วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร พญาโศก ตอนที่ 9


แม้เย็นนี้บริพัตรยังไปพบลำหับไม่ได้ แต่ชาตรีทำให้สองคนได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์ เขาและเธอแสดงความดีใจที่ได้ยินเสียงของกันและกัน บอกรักกันอย่างเปิดอก ลำหับพูดไปน้ำตาไหลไปภาวนาให้เขาหายเร็วๆ กลับมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น

คนังกลับจากโรงเรียนเข้ามาเห็นแม่ยิ้มและร้องไห้สงสัยว่าพูดกับใครแต่ไม่กล้าถาม หันหลังกลับออกไปเงียบๆ

อย่างมีมารยาท แต่ในขณะเดียวกันจักรินกำลังเสียมารยาทโวยวายใส่ตึ๋งหนืด หลังรู้เห็นว่าลำหับจัดห้องไว้ต้อนรับแขก

“ห้องแขกบ้าแขกบออะไรของแม่ แม่หาพ่อคนใหม่ให้เรามานานแล้ว ตอนนี้แม่กำลังจะเอามันออกมาโชว์ให้ทุกคนยอมรับน่ะสิ”

“มันไม่ใช่นะคะ อย่าตำหนิคุณแม่สิคะ”

“ทำไมจะตำหนิไม่ได้ แม่ถามใจเราหรือยัง แม่อยู่ไหน เราจะไปพูดให้รู้เรื่อง สั่งให้ตาวิเวกไปบอกให้กลับบ้านเร็วจะให้กลับมารอรับผู้ชายคนใหม่ของแม่ มันเป็นใคร ใหญ่มากนักเหรอถึงต้องรีบกลับมารอรับมัน”

จักรินฉุนเฉียวออกไปโดยไม่ฟังเสียงห้ามของตึ๋งหนืด ได้ยินประโยคสุดท้ายที่ลำหับพูดก่อนวางสายว่า “หนูจะรอคุณ แต่ครั้งนี้คือการรอคอยอย่างมีความสุข” จักรินยิ่งเข้าใจผิดใหญ่โต ปราดเข้ามาต่อว่าลำหับเสียงดังลั่นบ้าน

“ลุงเป็นผู้ชายคนใหม่ของแม่มานานแล้ว ตอนนี้แม่กำลังจะเอาเขาเข้าบ้าน แม่จัดห้องรอเขา แม่เคยถามจักบ้างไหมว่ายินดีต้อนรับเขาหรือเปล่า”

ลำหับตกตะลึง ถามจักรินว่าเอาอะไรมาพูด

“ความจริงไงแม่”

“จักเข้าใจผิด”

“ไม่ผิด! นึกแล้วว่าต้องเป็นไอ้ลุงจอมบงการคนนี้ แม่หลงมัน แม่รักมันมากกว่าจัก แม่เชื่อฟังมันทุกอย่าง แม่กำลังหลงผิด”

“จักกำลังดูถูกแม่”

“หรือว่าจักดูผิด ดูหน้าแม่สิ ร้องไห้ร้องห่มดีใจที่จะได้ต้อนรับมันเข้าบ้าน ถึงขนาดขัดขวางความสุขของจักที่จะได้มีมือถือใหม่”

คนังเข้ามาได้ยิน นึกไม่ถึงว่าจักรินจะก้าวร้าวล่วงเกินแม่ถึงขนาดนี้ สั่งให้เขาขอโทษแม่เดี๋ยวนี้ แต่จักรินไม่ทำตามแถมยังพูดจาว่าร้ายลำหับไม่เลิก

“แม่ก็อ้างอยู่ตลอดเวลาว่าจักเข้าใจผิด คนัง นายตาบอดรึไงที่ไม่รู้ว่าแม่กับลุงเขาเป็นอะไรกัน”

คนังโกรธจัดชกหน้าจักรินแล้วกระชากคอเสื้อตวาดซ้ำ “เลวมาก อกตัญญู นายพูดกับแม่ของตัวเองแบบนี้ได้ยังไง แม่ครับ ขอโทษที่ต้องยกตัวอย่างชีวิตแม่ แม่ต้องการทำอะไร ถ้าไม่ใช่ความผิดแม่มีสิทธิ์เสมอ นายนั่นแหละไม่มีสิทธิ์จะแตะต้องเรื่องส่วนตัวของแม่”

“มีสิ แม่ทำให้เราไม่กล้าบอกใครว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน ทำมาหากินอะไร แม่ไม่เคยบอกเราว่าพ่อเราคือใคร เราสงสัยว่าพ่อเราเป็นคนห่วยแตก แม่ถึงไม่ยอมบอก”

ลำหับสุดทนตบหน้าจักรินแล้วสำทับว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อด้วยคำพูดหยามเหยียด คนังทำท่าจะชกจักรินอีกแต่ลำหับดึงตัวไว้

“นายด่าว่า ทำบ้าๆใส่พี่ พี่ทนได้ แต่กับพ่อแม่ของเรา พี่ยอมไม่ได้”

“แม่เกลียดจัก แม่รักแต่คนัง ทุกคนในบ้านนี้รักแต่คนัง เอาสิ ช่วยกันรุมตบตีให้ตายกันไปเลย”

“จัก...แม่ขอโทษ อีกไม่นานแม่จะบอกว่าพ่อของจักคือใคร อีกไม่นานจริงๆ”

“ไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่อ แม่โกหก!” จักรินโวยวายแล้ววิ่งพรวดออกไป ลำหับร่ำไห้เสียใจ คนังกอดปลอบบอกว่าตนเชื่อแม่ เทิดทูนแม่ และรู้ว่าพ่อเป็นคนดี ตนต้องทำให้จักรินเข้าใจแม่ให้ได้ เขาถูกตามใจจนไร้เหตุผล

จักรินออกมาสูบบุหรี่ระบายอารมณ์พร้อมกับบ่นว่าทำไมตนไม่เกิดในที่สูงส่งหรูหรานั่งรถราคาแพงเป็นลูกคนใหญ่คนโตมีแต่ผู้คนสยบเอาใจ ชาตรีเดินเข้ามาไม่ได้ยินเสียงบ่นแต่เห็นจักรินสูบบุหรี่ เตือนด้วยความหวังดีว่าบุหรี่อันตรายถึงชีวิต จักรินไม่สนแล้วยังโวยวายจะทำร้ายเขาด้วยซ้ำ

“เฮ้ย! ทำมาตั้งตัวเป็นพ่อ กร่างใหญ่แล้ว รู้ว่าแม่จะเชิดชูให้ออกหน้าออกตาใช่ไหม ถึงขนาดจัดห้องนอนรอรับ”

“พูดจาระวังปากด้วย โดยเฉพาะพูดถึงแม่ตัวเอง”

“พูดความจริงไม่ต้องระวังปากหรอก ไอ้คนที่ไม่ยอมรับความจริงต่างหากที่ต้องระวังตัว ลุงเป็นอะไรกับแม่น่าจะมองออกมาตั้งแต่จำความได้แล้ว”

ชาตรีโกรธแต่ข่มใจไม่เอาเรื่อง หยิบบุหรี่จากมือจักรินปาลงบ่อน้ำใกล้ๆแล้วเดินจากไปเงียบๆ

“โธ่เว้ย! อย่านึกนะโว้ยว่าจะยอมรับให้เป็นพ่อเลี้ยง” จักรินตะโกนไล่หลัง ชาตรีไม่หันกลับมาแต่ส่ายหน้าเบื่อหน่าย ไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนี้มีเลือดเนื้อของบริพัตรรวมอยู่ด้วย

ooooooo

หลังจากไปรับเพ็ญโพยมกลับมาส่งบ้านอาเดียวแล้ว ยศพงษ์กับเฉิดเฉลายังไม่รีบกลับ ยศพงษ์ซักไซ้ลูกสาวถึงนักเรียนชายท่าทางยโส ซึ่งเขาไม่ถูกชะตาว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ฐานะทางบ้านเป็นยังไง

เพ็ญโพยมรู้ทันว่าพ่อตั้งแง่รังเกียจคนจนจึงตอบคำถามอย่างกวนๆแกมประชด ทำให้ยศพงษ์ไม่พอใจพาลไปโทษอาเดียวกับแม่เริ่มที่เลี้ยงลูกของตนให้กระด้าง กระเดื่องพ่อตัวเอง แต่กลายเป็นโดนอาเดียวดุด่าตอกหน้าอีกตามเคย มิหนำซ้ำเพ็ญโพยมก็เถียงไม่ลดราวาศอกเพราะต้องการยั่วประสาทพ่อและแม่เลี้ยง ก่อนจะฉุดแขนแม่เริ่มหนีไปนอนหน้าตาเฉย...

ที่บ้านลำหับ คนังปลอบโยนแม่ที่พร่ำบ่นเสียใจหลังระงับอารมณ์ไม่ไหวตบหน้าจักรินไป ลำหับหม่นหมองสงสารจักริน พอเหลือบเห็นชาตรีเดินมาเธอจึงบอกให้คนังไปนอน

คนังอดคิดตามคำพูดจักรินไม่ได้ แต่ไม่ได้โกรธแม่ แล้วเดินตามชาตรีที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วยออกมาหน้าห้อง ชาตรีให้คนังระวังตัวกับคนแปลกหน้า อย่าบอกชื่อและที่อยู่ให้ใครรู้

“ครับลุง”

“เกิดอะไรขึ้นกับจัก เขาอารมณ์เสียมาก แถมแอบสูบบุหรี่”

“คือวันนี้แม่จัดห้องให้แขกนอน เขาเลย...” คนังอึกอักไม่กล้าพูดต่อ

“ลุงเข้าใจแล้ว ลุงกับแม่ไม่ได้มีอะไรกัน นอกจากมีจิตใจที่ดีต่อกัน คนังเชื่อหรือเปล่า”

“เชื่อครับ...ขอโทษนะครับ ลุงกับแม่เป็นญาติกันหรือเปล่า”

“คนสมัยนี้เป็นญาติกันได้หลายแบบ เป็นญาติเพราะผูกพันกันทางจิตใจดีงามที่สุด เป็นญาติกันเพราะเงินและอำนาจ นั่นเลวที่สุดไม่ยั่งยืน เป็นญาติทางสายเลือดยังไม่

ดีงามเท่าญาติทางจิตใจ สายเลือดเดียวกันฆ่ากันตายมีถมไป”

“ลุงพูดถูกครับ แต่ผมอยากจะบอกลุง แม่มีสิทธิ์ทำในสิ่งที่แม่อยากทำและพอใจ ผมรับรู้มาตั้งแต่จำความได้ว่าแม่ไม่มีความสุข แม่เหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง”

“อะไรบางอย่างที่แม่ของคนังรอคอยกำลังจะเป็นความจริง”

“นี่คือสาเหตุที่แม่สั่งจัดห้องให้แขกใช่ไหมครับ”

“ใช่...แต่ลุงไม่ใช่แขกของที่นี่ ขอบใจมากที่รับฟังลุง”

“ขอบคุณครับที่ทำให้ผมเข้าใจ ลุงครับ ขอผมถามกลับลุงบ้าง คนชื่อบริพัตรเป็นอะไรกับแม่ ลุงรู้จักคนชื่อนี้ไหมครับ”

“ถามแม่ของคนังเองเถอะนะ”

คนังดูออกว่าอีกฝ่ายลำบากใจจึงไม่เซ้าซี้ “เชิญครับลุง แม่รออยู่ ผมจะไปดูจัก ไปอธิบายให้เขาเข้าใจ”

ชาตรีมองตามคนังไปด้วยแววตาชื่นชม สมแล้วที่เขาเป็นลูกของบริพัตร จิตใจช่างดีงามเหมือนกันที่สุด

เมื่อเข้ามาพบลำหับและรู้เรื่องที่จักรินเข้าใจผิด ชาตรีไม่รู้จะทำยังไงนอกจากบอกลำหับว่าให้เขาเข้าใจผิดไปเถอะ พอบริพัตรมาถึงทุกอย่างจะเรียบร้อย

“ค่ะ หนูก็หวังอย่างนั้น แต่หนูยังห่วงอีกเรื่อง ถึงแม้คุณบริพัตรจะกลับมาได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงต้องซ่อนตัว เด็กๆจะเข้าใจไหมคะว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้”

“ทุกวันนี้เธอก็อยู่เหมือนซ่อนตัวไม่คบค้าสมาคมกับใคร”

“คนังยอมรับได้ แต่จักรินไม่ค่อยพอใจนัก แกไม่เข้าใจว่าทำไมหนูไม่ออกไปนอกบ้าน ไม่พาแกไปไหนๆ วันนี้แกโกรธมากที่เห็นหนูจัดห้อง แกเข้าใจผิด”

“คิดว่าจัดให้ฉัน...อีกไม่กี่วันแกจะเข้าใจถูก ฉันกลับก่อนล่ะ”

“หนูจะเดินไปส่งหน้าบ้านค่ะ” ลำหับลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันก้าวขาก็ได้ยินเสียงตึ๋งหนืดกับวิเวกเอะอะอยู่หน้าบ้านห้ามจักรินไม่ให้กดหัวคนังจมน้ำ

จักรินโกรธชาตรีที่โยนซองบุหรี่ของตนลงบ่อน้ำแล้วพาลเอากับคนังที่ออกมาห้ามไม่ให้เอาไม้เขี่ยมันขึ้นมาด้วยการถีบคนังตกน้ำแต่ตัวเองพลัดตกลงไปด้วย วิเวกกับตึ๋งหนืดร้องห้ามก็ไม่ฟัง

คนังถูกจักรินจับกดน้ำแถมกัดหูเลือดไหล ชาตรีกับลำหับวิ่งออกมาตะโกนห้ามก็ไม่เป็นผล ชาตรีเลยต้องโดดลงไปช่วยคนังแล้วพาไปหาหมอ ระหว่างทางยศพงษ์กับเฉิดเฉลาที่ออกจากบ้านอาเดียวขับรถสวนจำหน้าชาตรีได้จึงรีบตาม แต่ครู่เดียวก็ตามไม่ทันเพราะชาตรีร้อนใจเป็นห่วงคนังที่เลือดไหลไม่หยุดเร่งความเร็วราวกับจะบินสองผัวเมียเจ็บใจที่ตามไม่ทัน แต่ไม่ถึงกับอารมณ์เสีย เพราะการตามหาลำหับแคบเข้ามาทุกที เห็นทั้งชายไม่มีชื่อผู้พิทักษ์ลำหับและวิเวกกับตึ๋งหนืด ยังไงลำหับก็ต้องอยู่ละแวกนี้แน่

ชาตรีเปลี่ยนใจไม่พาคนังไปโรงพยาบาลแต่พามายังเซฟเฮาส์ที่บริพัตรกับจูเนียร์พักรักษาตัวอยู่ ให้พยาบาลเย็บแผลที่ใบหูคนัง โดยไม่ให้เจอกับสองคนนั้น

ระหว่างรอคนังทำแผล ชาตรีแยกไปคุยกับทนายซึ่งแวะเวียนมาดูแลบริพัตรอย่างสม่ำเสมอ ทั้งคู่ห่วงความปลอดภัยของบริพัตรและจูเนียร์ เพราะเชื่อว่าคนบนเขาคงกำลังตามตัว แล้วยังหนักใจเรื่องลำหับไม่รู้ว่าจักรินคือลูกของเฉิดเฉลาที่อาจเกิดจากคนอื่นแล้วมาแอบอ้างว่าเป็นลูกของบริพัตรเพื่อรับมรดก

“ที่ผมไม่บอกเธอเพราะเกรงว่าเธอจะไม่ยอมรับเด็กลูกของเฉิดเฉลา มาถึงตอนนี้เธอรักจักรินเหมือนลูกจริงๆ ผมว่าน่าจะบอกเธอได้แล้ว”

“ผมเห็นด้วย”

“คุณบริพัตรคงดีใจมากที่ได้พบลูกทั้งสองคน”

“ผมยังไม่อยากให้ลำหับบอกเด็กๆว่าคุณบริพัตรเป็นพ่อ คนังไม่น่ามีปัญหา แต่จักรินผมไม่แน่ใจ เท่าที่ฟังมาแกดื้อดึงมากอาจไม่ยอมรับ”

“จริงครับ เพราะตอนนี้คุณบริพัตรต้องพรางตัวให้ดูมอมแมม ผมจะต้องพูดเรื่องนี้กับลำหับยังไงดี”

“บางเรื่องก็ช่วยไม่ได้ ผมให้นางพยาบาลเก็บตัวอย่างเลือดของคนังเอาไว้แล้ว เพื่อความถูกต้องในการนำไปตรวจหาดีเอ็นเอ ขอโทษ อย่าว่าผมไม่ไว้ใจคุณลำหับนะครับ”

“ผมเข้าใจ”

“สำหรับจักริน...”

“ต้องรอโอกาส และรอดูสถานการณ์” ชาตรีสรุปแล้วพาทนายมาที่ห้องคนังทำแผล แนะนำว่าเขาเป็นเพื่อนของลุงและเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ คนังยกมือไหว้ขอบคุณทนายอย่างนอบน้อมแต่ไม่ยอมนอนค้างเมื่อถูกเขาชวนเพราะเป็นห่วงแม่ ชาตรีจึงพากลับแล้วอีกเจ็ดวันค่อยมาตัดไหมที่แผล

ooooooo

ในระหว่างที่ชาตรีกับคนังไม่อยู่ ลำหับพยายามทำความเข้าใจกับจักรินมีอะไรให้ออกมาคุยกัน จักรินได้ยินแม่พูดอย่างนั้นยอมออกจากห้องมาต่อรองว่าตนอยากได้รถสักคันขับไปเรียนหนังสือจะให้ได้หรือไม่

เมื่อเห็นลำหับนิ่งไป จักรินโกรธขึ้นมาอีก ประชดว่าตนก็แกล้งลองใจขอรถไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่รู้ว่าแม่ไม่มีวันให้ตนอยู่แล้ว

“แม่ให้ได้ถ้าจักพร้อมจะขับรถ จักอายุยังไม่ถึงสิบแปดมีใบขับขี่ไม่ได้ ที่สำคัญแม่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถให้จักขับ”

“ถามจริงเถอะแม่ ทุกวันนี้ในบ้านเราไม่เห็นมีใครทำมาหากินเป็นชิ้นเป็นอัน ทำไมแม่ยังมีเงินส่งให้จักกับคนังเรียนโรงเรียนนี้ แม่เสกเงินได้หรือว่าลุงเขาเป็นมหาเศรษฐีมีเงินทองมากมาย”

“แม่พอมีเงินเก็บ และคิดว่าการเรียนสำคัญที่สุด แม่เลยส่งพวกลูกเรียนที่นั่น”

“เรียนที่นั่นให้มันเกิดการเปรียบเทียบ จักอายมากนะแม่ คนอื่นนั่งรถเก๋งหรู มีพ่อหรือไม่ก็คนขับรถมาส่ง แต่จักนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปเอง อนาถชีวิต ถามถึงพ่อก็ไม่ยอมเอ่ยถึง พ่อต้องจนต้องดูไม่ดีแน่ๆ แม่ถึงปิดบังไว้”

“แล้วถ้าพ่อของจักยากจนจักจะว่ายังไง”

“จักจะไม่บอกใครว่ามีพ่อยากจน บอกแล้วว่าอาย” จักรินกระแทกเสียงแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ลำหับยืนน้ำตาไหลทั้งสะเทือนใจและสงสาร เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อของจักรินเป็นใคร ยากดีมีจนแค่ไหน

ชาตรีจอดรถส่งคนังหน้าบ้านและกำชับอย่าลืมกินยาแก้ปวดแผล คนังไหว้ขอบคุณเขาก่อนเดินหายเข้าบ้าน พอชาตรีหันหลังจะกลับมาขึ้นรถ เจอลำหับยืนหน้าหม่นรออยู่ เธอบอกว่ามีปัญหาหลายเรื่องไม่สบายใจและลำบากใจ ชาตรีเองก็มีเรื่องอยากคุยกับเธอ คิดว่าจะรอพูดพรุ่งนี้แต่พูดกันตอนนี้เลยก็ได้

สองคนหลบมานั่งคุยกันโดยไม่รู้ว่าจักรินจับตามองด้วยความไม่พอใจ คิดอกุศลว่าแม่ดักรอเขาคงมีความลับอะไรกัน หรือไม่ก็จะแอบพลอดรัก...แต่แล้วความจริงที่ได้ยินสองคนคุยกันก็ทำให้จักรินแทบช็อก!

ชาตรีตัดสินใจบอกลำหับว่าเฉิดเฉลาคือแม่ของจักริน ตอนเอามาให้เลี้ยงไม่บอกเพราะกลัวเธอจะรังเกียจ

เด็ก เนื่องจากเฉิดเฉลามองเธอเป็นศัตรู จักรินคือลูกของเฉิดเฉลาที่หายไป ยศพงษ์เอาแกไปทิ้งไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

“เราไม่ใช่ลูกของแม่ลำหับ...คนชื่อยศพงษ์พรากเราจากแม่เฉิดเฉลา เราจะจำชื่อไปจนตาย จะเก็บเอาไว้ล้างแค้น” จักรินพึมพำทั้งน้ำตา คิดไปเองว่านี่คือเหตุผลที่ลำหับไม่รักตน รักแต่คนังที่เป็นลูกแท้ๆ

แม้ได้ยินลำหับยืนยันกับชาตรีว่าเธอรักจักรินเท่าคนัง ถึงรู้ความจริงก็ไม่ได้รักเขาน้อยลง จักรินไม่เชื่อ เดินร้องไห้กลับเข้ามาขว้างปาข้าวของในห้องนอนระบายอารมณ์ จึงไม่ได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของชาตรี

“ถึงแกจะเป็นลูกของเฉิดเฉลา แต่แกอาจไม่ใช่ลูกของเขา นายแม่จึงสั่งให้ตรวจหาดีเอ็นเอของแกกับเขาเพื่อพิสูจน์ความจริง นี่คือสาเหตุที่ทำให้แกต้องหายตัวไป ฉันว่ามันน่าจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างยศพงษ์กับเฉิดเฉลา แต่ฉันไปชิงตัวเด็กมาได้ก่อน”

ลำหับน้ำตาคลอสงสารจักรินจับใจ ขณะเดียวกันจักรินอยู่ในห้องกำลังร้องไห้เสียอกเสียใจและรำพึงอย่างเจ็บแค้น

“ที่แท้เราก็แค่ไอ้เด็กอนาถาที่เขาเมตตารับมาเลี้ยง ไอ้คนัง ไอ้ลุง นังตึ๋งหนืด ไอ้วิเวก ฉันเกลียดพวกแกทุกคน แม่ของเราชื่อเฉิดเฉลา แม่ใจร้ายร่วมมือกับนายยศพงษ์ทอดทิ้งเราจนต้องมาอยู่กับศัตรูของตัวเอง ทำไมชีวิตมันชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เราทำอะไรผิด ผู้ใหญ่ทำผิดแล้วโยนบาปให้เด็ก”

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้นจักรินทำตัวห่างเหินกับทุกคน เคยสวัสดีลำหับก่อนไปเรียนก็ไม่ทำ แถมพูดจาแปลกๆ ตนรู้ดีว่าเป็นส่วนเกินของที่นี่

ระหว่างทางไปโรงเรียนก็ไม่คุยกับคนัง ยิ่งเห็นเพ็ญโพยมดักเจอคนังแล้วพูดคุยด้วยก่อนซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เข้าโรงเรียนไปยิ่งฮึดฮัดขัดใจ บ่นอุบว่าเพ็ญโพยมตาต่ำ ใช้ตาตุ่มมองไม่ใช้สมองคิด ติดใจอะไรนักหนากับคนังทั้งที่ตนบอกแล้วว่าเป็นแค่ลูกแม่บ้าน

“เพ็ญโพยมคงไม่เชื่อที่เธอพูด” เสียงใครคนหนึ่งดังข้างหลังทำให้จักรินหันขวับไปมองแล้วตกใจเผลอเรียกนางมารร้ายกลายร่างอย่างที่ฟังมาจากเพ็ญโพยม “นั่นเธอเรียกฉันหรือ”

“เปล่า มีอะไรไม่ทราบ”

เฉิดเฉลามีแผนบางอย่างในใจบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย จักรินปฏิเสธเพราะโรงเรียนจะเข้าแล้ว แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนใจยินยอมเพราะเฉิดเฉลาจะพาไปซื้อโทรศัพท์มือถือเมื่อรู้ว่าเขาอยากได้ คนังไม่เห็นจักรินเข้าห้องเรียนก็อดเป็นห่วงไม่ได้

เวลาเดียวกัน ชาตรีสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีจึงตัดสินใจมารับลำหับไปที่เซฟเฮาส์แต่ไม่บอกว่าจะพาไปพบบริพัตรและจูเนียร์ ฝ่ายเฉิดเฉลาที่พาจักรินนั่งรถไปก็แนะนำตัวว่าเป็นภรรยาของพ่อเพ็ญโพยม ไม่ได้ชื่อนางมารร้ายกลายร่าง แล้วถามหนุ่มน้อยว่าชอบเพ็ญโพยมใช่ไหม ถ้าชอบตนช่วยได้

จักรินสงสัยถามว่าทำไมถึงช่วย เฉิดเฉลาอ้างว่าตนทันสมัยและมองออกว่าเขาคงไม่ธรรมดา ได้ยิน เพ็ญโพยมพูดว่าแม่ของเขายอมจ่ายเงินให้พี่เลี้ยงเรียนที่เดียวกันเพื่อมาดูแล แม่คงรักเขามาก...จักรินตาขุ่นขึ้นมาทันที ตอบเสียงแข็งว่าไม่ทราบ จึงโดนอีกฝ่ายแซวว่าเขาอารมณ์เสียง่ายจัง

“ขอโทษ คงเคยตัวเพราะไม่ค่อยมีใครขัดใจ”

“ลูกคนเดียวสินะ”

จักรินอึกอักเล็กน้อยก่อนตอบรับ แล้วอุทานขึ้นมาเมื่อเห็นรถชาตรีแล่นสวนไปด้วยความเร็ว เฉิดเฉลาเอะใจซักถามอีกหลายอย่างแต่จักรินตอบแค่ว่ารถคนงานที่บ้านแล้วนิ่งเงียบ พอดียศพงษ์โทร.เข้ามือถือเฉิดเฉลา ถามว่าเป็นยังไงบ้าง จัดการเด็กจองหองได้หรือเปล่า เธอกลัวไก่ตื่นบอกให้เขาวางสายก่อนเดี๋ยวโทร.กลับ...แล้วพูดดีหวังให้หนุ่มน้อยไว้วางใจว่า

“คุณพ่อของหนูเพ็ญโทร.มา แต่เธอก็ได้ยินนะฉันไม่ได้บอกเขาว่าเธอหนีเรียนมานั่งอยู่ในรถกับฉัน ฉันไม่ต้องการให้เขามองเธอไม่ดี”

“งั้นหรือ ผมไม่ค่อยแคร์ใครหรอกนะว่าจะมองผมยังไง ผมจะเป็นของผมแบบนี้”

“เก่งนี่” เธอเอ่ยชมแต่แอบด่าในใจว่า “เด็กนี่โง่ หลอกง่ายแน่ๆ”

ooooooo

ในขณะที่ลำหับดีใจเหลือล้นได้พบบริพัตรและจูเนียร์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่จากกัน รามกำลังติดต่อยศพงษ์เพื่อให้ช่วยติดตามจูเนียร์ซึ่งเชื่อว่าลงจากเขามาอยู่กับลำหับอย่างแน่นอน

ยศพงษ์รับปากและเล่าให้รามฟังด้วยว่าตนเคยเห็นคนของบริพัตรซึ่งน่าจะอยู่กับลำหับ อีกไม่นานคงเจอแหล่งกบดานของพวกเขา

บริพัตรดีใจมากเมื่อรู้ว่าจักรินลูกชายที่หายไปอยู่ในความดูแลของลำหับพร้อมกับคนังลูกชายอีกคนที่เกิดกับลำหับ และหวังว่าจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่ลำหับขอเวลาทำความเข้าใจกับจักรินที่ค่อนข้างเอาแต่ใจก่อน กลัวแกจะมีปัญหาเพราะเพิ่งมีเรื่องหงุดหงิดใจกันเมื่อคืน...

เฉิดเฉลาพาจักรินไปเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือแต่ไม่ได้กลับมาเพราะราคาเกินงบที่ตั้งไว้ จักรินกลัวเสียหน้าว่าไม่รวยจริงจึงบอกเฉิดเฉลาว่าเอาไว้ก่อนวันหลังค่อยมาซื้อ แล้วให้เธอรีบพากลับโรงเรียนเพราะกลัวคนังจะใกล้ชิดเพ็ญโพยมขณะที่ตนไม่อยู่

คนังไม่ได้ใกล้ชิดเพ็ญโพยมเพราะจักรินสั่งแกมขู่เอาไว้ไม่ให้ยุ่งกับเธอ แต่เพ็ญโพยมต่างหากที่พยายามเข้ามาสนิทสนมคนังเพราะชอบในนิสัยใจคอที่ติดดินไม่ฟุ้งเฟ้อ

เมื่อจักรินกลับมาที่โรงเรียนแล้วเห็นเพ็ญโพยมกินข้าวกล่องของคนังที่เอามาจากบ้านก็ฉุนเฉียวไม่พอใจ แกล้งโยนความผิดว่าคนังสูบบุหรี่หลังจากตัวเองทำซองบุหรี่หล่นในห้องเรียน เพ็ญโพยมรู้เรื่องคนังถูกครูฝ่ายปกครองเรียกสอบสวนและโทษอาจถึงขั้นโดนไล่ออก จึงหาทางช่วยเหลือด้วยการแอบขู่จักรินว่าจะแฉคลิปการโกงข้อสอบของเขา

จักรินใจคอไม่ดีแต่ยังไม่ยอมพูดความจริง กระทั่งชาตรีในฐานะผู้ปกครองทราบเรื่องและหารือกับลำหับก่อนจะไปคุยกับอาจารย์ จักรินชิงตัดหน้าไปอธิบายให้อาจารย์ฟังเพื่อเอาตัวรอดอย่างแนบเนียน

“คนังขอร้องให้ผมมาบอกอาจารย์ว่าไม่ใช่บุหรี่ของเขา แต่ผมเก็บบุหรี่ได้ ส่วนเรื่องสูบบุหรี่ในห้องน้ำก็ไม่มีใครยืนยันว่าเห็นเขาสูบ ผมสงสารเขามาก เมื่อวานกลับไปบ้านผมต้องไปกราบเท้าคุณแม่ว่าให้อภัยเขา”

“เธอกับเขาเป็นพี่น้องกัน ใช้นามสกุลเดียวกัน ทำไมต้องทำขนาดนั้น”

“เขาไม่ใช่พี่ชายผม คุณแม่เก็บเขามาจากสถานเลี้ยงเด็ก พ่อแม่เลี้ยงให้เป็นเพื่อนเล่นผม ให้ใช้นามสกุลเรา ลุงที่เป็นผู้ปกครอง คุณแม่จ้างให้เป็นผู้ดูแลมรดกของคุณแม่”

“เธอต้องการให้อาจารย์ทำยังไงกับเขา”

“อย่าเพิ่งไล่เขาออกนะครับ ผมสงสารเขามาก ยกเว้นเสียแต่ว่าถ้าเขาทำผิดอีกครั้งก็แล้วแต่อาจารย์จะพิจารณา”

“อาจารย์ต้องเอาเรื่องของเขาเข้าที่ประชุมก่อน แต่ก็ขอบใจแทนเขา เธอมีน้ำใจดีงามมาก”

“ได้โปรดอย่าบอกเขากับลุงนะครับว่าผมมาขอร้องอาจารย์ ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมแอบช่วยเหลือเขา เขาจะอับอาย”

อาจารย์พยักหน้า จักรินทำความเคารพแล้วรีบออกไป...เวลานั้นชาตรีกับคนังเดินคุยกันมุ่งหน้ามาที่ห้องอาจารย์

“ลุงรู้นะว่าคนังไม่ได้ทำผิด ทำความดีคือสิ่งที่ดี แต่ถ้าความดีที่ทำเป็นการส่งเสริมให้คนอื่นทำไม่ดีก็ไม่ควรทำ คนังต้องพูดความจริง”

“แต่การพูดความจริงไปทำร้ายคนที่ตนเองรักยิ่งไม่ควรทำใช่ไหมครับลุง”

“แล้วถ้าเขาให้คนังออกจากโรงเรียนล่ะ”

“ผมก็ต้องยอมครับ คงพอมีโรงเรียนอื่นยอมรับผมบ้าง ผมไม่เรียนที่นี่ก็ได้”

ชาตรีฟังแล้วหนักใจ พอเห็นจักรินเดินสวนมาด้วยท่าทีรีบร้อนก็ถามว่าไปไหนมา

“เปล่า ถึงไปมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับลุง” คำตอบแสนอวดดีไร้ความยำเกรงของจักรินทำให้ชาตรีไม่พอใจ

“คงเกี่ยวนะ ฐานะที่ลุงมีชื่อเป็นผู้ปกครองของจัก”

“วางอำนาจ” จักรินตอบโต้แล้วเอียงหน้ามากระซิบคนังก่อนเดินลิ่วไปว่า “เราไปหาอาจารย์มาแล้ว ไม่ต้องบอกลุงบ้านี่”

ชาตรีสงสัยว่าจักรินพูดอะไรแต่พอถามคนังก็ได้คำตอบที่เป็นเท็จว่าจักรินให้กำลังใจตน

จักรินหัวเสียบ่นอุบอย่างชิงชังผู้ปกครองว่าคอยจับผิด สักวันจะหาความผิดมาโยนใส่เขาให้ได้...จู่ๆ

เพ็ญโพยมโผล่มายืนตรงหน้าพร้อมโชว์คลิปวีดิโอการโกงข้อสอบของจักริน

“รีบไปหาอาจารย์แล้วบอกความจริงว่าเธอคือเจ้าของบุหรี่ เธอคือคนที่สูบบุหรี่ หรือเธอจะให้เราเอานี่ไปให้อาจารย์ดู”

“เราไปหาอาจารย์มาแล้ว คิดว่าทุกอย่างคงเรียบร้อย”

เพ็ญโพยมชะงัก มองหน้าจักรินอย่างเชื่อครึ่ง

ไม่เชื่อครึ่ง จนเมื่อเธอได้พบชาตรีกับคนังที่ออกมาจากห้องอาจารย์และทราบว่าคนังไม่โดนไล่ออกแต่ถูกพักการเรียนหนึ่งสัปดาห์ก็เบาใจ แล้วย้อนกลับมาถามจักรินใหม่ในตอนเย็นเลิกเรียนว่าพูดยังไงกับอาจารย์ เขาถึงแค่พักการเรียนคนัง

“ก็พูดอะไรที่มันดีๆ เป็นประโยชน์กับคนัง...แล้วเธอล่ะ จะลบคลิปนั่นได้หรือยัง”

“โอเค” เพ็ญโพยมตอบรับแต่แอบยิ้มเจ้าเล่ห์ “เราพูดคำไหนคำนั้นไม่กลับกลอก เธอก็เหมือนกัน รักษาคำพูดด้วย อย่ารังแกคนังอีก”

“รับรอง”

พูดขาดคำ คนังขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา เพ็ญโพยมร้องเรียกเขา แต่จักรินไม่ต้องการให้สองคนคุยกัน รีบซ้อนท้ายคนังออกไป โดยมีสายตาของเฉิดเฉลาจับจ้องจากในรถด้วยความสนใจ

จักรินให้คนังพาไปส่งที่ร้านขายโทรศัพท์มือถือที่มากับเฉิดเฉลาเมื่อวานเพราะวันนี้มีเงินครบตามราคามือถือรุ่นใหม่หลังจากเคี่ยวเข็ญเอาจากคนังมาได้ แต่กลายเป็นว่าเขาเพิ่งขายคนอื่นไปเมื่อสักครู่ แต่มีรุ่นใหม่ล่าสุดเพิ่งมาถึงต้องเพิ่มเงินอีกหนึ่งหมื่น จักรินหน้าเจื่อน เฉิดเฉลาสะกดรอยตามมายืนมองแล้วทำทีบังเอิญมาเจอ

“เจอกันอีกแล้ว มีปัญหาสินะ ไปหาที่สูบบุหรี่กันด้านโน้นให้อารมณ์ดีก่อนดีกว่า”

จักรินกำลังหาทางออกไม่ได้จึงตกลงอย่างง่ายดาย เฉิดเฉลาหลอกล่อเด็กหนุ่มออกไปแล้วหาทางย้อนกลับมาคุยกับคนขายที่เข้าใจว่าจักรินคือลูกชายให้ช่วยกันโกหก แต่คนขายสงสัยซักไซ้มากเกินไป เธอเลยเสียงแข็งใส่ว่า

“อยากจะขายของได้หรืออยากจะสอบสวนเรื่องราวชาวบ้าน”

“โอเคค่ะ...เอาของมือสองมาบอกว่าเป็นของใหม่ แล้วบอกลูกชายว่าคุณแม่แถมเงินให้แล้วหนึ่งหมื่น”

“ก็แค่นั้น” เฉิดเฉลายิ้มกริ่มเดินออกไป ไม่ได้ยินคนขายบ่นไล่หลังว่า คุณแม่มหาภัยจริงๆ

หลังจากนั้นไม่นาน จักรินก็ยิ้มดีใจได้โทรศัพท์มือถือที่เข้าใจว่าเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดราคาแพง เดินออกจากร้านพร้อมเฉิดเฉลา

“ทำไมคุณไปจ่ายเงินให้ผมอีกตั้งหมื่น ผมจะรีบไปขอคุณแม่เอามาคืนให้”

“ไม่จำเป็น ฉันเห็นเธอแล้วนึกถึงลูกชาย เขาน่าจะอายุเท่ากับเธอนี่แหละ”

“แล้วลูกชายคุณไปไหน”

“โดนโจรลักพาตัวไปตั้งแต่สองสามขวบ”

“ได้ตามหาหรือเปล่า”

“ตามสิ ตามจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว”

“คุณเลยทำดีกับผม ขอบคุณมาก แต่ถึงยังไงผมก็ต้องเอาเงินมาใช้คืนให้”

“ฉันไม่อยากได้เงินคืนจากเธอ แต่อยากได้น้ำใจจากเธอ ยอมให้ฉันพบปะพูดคุยให้หายเหงาบ้างได้ไหม ให้ฉันไปส่งที่บ้านดีไหม”

“แต่วันนี้ไม่สะดวก พี่เลี้ยงมันมาด้วย”

จักรินหมายถึงคนังที่ให้จอดรถรออยู่หน้าร้าน เฉิดเฉลารู้เห็นแล้วแต่แกล้งทำไก๋ จังหวะนั้นเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งของจักรินเดินมาเจอ ถามว่าได้มือถือหรือยัง จักรินยื่นให้ดูอย่างอวดๆ แล้วเดินจากไปเพราะเพื่อนเริ่มพูดมากน่ารำคาญ

เฉิดเฉลาไม่รู้จักชื่อของจักริน คุยกันหลายครั้งแต่ไม่เคยถาม วันนี้ได้โอกาสจึงถามนักเรียนที่ยืนตรงหน้าว่า “เพื่อนคนนั้นของเธอชื่ออะไร”

นพ...เพื่อนของจักรินอมยิ้มเข้าใจว่าสาวใหญ่คนนี้อยากเคี้ยวหญ้าอ่อนเลยตอบอย่างกวนๆว่า

“เห็นทำท่าสนิทสนมกลมเกลียวราวกับกิ๊ก เอ๊ย! แม่ลูกผูกพัน ที่แท้ยังไม่รู้จักชื่อกันหรอกหรือนี่”

“เธออยู่โรงเรียนดีๆ หน้าตาดี พ่อแม่ก็คงจะเป็นคนดีมีฐานะ หัดพูดจาให้มันดูดีกับผู้ใหญ่ด้วย”

“โห! ไปไกลถึงพ่อแม่ บอกให้ก็ได้ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะบ้านแตก พ่อไปทาง แม่ไปทาง มีแต่เงินที่มาทางนี้

“ฉันไม่ถือสาเด็กบ้านแตก จะบอกชื่อเขาได้หรือยัง”

นพยิ้มทะเล้น แทนที่จะบอกว่าชื่อจักริน ดันเอาชื่อของคนังมาอำเล่นสนุกๆ เฉิดเฉลาได้ยินถึงชะงัก ทวนชื่อคนังไปมาก่อนนึกได้ว่าเป็นลูกของลำหับ รีบไปส่งข่าวยศพงษ์ด้วยความดีใจ

“พลิกแผ่นดินหามาสิบสองปี ที่แท้มันอยู่ตรงปลายจมูกนี่เอง”

“คุณจะรายงานให้หมายเลขหนึ่งรู้ไหม”

“เอาไว้ก่อน เราไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังเขาตลอดไป”

“แล้วเราจะทำยังไงกับลูกของนังลำหับ”

“จับตัวมันมาให้ได้เพื่อขยายผลไปจัดการนังลำหับกับบริพัตร”

“รวมไปถึงไอ้คนไม่มีชื่อ น้องชายมันก็น่าจะมารวมก๊วนกัน”

“นั่นลูกของหมายเลขหนึ่งนะ”

“จะทำเป็นรู้ไปทำไม ในเมื่อเราไม่รู้จักหน้าตามัน นั่นเป็นข้ออ้างได้”

สองคนยิ้มย่องช่วยวางแผนการจับตัวลูกชาย

ลำหับโดยไม่รู้ว่ากำลังจะจับผิดตัว!

ooooooo

หลังจากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ จักรินพยายามโทร.หาเพ็ญโพยมแต่เธอไม่รับสายเพราะไม่คุ้นเบอร์ พอวันรุ่งขึ้นไปเรียน คนังถูกพักการเรียนแต่ยังต้องขับรถมาส่งจักริน เพ็ญโพยมเห็นคนังปรี่มาทักทายก่อนขึ้นซ้อนท้ายกอดเอวเขาให้เข้าไปส่งในโรงเรียน

จักรินไม่พอใจถึงกับชกหน้าคนัง แต่เพ็ญโพยมก็ตบหน้าเขาอย่างทันควัน แล้วด่าซ้ำว่ารับไม่ได้กับพฤติกรรมแย่ๆของเขา ทำให้จักรินยิ่งแค้นเคืองคนังมากขึ้นไปอีก

เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเฉิดเฉลาและสมุนสองคน เธอสั่งสมุนคอยตามจับตัวนักเรียนที่เธอจะเข้าไปคุยด้วย จับตัวได้ให้ยึดมือถือมาด้วย

เฉิดเฉลาฉวยจังหวะที่จักรินกำลังเซ็งจัดเข้ามาตีสนิททำทีเอ็นดูเหมือนลูกหลานแล้วชวนไปคุยกันที่อื่น จักรินหลงกลจนได้ เฉิดเฉลาจัดฉากให้สมุนเข้ามาจับตัวเขาไปขัง ตกเย็นคนังมารับจักรินที่โรงเรียนจึงไม่เจอตัว รู้จากเพ็ญโพยมว่าไม่เห็นเขาทั้งวัน

นพเดินผ่านมาเจอทั้งคู่ บอกให้รู้ว่าจักรินคงไปกับพี่โบ...คนังกับเพ็ญโพยมสงสัยว่าพี่โบคือใคร นพหัวเราะก๊าก ขยายความว่า

“พี่โบราณเพราะแก่กว่ามันคราวแม่ ตลกขำกลิ้ง หญิงนางนั้นถามเราว่าจักมันชื่อไร เราเลยนึกสนุกอยากแกล้งนางเล่น อำนางไปว่ามันชื่อคนัง”

พูดจบนพเดินหัวเราะจากไป ทิ้งให้คนังกับ

เพ็ญโพยมงุนงง พอเห็นท่าทีคนังเดือดเนื้อร้อนใจ เพ็ญโพยมอดปลอบเขาไม่ได้

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า จักไปกับสาวใหญ่ใจถึง นางคงไม่เอาไปฆ่า แต่ว่าน่าจะเอาไปเป็นกิ๊ก จักไม่เคยเจอไก่แก่แม่ปลาช่อนเลยหลงละเลิง”

“เมื่อคืนเขาบอกว่าจะโทร.หาคุณ เขาได้โทร.มั้ย”

“ไม่รู้สิ มีเบอร์แปลกๆโทร.หาเรา เราตัดสายไป อาจใช่เขาก็ได้”

“ขอร้องล่ะ ช่วยโทร.กลับไปได้ไหม”

“ไม่ขอร้องก็ได้อยู่แล้ว แต่เราไม่ได้เอาเครื่องนั้นมา เราจะกลับไปโทร.หาเขาที่บ้านแล้วรายงานเธอ”

“ขอบใจนะ...ที่บ้านคงตกใจมาก”

“เรารู้ว่าเธอกลุ้มใจ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ กลับบ้านไปบอกผู้ใหญ่ที่บ้าน เผื่อท่านจะหาทางช่วยอะไรได้ นี่เบอร์ของเรา ติดต่อเราเบอร์นี้”

“ขอบใจมาก”

“เราทำเพราะเธอ ไม่ได้ทำเพราะจักหรอกนะ” เพ็ญโพยมฉีกยิ้มให้คนังด้วยความรู้สึกดีๆ

เวลาเดียวกันนั้น โทรศัพท์ของจักรินอยู่ในมือเฉิดเฉลา สาวใหญ่ยิ้มย่องอยู่ต่อหน้ายศพงษ์เพราะมั่นใจว่าจับตัวลูกชายลำหับได้

ยศพงษ์ชื่นชมความเก่งกาจของเฉิดเฉลาแล้วบอกว่า “มือถือของมันที่ยึดมาต้องมีเบอร์ใครที่มันโทร.หาค้างอยู่แน่นอน”

“ลองโทร.ไปเบอร์ที่ค้างในเครื่องของมันดูสิว่ามันติดต่อกับใครบ้าง”

“จะได้สาวไปถึงตัวนังลำหับกับบริพัตร”

“แน่ใจนะว่ามันไม่รู้ว่าเธอร่วมมือจับมัน”

“ไม่รู้แน่ ไอ้พวกนั้นมันทำเป็นเอาปืนมาขู่ฉันโชว์ให้มันเห็น”

ยศพงษ์รับฟังแล้วไม่พูดอะไรอีก ดึงโทรศัพท์มือถือจากเฉิดเฉลามาค้นหาเบอร์ที่ค้างในเครื่อง

ooooooo


ที่มาไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น