วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 16 ตอนอวสาน


เช้านี้...ที่บ้านเช่าของธาดา ดวงดาวทำอาหารเช้าเอง เพราะไม่เห็นปรารภเอาอาหารเช้ามาให้เหมือนทุกวัน คาดว่าเขาคงติดธุระสำคัญกระมัง

มุกรินบอกว่าเขานัดคุยกับทีมจัดงานแต่งงานและอยากเซอร์ไพรส์ตน เลยไม่ยอมให้รู้ก่อนว่างานจะเป็นอย่างไร

ดวงดาวทักว่าดูเธอไม่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานเท่าไร มุกรินตอบด้วยน้ำเสียงปกติว่า ตนไม่ใช่เด็กๆ ผ่านอะไรๆมาขนาดนี้แล้ว แต่ก็เชื่อว่าปรารภน่าจะดีที่สุดสำหรับตน ดวงดาวถามทันทีว่า

“รู้ได้ยังไงว่าดีที่สุด ฉันยอมรับได้ว่านายปรารภเป็นคนดี แต่ไม่ใช่ว่าเห็นใครดีแล้วเราต้องรีบแต่งงานกับเขานะ”

เห็นมุกรินถอนหายใจ ดวงดาวสะกิดให้คิดว่า ตนไม่ได้บอกให้เธอกลับไปคืนดีกับคิมหันต์ แต่การที่เราเกลียดใครสักคนก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องแต่งงานกับอีกคนเพื่อให้คนที่เราเกลียดเสียใจ ทำอย่างนั้น ความเสียใจก็จะตกอยู่กับเรา เหมือนที่คิมหันต์ทำกับพักตรา แต่ก็เปิดทางให้คิดว่า

“คิดให้ดีก็แล้วกัน คิดเท่าที่ยังมีเวลาให้คิด ฉันอาจจะเด็กกว่าเธอก็จริง แต่ถ้าเธอยังเชื่อใจฉัน เชื่อประสบการณ์ของฉันอยู่ ขอให้รู้นะว่า การตัดสินใจอะไรง่ายๆ เร็วๆ และใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล มีโอกาสสูงที่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิด”

ooooooo

ที่บ้านพักชายป่า...คิมหันต์ให้เวลาแก่พักตราทั้งหมดดูแลเธออย่างใกล้ชิด จนวันนี้เธอกลับมาหัวเราะร่าเริงได้อีกครั้ง...

ฝ่ายมุกรินกำลังมีกิจกรรมที่ต้องทำตามที่ปรารภจัดเตรียมงานแต่งงาน เมื่อดวงดาวเห็นรูปที่ปรารภคุกเข่าต่อหน้ามุกริน เธอถามว่าคุกเข่าขอความรักหรือ มุกรินบอกว่าคุกเข่าขอแต่งงาน เพราะการแต่งงานครั้งนี้ ตนเป็นคนตัดสินใจเอง เขารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง จึงอยากทำย้อนหลังให้ถูกต้อง อย่างรูปที่เธอเห็นนี่แหละ ดวงดาวดูรูปแล้วอุทานทึ่งว่า

“โอ้โอ...จอมสร้างภาพอีกคนแล้ว...ฉันไม่ได้ว่าเขาไม่ดีหรอกนะ มันเป็นอาชีพของเขานี่ แต่ก็ขอให้ภาพที่เขาสร้างขึ้นครั้งนี้ จะทำให้เธอมีความสุขจริงๆ สมกับที่เธอเอาชีวิตลงไปเสี่ยงด้วย”

“เธอไม่เห็นด้วยที่ฉันแต่งงานใช่ไหม”

“ฉันไม่อยากให้ความเห็นของฉันไปกระทบการตัดสินใจของเธอ...แต่ถ้าเธอถาม คำตอบก็คือ ใช่”

ดวงดาวเข้าไปนั่งข้างๆมุกรินพูดต่อเมื่อเห็นเธอฟังแล้วอึ้งๆว่า

“โลกนี้ไม่ได้มีผู้ชายแค่สองคนนะ...ไม่คิมหันต์ก็ปรารภ แค่นั้นเหรอ...ไม่ใช่...หรือถ้าโลกนี้จะไม่มีผู้ชายเลยสักคน เธอจะตายไหม... ก็ไม่...แต่ถ้าในระหว่าง

ชีวิตของเรา เราต้องไม่ทำอะไรที่มันไม่ใช่ความต้องการจากหัวใจของเราจริงๆ ฉันว่า...นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความทุกข์”

ดวงดาวเห็นมุกรินนิ่ง และคิด เธอย้ำ

“รีบๆลืมคิมหันต์ให้สนิทใจก่อนเถอะ แล้วค่อยฟูมฟักรักครั้งใหม่ให้แข็งแรงขึ้น ฉันว่าตาปรารภยินดีรอ”

“ฉันมีเวลาอีกเดือนนึง ก่อนงานแต่งงาน”

“เธอว่าพอไหมล่ะ?” เป็นคำถามที่ทำให้มุกรินนิ่งไป ถอนใจก่อนบอกว่า

“ถ้าฉันปฏิเสธพี่รภตอนนี้ เขาคงเสียหน้าแย่”

“เสียหน้า กับเสียใจ อันไหนหนักกว่ากัน?” ดวงดาวสะกิดให้ชั่งใจ

ooooooo

ฝ่ายชุมสายที่ติดตามข่าวในสังคมตลอดเวลา โทร.หาคิมหันต์ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่กับพักตราที่บ้านพักชายป่าถามว่าคุยได้ไหม คิมหันต์บอกได้ แต่ตนไม่มีธุระอะไรให้เขาทำอีกแล้ว

ชุมสายเล่าบางเรื่องให้ฟัง บอกว่าฟังเล่นๆ เผื่อเขาจะได้วัดใจตัวเองดูว่าตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือเปล่า

ชุมสายเล่าเรื่องราวในโลกออนไลน์ให้ฟังว่า ปรารภโพสต์รูปสวยๆหลายรูป มีคนกดไลค์กันเยอะเลย มันเป็นรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาวสุดแสนโรแมนติก คิมหันต์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงถามว่าแต่งงานกันแล้วหรือ ชุมสายบอกว่ายัง แค่ลองชุด แต่งานแต่งคงประมาณเดือนหน้า

“แกบอกฉันทำไม เขาให้แกมาหยามฉันเหรอ”

“เปล่า...แต่เพราะแกเป็นเพื่อนฉัน...ฉันรู้ว่าแกยังมีอะไรค้างคาใจอยู่อีกเยอะ โอกาสสุดท้ายของแกเหลืออีกไม่มากแล้วนะเพื่อน แต่ถ้าแกทำใจได้แล้ว ปล่อยวางไปแล้ว ฉันก็ดีใจด้วย แต่ถ้าแกอยากจะชำระล้างสิ่งที่ติดค้างนั้นออกให้หมด หรืออยากจะวัดดวงอีกสักครั้งก็บอกมา มีอะไรที่ฉันช่วยได้ ฉันยินดีเหมือนที่ผ่านมาเสมอ”

คิมหันต์ขอบใจ แต่พอตัดสายจากชุมสาย พยาบาลพิเศษก็มาบอกเขาว่า “ท่านเชิญทานข้าวค่ะ”

แต่พอเขาไปนั่งที่โต๊ะอาหาร อรรถถามอย่างรู้การเคลื่อนไหวของเขาทุกอิริยาบถว่ามีธุระสำคัญอะไรที่ยังทำไม่เสร็จหรือเปล่า เห็นเดินคุยโทรศัพท์หน้าตาเคร่งเครียด คิมหันต์ถามว่า “ท่านยังจับตาดูผมอยู่ตลอดเวลา?”

“เพราะเธอเลือกอย่างนั้น” อรรถพูดอย่างเป็นต่อ ย้ำว่าที่จริงตนตัดเขาออกจากวงจรชีวิตไปแล้ว แต่เขาเป็นคนเสนอตัวเข้ามาช่วยบำบัดพักตราเอง ย้ำว่า “ก็เท่ากับว่าเธอเสนอตัวมาเป็นลูกชายฉันเหมือนเดิม แล้วจะให้ฉันมีท่าทีที่ต่างไปจากเดิมได้ยังไง”

อรรถบอกว่าอาการของพักตราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตนปรึกษาหมอ หมอบอกว่าถ้าคงสภาพนี้ไว้จะเป็นผลดีต่อการบำบัดฟื้นฟูมากทีเดียว แต่ในทางกลับกัน ถ้าบรรยากาศดีๆเหล่านี้ เกิดเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน การตีกลับทางอารมณ์ก็เกิดขึ้นและอาจจะรุนแรงมากกว่าเดิม

“ท่านกำลังส่งสัญญาณเตือนผม” คิมหันต์รับรู้เจตนาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา อรรถตอบทันทีอย่างจริงจังว่า

“ใช่...ฉันทำอย่างนั้น เพื่อพักตรา” เห็นคิมหันต์ก้มหน้านิ่ง อรรถบอกว่า “เดี๋ยวพักตราจะลงมากินข้าวด้วย เธอลองสังเกตดูดีๆสิว่า พักตรากลับมาน่ารักเหมือนเดิมหรือยัง ฉันว่ามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ” แล้วอรรถก็โน้มหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆคิมหันต์ พูดเบาๆแต่เสียงเข้ม “อย่าทำให้เราต้องผิดหวังอีกนะ ไอ้ลูกชาย”

ครู่หนึ่งพักตราลงมาที่โต๊ะอาหาร เธอเข้าไปนั่งข้างคิมหันต์ ทักทายอย่างอ่อนหวานนิ่มนวล

“คิม...ตื่นเช้าก็ไม่ปลุกพักตร์ด้วย” เขาบอกว่าอยากให้เธอพักผ่อน พักตราเล่าด้วยสีหน้าแจ่มใสว่า พักตร์มีข่าวดีจะบอกคิม บอกพ่อด้วยค่ะ...”

“ข่าวอะไรเหรอลูก” อรรถถามประคับประคองอารมณ์เธออย่างอ่อนโยน

“พักตร์เพิ่งพูดโทรศัพท์กับหมอ”

“หมอ?...” อรรถทวนคำฉงน

“หมอสูติ ที่เคยดูแลพักตร์ไงคะ หมอบอกว่า พักตร์น่าจะแข็งแรงพอที่จะตั้งครรภ์ได้แล้ว แผลผ่าตัดก็หายดีแล้ว...คิมคะ...น่าจะถึงเวลาที่เราจะมีลูกของเราได้แล้วนะคะ... คืนนี้ เราสร้างบรรยากาศมื้อเย็นดีๆ เพื่อลูกของเรานะคะ”

คิมหันต์ได้แต่ยิ้มบางๆอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อถูกอรรถใช้ไม้เดิมอย่างมีอำนาจและพักตราที่ต้องประคับประคองจิตใจและอารมณ์ของเธอให้ดี...

ooooooo

ที่ร้านอาหารสวย บรรยากาศดี ปรารภพามุกรินมานั่งทานอาหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงานระหว่างรออาหาร ปรารภเอ่ยขอว่าก่อนแต่งงานถ้าเธอเห็นตนมีข้อเสียอะไรหรือเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบให้บอกได้เลย พูดเสียตั้งแต่วันนี้เพื่อวันข้างหน้าระหว่างเราจะได้ไม่มีอะไรอึดอัดในใจ ปรารภบอกว่าตนผิดหวังกับชีวิตแต่งงานสามครั้งที่ผ่านมาจนไม่อยากผิดหวังอีกแล้วและไม่อยากให้เธอผิดหวังด้วย

แต่มุกรินก็ไม่ได้พูดอะไร ปรารภเล่าแผนงานว่า

“อาทิตย์หน้าเราถ่ายรูปพรีเวดดิ้งสวยๆกันนะ ถ้าวันนึงมุกทิ้งพี่ไป พี่จะได้มีรูปสวยๆเอาไว้ปลอบใจตัวเองทีหลัง พี่สั่งทีมงานให้เขาหาโลเกชั่นที่สวยที่สุด โรแมนติกที่สุดสำหรับเรา รวมทั้งช่างภาพต้องฝีมือดีที่สุดและต้องไม่ใช่ชื่อ คิมหันต์ สุริยะศักดิ์”

ฝ่ายพักตราก็เฝ้าเอาอกเอาใจคิมหันต์ เธอวางแผนจะมีลูกกับเขาคืนนี้เพื่อลูกจะได้คลอดออกมาในเดือนเมษายน ถามว่าราศีเมษเขาชอบไหม

พอคิมหันต์ตอบรับ พักตราบอกว่าตนง่วงแล้วจะไปนอนรอเขาที่ห้อง ให้รีบตามไป

เมื่อพักตราขึ้นห้องนอนแล้ว อรรถจึงบอกคิมหันต์ว่า หมอสั่งโซลอฟให้เธอกิน กินแล้วทำให้ง่วง หมอต้องการให้เธอพักผ่อนมากๆ ให้คลายเครียด ทำให้พักตราต้องนอนเร็วอย่างนี้ทุกคืน แล้วถามหยั่งเชิงว่าเขากังวลเรื่องการเป็นพ่อคนไหม

“ไม่ครับ...แค่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมกับบทบาทนี้”

“เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะมันจะไม่มีวันเกิด เรื่องนึงที่พักตรายังไม่รู้เพราะหมอมีความเห็นว่าไม่ควรบอกเธอ นั่นคือเธอจะไม่มีโอกาสท้อง” อรรถเล่าว่า

เพื่อรักษาชีวิตคนไข้ หมอจำเป็นต้องตัดมดลูกเธอออกไป พูดอย่างอดกังวลไม่ได้ว่า “ฉันนึกไม่ออกเหมือนกันว่า วันนึงที่ยายพักตร์รู้ความจริงเรื่องนี้ เธอจะเป็นยังไง”

คิมหันต์เองก็นิ่งไปอย่างไม่คาดคิด เขาพูดไม่ออก จนอรรถเป็นคนเอ่ยขึ้นอีกว่า

“ถ้านายไม่อยากอยู่ที่นี่จนถึงวันนั้น ก็บอกฉันนะ ฉันไม่มีความคิดจะเก็บกักตัวนายไว้ที่นี่อีกแล้ว” คิมหันต์บอกว่าตนอาจมีความจำเป็นต้องเข้ากรุงเทพฯ “เธอมีสิทธิ์ทำอย่างนั้นได้ แต่บอกฉันก่อนไปก็จะดี”

“ผมจะพยายามครับ” และเมื่ออรรถลุกเดินออกไป เขาก็โทร.ถึงชุมสายทันที “นอนรึยังวะเพื่อน ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากแกอีกสักครั้งว่ะ สัญญาว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ชุมสาย”

ooooooo

เช้านี้...ที่ห้องเสื้อในโรงแรมหรู มุกรินในชุดเจ้าสาวแสนสวยยืนให้ช่างเก็บรายละเอียดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่

ครู่หนึ่งทีมงานถือโทรศัพท์เข้ามาบอกว่า “โทรศัพท์คุณมุกค่ะ...จากคุณดวงดาว”

ดวงดาวโทร.มาอวยพรให้เธอมีความสุขมากๆ มุกรินติงว่าแค่ลองชุดไม่ใช่งานแต่ง ดวงดาวบอกว่าถ้าจะมีความสุขก็ต้องสุขตั้งแต่วันนี้ ถามว่า “ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” มุกรินถามว่าถ้าตนยกเลิกงานแต่งจริงๆ เธอจะดีใจไหม

ดวงดาวบอกว่าเฉย ๆ ให้ถามปรารภดีกว่าว่ารับไหวไหม มุกรินบอกว่าเขาไม่อยู่ เดี๋ยวถ้าอารมณ์ดีจะถามให้

แต่ที่แท้ก่อนหน้านี้สามวัน ปรารภนัดคุยกับดวงดาว เขาปรารภว่า ไม่แน่ใจว่ามุกรินอยากแต่งงานกับตนจริงๆ หรือเปล่า ดวงดาวถามว่าทำไมเขาไม่ถามมุกรินเอง

“เขาไม่พูดความจริงเรื่องนี้กับผม ผมรู้สึกว่า เขาแค่ต้องการหนีจากคิมหันต์เท่านั้น” ดวงดาวบอกว่าตนก็รู้สึกเช่นนั้น “นั่นก็แปลว่า เขาไม่ได้อยากแต่งงานกับผมจริงๆ มุกหลอกผม” ดวงดาวติงว่ามุกรินไม่มีเจตนาอย่างนั้นหรอก ปรารภเชื่อว่าลึกๆแล้วมุกรินอาจจะยังลืมคิมหันต์ไม่ลง จึงอยากจะให้เวลามุกรินอีกสักนิด บอกดวงดาวว่า

“ผมจะเปิดโอกาสให้มุกได้เจอคิมหันต์สักพักนึง เพื่อให้เขาตอบตัวเองได้จริงๆว่า เขาตัดใจจากหมอนั่นได้จริงหรือไม่”

ดวงดาวถามว่าเขาคิดว่ามุกรินจะยอมไปเจอคิมหันต์อีกหรือ ปรารภบอกว่าตนสามารถทำให้เขาเจอกันได้

“นี่มันบ้าชัดๆ คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าคุณกำลังเล่นกับอะไร คุณท้าทายอารมณ์คนแบบนี้ไม่ได้นะ โดยเฉพาะกับคนที่ทั้งรักและแค้นมาก มันอาจจะเกิดอะไรที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้นะ”

“เขาทั้งคู่จะอยู่ในสายตาของผมตลอด ระหว่างผมกับมุกริน จะต้องไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงอีกเป็นอันขาด”

“งั้นฉันก็ขอเอาใจช่วยคุณ ขอให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คุณต้องการนะคุณปรารภ แต่ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะไม่มีวันไว้ใจนายคิมหันต์แม้แต่นิดเดียว”

นั่นคือเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน และตามมาด้วยเรื่องราวที่กำลังเป็นไปตามแผนของปรารภวันนี้...

ooooooo

ที่ห้องเสื้อในโรงแรมหรู ทีมงานมาบอกมุกรินในชุดเจ้าสาวแสนสวยว่ารถมารออยู่ด้านหน้าแล้ว

มุกรินถามว่าเสื้อผ้าตนล่ะ ทีมงานบอกว่าอยู่ในรถตู้แล้ว เธอถามว่ามีใครไปกับตนบ้าง ทีมงานบอกว่าช่างภาพ เธอพึมพำขำๆว่า “หวังว่าพี่รภคงจะไม่ทำอะไรเซอร์ไพรส์ฉันอีกนะ” ทีมงานบอกว่าอันนี้ไม่ทราบ

เมื่อขึ้นรถตู้แล้ว ทีมงานบอกว่าปรารภจะตามไปให้เร็วที่สุด อวยพร “ถ่ายรูปให้สนุกนะคะ”

มุกรินขึ้นนั่งที่เบาะใหญ่กลางรถ ข้างหลังสุดมีเด็กหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่ เขาแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยช่างภาพชื่อเจมส์

“วันนี้ต้องเหนื่อยหน่อยนะครับ แต่ลูกพี่ผมฝีมือดี รับรองว่ารูปออกมาสวยแน่ๆครับ”

เวลาเดียวกันอรรถอยู่ที่บ้านพักชายป่า เขาทักพักตราที่เดินลงมาว่าตื่นเช้าจัง เธอถามหาคิม อรรถบอกว่าเขาเข้ากรุงเทพฯมีงานบางอย่างที่ต้องสะสางให้เสร็จ พักตราสงสัยว่าเป็นงานอะไร อรรถอ้างว่าเขาเป็นช่างภาพก็ต้องไปถ่ายภาพ

“เขาน่าจะบอกพักตร์ก่อน งั้นพักตร์ไปนอนต่อนะคะ คิมมาแล้วเรียกพักตร์นะคะ” พักตราเดินกลับไปอย่างไร้อารมณ์

อรรถมองตามอย่างหนักใจ เพราะเมื่อคืนเขาบอกคิมหันต์แล้วว่าควรบอกพักตราก่อนไป คิมหันต์บอกว่า

“เพื่อรักษาสภาพจิตใจของพักตรา ผมคิดว่าเธอไม่ควรรู้ว่าผมไปไหน ที่จริงเธออาจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ที่นี่ ผมกลับมาให้เธอเห็นหน้าเมื่อไหร่เธอก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าผมอยู่ที่นี่กับเธอตลอดเวลา”

“แล้วสภาพจิตใจของฉันล่ะ เธอจะไม่บอกให้ฉันสบายใจหน่อยเหรอว่าเธอไปทำธุระกับใคร? ที่ไหน?”

คิมหันต์บอกตรงๆ ว่าเกรงเขาจะรับไม่ได้ อรรถถามอีกว่าเขาจะกลับมาที่นี่อีกไหม คิมหันต์เตือนความจำว่าเขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่าเป็นสิทธิ์ของตน พูดแล้วขึ้นรถขับออกไปทันที

ครู่เดียวอรรถยกมือถือขึ้นพูด “ฮัลโหล...รู้รึยังว่าเขาอยู่ที่ไหน เจอตัวเมื่อไหร่ ส่งข่าวบอกฉันทันทีนะ”

วางสายแล้ว อรรถยังนั่งกังวล...

ooooooo

ที่สวนสาธารณะร่มรื่นแถวชานเมือง ที่นั่นถูกจัดเตรียมเป็นสถานที่ถ่ายรูปแต่งงานอย่างสวยงาม มีรถสปอร์ตหรูเปิดประทุนคันหนึ่งจอดอยู่ เหมือนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำหรับถ่ายรูปคู่บ่าวสาว

มุกรินมาถึงแล้ว ผู้ช่วยช่างภาพพาเธอไปนั่งในรถสปอร์ตหรูคันนั้น บอกว่าให้รอช่างภาพครู่เดียว เราจะถ่ายช็อตแรกกับรถคันนี้

มุกรินเข้าไปนั่งรอในรถสปอร์ต อึดใจเดียวก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมานั่งที่คนขับ เขาคือคิมหันต์นั่นเอง!

“ผมคือช่างภาพ” คิมหันต์แนะนำตัวเองแล้วสตาร์ตรถทันที อึดใจเดียวรถสปอร์ตหรูก็เคลื่อนออกไปอย่างเร็วจนทีมงานพากันมองตะลึง!

ปรารภอยู่ที่บ้านสวน เขาโทร.เช็กกับทีมงานว่าเจ้าสาวของตนไปถึงหรือยัง ทีมงานบอกว่ามาถึงเมื่อครู่นี้แล้ว

“โอเค...เดี๋ยวจะมีแขกของพี่คนนึงมาขอคุยกับเจ้าสาวนะ เขาชื่อคิมหันต์ พี่อนุญาตให้คุยกันได้สักครึ่งชั่วโมง พวกเราคอยดูให้ดีด้วย ให้คุยอยู่ที่นั่นอย่าไปไหนไกล พี่กำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”

“ไม่ทันแล้วค่ะ คือคุณมุกรินมาแล้ว ออกไปแล้วค่ะ... ไปกับช่างภาพ” ปรารภตกใจถามว่าช่างภาพไหน! “ช่างภาพ ที่ชื่อคุณคิมหันต์ แกมาแทนช่างภาพของเรา ตอนนี้แกขับรถออกไปกับเจ้าสาวของพี่แล้วครับ” ทีมงานอีกคนรายงาน

“หา!!” ปรารภร้องลั่น

ooooooo

คิมหันต์ขับรถพามุกรินในชุดเจ้าสาวออกนอกเมือง ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบ จนมุกรินถามขึ้นว่าจะพาตนไปไหน ขับมาไกลเกินไปแล้ว

คิมหันต์บอกว่าที่สวยๆ ก็ต้องใช้เวลาหน่อย ถามว่าเธอไม่มีธุระอะไรต้องรีบไปไหนไม่ใช่หรือ มุกรินสวนไปว่าเวลาของเขาหมดแล้ว

“ผมรู้...แต่นี่ไม่ใช่เวลาของผม...มันเป็นเวลาของคุณ... เวลาที่คุณต้องตัดสินใจ” มุกรินถามว่าปรารภรู้หรือเปล่าว่าเขามา “รู้...เขาเป็นคนยื่นข้อเสนอให้ผมได้คุยกับคุณ แต่เขาไม่รู้ว่าผมจะพาคุณไปไหน”

“คุณหักหลังเขา!”

“เปล่า...ถึงเมื่อไหร่ คุณโทร.บอกเขาได้เลย” มุกรินบอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เขาจะทำอย่างนี้ “อย่างน้อยผมก็ได้ถ่ายรูปคุณในชุดเจ้าสาวที่นั่น...หรือคุณคิดว่ามีใครถ่ายรูปคุณได้สวยกว่าผมบ้าง” พูดแล้วเขาเร่งรถพุ่งทะยานไปข้างหน้า...

ฝ่ายอรรถคอยโทร.เช็กกับลูกน้องที่สวนร่มรื่นแห่งนั้น เขาถามว่ามีอะไรคืบหน้าไหม ลูกน้องรายงานว่าเขามาถ่ายรูปแต่งงานกัน อรรถโล่งใจว่าคิมหันต์คงไปทำงานตามปกติ แต่พอลูกน้องบอกว่า

“น่าจะไม่ปกติครับ เขาเพิ่งขับรถพาเจ้าสาวหนีออก จากงานครับ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าหนีไปไหน” อรรถถามว่าเจ้าสาวชื่ออะไร พอลูกน้องบอกว่าชื่อมุกริน อรรถสั่งเครียดทันทีว่า

“หาให้เจอว่าพวกเขาไปที่ไหน แล้วรายงานฉันด่วน!”

สาวคนใช้ที่เอาเครื่องดื่มมาให้อรรถ ได้ยินการสนทนานั้นทั้งหมดทุกคำ เมื่อกลับไปที่ห้องโถงเห็นพยาบาลนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไม่ไกลนักเห็นพักตรานอนหลับอยู่ สาวใช้มองพักตราบอกว่าสงสารคุณพักตราจัง พยาบาล ถามว่าเรื่องอะไรหรือเพราะพักตราอาการดีขึ้นเยอะแล้ว

“ก็สามีแกน่ะสิ นอกจากจะทิ้งขว้างไม่ดูแลแล้ว ยังไปฉุดเจ้าสาวคนอื่นเขาหนีออกจากบ้านอีก แต่ต้องอย่าให้คุณพักตรารู้เรื่องนี้เด็ดขาด” พยาบาลถามว่าเจ้าสาว ที่ไหนยอมอย่างนั้น “จะใครเสียอีกล่ะ ก็แฟนเก่าคุณคิมหันต์ที่เคยหมั้นกันแล้วถอนหมั้นเสียโด่งดังน่ะแหละ”

“มุกริน” พยาบาลจำได้

“เออ...นั่นแหละ” สาวใช้ยืนยัน แต่ทั้งสองไม่รู้ว่า พักตราไม่ได้หลับ เธอเบิกตากว้างและเกร็งไปทั้งร่าง!

ooooooo

ปรารภไปหาดวงดาวเล่าเรื่องคิมหันต์ฉกมุกรินไปให้ฟัง ดวงดาวสมน้ำหน้าที่ตนเตือนแล้วไม่เชื่อ

“อย่าเพิ่งซ้ำเติมผมได้ไหม บอกมาก่อนว่าคุณพอจะเดาได้หรือเปล่าว่าเขาน่าจะไปที่ไหน”

ดวงดาวบอกไม่รู้ ก็พอดีมือถือปรารภดังขึ้น ฟัง ปลายสายแล้วเขาบอกดวงดาวว่ารู้แล้วว่าพวกเขาไปที่ไหนกัน เพราะทีมงานตนคาดคั้นจากผู้ช่วยคิมหันต์ รู้ว่าพวกเขามุ่งหน้าไปพัทยา ที่ที่เขาเคยบอกรักกัน

“คุณแพ้เขาแล้ว” ดวงดาวยิ้มสมเพช ปรารภบอก ว่ายังเพราะตนจะต้องตามหาพวกเขาให้เจอ “เขาตั้งใจบอกให้คุณตามไปต่างหาก เตรียมตัวอกหักได้เลย คุณไม่ทันเขาจริงๆ คุณปรารภ”

คิมหันต์พามุกรินไปถึงริมทะเลแล้ว เขาลงจากรถไปบอกว่าเรามีเวลาคุยกันสามชั่วโมงกว่าปรารภจะตามมาเจอ ขณะนั้นเองมุกรินก็ได้รับข้อความจากดวงดาวว่า “ฉันอยู่กับปรารภ กำลังตามไป” มุกรินแอบกดหมายเลขลงไปบนโทรศัพท์ของเธอ เพื่อให้ดวงดาวและปรารภได้ยินการพูดกันระหว่างตนกับคิมหันต์ แล้วเดินลงไปหา

คิมหันต์ที่ยืนพิงกระโปรงรถอยู่

คิมหันต์บอกว่าเธอไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ตนจะพูดให้เธอฟังเองเพราะนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ตนจะได้คุยกับเธอ บอกว่าตนพยายามพูดกับเธอดีๆ แต่เธอไม่ยอมฟัง ตนจึงต้องใช้วิธีนี้

ดวงดาวที่นั่งรถมากับปรารภ เห็นเบอร์มือถือมุกรินโชว์เธอบอกปรารภว่ามุกรินโทร.มา แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอบอกว่า

“ไม่ได้พูดอะไร มุกคงอยากให้เราฟังเขาคุยอะไรกัน” ดวงดาวอ่านใจมุกรินออก แล้วกดเปิดลำโพงให้ได้ยินด้วยกัน

ทั้งสองเงียบคอยฟังเสียงจากมือถือ ได้ยินเสียงคิมหันต์พูดขึ้นก่อนว่า

“ทันทีที่คุณบอกว่าจะแต่งงานกับนายปรารภ คุณรู้ไหมว่าหัวใจผมแหลกสลายไปแค่ไหน”

“วิธีนี้อีกแล้วนะนายคิมหันต์” ดวงดาวเปรยขึ้นอย่างรู้ทัน แล้วนิ่งฟังเสียงคิมหันต์...

“คุณรู้...ผมเชื่อว่าคุณต้องรู้ แต่คุณจงใจที่จะ

ทำร้ายผมด้วยวิธีแบบนี้...และมันก็ประสบความสำเร็จสมใจคุณ แต่คุณถามตัวเองแน่ๆหรือยังว่า คุณยอมเอาชีวิตที่เหลือของคุณทั้งชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ผมหัวใจสลาย มัน คุ้มกันไหม”

“คำถามแค่นี้ ถามที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องลักพาตัวมาอย่างนี้เลย” คิมหันต์แย้งว่าเพราะเธอไม่เปิดโอกาสให้ตนได้พูดและไม่ยอมเปิดใจตัวเองให้หัวใจตัวเองเป็นผู้ตัดสิน “ฉันเบื่อแล้วค่ะคิม ฉันเบื่อที่จะถามใจตัวเองแล้ว เพราะทุกครั้งที่ฉันถาม คำตอบมันก็คือคำตอบของหัวใจฉัน ไม่ใช่หัวใจคุณ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆ แล้วหัวใจของคุณเป็นยังไง”

คิมหันต์บอกให้เธอถาม มุกรินบอกว่าไม่ถามเพราะตนรู้หมดแล้ว คิมหันต์แย้งว่าสิ่งที่เธอรู้เป็นแค่เปลือกอารมณ์ชั่ววูบของตน มุกรินบอกว่าอารมณ์ชั่ววูบของเขาแต่มันทำลายตนทั้งชีวิต!

คิมหันต์ยังคงชี้แจงด้วยเหตุผลของตัวเองที่มุกรินรับไม่ได้ คิมหันต์ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมว่า

“คุณกำลังตัดสินใจผิดนะมุก คุณไม่ได้รักนายปรารภ ถ้าคุณรักเขาจริง คุณต้องแต่งงานกับเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว คุณปฏิเสธไหมล่ะ” คิมหันต์จับบ่าทั้งสองของเธอให้มาเผชิญหน้า มุกรินจับมือเขาออกแล้วเดินเลี่ยงไป คิมหันต์เว้าวอนตามหลังว่า “แต่งงานเพราะความแค้นกับแต่งงานเพราะรัก มันให้ผลที่ต่างกันมากนะ เชื่อผมเถอะมุก”

มุกรินหยุดยืนนิ่ง ไม่ตอบ และไม่สบตา

ดวงดาวฟังอยู่กับปรารภ ถึงตอนนี้เธอถามเขาว่าอยากให้ตนใส่หูฟังไหม ปรารภแข็งใจบอกว่าไม่ต้อง และขับรถต่อไปด้วยสีหน้าที่ซีดและเครียดอย่างเห็นได้ชัด

ooooooo

คิมหันต์ยังคงรำพึงถึงอดีตว่า ตนมีรูปถ่ายในที่ที่ตนบอกรักเธอเยอะมาก มุกรินบอกให้เขาลบออกเสียให้หมด

“ผมลบแล้ว แต่ยังไม่หมด...ผมเริ่มต้นลบตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าผมสิ้นหวัง แต่ก็มีรูปที่ลบเท่าไหร่ก็ลบไม่ออก มันคือรูปในใจของผม ในความทรงจำของผม ผมอยากรู้ว่ามันหมดไปจากความทรงจำของคุณด้วยหรือเปล่า”

มุกรินสะกดใจตัวเองไม่ให้หวั่นไหวไปกับเขา เธอเปลี่ยนเรื่องถามว่าเขาจะทำอย่างไรถ้าปรารภมาถึง

“ผมจะขอให้คุณเลือก ไม่ใช่แค่ผมหรอกที่กังวลเรื่องนี้ ว่าที่เจ้าบ่าวของคุณก็กังวลเหมือนกัน ผมจะบอกให้นะ ไม่มีผู้ชายคนไหนหรอก จะมีความสุขกับการแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้รักเขา”

ปรารภฟังแล้ว นิ่ง เงียบ จนดวงดาวเอ่ยขึ้นว่า “โอกาสคุณน้อยลงเรื่อยๆแล้วนะ” ปรารถยังคงนิ่ง

คิมหันต์บอกมุกรินว่า ปรารภเป็นคนเปิดโอกาสให้ตนคุยกับเธอเพื่อให้เธอเช็กหัวใจตัวเองอีกครั้ง ชมว่า

“ต้องถือว่านายปรารภเป็นสุภาพบุรุษไม่น้อย... ถ้าคุณตัดสินใจเลือกเขา เพราะคุณรักเขาจริง ผมก็ยินดีจะถ่ายรูปคู่ให้คุณ เพราะผมรู้ว่ามุมไหนของคุณสวยที่สุด โดยเฉพาะที่หาดนั้น... ผมอาจจะไม่ได้ใส่ชุดเจ้าบ่าวยืนข้างๆคุณ แต่ผมก็ยังมีโอกาสได้มองคุณในชุดเจ้าสาวเต็มๆตา แม้จะต้องมองผ่านเลนส์กล้อง ก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็นเลย...”

มุกรินนิ่ง คิมหันต์บอกว่า หวังว่าเธอจะตัดสินใจได้ก่อนปรารภมาถึง มันไม่ได้ยากอะไรถ้าเธอเปิดใจตัวเอง อย่าทำให้ผู้ชายดีๆอย่างปรารภต้องทุกข์ทรมานไปทั้งชีวิตเลย มุกรินบอกว่าตนเชื่อว่าจะรักเขาได้
ไม่ยาก

“คุณรู้ได้ยังไงว่าความเชื่อกับความเป็นจริงมันจะเหมือนกัน...คุณกล้าถามเขาต่อหน้าไหมล่ะ เมื่อเขามาถึงคุณถามเขาเลย บอกเขาว่าวันนี้คุณยังไม่ได้รักเขาหรอกนะ แต่อยู่ไปสักพักฉันจะรักคุณเอง ทำสัญญากันก็ได้ว่าอีกกี่ปีถึงจะรัก ห้าปี หกปี เจ็ดปี ดูซิว่าเขารอได้ไหม คำตอบของเขาจะทำให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น...อยู่ที่ว่าคุณจะกล้าพูดกับเขาอย่างนี้ไหม”

มุกรินตัดสินใจเดินกลับไปที่รถ ปิดมือถือของตนทันที ปรารภที่ฟังอยู่อย่างใจจดจ่อถามดวงดาวว่าสายหลุดหรือ

“มุกเขาคงไม่อยากให้เราได้ยินบทสนทนาหลังจากนี้ มากกว่า คุณเสียเธอไปแล้วล่ะ คุณปรารภ”

ooooooo

คิมหันต์ยังพยายามรื้อฟื้นความทรงจำที่เคยรักกัน สัญญาให้กัน กระทั่งบอกเธอว่า ความรักอาจจะไม่ได้จบลงด้วยการแต่งงานหรือการอยู่กินด้วยกันเสมอไป

มุกรินฟังแล้วคิดถึงปรารภ บอกเขาว่า “พี่รภคงจะเกลียดฉันไปอีกนาน ถ้าฉันบอกเลิกการแต่งงานตอนนี้ เขาเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขาวาดฝันถึงอนาคตหลังการแต่งงานไม่น้อย”

“ไม่เท่าผมหรอก” แล้วคิมหันต์ก็รำพึงรำพันถึงอดีตที่หวานชื่นกับเธออีก ถามว่า “คุณเคยเสียดายเวลาบ้างไหม”

“ถ้าคุณจะเริ่มพูดเรื่องเก่าเพื่อรื้อฟื้นความรู้สึกเดิมเมื่อไหร่ ฉันจะเดินหนีคุณไปทันที”

เมื่อมุกรินไม่ฟังการรื้อฟื้นความรู้สึกเดิมอีก คิมหันต์เปลี่ยนเป็นขอจับมือ เห็นมุกรินไม่ปฏิเสธเขากุมมือเธอไว้เบาๆ เป็นสัมผัสที่ทำให้มุกรินรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขา เธอรีบดึงมือออกลุกขึ้น คิมหันต์ลุกไปนั่งห่างออกไป หันหน้ามองเธอบอกว่า จะนั่งมองหน้าเธอจนกว่าปรารภจะมาและฟังคำตอบสุดท้ายจากปากเธอ

เวลาเดียวกันนั้น ที่บ้านพักชายป่ากำลังโกลาหลเมื่อพักตราหายไปจากบ้าน บอกพยาบาลพิเศษว่าจะไปเดินเล่นและห้ามใครตาม เธอหนีออกไปเช่ารถตู้หนีไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน

เวลาเดียวกันนั้น ปรารภกับดวงดาวก็กำลังบ่ายหน้าไปพัทยา ปรารภถามดวงดาวว่าใกล้ถึงหรือยัง เธอบอกว่าอีก 25 นาที ถามว่า “คุณเตรียมคำพูดประโยคแรกไว้หรือยัง” เขาบอกว่ายังคิดไม่ออก

คิมหันต์ยังทำเวลาเต็มที่ เขารำพึงรำพันถึงเวลาที่ไม่เท่ากันของคนที่มีความสุขกับคนที่มีความทุกข์

“เวลาของคนมีความสุข กับเวลาของคนมีความทุกข์เดินไม่เท่ากัน เวลาของคนมีความรักกับเวลาของคนอกหักก็ไม่เท่ากัน...ผมรู้ว่าเวลาของผมกับคุณตอนนี้...กำลังเดินไม่เท่ากัน”

คิมหันต์รำพึงรำพันเสียจนมุกรินต้องตัดบทว่า

“ฉันก็อยากจะเห็นใจคุณนะคะคิมหันต์ แต่เวลาที่เดินช้าๆของฉัน มันยิ่งทำให้ฉันคิดถึงอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น ฉันคิดถึงสิ่งที่คุณทำ คิดถึงทุกคนรอบๆ ตัวฉัน ซึ่งรวมถึงพักตราด้วย คุณไม่สามารถตัดพักตราออกไปจากความรับผิดชอบของคุณได้ค่ะคิม...คุณทำอย่างนั้นไม่ได้”

ทั้งสองสบตากันนิ่งอยู่อย่างนั้น ในสายตาของทั้งคู่ต่างมีความเข้าใจกันและกัน แต่มุกรินก็ตัดสินใจอย่างเข้มแข็งเสนอว่า

“เรานั่งนิ่งๆให้เวลาของเราหมดไปภายในวันนี้เถอะค่ะ”

ooooooo

อรรถร้อนใจมากที่พักตราหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาโทร.หาชุมสายถามว่าตอนนี้คิมหันต์อยู่กับเขาหรือเปล่า

“เขาอยู่กับท่านที่เขาใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ เขายังบอกผมเลยว่าอากาศดี คุณพักตราก็อาการดีขึ้นมากแล้วด้วย”

“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมขอล่ะนะ พูดความจริงกับผมได้ไหม ผมไม่มีเวลามากนัก”

“ได้ครับ ผมยอมรับว่า ผมช่วยให้มันได้มีโอกาสเป็นคนถ่ายรูปมุกริน แต่มันไปถ่ายกันที่ไหน อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ” อรรถถามว่าแล้วพอจะติดต่อเขาได้ไหม “ไม่แน่ใจครับ ไม่ทราบว่า ท่านมีอะไรร้อนใจเหรอครับ”

“พักตราหายตัวไป มีคนเห็นว่าเธอจ้างเหมารถตู้ แต่ไม่รู้ว่าไปไหน ที่สำคัญเธอหยิบเอาปืนของผมไปด้วย...จะให้ผมสบายใจได้ยังไง” อรรถร้อนใจจนงุ่นง่าน

เวลาเดียวกัน พักตรานั่งอยู่ในรถตู้ มือหนึ่งเธอซุกอยู่ในกระเป๋าลูบคลำปืนกระบอกกะทัดรัดไปมา อีก

มือถือกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กของคิมหันต์ที่มีรูปภาพคู่คิมหันต์กับมุกรินถ่ายที่ชายหาด ซึ่งเป็นการบอกพิกัดที่เธอกำลังมุ่งไป

ปรารภกับดวงดาวมาถึงแล้ว ทั้งสองเห็นรถสปอร์ตเปิดประทุนหรูจอดอยู่ ปรารภบอกว่า

“รถคันนี้ผมตั้งใจจะใช้เป็นองค์ประกอบของภาพคู่ระหว่างเรา”

ทั้งสองช่วยกันมองหามุกรินไปรอบๆที่ทุ่งโล่งใกล้ชายหาด คิมหันต์ยังพยายามหว่านล้อมมุกริน

“ไม่ว่าวันนี้คุณจะตัดสินใจยังไง...ผมก็จะไม่เสียใจ เพราะผมถือว่า ผมได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว เท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทุ่มเทให้กับผู้หญิงได้” พอมุกรินจะพูดอะไร เขาขอร้องว่า “อย่าเพิ่งขัดผมเลย ขอให้ผมได้พูดเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ...”

มุกรินนิ่งเงียบรอฟังเขาพูด...

“ผมขอพูดต่อหน้าคุณ มุกริน ในวันที่คุณอยู่ในชุดเจ้าสาวเหมือนที่ผมเคยจินตนาการไว้...วันที่คุณสวยเหลือเกิน...”

มุกรินพยายามต่อสู้กับความรู้สึกอ่อนไหวของตนอย่างหนัก...

“ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่ผ่านมาระหว่างเราเลย มันอาจจะไม่ได้จบสวยงามอย่างที่ฝันไว้ แต่ฝันที่สวยงามมันจะยังอยู่ในใจผมตลอดไป...คุณห้ามผมไม่ได้หรอกมุก...ความแค้นทั้งหมดที่ผมมีต่อพี่ชายคุณถูกชำระจนหมดสิ้นไปแล้ว...ผมเหลือแต่ความรัก รักอย่างบริสุทธิ์ใจ...และขอภาวนาให้ความแค้นที่คุณมีต่อผม จงดับมอดไปโดยเร็วที่สุด เพื่อวันนั้น เราสองคนจะได้มองหน้ากันอย่างสนิทใจ และระลึกถึงความทรงจำที่สวยงามร่วมกันได้ แม้ว่าสถานะของเราวันนั้นจะไม่เหลือความผูกพันระหว่างกันแล้วก็ตาม...”

คิมหันต์ขยับเข้าไปจับมือมุกรินกุมไว้อย่างนุ่มนวลทันใดนั้น ปรารภเดินเข้ามา คิมหันต์ค่อยๆถอยห่างออกจากมุกริน บอกเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ถึงเวลาตัดสินใจแล้วครับ”

“คุณมันขี้โกง” ปรารภพรวดเข้าถึงตัวทั้งสอง คิมหันต์อ้างว่าเขาเป็นคนอนุญาตให้ตนพบกับเจ้าสาวของเขา “ใช่! แต่ไม่ได้อนุญาตให้คุณฉุดเจ้าสาวผมมาถึงพัทยาอย่างนี้”

ดวงดาวก้าวเข้ามาอีกคน เธอบอกมุกรินว่า “ทั้งหมดอยู่ที่เธอคนเดียวมุก เวลานี้ความเห็นของใครก็ไม่ดีไปกว่าหัวใจตัวเองแล้วล่ะ” แล้วหันไปพูดกับคิมหันต์ “ฉันไม่ได้เข้าข้างนายหรอกนะ นายคิมหันต์”

มุกรินบอกปรารภว่าเขากำลังแสดงความไม่ไว้ใจตน ปรารภอ้างว่าตนไม่อยากให้เธอตัดสินใจทำอะไรด้วยการฝืนใจตัวเอง ตนอยากให้เธอเคลียร์กับเขาให้จบ แต่เขาคงจะขอโอกาส ขอโทษ แต่ไม่คิดว่าเขาจะบ้าระห่ำขนาดลักพาตัวเธอมาถึงนี่ คิมหันต์สวนไปว่าเขาดูถูกความรักของคนอื่นไม่ได้

“ผมไม่ได้ดูถูกความรักโว้ย...แต่ที่คุณทำมันบ้า มันเจ้าเล่ห์ เห็นแก่ตัว ขี้โกง”

“พอเถอะค่ะ หยุดทะเลาะกันเสียที ถ้าต้องการให้มุกตัดสินใจ ก็ช่วยรอฟังการตัดสินใจของมุกอย่างสงบได้ไหมคะ”

เป็นเวลาที่พักตรามาถึงและเห็นรถหรูเปิดประทุนจอดอยู่ เธอบอกคนขับรถตู้ให้ส่งตนที่นี่ ตนมีรถใช้แล้ว

คิมหันต์กับปรารภต่างเงียบ ลุ้นฟังการตัดสินใจของมุกริน

“สิ่งที่มุกจะพูดต่อไปนี้คือความจริงในใจของมุกที่มีส่วนพัวพันกับคุณทั้งสองคน” แล้วหันไปทางปรารภ “พี่รภคะพี่เป็นผู้ชายที่อบอุ่นที่สุด พี่คอยช่วยเหลือเป็นที่พึ่งให้มุก ในทุกๆครั้งที่มุกมีปัญหา บุญคุณของพี่ น้ำใจไมตรีของพี่ ไม่มีวันที่มุกจะลืมได้ มุกขอบคุณพี่มากๆ นะคะ แม้กระทั่งวันนี้ พี่ยังให้โอกาสมุกได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง”

ปรารภก้มหน้าอย่างยอมรับการตัดสินใจของมุกริน เธอเอื้อมมือแตะมือเขา “แต่ไม่ว่าพี่จะดียังไง สุดท้ายมุกก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกเคารพพี่ไปเป็นอย่างอื่นได้ค่ะ...มุกขอโทษนะคะพี่...” เธอยกมือไหว้เขา แล้วหันไปทางคิมหันต์

“ส่วนคุณ...คิมหันต์ คุณทำกับฉันมากเกินกว่าที่ฉันจะลืมมันได้ในช่วงเวลาสั้น แม้ถึงวันที่ฉันให้อภัยคุณ ฉันก็แน่ใจว่าจะยังเหลือความมั่นใจในตัวคุณได้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าฉันจะโอนอ่อนไปกับสิ่งดีๆที่ผ่านมามากแค่ไหนก็ตาม...ฉันก็ไม่อาจจะก้าวถลำไปได้มากกว่านี้อีกแล้วค่ะ...คิมหันต์”

มุกรินและคิมหันต์ต่างจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน มีหยาดน้ำตาคลอแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เคยมีต่อกัน...

“ลาก่อนค่ะคิม...จากนี้ไปขอมุกอยู่ตามลำพังโดยไม่มีคุณเข้ามากวนใจอีกเลยได้ไหมคะ...จนกว่าชะตากรรมของเราจะเปลี่ยนไปจากนี้...ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...”

มุกรินเดินผ่านผู้ชายทั้งสองออกไป คิมหันต์ดึงร่างมุกรินเข้าไปกอดไว้แน่นเหมือนเป็นการอำลา...

ทันใดนั้น พักตราพรวดเข้ามาพร้อมปืนที่เล็งไปที่มุกริน คิมหันต์ตกใจมากถามว่าเธอมาที่นี่ทำไม พักตราย้อนถามว่าแล้วพวกเขามาทำไม ด่ามุกรินว่าแย่งคิมหันต์จากตนไป แล้วหนีมาแต่งงานกันที่นี่ใช่ไหม มุกรินชี้แจง แต่นาทีนี้พักตราฟังอะไรไม่ได้แล้ว คิมหันต์ขอให้ฟังตนก่อน เธอตะโกนใส่หน้า

“ไม่ฟัง ไม่ใช่เวลาฟังอีกต่อไปแล้ว มันเป็นเวลาที่พวกแกต้องตาย!”

พักตราไล่ยิงมุกรินในขณะที่คิมหันต์ก็คอยปกป้องมุกรินและร้องห้ามพักตรา คิมหันต์ตัดสินใจกระโดดเกาะรถพักตรา ทั้งปรารภและดวงดาวพยายามช่วยปกป้องมุกริน ดวงดาวผลักมุกรินพ้นจากรถที่พักตราขับพุ่งเข้าชน ดวงดาวได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรงจนขาหักและแท้งลูกในที่สุด

คิมหันต์หักพวงมาลัยอย่างแรงจนรถพุ่งออกนอกทางปะทะหน้าผาอย่างแรงจนพักตราฟุบคาพวงมาลัย คิมหันต์กอดพักตราไว้แนบออก พร่ำบอก “พักตร์...ได้ยินผมไหม คุณต้องไม่เป็นอะไรนะพักตร์...”

แต่ในที่สุด พักตราก็สิ้นใจในอ้อมกอดของคิมหันต์...

ooooooo

อรรถมาเชิญวิญญาณผู้ตาย ณ จุดเกิดเหตุกับคิมหันต์ เขายืนมองพื้นที่น้ำตานองหน้า นาทีนี้...เขาจึงเอ่ยอย่างสำนึกว่า

“ฉันผิดเอง เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฉันคนเดียว...ฉันควรจะดูแลให้เขาเป็นคนมีสติมากกว่านี้...ที่สำคัญคือรู้จักยอมรับความจริง...ฉันมีเวลาทั้งชีวิตที่จะทำอย่างนั้น แต่ฉันกลับใช้เวลาทั้งหมดหยิบยื่นสิ่งที่เป็นพิษให้กับพักตราและในที่สุด...ก็เป็นฉันที่ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับความทุกข์ทรมาน...ยกโทษให้ฉันด้วยนะสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับเธอและอโหสิให้พักตราด้วย”

“อโหสิให้ผมด้วยเช่นกันครับ” อรรถถามว่ามุกรินกับดวงดาวเป็นอย่างไรบ้าง “เขามีคนคอยดูแลแล้วครับ”

“แล้วเธอล่ะ...” คิมหันต์ไม่ตอบ อรรถตบไหล่เขาเบาๆแล้วเดินจากไปดวงดาวทั้งเสียสายเลือดของธาดาและขาหัก ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล มุกรินขอบใจและเสียใจกับเธอ

“ชีวิตที่ยังไม่ได้เกิด แลกกับการรักษาชีวิตของเธอไว้...อาธาดาน่าจะดีใจที่ฉันทำอย่างนั้น” ดวงดาวเอ่ยจากใจ

มุกรินตัดสินใจจะเก็บเงินซื้อบ้านคืนจากคิมหันต์และมอบให้ดวงดาวอยู่ บอกว่า

“เธอคือสัญลักษณ์เดียวที่ทำให้ฉันนึกถึงพี่ใหญ่ได้” ส่วนกับคิมหันต์นั้น มุกรินบอกว่า “เธอเป็นคนเดียวที่รู้ดีที่สุดว่าฉันคิดยังไงกับเขา”

ชุมสายพาคิมหันต์ไปอยู่วัดที่ชานเมือง เขากราบพระประธานสารภาพอย่างสำนึกว่า

“ผมทำบาปทำกรรมไว้มากครับหลวงพ่อ ผมยึดติดกับความรัก ผมมีความแค้นทุกครั้งที่ผิดหวัง ผมทำลายชีวิตทุกคนที่ผมรักโดยไม่รู้ตัว และสุดท้ายผมก็ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งที่สูญเสียไปได้...”

คิมหันต์ตัดสินใจจะบวชชดใช้กรรม แต่เมื่อหลวงพ่อ เจ้าอาวาสถามถึงความพร้อมในการบวชเพื่อเผยแผ่ธรรม และรักษาธรรมว่าถ้าเขายังทำไม่ได้ บวชไปแล้วจะได้อะไร อย่าคิดบวชเพราะอกหัก หรือรู้สึกผิดบาป ท่านบอกเขาว่า

“อาตมายินดีนะที่โยมคิดอยากจะบวช แต่ขออาตมาได้กลั่นกรองก่อนเถอะ โยมลองมาอยู่วัดดูก่อน ลองถือศีลให้ได้ครบทุกข้อก่อน ให้ใจสงบ จิตพร้อมก่อนแล้วค่อยมาพูดกันใหม่ดีกว่าไหม”

ooooooo

ที่เกาะร้าง...มุกรินในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ นั่งสงบนิ่งอยู่ริมหน้าผาแห่งนั้น... ไม่นานคิมหันต์ในชุดสีอ่อนแปลกตาก็มานั่งใกล้ ในอากัปกิริยาที่สงบเยือกเย็นผิดกับคนเดิมโดยสิ้นเชิง...

คิมหันต์ถามถึงดวงดาว มุกรินบอกว่าเธออยู่บ้านพี่ใหญ่เย็บผ้าโหลกลางวันและร้องเพลงตอนกลางคืนมีปรารภคอยดูแลอย่างใกล้ชิด มุกรินถามว่า “ชุมสายบอกว่า คุณจะไปบวช”

“ผมแพ้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จ แค่จะบวชหลวงพ่อยังไม่บวชให้เลย”

ตราบจนนาทีนี้ คิมหันต์ก็ยังมีความรักต่อเธออย่างเต็มเปี่ยมเขาติดตามเธอมาที่เกาะร้าง บอกเธอว่า

“รักแท้ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการอยู่ด้วยกันเสมอไป” ทั้งคู่มองตาถ่ายทอดความรู้สึกความเข้าใจผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง เขาเอ่ยเรียบๆว่า “แล้วเราเจอกันที่เกาะนี้ ทุกวันนะ...”

ทั้งสองยิ้มให้กัน แม้กายทั้งคู่จะมีระยะห่าง แต่หัวใจกลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันบนหน้าผาแห่งความทรงจำนั้น...

ooooooo

–อวสาน–


ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น