากว่าจะได้สีผึ้งนี้มาตนอยู่ในป่าช้ากี่วันกี่คืน

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจาะจงใช้กับคุณแพรว เอาเถอะ ผมจะลองใช้กับเธอดู...ปล่อยผมได้แล้ว”

“อย่าทำข้าผิดหวัง! เร็วด้วย...อย่าลืมว่าชีวิตพ่อเจ้าและธุรกิจของเจ้าอยู่ในกำมือข้า”

สัตตะข่มขู่ทิ้งท้ายแล้ววูบหายไป บรรจบจับคอตัวเองป้อยๆ แววตาไม่พอใจหมอผีรายนี้เอามากๆ

ด้านอาจารย์หวังกับวิภาดาที่พากันไปปราบผีที่บ้านร้าง อาจารย์ใช้การปลุกเสกลูกอมโดยบรรจุวิญญาณผีร้ายลงไปเพื่อให้พวกมันต่อสู้กับผีกลุ่มของชุบและอวบ

ในขณะที่ผีสองฝ่ายต่อสู้กันนั้น เป็นเวลาที่บรรจบเดินหน้าไปหาแพรวพรรณที่บ้านตามความต้องการของสัตตะ งามเนตรต้อนรับขับสู้อย่างดีเพราะอยากได้เขาเป็นลูกเขยใจจะขาด ตรงข้ามกับสุรเดช ไม่พอใจที่ภรรยาเปิดไฟเขียวให้ชายหนุ่มขึ้นไปหาลูกสาวได้ถึงในห้องส่วนตัว

บรรจบจะใช้สีผึ้งกับแพรวพรรณแต่ไม่ทันเจอตัวก็โดนกุมารทองทำให้ตกบันไดกลิ้งลงมาขาหักต้องพาส่งโรงพยาบาล แพรวพรรณตกใจรีบโทร.ตามเรืองรุ้ง ส่วนกุมารทองหมดพลังมาบอกลาแพรวพรรณแล้วหายตัวไป

พิศได้ตลับสีผึ้งที่สัตตะทำหล่นไว้ที่บ้านแพรวพรรณ เธอนำมันไปโยนทิ้งในทุ่งกว้าง สัตตะถึงกระอักเลือดและปรากฏตัวเผชิญหน้าเธอด้วยความโกรธแค้นที่ของของตนถูกทำลาย

“ถึงเจ้าจะมีบารมีเหนือกว่าผีทั้งปวง แต่ก็เป็นแค่โอปปาติกะ จะเก่งกล้าเกินมนุษย์ที่มีคาถาอาคมอย่างเรา ไม่ได้หรอก”

“มีวิชาอาคมก็ไม่ควรเอามาใช้ทำร้ายคนอื่น รู้ไหมว่ามันบาป”

“อย่ายุ่งเรื่องของเรา...ไม่งั้นเจอดีแน่”

พิศหัวเราะก้อง ลมพายุพัดหมุนวนผิดปกติ เส้นผมของเธอที่ยาวสยายปลิวตามแรงลมดูน่ากลัว

“ท้าทายเราใช่มั้ย...ดี! ข้าจะจับทำเมียซะ” สัตตะพนมมือร่ายเวท ไม่กี่อึดใจพื้นดินเริ่มขยับเคลื่อนไหว ผีหลายตนทุกเพศทุกวัยโผล่จากรอยแยกของดิน เดินดาหน้าเข้าหาพิศตามคำสั่งสัตตะ

“ถ้าแน่จริงก็ตามมา” ขาดคำ พิศวูบไปทางหนึ่งพร้อมๆกับเสียงหัวเราะดังกังวาน

“ตามไป...ใครจับมันได้ ข้าจะปล่อยให้เป็นอิสระ” สัตตะตะเบ็งเสียงแล้วนำขบวนผีทั้งหลายหายวับตามพิศไปในทุ่งวิญญาณที่มืดทะมึนน่ากลัว

ณ บริเวณนั้น เสียงแส้หวดกระหน่ำผ่านสายลมดังผสานเสียงโซ่เหล็ก ผีทุกตนของสัตตะชะงัก ท่าทางไม่กล้าแหยมกับยมทูตทั้งสี่ที่ควบคุมวิญญาณและเฆี่ยนตีทารุณพวกมันอย่างไม่ปรานี

“กลัวอะไรวะ อยู่กับข้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” สัตตะแผดเสียง

“แม้แต่ท่านยมทูตรึ ผีพวกนี้เจ้าสะกดไว้ไม่ยอมให้ไปรับโทษทัณฑ์ในนรกภูมิ หมดบุญวาสนาแล้ว เจ้าจะต้องเสวยกรรมหนัก”

สิ้นเสียงพิศ ผีทุกตนของสัตตะถูกยมทูตดูดพลังร้องโหยหวนก่อนเลือนหายไปสู่นรกภูมิ

“สักวันเจ้าก็ต้องรับกรรมเยี่ยงนั้น ทุ่งวิญญาณแห่งนี้จะกลายเป็นที่ที่เจ้าต้องเดินผ่านไปสู่นรกภูมิ”

พิศประกาศกร้าวแล้วหายวูบ สัตตะหน้าเครียดแหงนดูฟ้าทะมึน เมฆดำลอยต่ำผ่านศีรษะเขาไป...

สัตตะกลับสู่กายหยาบของตนที่สำนักในสภาพกระอักเลือด ดิ้นทุรนทุรายเจ็บใจและเจ็บปวด ส่งเสียงคำรามด้วยความแค้นว่าคนอย่างตนไม่เคยแพ้ใคร ไม่มีวันที่ตนจะยอมไปนรกภูมิ!

ooooooo

ที่โรงพยาบาล งามเนตรกับสุรเดชนั่งทุ่มเถียงกันเรื่องบรรจบตกบันได แพรวพรรณฟังแล้วเบื่อหน่ายมารดาเหลือเกิน บอกตรงๆว่าตนไม่เคยเห็นดีเห็นงามกับแม่ที่พยายามยัดเยียดตนให้ใคร เพราะตนมีคนรักอยู่แล้ว

งามเนตรอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ก็พอดีเรืองรุ้งเข้ามาพร้อมภาณุ สุรเดชเดาว่าอาจเป็นผู้ชายคนนี้ที่ลูกสาวเอ่ยถึง หน้าตาท่าทางดูดี แต่งามเนตรค้านทันทีว่าดูยังไงก็ยากจน

บรรจบขาหักต้องใส่เฝือกและต้องนอนโรงพยาบาล งามเนตรจะให้แพรวพรรณอยู่เฝ้าแต่พอดีบุรีมาถึง บุรีไม่รบกวนคนอื่นแต่จะให้ลูกน้องของตนมานอนเฝ้าบรรจบเอง แล้วพรุ่งนี้แพรวพรรณค่อยมาเยี่ยมจะดีกว่า

หลังจากตกลงกันได้แล้ว พวกงามเนตรพากันกลับไป บุรีถามลูกชายว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงตกบันได มันไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ บรรจบคิดเช่นเดียวกัน มีอาการหวาดกลัวจะให้พ่ออยู่เป็นเพื่อน พลันสัตตะปรากฏตัวสภาพเลือดกบปาก เล่าให้สองพ่อลูกฟังว่าตนเจอดี โดนคนที่มีบารมีสูงกว่าทำร้าย

“แล้วอาจารย์จะทำยังไงครับเนี่ย หาหมอมั้ย” บุรีแสดงความห่วงใย

“ไม่...ข้าใช้อาคมรักษาตัวเองได้ แต่ข้าจะมาลาไปปฏิบัติในป่าสักระยะ ช่วงที่ข้าไม่อยู่ให้ระวังตัวให้ดี อย่าทำอะไรที่มันประมาท...บรรจบ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเพราะผีที่ดูแลผู้หญิงคนนั้นอยู่ วันหน้าเมื่อข้ากลับมาเจ้าจะต้องร่วมมือกับข้ากำจัดมัน”

“ผมทำได้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวแพรวต้องไม่มีอันตราย”

“นี่แกเป็นเอามากเลยนะ แพรวพรรณก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น”

“ไม่ใช่ครับพ่อ เธอเป็นคนที่ผมรัก”

สัตตะได้ฟังก็ชักสีหน้าไม่พอใจบรรจบ เพราะอยากได้แพรวพรรณเป็นเมียตั้งแต่แรกเห็น ตัดบทเสียงขุ่นว่า

“ให้ข้ารักษาตัวให้หายก่อน ข้าจะมาช่วย...ลาก่อน”

ooooooo

วิภาดาพาอาจารย์หวังมาดูอาการเฟื่องขจรที่ยังเหม่อลอยคล้ายคนป่วยหนัก อาจารย์เห็นรัศมีของพิศที่อยู่รอบกายวิศิษฏ์ จึงขู่จะอ่านโองการท้าวมหาพรหมแล้วพิศจะอยู่อีกไม่ได้ วิภาดาเชื่อมากๆ กล่อมน้องชายให้ยอมทำตาม แล้วพรุ่งนี้อาจารย์จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

วิศิษฏ์ร้อนใจมาก ไม่ต้องการให้พิศจากไป เพราะนับวันเขาผูกพันกับเธอมากขึ้น เขาเรียกหาเธอแต่ได้พูดคุยกันครู่เดียว เพราะพิศต้องไปขัดขวางหลวงพ่อที่ภาณุเป็นลูกศิษย์แล้วพาเรืองรุ้งกับแพรวพรรณมาขอเครื่องรางของขลังไว้ป้องกันตัว แต่หลวงพ่อซึ่งเห็นพิศในชุดไทยบอกปัดว่า

“ไม่ต้องหรอก โยมมีคนที่คอยปกป้องดูแลอยู่แล้ว ต่อให้มีอันตรายอย่างถึงที่สุด เขาก็จะยังคงปกป้องโยม”

“หนูไม่เห็นรู้เรื่องเลยค่ะ”

“รุ้งพอเข้าใจนะแพรว แต่รุ้งไม่มีบารมีพอจะเห็นเขา...เขามาดีใช่ไหมคะหลวงพ่อ”

“ไม่ใช่หน้าที่ของท่านนะเจ้าคะ อย่าเปิดเผยความลับสวรรค์ ท่านจะถูกตำหนิจากผู้มีอภิญญา” พิศสำทับหลวงพ่อแล้วหายวูบไป

“โยมกลับไปเถอะ เขาไม่อนุญาตให้อาตมาบอกโยม”

“อ้าว...หลวงพ่อ ทำไมจบข่าวกันดื้อๆแบบนี้ล่ะครับ”

“อย่าเซ้าซี้ท่านเลยค่ะคุณณุ รุ้งเข้าใจว่ายังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเปิดเผย”

ภาณุท่าทางเซ็งๆ ยอมจำนนต่อเหตุผลของเรืองรุ้ง ในขณะที่แพรวพรรณมีสีหน้าวิตกกังวล นับวันจะมีแต่เรื่องแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเอง

-------------
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น