วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 2


แพรวพรรณหลงรักวิศิษฏ์ตั้งแต่แรกเห็นและอยากเจอเขามากๆ วันนี้เธอพบประวัติของเขาโดยบังเอิญ ขณะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานในคอมพิวเตอร์

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าแพรวจะเจอประวัติคุณ หรือเป็นเพราะว่า...” เธอไม่กล้าพูดต่อ แต่นึกถึงที่เรืองรุ้งพูดเรื่องบุพเพสันนิวาส

แพรวพรรณยิ้มบางๆ มองดูภาพโบราณสถานอย่างสนใจ แต่ทันใดรู้สึกดวงตาพร่ามัวเหมือนตนเองกำลังจะเป็นลม ที่สุดเธอฟุบลงกับโต๊ะทำงาน สาวใช้เอาน้ำหวานมาให้เห็นเข้าตกใจ ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวแต่เธอไม่รู้สึก

แพรวพรรณหรือแพรว น้องสาวในอดีตชาติของพิศ เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเลือดทะลักออกปาก ณ บริเวณโบราณสถานที่เธอจะเดินผ่าน ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวมาก... พอเธอลืมตาขึ้นมาเห็นสาวใช้และมารดาก็ยังมีอาการหวาดผวาอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอไม่ยอมเล่าอะไรออกมา

ตกกลางคืน วิศิษฏ์ ภาณุ และแสวงไปเที่ยวผับ หนุ่มๆคุยกันเรื่องแหวนหัวพญานาค อยากรู้ตั้งแต่วิศิษฏ์ได้มามีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับเขาบ้างหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันเกิดขึ้นกับนงรามจนโกลาหลไปหมด

วิศิษฏ์ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร ติงเพื่อนๆอย่าคิดเรื่องไร้สาระ แหวนก็คือแหวน ไม่เห็นจะมีค่าหรือแปลกพิสดารตรงไหน

“แน่เหรอ มีอะไรก็เล่าให้ฟังบ้างก็ได้ ตื่นเต้นดีออก”

“ไม่มี...ก็ไม่มีสิวะ”

วิศิษฏ์เริ่มรำคาญเพื่อนๆ พลันก็ชะงักเพ่งมองพิศที่ปรากฏตัวในชุดเด็กสาวนักเที่ยวเต้นอยู่ข้างโต๊ะ เขาไม่พอใจการแต่งตัวและลีลาของเธอ ลุกพรวดจากเก้าอี้บอกเพื่อนว่าขอกลับก่อนดีกว่า

“อะไรวะ เอ็งโกรธข้าเหรอวะศิษฏ์”

วิศิษฏ์ไม่สนใจคำถามของเพื่อน เดินตัวปลิวออกไปทันที ทิ้งให้สองหนุ่มมองหน้ากันงงๆ ทำไมมันกลับแต่หัวค่ำ ทั้งที่ปกติถ้าผับไม่เลิก มันไม่กลับ...

วิศิษฏ์ขับรถออกจากผับด้วยสีหน้าบึ้งตึง พอพิศปรากฏร่างที่เบาะหลัง เขาก็เบรกพรืดเสียงดัง พิศไม่ทันระวังเลยล้มลงกระแทกเบาะ

“ขับรถให้มันดีๆหน่อยสิ”

วิศิษฏ์หันมาเสียงดังใส่อย่างหงุดหงิด “งามนักใช่มั้ย...เต้นโชว์หุ่นยังกะ...”

“ยังกะอะไร พูดมาสิคุณเด๋อ”

“ช่างมันเถอะ แต่ผมไม่ชอบ...รู้ไว้แค่นี้ก็พอ”

พิศหัวเราะเสียงใส ยิ่งทำให้วิศิษฏ์ไม่สบอารมณ์ ถามเธอว่าหัวเราะอะไร

“ทีเรื่องที่ฉันไม่ชอบ ฉันบอกคุณ คุณยังไม่ทำให้ฉันเลย”

“อะไร” เขาถามเสียงแข็ง...พิศน้อยใจหายตัวไปทันที “อย่าหนีสิ มีอะไรก็พูดมา...ผมไม่ชอบ”

เสียงชายหนุ่มตะโกนลั่น พิศไม่ปรากฏตัว มีแต่เสียงบ่นดังแว่ว

“เจ้าอารมณ์ไม่เปลี่ยนเลยนะคุณเด๋อ”

ooooooo

กลับถึงบ้าน วิศิษฏ์เดินผ่านมารดาและหลานไปโดยไม่สนใจจะทักทายเหมือนทุกวัน สร้างความงุนงงสงสัยให้ทุกคน รวมถึงชื่นจิตสาวใช้ที่ระแวงแต่เรื่องผี เธอเดาว่าอาการเดินตัวแข็งของวิศิษฏ์เหมือนผีเข้า

“พูดให้ดีนะนังชื่น ทำไมถึงพูดอย่างนั้น อย่ามาว่าลูกชายฉันนะ ยังไงฉันก็ต้องเข้าข้างลูกชายฉัน”

เฟื่องขจรใส่เป็นชุด ขณะที่ติ๋วกับโต้งให้ความสนใจคำพูดของชื่นจิตถึงขนาดชวนกันไปดูให้เห็นกับตาว่าคุณอาโดนผีเข้าจริงหรือเปล่า

“นี่ๆ ไม่ต้องเลย อาแกเขาอาจจะมีปัญหาที่ทำงานก็ได้ เดี๋ยวเขาก็มาปรึกษาย่าเองแหละ”

เด็กสองคนหยุดกึก ส่วนเฟื่องขจรที่พูดไปแล้วก็มองขึ้นไปบนห้องลูกชายด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ภายในห้อง วิศิษฏ์ปิดล็อกแน่นหนาก่อนร้องเรียกพิศออกมาพูดกันให้รู้เรื่อง พิศปรากฏตัวในชุดที่เพิ่งใส่ไปผับ เขาตวัดตามองไม่พอใจ

“ดูแต่งตัวเข้า...มันต่างจากที่แต่งตัววันแรกนัก”

“ฉันอยากแต่ง มนุษย์ยังแต่งได้เลย ทำไมผีอย่างฉันจะแต่งไม่ได้ แต่งแล้วสวยกว่าด้วย จริงมั้ย”

“อ้อ อยากยั่ว...ใจดี กลัวคนไม่เห็นเนื้อหนังมังสา”

“ตราบใดที่คุณผิดสัญญา ฉันก็จะทำให้คุณไม่พอใจแบบนี้”

“สัญญาอะไร”

พิศชี้ไปที่รูปนงรามแทนคำตอบ วิศิษฏ์ย้ำหนักแน่นทันทีว่านงรามเป็นแฟนตน ตนไม่มีวันเอารูปนี้ออกไป

“เขาไม่ใช่แฟนคุณ จะให้ฉันพูดอีกกี่หนนะ”

“ยังไงผมก็ไม่เอารูปนี้ออกไป” เขายืนยันเสียงเข้ม พิศน้อยใจบันดาลให้รูปนงรามคว่ำตกลงมากระจกแตกกระจาย

“ออกไปเลยนะ อยู่ในแหวนนี้ใช่มั้ย” วิศิษฏ์ตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด คว้าแหวนขว้างออกไปนอกหน้าต่าง

ฉับพลันฟ้าแลบแปลบปลาบ ร้องครืนๆเหมือนฝนจะตก พิศยืนอยู่หน้าบ้านจ้องมองมาที่หน้าต่างห้องวิศิษฏ์ แหวนนาคราชอยู่ในมือเธอ

ผีลิ้นจี่ปรากฏตัวยืนข้างๆ วิเคราะห์เหมือนรู้สถานการณ์ “ท่าทางนายจะรักคุณพิศนะเจ้าคะ”

“เธอไม่มีสิทธิ์วุ่นวายกับเรื่องของฉัน”

“อุ๊ย ขอโทษเจ้าค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากยุ่งหรอก แต่ถ้าคุณพิศกับนายไม่เข้าใจกัน ภารกิจของคุณพิศอาจจะไม่สำเร็จ”

“เธอนี่สู่รู้จริงๆ”

“อุตส่าห์ตามหากันเป็นร้อยๆปี พอเจอหน้าก็เอาแต่ทะเลาะกัน ให้ลิ้นจี่ช่วยมั้ยเจ้าคะ”

“ไม่ต้อง!” พิศตวาดแล้วยืนกอดอกหน้าบูดบึ้ง ลิ้นจี่มองนายสาวยิ้มๆอย่างรู้ใจ

ด้านวิศิษฏ์ที่ขว้างแหวนทิ้งไปเกิดรู้สึกผิด ยอมเก็บรูปนงรามใส่ตู้ พอเดินกลับมานั่งที่เตียงก็เห็นแหวนนาคราชวางแทน เขาดีใจมาก เหลียวมองรอบห้องพลางร้องเรียกแม่พิศ กลับมาแล้วใช่ไหม

ไม่มีเสียงตอบใดๆ ชายหนุ่มเรียกอีกหลายครั้ง “แม่พิศ...แม่พิศ...แม่พิศจ๊ะ...ผมขอโทษ”

พิศไม่ปรากฏตัว แต่พอวิศิษฏ์นอนกระสับกระส่ายบนเตียง ภาพความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาในอดีตผุดพรายขึ้นมาในห้วงคิดของเขา

“เจ้าคุณพี่...ฉันตามหาเจ้าคุณพี่ด้วยความรักและความคิดถึง สักวันหนึ่งเจ้าคุณพี่จะรู้ว่าฉันรักเจ้าคุณพี่มากเพียงใด” พิศในชุดไทยรำพันน้ำตาเคลือบคลอ รักใคร่ผูกพันกับเขาเหลือเกิน

ผ่านไปพักใหญ่ วิศิษฏ์ลืมตาลุกขึ้นนั่งมองหาพิศ รู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป

“เธอกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วเหรอนี่ แม้กระทั่งในความฝัน...แหวน” เขาลุกพรวดมาที่ตู้ เห็นแหวนยังอยู่ค่อยโล่งใจ...

ooooooo

ชื่นจิตหิวท้องร้องตอนเช้ามืดจนต้องแอบเข้ามาหาของกินที่เฟื่องขจรเตรียมไว้ใส่บาตร ผีลิ้นจี่รับปากพิศไว้ว่าจะดูแลบ้านและคนในบ้านอย่างดี เกิดเรื่องแบบนี้เธอยอมไม่ได้ ก็เลยปรากฏตัวในสภาพน่าเกลียดน่ากลัวให้ชื่นจิตเห็นเต็มตา

“กรี๊ด!!!!!!...” เสียงกรีดร้องของชื่นจิตปลุกคนในบ้านตื่นกันหมด

หลังจากสอบถามก็ได้ความว่าชื่นจิตถูกผีหลอก เธอยืนยันเสียงแข็งว่าเป็นเรื่องจริง ให้ไปสาบานที่ไหน ก็ได้ ติ๋วกับโต้งฟังแล้วผวา มองดูชื่นจิตนอนดมยาและสะอื้นด้วยความกลัว

“แกไม่ได้โกหกเพราะอยากอู้งานนะนังชื่น”

“เอาชื่นไปสาบานเจ็ดวัดเจ็ดวาก็ได้ เจ็ดร้อยวัดก็ยอม ฮือๆๆ ชื่นเห็นจริงๆค่ะคุณนาย”

วิศิษฏ์เพิ่งลงมา ฟังหลานๆเล่าแล้วเปรยว่าเหลวไหล แต่อดถามชื่นจิตไม่ได้ว่าผีหน้าตาเป็นยังไง

“แต่งชุดไทย ห่มสไบค่ะคุณศิษฏ์”

ชายหนุ่มชะงัก คิดว่าเป็นพิศแน่นอนจึงเดินกลับขึ้นห้องไปทันที ไม่ทำอาหารเช้าให้หลานแทนชื่นจิตที่ยังนอนป้อแป้

“อ้าว...ตาศิษฏ์ ไหนบอกว่าจะหาอะไรให้หลานกินไง”

“ติ๋วกับโต้งทำเองได้ค่ะคุณย่า”

“เหรอ...งั้นก็ไปทำ เฮ้อ อยู่บ้านนี้มาจนหัวหงอกไม่เคยเจอผี แกทำไมถึงซวยดันเห็นผีได้ฮึนังชื่น”

ชื่นจิตเอาแต่ส่ายหน้าดิก ความกลัวยังเกาะกุม ส่วนเด็กทั้งสองเลี่ยงไปทางห้องครัว จัดแจงเวฟอาหาร แต่เกือบทำไฟไหม้เพราะตั้งเวลานานเกินไป โชคดีที่พิศมาจัดการได้ทันท่วงที

ติ๋วกับโต้งเห็นเธอด้วย ขยี้ตากันใหญ่ แต่แล้วเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อเด็กๆมาเล่าให้ทุกคนฟัง ยืนยันว่าเห็นผีสวยห่มสไบใจดี ไม่เห็นน่ากลัวอย่างที่ชื่นจิตบอก วิศิษฏ์ยังคงพูดเหมือนเดิมว่าเหลวไหลผีที่ไหนจะมาปิดไมโครเวฟ

“จริงๆค่ะ เราสองคนเผลอหลับไป แถมยังตั้งเวลานานอีกด้วยค่ะ ติ๋วเห็นเขามาปิดไมโครเวฟให้ค่ะ สวยมาก”

“โชคดีไป...เห็นมั้ยนังชื่น เด็กอย่างติ๋วกับโต้งยังไม่กลัวเลย แล้วทำไมหล่อนต้องกลัวผีด้วยยะ”

“อ้าว คุณนายขา...ก็ชื่นกลัวนี่คะ”

วิศิษฏ์หันมองรอบด้านก่อนเดินออกไปมุมหนึ่ง เรียกหาพิศเบาๆ “แม่พิศ...คิดจะแก้ตัวเลยทำดีกับเด็กๆใช่ไหม”

ทันใด...พิศมายืนเท้าเอวตรงหน้า วิศิษฏ์สะดุ้งตกใจ ติงเธอว่าเดี๋ยวคนอื่นเห็น

“ถ้าฉันไม่ช่วยไว้ บ้านนี้ถูกไฟไหม้แล้วเจ้าค่ะ ทำไมต้องกลัวใครเห็น ลืมแล้วเหรอคะว่าฉันเป็นอะไร”

วิศิษฏ์ชะงักอย่างนึกได้ พิศหายวูบไปอย่างงอนๆ

ooooooo

แพรวพรรณเปิดไอแพดดูรูปวิศิษฏ์อย่างหลงใหล นึกถึงอ้อมกอดของเขาในวันที่ช่วยปกป้องอันตรายจากคมดาบ ถ้าวันนั้นไม่มีเขา เธอคงตายไปแล้ว...

ในวันเดียวกัน เธอนำรูปวิศิษฏ์ไปให้เรืองรุ้งดูถึงคอนโดฯ บอกอย่างปลื้มปริ่มว่าผู้ชายคนนี้ที่ช่วยชีวิตตนไว้

“วิศิษฏ์...ข้าราชการหนุ่มกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หน้าตาดีนี่ ถึงว่าเธอถึงได้ละเมอเพ้อพกจะต้องเจอเขาให้ได้”

“ฉันก็แค่อยากขอบคุณเขา”

“จ้า...ฉันเชื่อ” เรืองรุ้งเพ่งดูรูปเขาอีกครั้งก่อนทำนายราวตาเห็น “เขาเกี่ยวพันกับเธอมาจากอดีตชาติ”

“จริงเหรอรุ้ง”

“การที่คนมาพบกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ถ้าไม่ใช่เพราะบุญที่ทำด้วยกันมาก็ต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวร”

“แล้วฉันเป็นอย่างไหน”

เรืองรุ้งมองหน้าแพรวพรรณสลับกับมองรูปวิศิษฏ์ ในไอแพดแล้วพยายามเพ่งกระแสจิต...เห็นวิศิษฏ์แต่งชุดยุคกรุงศรีอยุธยาเดินอยู่ในเรือนไทย...
จู่ๆ เรืองรุ้งสะดุ้งสุดตัว ส่งคืนไอแพดให้แพรวพรรณ

“เป็นอะไร”

“รู้แต่ว่าในอดีตชาติเขาเป็นคนชั้นสูง ระดับคุณหลวงคุณพระ แต่ไม่รู้อะไรบังไว้ ฉันเลยไม่เห็นต่อ”

“ถ้าเขาเป็นคุณหลวงคุณพระแล้วฉันเป็นอะไรล่ะยะ” เธอกระเซ้ายิ้มๆ

“อย่าล้อเล่นกับเรื่องอดีตชาตินะแพรว เสียดายที่ฉันมีนัดกับลูกค้าเลยไปเป็นเพื่อนเธอไม่ได้ แต่เธอก็คงไม่อยากให้ฉันไปเป็น ก.ข.ค. ใช่ไหมล่ะ”

แพรวพรรณไม่ตอบ แต่ยิ้มบางๆอย่างสุขใจ เมื่อคิดว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ก็จะได้พบวิศิษฏ์อย่างแน่นอน

ooooooo

แม้ว่าระรินจะพยายามกีดกันไม่อยากให้สาว คนไหนเข้าใกล้เจ้านายรูปหล่อของตน แต่แพรวพรรณก็ได้พบวิศิษฏ์สมใจเพราะความช่วยเหลือของพิศ
วิศิษฏ์แปลกใจที่แพรวพรรณหน้าเหมือนพิศมาก ...มากจนเผลอเรียกเธอว่าพิศตอนแรกเห็น สองคนมีโอกาสออกไปกินข้าวด้วยกันแล้วบังเอิญเจอนงรามและสุนทรีที่มีนัดกินข้าวกับบรรจบในร้านเดียวกัน

นงรามเกิดอาการหึงหวง ทั้งที่วิศิษฏ์บอกว่าแพรวพรรณคือเพื่อนใหม่ของตน เธอแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาด้วยการย้ำว่าเรากำลังจะหมั้นกันเร็วๆนี้ หวังว่าเพื่อนใหม่จะไม่คิดพัฒนาจากเพื่อนไปเป็นอย่างอื่น

แพรวพรรณไม่พอใจแต่ตอบโต้นิ่มๆ ขณะที่บรรจบพอเจอเธอก็ยิ้มร่าดีใจ ทักทายอย่างสนิทสนมจนสุนทรีที่พยายามยัดเยียดนงรามให้เขาถึงกับเหล่มองอย่างกังวล บรรจบเองก็ดูออกว่าสุนทรีคิดอะไร แต่ไม่ขัดคอกันซึ่งหน้า ได้แต่ยิ้มหยันขณะสองแม่ลูกเดินจากไป

ด้านแพรวพรรณที่เหมือนผิดหวังหลังรู้ว่าวิศิษฏ์มีแฟนแล้ว เธอไปเล่าให้เรืองรุ้งฟังด้วยท่าทีซึมเศร้า ไม่รู้จะสู้หรือถอยดี รู้แต่ว่าทุกข์ทรมาน ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้เธอทุกข์ได้ขนาดนี้

“โลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก การที่เราได้มาพบกันก็เพราะกระแสกรรมหรือบุญกุศลที่ดลใจให้มาพบกันอีกครั้ง อย่าคิดมากสิ ทุกอย่างมีทางแก้เสมอ”

ทันใดพิศปรากฏร่างขึ้นมุมหนึ่งพร้อมส่งเสียงว่าเมื่อชาติก่อนเธอยังสู้ จะยอมแพ้ง่ายๆไม่ได้นะ...เรืองรุ้งได้ยิน ตวัดสายตาเห็นพิศแวบหนึ่งก่อนที่ร่างจะหายไป ละล่ำละลักถามแพรวพรรณว่าใครตามเธอมา

“ตาม...เธอพูดอะไรรุ้ง”

“ไม่...ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เธอรีบกลับเถอะ เดี๋ยวลูกค้าจะมาหาฉันแล้ว”

เรืองรุ้งรุนหลังแพรวพรรณออกจากห้องแล้วปิดประตูทันที พิศปรากฏขึ้นข้างหลังแพรวพรรณ บอกว่าสักวันเธอจะติดต่อกับพี่ได้ พี่จะช่วยเหลือเธอ จะทำให้เธอสมหวัง...แม่แพรว

แพรวพรรณไม่ได้ยินแต่รู้สึกเหมือนมีลมพัดวูบ เหลียวมองซ้ายขวาอย่างหวาดๆ ส่วนเรืองรุ้งพออยู่ในห้องคนเดียวก็นั่งหลับตาทำสมาธิ บอกกล่าวกับสิ่งที่มองไม่เห็นว่า

“ฉันเชื่อว่าฉันสัมผัสดวงวิญญาณผู้สูงศักดิ์ที่นี่ ท่านยังอยู่หรือเปล่าคะ หากฉันมีบารมีพอที่จะได้เห็นท่านและเจรจากับท่าน ก็ได้โปรดปรากฏตัวให้ฉันเห็นด้วยเถิดค่ะ”

พลันพิศในชุดไทยปรากฏวูบขึ้นในสมาธิ แต่ไม่เห็นหน้าชัดเจน ผมปิดหน้าดูน่ากลัวมากกว่าสวย เธอชี้มือมาที่เรืองรุ้ง เปล่งเสียงน่ากลัว

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ...อย่ายุ่งกับเรื่องของเรา” จบคำพิศวูบหายไป เรืองรุ้งตกใจลืมตาขึ้นหน้าซีดเผือด!

ooooooo

แพรวพรรณเป็นเอามาก จิตใจเฝ้าคิดถึงแต่วิศิษฏ์อย่างแปลกประหลาด ไม่เข้าใจตัวเองทำไมต้องรักเขามากทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน

“เพราะกรรมที่เธอทำไว้กับพี่ในอดีตชาติไงล่ะแม่แพรว” เสียงพิศดังแว่ว ส่ายหน้าด้วยความสงสารน้องสาว

พิศหายไปทั้งวัน กลับมาที่ห้องวิศิษฏ์เอาตอนกลางคืน พูดคุยกันเรื่องแพรวพรรณที่มีหน้าตาเหมือนพิศ หรือว่าเธอเป็นผีเหมือนกัน

“เปล่า เขาเป็นคนเหมือนคุณเด๋อเจ้าค่ะ ต่อไปคุณเด๋อก็จะเข้าใจเอง ทุกคนมีกรรมและมีบุญผูกพันกันมาเจ้าค่ะ ไม่ยังงั้นคงไม่ได้มาพบกัน...ฉันบอกคุณเด๋อได้แค่นี้”

พิศหายไปอีกแล้ว วิศิษฏ์หน้าเสีย อยากจะซักต่อก็หมดปัญญา...ด้านแพรวพรรณกำลังนั่งมองรูปวิศิษฏ์ด้วยความสับสน น้ำตาซึมอย่างบังคับตัวเองไม่ได้

“เราเป็นอะไรเนี่ย ทำไมใจเราถึงต้องผูกพันอยู่กับเขา บ้าหรือเปล่าแพรว เราเพิ่งรู้จักเขานะ”

ลมพัดวูบเข้ามาปะทะใบหน้าเธอจนรู้สึกงุนงงวิงเวียน สายตาพร่ามัว ล้มตัวนอนลงบนเตียงด้วยอำนาจของพิศที่ต้องการให้น้องสาวที่มาเกิดในชาตินี้เห็นอดีตกับสิ่งไม่ดีงามที่เคยก่อไว้

ย้อนกลับไปในชาติปางก่อน วิศิษฏ์มีศักดิ์เป็นถึงคุณพระ มีพี่น้องฝาแฝดรุมรัก แต่เขารักพิศแฝดผู้พี่ ทำให้แพรวแฝดผู้น้องเกิดความริษยารุนแรงถึงกับกล้าเอาดอกอุณากรรณตากแห้งชงน้ำให้พิศกินตอนที่คุณพระไปราชการต่างเมือง เมื่อคุณพระกลับมาพิศก็ตายไปเสียแล้ว...

แพรวพรรณสะดุ้งตื่นเหงื่อกาฬท่วมตัว คิดว่าตนเองฝันร้ายอีกแล้ว...เช้าตรู่จึงลุกขึ้นไปใส่บาตรอุทิศบุญกุศลให้แก่ดวงวิญญาณที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร
เสร็จจากใส่บาตร แพรวพรรณมุ่งหน้าไปหาเรืองรุ้งที่คอนโดฯ เล่าความฝันให้ฟังและต้องการคำตอบจากเพื่อนว่าผู้หญิงที่กระอักเลือดไหลออกจากปากในความฝันเป็นใคร ตนฝันเห็นหลายหนแล้ว เรืองรุ้งนึกถึงที่พิศสั่งห้ามยุ่งเลยไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่บอกว่าตนไม่รู้จริงๆ

“มีอะไรปิดแพรวหรือเปล่ารุ้ง เห็นเธอตอบคำถามลี้ลับลูกค้าได้หมด แล้วทำไมกับแพรว...”

“รุ้งไม่ได้รู้อะไรทุกเรื่องหรอกนะ รุ้งว่าไปทำบุญให้เขาดีกว่ามั้ย”

“เมื่อเช้าก็ใส่บาตรแล้ว แต่อยากรู้จริงๆ เขามาเข้าฝันแพรวทำไม”

“รุ้งแต่งตัวแป๊บนึงนะ เดี๋ยวไปทำบุญกัน” เรืองรุ้งตัดบทแล้วผละไปเพื่อเลี่ยงการคาดคั้นของเพื่อน

ooooooo

ขณะไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง ไม่นึกว่าแพรวพรรณกับเรืองรุ้งจะพบกับวิศิษฏ์และเพื่อนๆที่มาหาข้อมูลท่องเที่ยวนอกสถานที่

เรืองรุ้งนิมิตเห็นสิ่งของตกลงจากหลังคาโบสถ์ เธอช่วยภาณุให้รอดพ้นจากการบาดเจ็บ หากสิ่งของนั้นหล่นใส่เขาคงแย่...หลังเหตุการณ์ระทึกขวัญ ทุกคนมานั่งจับกลุ่มคุยกันมุมหนึ่งในวัดแห่งนี้

“เรืองรุ้งเป็นเพื่อนแพรวมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เขาเรียนจบทางด้านจิตศาสตร์แล้วเคยไปปฏิบัติธรรมกับพระลามะที่ทิเบต...ก็เลยได้ญาณบางอย่างมา สามารถมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้”

“ถึงว่าสิครับ นี่ถ้าคุณรุ้งไม่มาช่วยผมไว้ผมคงแย่แล้ว”

“นั่นสิ...ว่าแต่คุณรุ้งจะเห็นสิ่งลี้ลับตลอดเวลาไหมครับ...เอ้อ...คือหมายถึงว่าเวลานี้คุณรุ้งเห็นอะไรที่ไม่ใช่คนไหมครับ”

“คุณศิษฏ์ต้องการถามอะไรคะ มีใครตามคุณอยู่เหรอถึงได้ถาม”

“ตาม...อะไรวะ...ใครตามใคร” แสวงเริ่มเลิ่กลั่ก

“บางคนสัมผัสว่ามีวิญญาณบางดวงติดตามอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร”

แพรวพรรณมองหน้าเรืองรุ้งแล้วมองหน้าวิศิษฏ์อย่างแคลงใจ...แสงแดดเริ่มมืด ลมพัดแรง นกตัวหนึ่งบินผ่านมาแผดเสียงร้อง พิศแต่งชุดไทยเดินผ่านไป เรืองรุ้งมองเห็นแผ่นหลังไวๆ แล้วหันขวับมาที่วิศิษฏ์ที่คาดว่าน่าจะเห็นเหมือนกับตน

“คุณศิษฏ์เห็นอะไรหรือคะ”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับคุณรุ้ง”

วิศิษฏ์เห็นเต็มตาแต่ปฏิเสธเพราะไม่รู้จะเล่าหรืออธิบายยังไง

ooooooo

เพราะความรักที่มีให้วิศิษฏ์อย่างเต็มหัวใจ นงราม จึงตัดใจจากเขาไม่ได้ วันนี้เธอโทร.ติดต่อเขาไม่ได้จึงมานั่งรออยู่ที่บ้านนานสองนาน แล้วเผลอแสดงกิริยาไม่งามตวาดติ๋วกับโต้งที่วิ่งเล่นกับชื่นจิตอย่างสนุกสนาน

“โอ๊ย! รำคาญ...หนวกหู พอกันทั้งนายทั้งขี้ข้า”

เฟื่องขจรยืนอยู่มุมหนึ่ง ตกใจกับถ้อยคำของนงราม ขณะที่ชื่นจิตเท้าเอวไม่พอใจ ติ๋วกับโต้งหยุดวิ่ง หันมองแขกของคุณอาเป็นตาเดียว

“คุณนายเฟื่องขจรจ่ายเงินเดือนนังชื่นทุกเดือนยังไม่เคยพูดแบบนี้เลย...แล้วคุณเป็นใครกันคะ”

นงรามของขึ้นทันที ตวัดเสียงใส่ชื่นจิตว่ากล้าดี ยังไงถึงพูดกับตนอย่างนี้ ถ้าวันไหนที่ตนแต่งงานกับวิศิษฏ์ เธอต้องถูกเฉดหัวออกไปเป็นคนแรก ชื่นจิตไม่มี ทีท่าเกรงกลัว แถมยังจะต่อปากต่อคำ ถ้าเฟื่องขจรไม่เดินเข้ามาปรามเสียก่อน

“ชื่น...หยุดได้แล้ว”

“ขอโทษค่ะคุณนาย ถึงชื่นจะเป็นคนรับใช้แต่ก็มีศักดิ์ศรีนะคะ อย่ามาจิกหัวกันง่ายๆแบบนี้ มันไม่ถูก”

เฟื่องขจรเข้าใจความรู้สึกสาวใช้แต่ไม่อยากให้ต่อความยาวจึงไล่ไปทำงาน ส่วนเด็กสองคนให้ไปทำการบ้าน พอพ้นจากตรงนี้ เด็กๆกับชื่นจิตก็สุมหัวบ่นหมั่นไส้นงราม อยากให้โดนผีหลอก โต้งถึงขนาดภาวนาถ้าผีมาหลอกจริง ตนจะถวายน้ำแดงหนึ่งแก้ว

เฟื่องขจรเผชิญหน้านงราม ตำหนิเธออย่างไม่ค่อยพอใจว่าถึงชื่นจิตเป็นแค่คนรับใช้แต่ตนก็อยากให้เธอมองเขาเป็นคนเสมอเรา นงรามหน้าเสีย อธิบายว่าไม่ได้ตั้งใจ ตนกำลังเครียดเรื่องวิศิษฏ์มีผู้หญิงคนใหม่ เขากำลังจะทิ้งตน คุณป้าต้องให้ความยุติธรรมกับตนด้วย

วิภาดาเข้ามาได้ยินพอดี ตอบโต้อย่างไม่ชอบใจว่า “ก่อนจะขอร้องคนอื่น ก็ควรจะสำรวจดูตัวเองก่อนนะว่าตัวเองเป็นยังไง”

“คุณวิ...ทำไมพูดกับนงอย่างนี้ล่ะคะ”

“ก็ถ้าดีจริง ศิษฏ์คงไม่คิดตีจากหล่อนหรอก ว่าแต่ดีหรือเปล่าล่ะ”

“โอ๊ย...พอๆๆ พอเถอะยัยวิ...มาถึงก็ฉอดๆๆ โอย...หนูนงกลับไปก่อนเถอะ ฉันปวดหัว”

นงรามไม่พอใจคว้ากระเป๋าออกไปทันที วิภาดามองตามและบ่นอย่างรับไม่ได้

“เห็นไหมล่ะคะคุณแม่ ถ้าเป็นผู้หญิงดีจริง พ่อแม่ อบรมมาดีก็คงไม่ออกไปเฉยๆอย่างนี้หรอก จะยกมือไหว้ สักทีก็ยังไม่มี เหมือนเห็นเราสองคนเป็นหัวหลักหัวตอ”

เฟื่องขจรส่ายหน้า ทำท่าปวดหัวขึ้นมาจริงๆ ด้านนงรามที่เดินออกมาหน้าบ้านไม่มีท่าทีเศร้าเสียใจ มีแต่ความเจ็บใจจนพ่นถ้อยคำร้ายๆออกมา

“คอยดูนะ ถ้าฉันได้แต่งงานกับศิษฏ์ ฉันจะไล่ออก ไปให้หมดบ้าน เลวตั้งแต่แม่ยันขี้ข้า...ไอ้หลานตัวแสบสองตัวนั่นก็...” ด่าไม่ทันจบ เหลือบเห็นผีลิ้นจี่แต่งชุดไทยยืนอยู่ข้างรถ นงรามตาค้างร้องกรี๊ดก่อนเป็นลม หมดสติอยู่ตรงนั้น

คนในบ้านได้ยินเสียงกรี๊ดรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจแล้วจะพาเธอไปปฐมพยาบาล แต่เธอลืมตากรีดร้องขึ้นมาอีก เพราะเห็นเฟื่องขจรเป็นผีลิ้นจี่

“ออกไป ผีๆๆ ช่วยด้วยผีหลอก...ฮือๆๆ”

ทุกคนแตกตื่น โดยเฉพาะเด็กสองคนคาดไม่ถึงว่าผีจะมาจริงๆ หลังจากนงรามกลับไปด้วยความกลัว เฟื่องขจรยังคาใจว่าทำไมนงรามถึงเห็นตนเป็นผีไปได้ วิภาดาไม่คิดอะไร นอกจากหาว่าหล่อนมารยา

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ผีมีซะที่ไหนล่ะคะ แกล้งทำล่ะไม่ว่า”

“แต่หมู่นี้มีแต่คนเห็นอะไรแปลกๆในบ้านเรานะยัยวิ”

“คิดไปเองหรือเปล่าคะคุณแม่”

“ไม่หรอก โต้งกับติ๋วมันก็เห็น เด็กไม่โกหกหรอก”

“จริงหรือคะคุณแม่...แล้วคุณแม่จะทำยังไงคะ”

“แม่ไม่ได้ทำบุญบ้านมาตั้งนานแล้ว บางทีผีบ้าน ผีเรือนคงมาเตือนแม่”

“ก็ดีเหมือนกันนะคะ วิจะจัดการเรื่องอาหารเอง คุณแม่นิมนต์พระก็แล้วกันค่ะ อ้อ เกือบลืมแน่ะค่ะ วิจะมาบอกคุณแม่ว่าวิได้บ้านเก่ากลางเมืองหลุดจำนองมาแล้วค่ะ ก็เลยจะให้เป็นของขวัญวันเกิดคุณแม่ เผื่อคุณแม่จะปรับปรุงทำเป็นบ้านเช่า”

“ขอบใจมากจ้ะ”

แล้วคืนนั้นเอง เด็กสองคนกับชื่นจิตก็นำน้ำแดง ใส่แก้วมาวางมุมหนึ่งในห้องนอน โต้งจุดธูปบอกกล่าวให้ผีมารับน้ำแดง ชั่วพริบตาผีลิ้นจี่ก็ปรากฏตัว ชื่นจิตเห็นเต็มตาว่าผีกินน้ำแดงปากเลอะ จึงโวยวายหวาดกลัว เด็กๆพากันวิ่งหนีออกจากห้องท่ามกลางเสียงร้องของสาวใช้ที่ผวาสุดขีด

วิศิษฏ์กลับมาทราบเรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้นในบ้าน รวมทั้งเรื่องนงรามเป็นลมเพราะเห็นผี เขามั่นใจว่าเป็นฝีมือพิศจึงคาดคั้นเธอให้รับสารภาพมาซะดีๆ แต่ผีสาวกลับ ยอกย้อนว่าอย่าปรักปรำกันง่ายๆ ไม่ใช่ตนอย่างแน่นอน

“งั้นก็ผีที่ไหนล่ะ คุณเป็นผีคุณต้องรู้ดี...ผีต้องรู้จักผี”

พลันลมพัดแรงทั่วห้องข้าวของปลิวว่อน วิศิษฏ์ตกใจสั่งให้เธอหยุดป่วน พิศบอกให้เขาไปยืนตรงหน้าต่างแล้วบันดาลให้เขาเห็นผีลิ้นจี่ตัวสูงเท่าต้นตาล ผสานเสียงหมาหอนดังระงม ชายหนุ่มถึงกับผงะแต่ยังปากแข็งว่าไม่กลัวทั้งที่พูดเสียงสั่นลิ้นแทบพันกัน

“เสียงสั่นอย่างนี้ยังไม่กลัวอีกเหรอ นั่นน่ะแม่ลิ้นจี่ ผีตายโหงที่ดูแลที่นี่อยู่ เขาเป็นบริวารของฉัน แล้วฉันขอย้ำอีกทีนะ คุณนงรามไม่ใช่เนื้อคู่ของคุณ”

“มีเรื่องอื่นอีกมั้ย ถ้าแม่นจริงล่ะก็จะได้นับถือ เลี้ยงดูอย่างดี แล้วอย่าลืมให้หวยผมล่ะ เอาแค่งวดละใบก็พอ”

“แม่คุณกำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรติดตามมาทัน อย่าซื้อบ้านหรือรับบ้านเก่าบ้านร้างจากใครเด็ดขาด”

ขาดคำ พิศวูบหายไป วิศิษฏ์ยักไหล่ไม่กลัวและไม่เชื่อ แถมท้าทายผีสาวว่าถ้าคราวหน้ามาอีกจะจับปล้ำเสียให้เข็ด...ทันใดหมอนก็พุ่งกระทบหน้าชายหนุ่มอย่างแรงจนหงายหลังตึง...ด้วยฝีมือใครคงไม่ต้องบอก!

คืนเดียวกัน พิศพรางตัวมิดชิดไปกำชับนงรามไม่ให้ยุ่งกับวิศิษฏ์เพราะเขามีคนรักแล้ว นงรามดึงดันไม่ยอม ทั้งคู่มีปากเสียงกันครู่หนึ่งก่อนนงรามจะผวาตื่น ลุกขึ้นนั่งหายใจหอบถี่ เข้าใจว่าตัวเองฝันไป...

ooooooo

ส่วนที่บ้านเฟื่องขจร เช้านี้ทุกคนพูดถึงแต่เรื่องหมาหอนเมื่อคืน ขนาดวิศิษฏ์ยังถามมารดาหลังจากชื่นจิตพาหลานของตนไปโรงเรียนแล้วว่า

“เมื่อคืนผมก็ได้ยินหมาหอน มันเจอผีจริงๆเหรอครับคุณแม่”

“แม่เล่าแล้วแกอย่าบอกติ๋วกับโต้งนะ เดี๋ยวเด็กมันจะกลัว”

“ครับคุณแม่”

“สมัยเมื่อสามสิบปีมาแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งผูกคอตาย บนต้นไม้หน้าบ้านเรานี่แหละ”

“ใครเหรอครับ ทำไมมาผูกคอตายที่ต้นไม้ต้นนี้ด้วย”

“แม่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าชื่อลิ้นจี่ แต่ก่อนเฮี้ยนมาก หลอกคนทุกคน...โอย โดนหลอกกันเป็นแถวๆ แม่ถึงต้องเอาคนมาสะกด...ถึงเงียบไป”

“ชื่ออะไรนะครับ”

“ลิ้นจี่...ติดอยู่ที่ปากแม่นี่แหละ ไม่ลืมเลย”

วิศิษฏ์หน้าซีดเผือด รู้ว่าพิศไม่ได้แกล้งหลอก

“ผมไปก่อนนะครับคุณแม่ เดี๋ยวรถติด” ว่าแล้วผลุนผลันออกมาที่รถ อดหันไปมองต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านไม่ได้ ภาพลิ้นจี่สูงเท่าต้นตาลเข้ามาในห้วงคิด
ชื่นจิตส่งเด็กๆขึ้นรถโรงเรียนเดินกลับเข้ามาเห็นวิศิษฏ์ท่าทีแปลกๆ ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

“เปล่า...ไม่เห็นมีอะไรนี่”

“บางที่ชื่นก็เห็นอะไรแปลกๆ อุ๊ย คุณอย่าสนใจเลยค่ะ ชื่นกำลังยุให้คุณนายโค่นต้นไม้ต้นนี้ค่ะ”

“ปล่อยไว้อย่างนี้แหละดีแล้ว กำลังสวย ให้ร่มเงาดีด้วย”

เฟื่องขจรเดินตามออกมาบอกวิศิษฏ์เสร็จงานให้รีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนหลาน แม่จะชวนชื่นจิตไปดูบ้าน

“บ้าน...ที่ไหนครับคุณแม่”

“ก็บ้านที่ยัยวิยกให้แม่เป็นของขวัญวันเกิดน่ะสิ เผื่อบางทีแม่จะปรับปรุงทำบ้านเช่า ทำเลดีแบบนี้หาคนเช่าไม่ยากหรอก”

วิศิษฏ์อึ้ง นึกถึงคำพูดพิศเมื่อคืน จึงหาวิธีขัดขวาง “ผมว่าเหนื่อยเปล่าครับ สู้ขายไปเอาเงินก้อนมาเก็บไว้ดีกว่า”

“ให้แม่เห็นบ้านก่อนนะแล้วค่อยตัดสินใจ แกรีบไปเถอะ”

วิศิษฏ์รับคำแล้วเข้านั่งในรถขับออกไป พลางทบทวนคำพูดพิศที่ห้ามแม่ของเขาซื้อบ้านหรือรับบ้านเก่าบ้านร้างจากใครเพราะท่านกำลังถูกเจ้ากรรมนายเวรติดตามมาทัน

ด้วยความเป็นห่วงมารดา วิศิษฏ์จอดรถแล้วเรียกพิศให้ปรากฏตัว ปรึกษาเรื่องแม่ของตนได้บ้านเก่าเป็นของขวัญจะใช่เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรอย่างที่เธอบอกหรือเปล่า

“ดีใจจังที่คุณเด๋อเชื่อฉัน...แต่ถ้าเราฝืนกรรมของใครไม่ได้ก็ต้องช่วยอยู่ห่างๆ อย่าไปขวางกรรมของเขาเลย เจ้ากรรมนายเวรของคนนั้นจะเล่นงานเราได้”

“แต่คนนั้นคือแม่ผมนะคุณพิศ”

“ฉันก็เตือนคุณเด๋อไว้เท่านั้นเจ้าค่ะ อย่าคิดมากสิเจ้าคะ”

ขาดคำ ร่างพิศเลือนหายไป วิศิษฏ์หน้าเสียอย่างเป็นกังวล...ตกเย็นกลับจากทำงาน เขามาเจรจากับมารดาไม่อยากให้รับบ้านเก่าหลังนั้น แต่ท่านไม่ยอมและต้องการฟังเหตุผล

“คือ...บ้านเก่า ผมกลัวว่าจะมีผีสิง”

“ปวดหัว หมู่นี้มีแต่คนพูดเรื่องผี...เอาเถอะฉันกับยัยวิจะทำบุญบ้านเร็วๆนี้ ถ้าแกห่วงแม่ก็อยู่ช่วยงานด้วยก็แล้วกัน”

วิศิษฏ์เงียบไปอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง เห็นพิศปรากฏตัวและยืนยันคำเดิมว่าแม่ของเขากำลังมีกรรม เจ้ากรรมนายเวรเลยตามมาทัน เขาพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์

ooooooo
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น