วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร แหวนสวาท ตอนที่ 3


ในวันทำบุญบ้านซึ่งเป็นวันเกิดเฟื่องขจร พิศปรากฏตัวมาทำบุญร่วมกับวิศิษฏ์ พระที่มาสวดเห็นเธอแต่ไม่ได้พูดให้คนอื่นแตกตื่นตกใจ จนกระทั่งถึงเวลาพรมน้ำมนต์ พิศรีบหายตัวหนีไป โดยกำชับวิศิษฏ์ห้ามให้พระเข้ามาพรมน้ำมนต์ในห้องของเขา ไม่เช่นนั้นเธอจะมาหาเขาอีกไม่ได้

เฟื่องขจรต้องการให้พระพรมน้ำมนต์ทุกห้องภายในบ้าน วิศิษฏ์ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง หลบเข้าห้องถามพิศว่าเอายังไงดี ถ้างานนี้แม่ขึ้นมาไม่รอดแน่

“เจ้าศิษฏ์เปิดประตูให้แม่หน่อย” เสียงเฟื่องขจรเร่งอยู่หน้าห้อง

วิศิษฏ์หนักใจถามพิศอีกครั้งว่าทำยังไงดี พิศให้เขาบอกแม่ว่าห้องรกมากอย่าเข้ามาเลย แต่เขาแย้งทันทีว่ารกที่ไหนกัน พิศเลยร่ายมนต์ให้ข้าวของปลิวว่อนก่อนร่วงลงพื้นระเกะระกะ ชายหนุ่มตะลึงอย่างเหลือเชื่อและยอมเปิดประตูให้แม่เข้ามาในที่สุด

เฟื่องขจรเข้ามาเห็นสภาพห้องลูกชายก็บ่นอุบว่าเหมือนมีหมาสักสิบตัวมาฟัดกัน รกยิ่งกว่ากองขยะเสียอีก

“คุณแม่เห็นแบบนี้แล้วยังจะให้หลวงตาเข้ามาในห้องผมอีกเหรอครับ ขายหน้าคุณแม่แย่”

เฟื่องขจรเห็นด้วย กลับออกมาบอกหลวงตาว่านิมนต์ห้องอื่นดีกว่า ติ๋วกับโต้งอยากให้พระพรมน้ำมนต์ห้องของตนเร็วๆจึงนำทางไปทันที

พริบตาเดียว ข้าวของในห้องวิศิษฏ์กลับสู่สภาพเดิมด้วยมนต์คาถาของพิศ วิศิษฏ์ทึ่งจัดถามเธอว่าทำได้ยังไง

“ก็ฉันไม่ใช่มนุษย์แบบคุณนี่”

“ถ้าผีในโลกนี้สวยเหมือนคุณหมด คนทั้งโลกคงอยากเห็นผี”

“คุณเด๋ออย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยค่ะ กรวดน้ำหรืออุทิศบุญให้ผีและสัมภเวสีในบ้านนี้ด้วย แม่คุณกรวดน้ำให้แต่ญาติพี่น้อง เจ้าที่เจ้าทางและสัมภเวสีเขาน้อยใจแย่”

“ผีก็น้อยใจเป็นเหรอคุณพิศ”

“ผีหรือคน แม้แต่เทวดาภูมิต่ำๆก็เหมือนคนนั่นแหละ ดวงจิตไม่ต่างกันหรอก แค่เปลี่ยนร่างเท่านั้นเอง”

“ได้สิ...เดี๋ยวผมจะจัดการให้”

“รีบไปเลยนะคะ ขอบใจมาก”

พิศวูบหายไป ส่วนวิศิษฏ์รีบลงมากรวดน้ำตามที่รับปาก

“บุญกุศลที่บ้านของข้าพเจ้าได้ทำบุญในวันนี้ขออุทิศให้แก่วิญญาณทั้งหลาย สัมภเวสีทั้งหลาย เจ้าที่เจ้าทางทุกท่านนะครับ เชิญมารับบุญกุศลกันทุกท่านเลย”

ทันทีที่ได้รับส่วนบุญ ผีลิ้นจี่ปรากฏร่างอย่างอิ่มเอิบ หลวงตารู้เห็น กล่าวกับวิศิษฏ์ก่อนกลับวัดว่า

“ดีแล้วโยม เป็นมงคลอย่างยิ่งที่ได้อุทิศบุญให้พวกเขา”

วิศิษฏ์ยิ้มสบายใจ เพิ่งจะเคยทำบุญกรวดน้ำก็วันนี้

ooooooo

นงรามมาร่วมงานบุญนี้ด้วยเหมือนกันแต่ต้องขอตัวกลับไปก่อนเพราะมารดาโทร.ตาม สุนทรีไม่ต้องการให้ลูกสาวยุ่งเกี่ยวกับวิศิษฏ์อีก แต่อยากให้ทำความสนิทสนมคุ้นเคยกับบรรจบแล้วพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟนกันโดยเร็ว

สุนทรีพานงรามไปพบบรรจบที่บ้าน แต่เวลานั้นสองพ่อลูกบุรีกับบรรจบกำลังมีแขกอยู่ชั้นบน สาวใช้จึงให้สองแม่ลูกนั่งรอ ระหว่างรอสุนทรีก็พร่ำพูดกรอกหูนงรามให้คบบรรจบที่ทั้งหล่อและรวยมาก อย่าโง่ดักดานอยู่กับวิศิษฏ์ที่ไม่มีอะไรเทียบเท่าได้

ในห้องพระชั้นบน บุรีกับบรรจบอยู่กับหมอผีสัตตะ บุรีนับถือสัตตะมาก เชิญมาตรวจดวงชะตาปีละหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจที่ทำอยู่อยากรู้ว่าจะขาดทุนหรือกำไรมากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับบรรจบไม่เชื่อ แถมยังหาว่าเป็นเรื่องงมงาย ทำให้สัตตะไม่พอใจ ทวงบุญคุณทันที

“คุณว่าผมงมงายเหรอ คุณรู้ไหมที่พ่อคุณร่ำรวยขึ้นมาทุกวันนี้ก็เพราะการช่วยเหลือจากผม ผมใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาทำให้คู่แข่งมันอยู่ไม่ได้ ทำให้คุณมีกินมีใช้ทุกวันนี้ คุณยังว่าผมงมงายอีกเหรอ หรือว่าจะให้ปลุกพวกคู่แข่งของคุณให้มันลืมตาอ้าปากได้แล้วมาแข่งกับคุณจนกิจการของคุณพินาศ”

“อาจารย์ครับ ให้อภัยเจ้าบรรจบด้วย มันเรียนมาจากเมืองนอกยังไม่เข้าใจเรื่องลี้ลับอย่างนี้ อาจารย์อย่าโกรธผม กับลูกเลยนะครับ...บรรจบ ขอโทษอาจารย์เดี๋ยวนี้ เร็วสิ”

“ผมเห็นแก่พ่อหรอกนะครับ แต่ไม่ใช่เพราะผมเชื่อ...ขอโทษครับ” บรรจบยกมือไหว้สัตตะอย่างเสียไม่ได้

“สักวันผมจะทำให้คุณยอมรับผมให้ได้ คุณด็อกเตอร์...วันนี้ผมขอตัวก่อนนะคุณบุรี”

“ผมจะไปส่งอาจารย์ครับ และเพื่อเป็นการไถ่โทษที่แกทำให้อาจารย์สัตตะอารมณ์เสีย แกต้องไปส่งอาจารย์ที่สำนัก”

บรรจบหน้าตึงไม่เต็มใจแต่ไม่กล้าขัดคำสั่งพ่อ ทั้งสามคนเดินตามกันลงมาชั้นล่างเจอสุนทรีกับนงรามรออยู่ บุรีทักสองแม่ลูกว่ามานานหรือยัง สุนทรีอ้างว่าตนผ่านมาทางนี้เลยอยากจะให้ลูกสาวได้มากราบเขา

นงรามไหว้ทุกคนอย่างอ่อนน้อม สัตตะมองเธอด้วยสายตาเจ้าชู้แล้วทักเรื่องความรักจนเจ้าตัวหน้าเสีย

“ดวงหนูปีนี้คงได้แต่งงานแต่กรรมจะทำให้หนูต้องผิดหวัง”

“อาจารย์สัตตะเป็นอาจารย์ไสยเวทที่มีชื่อเสียง ถ้าท่านทักใครแล้วไม่พลาด”

คำพูดของบุรีทำให้สุนทรีร้อนรนถามอาจารย์ว่ามีทางแก้หรือไม่ สัตตะบอกมีแน่ ถ้าเกิดเรื่องแล้วให้ไปที่สำนักได้เลย ขณะที่บุรีก็ปลอบใจสองแม่ลูกที่หน้าซีดหน้า เสียว่าไม่ต้องกลัว ตนจะให้อาจารย์แก้เคราะห์แก้กรรมให้

บรรจบไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก เดินตามสัตตะออกมาหน้าบ้านเพื่อจะไปส่งตามคำสั่งพ่อ แต่แล้วสัตตะกลับพูดเรื่องราวของเขาเหมือนตาเห็น

“ผมรู้นะว่าตอนนี้คุณรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง แต่เธอไม่สนใจคุณ ทั้งที่คุณก็มีพร้อมทุกอย่าง”

“อาจารย์ทราบ...”

“เรื่องซับซ้อนมากกว่านี้ยังรู้ จะให้ผมช่วยไหมล่ะ แต่ถ้าสำเร็จคุณต้องยอมรับผมเป็นอาจารย์”

“ผมก็อยากลองเหมือนกันว่าอาจารย์จะแน่แค่ไหน”

“มีรูปเธอบ้างไหม”

“มีครับ” ตอบแล้วเขาเปิดสมาร์ทโฟนให้สัตตะดูรูปแพวพรรณ

“สวยนี่ แต่ไม่ยากหรอก ส่งรูปนี้ให้ผมด้วย”

“แต่ผมต้องไปส่งอาจารย์”

“ไม่ต้องหรอก ไปจัดการกับเหยื่อของคุณข้างในบ้านดีกว่า อุตส่าห์มาให้คุณหามถึงที่ แต่อย่าเพิ่งไปทำอะไรเลยนะ ผู้หญิงคนนี้มีเคราะห์ จะพาลทำให้คุณซวยไปด้วย”

บรรจบมองเข้าไปในบ้าน ทราบดีว่าสัตตะหมายถึงนงรามนั่นเอง เมื่อเดินกลับมาได้ยินสุนทรียืมเงินบุรีไปทำธุรกิจโดยเอาโฉนดที่ดินมาเป็นหลักประกัน ชายหนุ่มใจดีบอกพ่อว่าเซ็นเช็กให้เธอไปเลย เงินไม่กี่แสนไม่ต้องมี หลักประกัน

สุนทรียิ้มกว้างดีใจมาก ขอบคุณสองพ่อลูกแล้วพานงรามกลับออกมาอย่างมีความหวัง ทึกทักว่าบรรจบมีใจให้นงราม เขามองลูกแม่ตาเยิ้ม ที่เขาให้เงินก็เพราะเสน่หาในตัวลูกสาวแม่

“ดูบ้านหลังนี้ไว้ให้ดีนะนง สักวันลูกแม่จะได้มาชี้นิ้วกรีดกรายเป็นเจ้าของที่นี่”

สุนทรีมองบ้านหลังใหญ่ของบุรีสายตาเป็นประกาย ต่างจากนงรามที่ยืนนิ่งเหมือนไม่ยินดียินร้าย

ooooooo

สัตตะเห็นรูปแพรวพรรณที่บรรจบส่งมาให้ก็หลงรักและอยากได้เป็นเมีย โดยไม่คิดช่วยบรรจบอย่างจริงจัง แต่เมื่อเขาใช้วิชาอาคมเพื่อมาหาเธอ กลับถูกพิศขัดขวางและขอให้เทวดาอารักษ์ ผีบ้านผีเรือนเป็นเกราะป้องกันภัย 

แต่ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด สัตตะซึ่งทะนงตนว่าแก่กล้าวิชาไม่รามือง่ายๆแน่ ความพยายามของสัตตะทำให้แพรวพรรณรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น ด้วยความกลัวเธอจึงปรึกษาเรืองรุ้ง แต่เพื่อนรักช่วยได้เฉพาะการโอนบุญหรือการต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวร แต่ไม่สามารถสู้กับอาคมไสยเวทได้

ภาณุทราบเรื่องจากเรืองรุ้งจึงหาวัวธนูมาให้แพรว–พรรณป้องกันตัว แต่วัวธนูสู้ผีของสัตตะไม่ได้ ภาณุ

จึงต้องแสวงหาเครื่องรางชนิดใหม่คือกุมารทองมาแทน ด้านพิศก็ยังวนเวียนอยู่กับวิศิษฏ์และคอยปรากฏตัวแกล้งเขาให้มีเรื่องระหองระแหงกับนงรามอยู่เรื่อย เพราะทราบดีว่าสองคนไม่ใช่เนื้อคู่กัน

เฟื่องขจรไม่เชื่อลูกชายที่พยายามทักท้วงเรื่องบ้านเก่าที่วิภาดายกให้เป็นของขวัญวันเกิดว่าอาจมีผีสิง ไม่ควรรับหรือปรับปรุงให้คนเช่า เธอดึงดันไปที่บ้านหลังนั้นจนได้ โดยบังคับชื่นจิตมาเป็นเพื่อน เพียงก้าวแรกที่ผ่านรั้วเข้ามา สองคนก็โดนผีหลอกจนขนหัวลุก ต้องรีบเผ่นกลับบ้านอย่างขวัญหนีดีฝ่อ

สัตตะยังเข้าไม่ถึงตัวแพรวพรรณ จึงจะใช้บรรจบเป็นสื่อเพื่อให้ได้เธอมาเป็นเมียตามต้องการ สัตตะมีวิชาอาคมแก่กล้าถึงขนาดพาตัวเองมาพบบรรจบได้ถึงในบ้านโดยไม่ต้องเดินทาง

การมาอย่างปัจจุบันทันด่วนของสัตตะทำให้บรรจบตกใจจนผงะ โวยวายว่าเขาเข้ามาได้ยังไง

“ข้ามีอาคม ข้าจะไปไหนมาไหนก็ได้ ฟังข้านะ เจ้าบรรจบ ข้ามีของดีจะให้...เอ็งอยากได้นังคนสวยเป็นเมียใช่ไหม”

บรรจบตอบรับโดยไม่ต้องคิด สัตตะจึงให้เขาแบมือรับตลับสีผึ้งไว้

“สีผึ้งผีตายพรายทั้งกลม แตะหญิงคนที่เจ้ารัก รับรองว่ามันจะถวิลถึงเจ้าทุกลมหายใจ”

จบคำสัตตะก็วูบหายไป บรรจบมองดูสีผึ้งในมืออย่างพอใจ อยากทดสอบว่าจะจริงดังคำสัตตะหรือไม่ จึงแต่งตัวเตรียมออกจากบ้านไปหาแพรวพรรณ แต่เจอบุรีทักท้วงอยากให้อยู่บ้านก่อน เพราะสุนทรีจะมากินข้าวกับเรา

“สุนทรี...อ๋อ...แม่ยัยนงรามน่ะเหรอครับ”

“นั่นแหละ เห็นว่าจะเอาเงินมาใช้คืน แกอยู่รับหน้าหน่อย บอกตามตรงว่าฉันรำคาญสองแม่ลูกนี่เต็มทีแล้ว เอาเงินมาใช้คืนจะได้จบๆกันไป”

“แต่ยัยนงรามก็สวยไม่ใช่เล่นนะครับคุณพ่อ”

“ถ้าคิดเล่นๆไม่เป็นไรหรอกบรรจบ แต่ถ้าคิดจะมั่นคงยั่งยืนสร้างครอบครัวล่ะก็ ไม่มีใครเหมาะสมเท่าหนูแพรวพรรณ”

“นั่นน่ะมันมื้อหลัก กินยันตายครับ ส่วนยัยนงรามนี่ของหวานล้างปาก”

“อย่าให้ของหวานเลอะปากแกจนล้างไม่ออกล่ะ ผู้ชายมักตายน้ำตื้น...ระวังไว้ด้วยนะ” บุรีเตือนลูกชาย... บรรจบยิ้มพราย ไม่บอกเรื่องที่ได้สีผึ้งจากสัตตะ

ooooooo

นงรามฝันเห็นผู้หญิงมาบอกให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับวิศิษฏ์ ภาพในฝันค่อนข้างน่ากลัวเธอจึงชวนวิศิษฏ์มาถวายสังฆทานที่วัด แต่ปรากฏว่าพระไม่อยู่สักรูป เด็กวัดบอกว่ามีโยมนิมนต์ไปสวดมนต์เย็น พรุ่งนี้ให้มาใหม่

“พรุ่งนี้...โอ๊ย! ไม่มาแล้ว...ฉันกับวัดไม่ค่อยถูกกัน” นงรามแว้ดใส่เด็กวัด

“นงใจเย็นๆสิครับ”

“ไม่เย็นแล้วล่ะค่ะ หิวข้าว...กลับกันเถอะ ของนี่ก็ฝากถวายด้วยก็แล้วกัน”

เด็กวัดรับของไว้ วิศิษฏ์ไม่เข้าใจทำไมนงรามต้องหัวเสียขนาดนี้ด้วย แต่ไม่ว่าอะไรเธอ ชวนเธอไปวัดอื่น หรือจะทำบุญโลงศพก็ได้ เพื่อความสบายใจ

“โอ๊ย...นงบอกว่านงหิวข้าว ศิษฏ์ก็ยังจะให้นงไปทำบุญอีกไม่เอาด้วยหรอกค่ะ”

วิศิษฏ์อึ้งกับอาการเหวี่ยงวีนของแฟนสาว แต่แล้วทั้งคู่ก็มีอันต้องแยกกันอย่างกะทันหันเพราะสุนทรีโทร.ตามนงรามให้รีบกลับบ้าน

ทั้งที่รีบแสนรีบแล้ว แต่พอถึงบ้านนงรามก็ไม่วายโดนสุนทรีบ่นจนหูชาว่ามาช้าแม่รอแทบแย่

“นี่นงก็รีบที่สุดแล้วค่ะ มีอะไรเหรอคะ”

“มีสิ...แม่จะเอาเงินไปคืนคุณบุรี เมื่อคืนแม่เล่นการพนันได้มา”

“ดีค่ะ เขาจะว่าเราไม่ได้”

“งั้นก็รีบไปกันเถอะ พี่บรรจบรอทานข้าวกับหนูอยู่นะจ๊ะ”

สุนทรีกระตือรือร้นรุนหลังลูกสาวออกจากบ้าน โดยมีสายตาองุ่นมองตามด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน... ไม่พ้นโดนแม่บังคับอีกตามเคย

ฝ่ายวิศิษฏ์พอกลับมาถึงบ้าน รู้จากหลานๆว่าเฟื่องขจรกับชื่นจิตไม่สบาย สงสัยโดนผีที่บ้านเก่า

หลังนั้นหลอก เขาเข้าไปดูให้เห็นกับตา สภาพมารดานอนห่มผ้าหนาวสั่นน่าตกใจไม่น้อย

เพียงเห็นลูกชาย เฟื่องขจรก็ลุกขึ้นนั่งทำท่าจะร้องไห้ พูดระรัวว่า

“ศิษฏ์ช่วยแม่ด้วย...แม่โดนผีหลอก...มันน่ากลัวมากเลย”

“ถ้ามันน่ากลัว คุณแม่ก็คืนพี่วิไปเถอะครับ”

เฟื่องขจรแทบหายป่วย ความงกเข้ามาแทนที่ความกลัว “ก่อนจะพูดอะไรน่ะไปดูให้เห็นกับตาก่อน ถึงบ้านจะเก่าแต่ทำเลสุดยอด ต่อไปภายหน้าราคาคงเป็นร้อยล้าน แค่ไปถึงแม่ก็เห็นความรวยพุ่งชนแม่โครมๆ”

โต้งกับติ๋วที่ยืนอยู่ข้างวิศิษฏ์ส่ายหน้าแล้วกระซิบกันว่าคุณย่างกอีกแล้ว เฟื่องขจรหูดีดุหลานทันที

“พูดอะไรไม่รู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่ ไว้เราโตก่อนเถอะจะงกยิ่งกว่าย่าอีก”

วิศิษฏ์อมยิ้ม ตัดบทชวนหลานไปทำการบ้านดีกว่า ปล่อยให้คุณย่านอนฝันถึงความรวยพุ่งเข้าหาไปคนเดียว

ooooooo

สุนทรีกับนงรามไปถึงบ้านบุรีในตอนค่ำ พอเห็นสองพ่อลูกจัดอาหารไว้ต้อนรับอย่างดี สุนทรีก็ขอโทษขอโพยที่มาช้า

“ไม่เป็นไรครับคุณน้า” บรรจบตอบ พลางลอบมองนงรามด้วยสายตาเจ้าชู้

“ขอบใจจ้ะคุณบรรจบ นงขอบคุณพี่เขาซะสิ”

นงรามยกมือไหว้บรรจบอย่างว่าง่าย

“มาเหนื่อยๆอย่าเพิ่งคุยเรื่องอื่นเลยครับ ทานข้าวด้วยกันก่อน” ว่าแล้วบุรีเดินนำไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีสาวใช้รอบริการอยู่

บรรจบเดินรั้งท้าย แอบเปิดตลับสีผี้งอย่างระมัดระวังก่อนจะใช้นิ้วป้ายมันเพื่อทดสอบกับนงราม

“วันนี้ผมอยากเต้นรำกับน้องนงรามสักเพลงก่อนอาหารครับ”

คำพูดบรรจบทำให้บุรีประหลาดใจ “อย่างนั้นเลยเหรอ นึกยังไงขึ้นมา”

“ก็เพื่อมิตรภาพระหว่างสองครอบครัวไงครับ”

สุนทรีตะลึง โปรยยิ้มดีใจดวงตาเป็นประกาย “ต๊าย... น้าตื้นตันจนพูดอะไรไม่ถูกแล้วค่ะ คุณบรรจบช่างดีต่อน้ากับยัยนงเหลือเกิน”

ขาดคำ เธอส่งสายตาพยักพเยิดมาที่ลูกสาว นงรามจำใจออกไป...ทันใดเสียงดนตรีพลิ้วไหวก็ดังขึ้น บรรจบโอบเอวนงรามไปตามจังหวะ บุรีมองภาพนั้นงงๆ ขณะที่สุนทรียิ้มปลื้มเคลิ้มไปกับหนุ่มสาว

ในที่สุดบรรจบก็สบโอกาสป้ายสีผึ้งที่เอวนงราม เพียงไม่นานเธอก็มีอาการตาลอยเคลิ้มจ้องมองบรรจบอย่างหลงใหล

หลังอาหารมื้อนั้น นงรามยังมีอาการแปลกๆ เหม่อลอยเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอเดินตามสุนทรีออกมาหยุดยืนหน้าบ้านไม่ยอมขึ้นรถ

“ขึ้นรถสินง”

นงรามยิ้มบางๆ เหลียวมองบ้านบุรีในความมืดอย่างอาลัยอาวรณ์ สุนทรีไม่ได้เอะใจ ได้แต่กระตุ้นเตือนลูกสาวให้ขึ้นรถสักที

“นง...ขึ้นรถ มัวยืนทำอะไรอยู่ล่ะ”

นงรามสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเดินมานั่งเบาะหน้า สุนทรีอ้อมไปนั่งที่คนขับโดยไม่เห็นควันสีชมพูลอยผ่านกระจกเข้ามา ก่อนจะกลายเป็นผีสาวบริวารของสัตตะนั่งเบาะหลัง

สุนทรีมัวแต่ปลาบปลื้มที่บรรจบกับนงรามดูเข้ากันได้ดี เธอหัวเราะอารมณ์ดีหยอกล้อลูกสาวว่า

“ไงยะ เต้นรำเพลงเดียวถึงกับเพ้อเลยเหรอ”

“นงไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”

“อย่าปิดแม่เลย ก็เห็นอยู่ว่าตลอดเวลาที่กินข้าวสายตานงน่ะไม่ห่างจากตัวพี่เขาเลย”

“คุณแม่ก็...นงอายนะคะ”

“เห็นหรือยังว่าพี่บรรจบน่ะเสน่ห์แรงแค่ไหน ขืนทำเล่นตัวไปเถอะ คนอื่นจะคาบเอาไปเสียก่อน แม่รู้มาว่าเขากำลังคั่วกับแม่แพรวพรรณลูกสาวคุณหญิงงามเนตร แต่เห็นหนูกับเขาคืนนี้แล้วแม่เชื่อขนมกินได้เลยว่าเขาเลือกนงของแม่แน่ๆ แม่มีความสุขที่สุดในชีวิตเลยจ้าลูกจ๋า”

นงรามยิ้มอายๆ ผีสาวที่เบาะหลังเป่าเบาๆ

ที่ต้นคอเธอ บังเกิดควันสีชมพูลอยอวลมาที่ใบหน้า นงรามหลับตาพริ้มเอนตัวพิงเบาะอย่างมีความสุข

ooooooo

เมื่อได้รับการยืนยันจากพิศว่าเฟื่องขจรกับชื่นจิตถูกผีที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรหลอกจนเป็นไข้ วิศิษฏ์เริ่มเชื่อจึงพยายามกล่อมมารดาให้ขายบ้านเก่าหลังนั้น แต่เฟื่องขจรไม่ยอม แถมยังบังคับให้เขาไปเป็นเพื่อนดูบ้านอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

วิศิษฏ์หนักใจ เรียกพิศมาถามเรื่องผีที่บ้านหลังนั้น พิศบอกว่าน่ากลัวมากและยืนยันคำพูดด้วยการพาเขาไปดูกับตาตัวเอง โดยให้เขานั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่นานก็เห็นวิญญาณตาชุบกับนางอวบที่เสาตกน้ำมันกลางบ้าน รวมทั้งบริวารอีกสี่ตนที่อยู่ภายในบ้าน ทั้งหมดน่ากลัวและดุร้ายจนวิศิษฏ์แหกปากลั่นหลุดจากสมาธิ หงายหลังตึงหลับสนิทในพริบตา

ชื่นจิตกับเฟื่องขจรได้ยินเสียงร้องของวิศิษฏ์ก็รีบเข้ามาดู เฟื่องขจรคิดว่าลูกชายหลับแล้วละเมอดังลั่นบ้าน แต่ชื่นจิตกลับคิดไปว่าน่าจะเกี่ยวกับผี

“เหลวไหลเพ้อเจ้อ น่ารำคาญ” เฟื่องขจรตวาดใส่สาวใช้แล้วเดินหน้าตึงออกจากห้องไป

ทันทีที่เหลือวิศิษฏ์ในห้องคนเดียว พิศปรากฏตัวแล้วดึงเขาเข้าไปในมิติของสมาธิอีกครั้ง ให้เห็นเจ้ากรรมนายเวรของเฟื่องขจรที่ดุร้ายน่ากลัว พรุ่งนี้ไปเจอของจริงจะได้ตั้งรับ เพราะพวกมันจะเล่นงานเขากับแม่อย่างหนัก

วิศิษฏ์กลัวมากๆ เช้าขึ้นพยายามโน้มน้าวแม่ให้ยกเลิกการไปดูบ้านแต่ไม่สำเร็จ เขาจำใจไปทั้งที่รู้ว่าจะเจอกับอะไร

เพียงจอดรถหน้าบ้านหลังนั้นวิศิษฏ์ก็เห็นผีชุบกับผีอวบกวาดลานบ้านและหันมาแสยะยิ้มให้ แต่พอเขาขยี้ตามองอีกทีทั้งคู่ก็หายไป

“คุณแม่ครับ...กลับกันเถอะครับ” ชายหนุ่มเสียงสั่น

“แกนี่เป็นเอามากนะ แกเห็นอะไรเหรอ”

“มีคนกวาดลานบ้านอยู่...อยู่ตรงนั้นครับ”

“มีที่ไหน ไปๆๆ เหลวไหล ลงไปเปิดประตู ขับรถเข้าไปข้างใน”

เฟื่องขจรส่งกุญแจรั้วให้ลูกชายที่เริ่มขาแข้งสั่นแต่ขัดแม่ไม่ได้ เดินเหลียวหน้าเหลียวหลังไปไขประตูรั้วพร้อมกับแอบเรียกพิศมาคอยช่วยเหลือ

เมื่อพากันเข้ามาในบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นฝุ่นจับหนา หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมด วิศิษฏ์กล่อมแม่ให้ขายบ้านหลังนี้เอาเงินก้อนไปทำอย่างอื่นดีกว่า

“แต่แม่ชอบ ต่อไปตรงนี้จะเป็นเงินเป็นทอง แม่ว่าปรับปรุงให้เขาเช่าดีกว่า อ้อ แกช่วยทำป้ายมาแขวนให้แม่ที”

“ป้ายอะไรครับ”

“อ้าว...ก็ประกาศให้เช่าไง”

วิศิษฏ์มองไปที่บันไดชั้นบนด้วยสีหน้าหวาดๆ ขอร้องแม่อย่าขึ้นไปเลยท่าทางบันไดไม่ค่อยแข็งแรง

“มาแล้วก็ต้องดู แกนี่กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ติ๋วกับโต้งเป็นเด็กมันยังไม่กลัวเท่าแกเลย ไปๆๆ”

เฟื่องขจรเดินนำไปแล้ว วิศิษฏ์จำใจก้าวตาม ผีอวบกับชุบปรากฏตัวด้านหลัง คว้าหมับที่ขาวิศิษฏ์จนสะดุ้งโหยงตกใจสุดขีด เฟื่องขจรพลอยตกใจไปด้วย พอลูกชายบอกมีใครไม่รู้จับขา เธอก็ว่าเอาอีกแล้วจะโกหกแม่ทำไม

วิศิษฏ์ไม่รู้จะพูดยังไง ได้แต่เดินตามแม่ขึ้นไปแล้วชี้ให้ดูเสาตกน้ำมัน เฟื่องขจรพิจารณาดูก็เห็นจริง แต่บอกว่าไม้เต็งก็แบบนี้

“มีรอยปิดทองด้วยครับ”

“เสาเอกก็ต้องปิดทองเป็นธรรมดา”

แม่ไปได้เรื่อย ลูกชายเหนื่อยใจ ปล่อยให้แม่สำรวจไปสักครู่แล้วชวนกลับบ้าน อ้างว่าเย็นแล้ว จะปรับปรุงบ้านนี้ยังไงค่อยกลับไปคิดต่อที่บ้านเรา

พูดขาดคำเขารีบลงบันไดไปก่อน เฟื่องขจรส่ายหน้า บ่นพึมพำว่าลูกคนนี้กลัวเป็นเด็กไปได้...จากนั้นเธอปิดหน้าต่างลงกลอนแน่นหนา แต่พอจะขึ้นรถออกมามีลมพัดแรงกระชากหน้าต่างเปิดออกจนสองแม่ลูกสะดุ้งตกใจ

“แกขึ้นไปปิดให้แม่หน่อย...เดี๋ยวฝนสาดล่ะก็เปียกหมด กระดานจะผุ...แต่เมื่อกี้นี้แม่ก็ปิดลงกลอนแน่นหนาแล้วนี่”

วิศิษฏ์รู้ว่าเพราะอะไรยังไงจึงรวบรัดตัดบทว่า “ช่างมัน เถอะครับ ผมว่ากลับเถอะ กลับเถอะครับ...นะครับ”

วิศิษฏ์ฉวยข้อมือแม่จะดึงให้กลับ แต่เฟื่องขจรสะบัดพร้อมส่งเสียงดุใส่

“ขึ้นไปปิดให้แม่หน่อย ใช้แค่นี้ไม่ได้รึไง”

วิศิษฏ์หน้าม่อย จำใจเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เฟื่องขจรมองขึ้นไปที่หน้าต่างเห็นผีสองผัวเมียกำลังมองลงมา

“เฮ้ย!” เธอร้องลั่น ขยี้ตาให้แน่ใจ คราวนี้เห็นชัดๆว่าผีสองตนโผล่หน้าต่างมองลงมา มีผีบริวารอีกสี่ตนพยายามแทรกใบหน้าอยู่ในกรอบหน้าต่าง

เฟื่องขจรยืนตะลึงตัวสั่น ถอยหลังกรูด แต่แล้วผีทั้งหกตนวูบหายไปพร้อมๆกับหน้าต่างปิดได้เองเพราะเห็นพิศโผล่มา...

เมื่อวิศิษฏ์วิ่งกลับออกมา เฟื่องขจรไม่รอช้า เป็นฝ่ายเร่งลูกชายให้ขึ้นรถออกจากตรงนี้ไปโดยเร็ว
----------
ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น