วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อ่านละคร พญาโศก ตอนที่ 8


แสงทองเริ่มจับขอบฟ้าบอกเวลาวันใหม่ ยศพงษ์รู้สึกผิดต่อลูกสาวโทร.ไปหาแต่เธอไม่รับ อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนทั้งที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน

ถึงหน้าโรงเรียน เธอเจอคนังจอดมอเตอร์ไซค์อยู่คนเดียว โดยไม่รู้ว่าจักรินเข้าไปก่อนเพราะไม่อยากให้เธอและเพื่อนๆเห็นว่ามารถคันเดียวกับคนัง

กลายเป็นคนังเจอเพ็ญโพยมและได้พูดคุยกัน เพราะเธอตื๊อให้เขาพาซ้อนมอเตอร์ไซค์ จักรินพอรู้เห็นก็โกรธมากชกต่อยคนังในห้องเรียน แถมโยนความผิดให้คนังเมื่อครูเข้ามาสอบสวน ซึ่งคนังต้องเป็นฝ่ายยอมน้องทุกทีไป

ทางด้านทุกคนในป่าที่ตามหากันแทบทั้งคืน เช้านี้พวกสนวางแผนจับตัวบริพัตรหลังจากแน่ใจแล้วว่าอยู่ใกล้กันมาก

เสียงปืนที่สนยิงขู่บริพัตรทำให้ชาตรีที่อยู่อีกมุมตื่นตัวพยายามหาจุดกำเนิดเสียงปืนอย่างเร่งด่วน ฝ่ายจูเนียร์ย่องเงียบมาแอบมองบริพัตรถูกพวกสนควบคุมตัวและคิดหาทางช่วยเหลือ

บริพัตรจนมุมแต่สนยังไม่ไว้ใจจะจับเขาใส่กุญแจมือพร้อมกับข่มขู่ว่า “อย่าลองดีกับพวกเราอีก ไม่โดนฆ่าตายแต่แรกตั้งแต่สิบสองปีก่อนก็ควรจะสำนึกบุญคุณของพวกเราไว้”

“อย่ามาเอ่ยอ้างบุญคุณกัน ที่พวกแกไม่ฆ่าฉัน เพราะต้องการเอาฉันไปเป็นตัวประกันเพื่อจับตัวลำหับกับลูก”

“แกรู้ว่าจะหาลำหับได้ที่ไหน?” สนรุกเร่งแต่บริพัตรไม่ตอบเพราะไม่รู้จริงๆ “จูเนียร์ล่ะ เขาช่วยแกหนีใช่มั้ย”

“เขาไม่เกี่ยว”

สนตบหน้าบริพัตรด้วยหลังมือจนเซเกือบล้ม “โกหก เดินยังเอาตัวแทบไม่รอด จะมีปัญญาที่ไหนปลดโซ่ตรวนเองแล้วยังทำร้ายหนุ่มที่แข็งแรงกว่าอีก”

“ถามเขาหรือยังว่าใครทำร้ายเขา เขาเห็นจูเนียร์ในห้องหรือเปล่า”

สนหรือหมายเลย 2 ชะงักไปนิดเพราะสมุนที่โดนทำร้ายไม่เห็นจูเนียร์และบอกว่าโดนบริพัตรทำร้าย ก่อนคาดคั้นต่อไปว่านัดจูเนียร์ไว้ที่ไหน

“ไม่ได้นัด”

“โกหกซ้ำๆ แกทำให้จูเนียร์เดือดร้อน ทำให้หมายเลข 1 โมโหที่ลูกชายเขาทรยศอุดมการณ์ ถ้าเขาโดนจับได้เขาต้องปางตายแน่ๆ”

“แกยิงฉันให้ตายได้เลย อยากทำอะไรกับฉันก็เชิญ แต่อย่าไปโทษเขา”

“แกรู้มาตลอดเวลาว่าลำหับไม่ได้ตายแต่หนีไป แกจะบอกที่อยู่เธอมั้ย”

“พวกแกขังฉันไว้เลวร้ายยิ่งกว่าขังสัตว์ ฉันถูกปิดหูปิดตามาสิบสองปี พวกแกอยู่สบายทำไมไม่มีปัญญาหาที่อยู่ของเธอ”

“แกตอบไม่ตรงคำถาม” สนโหดเหี้ยมหยิบเหล็กแหลมมาแทงแขนบริพัตรจนเจ็บปวดทรมาน “ร้องสิ ร้องให้ดังๆ ให้จูเนียร์ได้ยินเขาจะได้ออกมาช่วยแก”

จูเนียร์แอบมอง ตัดสินใจจะยิงขู่เข้าไปแต่ไม่กล้าพอ ที่สุดก็ลดปืนลงแล้วจะเดินไปหาสน แต่ทันใดสมุนคนหนึ่งของสนเข้ามาเอาปืนจี้หลังจูเนียร์...เขาคือหมายเลข 15 ที่หวังดีกับจูเนียร์มาตลอด

“อย่าทำอะไรโง่ๆ อย่าออกไปหาหมายเลข 2 เด็ดขาด ไปพ้นแล้ววนกลับมาให้ตัวเองเดือดร้อนอีกทำไม...ไปซะ ตัดเยื่อใยบนเขา คิดให้ดีว่าไปยังไงให้รอดและจะไม่กลับมาอีก”

“ขอบคุณมาก เราน่ะรอดแต่เขาล่ะ โดนจับ โดนทรมานอีกแล้ว”

“คนไม่มีชื่อมาตามหาเขาแล้ว เขารอดแน่ ได้โอกาสแล้วไปเถอะ ไปหาชีวิตใหม่ที่ต้องการ ไปหาพี่สาวให้พบ หรือว่าไม่อยากพบเธอแล้ว”

“อยากสิ ขอบคุณที่เตือนสติ”

“อ้อ...อยากรู้ว่านัดกับ ส.ส.บริพัตรไว้หรือเปล่า”

“ไม่ได้นัดหมายกัน แค่ช่วยให้เขาหนี ที่เรากลับมาเพราะเราห่วงเขา ถ้าเขาตายพี่สาวเราคงเสียใจมาก”

“พี่สาวจูเนียร์ไม่ต้องเสียใจแล้ว ชายไม่มีชื่อเขาจะมาช่วย ส.ส.บริพัตรให้รอดพ้นได้ ผมเห็นเขาแล้ว”

จูเนียร์ดีใจโผกอดคู่สนทนาพร้อมกับรำพันอย่างสำนึกบุญคุณว่า “ตั้งแต่คุณแม่ตาย พี่ใหญ่หนีไป มี 15 เพียงคนเดียวที่ใส่ใจความรู้สึกของเรา”

“เช่นกัน บนนั้นหลังจากเมียผมตายก็มีเพียงจูเนียร์ที่ทำให้ผมรู้สึกว่ายังมีใครสักคนที่ใส่ใจผมอยู่ ยังมีความเป็นคนเหมือนคนอื่นๆอยู่...ลาก่อน”

จบคำ เขาดันจูเนียร์ออกห่างแล้วผละไป แต่เดินไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็เจอชาตรียืนถือปืนจังก้า!

ooooooo

หลังจากเผชิญหน้ากันไม่กี่อึดใจ ชาตรีก็ควบคุมตัวหมายเลข 15 เข้ามายังกลุ่มของสนที่กำลังทำร้ายทรมานบริพัตรเพื่อให้ตอบคำถามว่าลำหับอยู่ที่ไหน

“ทำร้ายรังแกคนไม่มีทางสู้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ชาตรีคำราม สนตกใจมากด่าลั่น “15 โง่มาก! ให้มันคุมตัวไว้ได้ยังไงกัน อย่าบอกนะว่านี่คือการแลกตัวประกัน”

“ถ้าผมไม่ยอมเป็นตัวประกัน ผมอาจตายได้ หมายเลข 2 ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่ผม”

“ถ้าไม่เห็นแก่พวกเดียวกันนั่นยิ่งกว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ปล่อย ส.ส.บริพัตร แล้วฉันจะปล่อยเขา” ชาตรีต่อรอง

“เขาบอกแล้วนี่ว่าไม่จำเป็นต้องเห็นแก่เขา อยากทำอะไรก็เชิญ ฉันจะพาเชลยกลับ” พูดแล้วสนทำท่าจะกลับจริงๆ แต่ต้องชะงักเพราะจูเนียร์โผล่เข้ามาอีกคน

เมื่อจูเนียร์ปรากฏตัว สนโมโหและเชื่อว่าเขากับบริพัตรนัดกันจริง จึงจะเอาตัวทั้งคู่กลับค่ายให้ได้แต่ชาตรีช่วยเหลือให้จูเนียร์พาบริพัตรหนี โดยมีหมายเลข 15 ติดตามไปตามคำสั่งของสน

สนกับชาตรีเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว ต่อสู้กันด้วยมือเปล่า ส่วนหมายเลข 15 ไล่ตามจูเนียร์กับบริพัตรมาถึงบ่อโคลน จูเนียร์ตัดสินใจไม่กลับไปบนเขาอีกแล้ว ขอละทิ้งอุดมการณ์ขายชาติเพื่อไปหาลำหับ บริพัตรดีใจมาก แต่หมายเลข 15 ไม่ปล่อยเขาไป ปล่อยได้แค่จูเนียร์เพียงคนเดียว

“ผมผิดคำสาบานเพราะจูเนียร์ก็มากเกินพอแล้ว แต่สำหรับเขาเราไม่เกี่ยวข้องกัน ส.ส.บริพัตรยอมให้ผมพากลับขึ้นไปเถอะ พูดกันง่ายๆ จะได้ไม่มีปัญหา”

“แต่ผมมีปัญหาแน่ ถ้าจะจับตัวเขา 15 ก็มาจับผมก่อน”

จูเนียร์ปกป้องบริพัตรและกระโดดตามเขาลงไปในบ่อโคลนเพื่อหนี แต่โดนโคลนดูดลงไปทั้งคู่เกือบมิดหัว หมายเลข 15 ตกใจมากวิ่งกลับไปตะโกนบอกสนที่ยังต่อสู้กับชาตรีว่าจูเนียร์กระโดดตามเชลยของเราตกลงไปในบ่อโคลนดูดเท่านั้นเอง ชาตรีพุ่งพรวดออกไปทันที สนโมโหต่อว่าสมุนของตนว่าตะโกนให้มันได้ยินทำไม

“ผมต้องการให้เขาไปช่วยจูเนียร์”

“เขาอยากรนหาที่ตายก็ให้เขาตายไป”

“เขาตายไม่ได้ เพราะเขาคือทายาทอันดับหนึ่ง”

“หุบปาก! กลับไปรายงานหมายเลข 1 คงถึงคราวต้องย้ายฐานกันอีกแล้วเพราะไอ้ทายาททรยศนั่น”

สนออกคำสั่งแล้วรีบสื่อสารส่งข่าวให้รามทราบ รามโกรธแค้นและเสียใจจนตัวสั่น ผิดหวังมากในการกระทำของจูเนียร์...

ชาตรีช่วยบริพัตรกับจูเนียร์พ้นจากบ่อโคลนอย่างทุลักทุเล บริพัตรบาดเจ็บมากชาตรีจึงติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนของตนให้มารับไปรักษาตัว รวมทั้งจูเนียร์ด้วยที่บาดเจ็บไม่น้อย

“ขอบคุณมาก...หมายเลข 1 ต้องตามล่าผมและตัดขาดผม ความจริงความเป็นพ่อลูกของเราถูก

อุดมการณ์ขายชาติตัดขาดตั้งแต่วันที่ผมกรีดเลือดมาดื่มสาบานตัวแล้ว”

“จูเนียร์ยังไม่ได้ลงมือกระทำการขายชาติ”

“วันนี้ถ้าผมไม่โดดรถหนีลงมาผมคงทำไปแล้ว”

“จูเนียร์คือปลาผิดน้ำในบ่อของพวกเขามาตั้งแต่แรก”

“คุณคือผู้ที่ช่วยให้ผมพ้นมาจากบ่อน้ำนั้น เขาพบผมแล้วเขาจะทำยังไงนะ ฆ่าผมงั้นหรือ”

“โดยความเป็นผู้นำเขาต้องเข้มงวด แต่ในหัวใจเขาไม่มีวันตัดจูเนียร์ขาด ไม่มีวันฆ่าจูเนียร์ ยกเว้นแต่ว่าจูเนียร์ไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา”

“คุณพูดอะไร”

“ถ้าเขาโกรธอย่างเดียว จูเนียร์อาจไม่ใช่ลูกของเขา แต่ถ้าเขาเสียใจนั่นแปลว่าจูเนียร์คือลูกของเขาจริงๆ”

“ผมก็เคยคิดนะว่าใช่ลูกเขามั้ย และก็เคยคิดนะว่าพี่ใหญ่ใช่ลูกเขาหรือเปล่า เพราะสายตาที่เขามองพี่ใหญ่มันมีแววชิงชัง”

“อย่าคิดมาก ผมพูดตามเหตุผล ตอนนี้หลบซ่อนตัวให้ดีอย่าให้คนบนโน้นพบเจอ เขาต้องส่งคนมาตามหาจูเนียร์แน่”

“ขอบคุณมาก ผมดีใจที่ได้รู้จักคนอย่างคุณ คุณแข็งแกร่งจนผมอยากเป็นอย่างคุณ แต่คงทำไม่ได้”

“คุณทำอย่างอื่นได้แข็งแกร่งกว่าผม แม้ยิงปืนไม่เก่งเท่าผม แต่ที่ผ่านมาคุณมีเมตตาที่มากกว่าผม”

ชาตรีให้กำลังใจจูเนียร์แล้วยิ้มร่ารับสายจากลำหับที่โทร.มาพูดละล่ำละลักด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า

“หนูตื่นเต้นจนอดใจสงบไว้ไม่ได้ หนูจัดห้องไว้รอเขาเรียบร้อยแล้ว หนูบอกให้น้าวิเวกไปบอกลูกๆให้รีบกลับบ้านอย่าเพิ่งไปซื้อโทรศัพท์กัน”

“ลำหับ...เดี๋ยวก่อน”

“หนูขอพูดกับเขาได้ไหมคะ”

“คงไม่ได้”

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาเป็นอะไร บอกหนูว่าเขาเป็นอะไร”

“เขาปลอดภัย แค่ยังไม่สามารถพูดคุยได้ แต่มีบางคนที่เธอต้องอยากพูดด้วย” ชาตรียื่นโทรศัพท์ให้จูเนียร์คุยกับพี่สาวตามสบาย

สองพี่น้องทักทายด้วยความคิดถึง 12 ปีที่ไม่ได้พบกัน ตอนนี้จูเนียร์โตเป็นหนุ่มเต็มตัวและตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตนเองด้วยการตามบริพัตรลงมาและจะไม่กลับขึ้นไปอีก

“พี่ดีใจมาก...น้องเล็ก เรามีเรื่องคุยกันมากมาย พี่ดีใจจนพูดไม่ออกแล้ว”

ชาตรีรับโทรศัพท์คืนจากจูเนียร์ บอกลำหับว่าบริพัตรตกบ่อโคลนร่างกายอ่อนแอมาก แต่การที่เขาออกจากที่คุมขังได้ถือเป็นรางวัลชีวิตที่งดงามที่สุดของเธอกับเขา อดใจรอสักพักให้เขาพักรักษาตัวแล้วจะพาเขากับจูเนียร์ไปพบเธอให้เร็วที่สุด

“ค่ะ หนูจะรอ”

“ฉันดีใจกับเธอและเขา...ในที่สุดเธอก็มีวันที่รอคอย”

“ค่ะ ขอบคุณที่ทำให้เขาปลอดภัย หนูจะรอวันที่ได้พบกับเขาค่ะ”

ชาตรีวางสายสีหน้าหม่นหมอง นึกถึงตัวเองที่หลงรักลำหับตลอดมา...คงไม่มีวันนั้นที่รอคอย

ooooooo

ทนายนำรถตู้มารับบริพัตรและจูเนียร์ไปที่เซฟเฮาส์และตามหมอมารักษาทั้งคู่โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย ป้องกันคนรู้จักพบเห็นบริพัตรแล้วจะเป็นเรื่อง!

ชาตรีอยู่ด้วยจนแน่ใจว่าบริพัตรอาการไม่น่าเป็นห่วง บอกทนายว่าบริพัตรควรรักษาตัวจนกว่าสุขภาพจะดีขึ้นแล้วค่อยพาไปพบลำหับกับลูกๆ

“คุณยังไม่ได้บอกลำหับว่าจักรินเป็นลูกเขา” ทนายถาม

“ยังครับ ผมเกรงว่าลำหับอาจไม่สบายใจที่ต้องรับเลี้ยงลูกของยัยแม่มดนั่น...จูเนียร์ มีเรื่องราวมากมายซับซ้อนที่คุณต้องรับรู้และยอมรับ”

จูเนียร์รับปากอย่างยินดี...เวลาเดียวกันนั้น ลำหับสั่งงดรายการอาหารเย็นหลายอย่างที่บอกตึ๋งหนืดไว้ ให้ทำไปตามปกติเหมือนทุกวัน ส่วนวิเวกให้ขับรถไปบอกคนังกับจักรินที่โรงเรียนให้รีบกลับบ้าน ยังไม่ต้องไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่จักรินอยากได้

จักรินยังคงอวดดีกับคนังไม่จบสิ้น ทำเหมือนตัวเองเป็นลูกเจ้านายแล้วคนังเป็นลูกคนรับใช้ เคี่ยวเข็ญให้ถือกระเป๋านักเรียนและสั่งห้ามอยู่ใกล้เพ็ญโพยม คนังทำตามเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่เพ็ญโพยมกลับเป็นฝ่ายมาหาเขาเองและเจอวิเวกขับรถมาจอดคุยกับคนัง

“น้าวิเวกมาส่งของแถวนี้หรือครับ”

“เปล่า แม่ให้มาบอกว่าวันนี้ให้รีบกลับบ้าน ไม่ต้องพาคุณจักไปซื้อโทรศัพท์”

“ครับ ผมจะรีบกลับ เดี๋ยวจะบอกน้องให้ครับ ขอบคุณมากครับน้าวิเวก”

วิเวกขับรถออกไป เพ็ญโพยมหัวเราะขำชื่อวิเวก แหย่ว่าคนบ้านนี้ชื่อตลกดี ยกเว้นจักริน...คนังไม่ค่อยชอบใจ ถามเธอว่าต้องการอะไรจากตนกันแน่

“เปล่า ก็แค่อยากคุยด้วย ถามจริง ไม่เบื่อจักบ้างหรือไง มันรังแกเอาเปรียบนายตลอด”

“เรื่องของครอบครัวผม”

“อ้าว! นี่เหวี่ยงว่าเราจุ้นเหรอ”

คนังกำลังจะตอบแต่ชะงักแล้วพุ่งเข้ารับร่างเพ็ญโพยมที่จู่ๆก็เป็นลมหมดสติด้วยโรคประจำตัว คนังอุ้มเธอพาดบ่าจะพาไปที่ห้องพยาบาลแต่จักรินวิ่งมาโดดชกหน้าคนังด้วยความไม่พอใจ

“เลวมาก หักหลังกันหน้าด้านๆ ไอ้แมวขโมย”

“นายบ้าไปแล้วนะจัก นายเกือบทำเธอหล่นจากบ่าพี่”

“น้อยไปด้วยซ้ำ บอกแล้วว่าอย่าเข้าใกล้เธอ นี่ดันอุ้มเธอ แล้วเอาเธอพาดบ่า”

“นายตาบอดหรือไง ผู้หญิงคนนี้เป็นลมต้องรีบไปทำการปฐมพยาบาล”

“นายลวนลามจนเธอตกใจเป็นลม”

“พี่ไม่ใช่คนหูป่าตาเถื่อนเลวทรามต่ำช้า ทำอะไรบ้าๆอย่างที่นายกล่าวหา”

“ส่งเธอมาให้เรา แล้วไปห่างๆ”

จักรินแย่งเพ็ญโพยมจากคนัง แต่ตัวเองอุ้ม

ไม่ไหว สุดท้ายต้องให้คนังเข้ามาช่วยอยู่ดี สองหนุ่มพาเพ็ญโพยมไปพักที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ร่มรื่น จักรินกำชับคนังไม่ต้องบอกใครว่าเขาช่วยเธอ ให้รีบไปหายาดม น้ำ และผ้าเย็นมาให้ตนเช็ดหน้าเธอ แต่คนังจะให้พาเธอไปห้องพยาบาล จักรินไม่ยอม ดึงดันว่าเธอดูปกติ แค่เป็นลมเท่านั้น

คนังเดินออกไปด้วยความเซ็ง จักรินมองหน้าเพ็ญโพยมชมว่าขนาดเป็นลมก็ยังสวย ว่าแล้วเอามือลูบไล้แก้มเธออย่างพึงใจ

ooooooo

ที่หน้าโรงเรียน เฉิดเฉลากับยศพงษ์ขับรถจะมารับเพ็ญโพยม สวนกับวิเวกที่ขับผ่านออกไปพอดี

“นั่นมันไอ้วิเวก พล่านมาถึงนี่ คุณเลี้ยวรถกลับไปตามมันเดี๋ยวนี้”

“ถ้าเลี้ยวรถกลับไปตามมัน ฉันก็ไม่ได้ไปรับหนูเพ็ญ นี่ใกล้จะถึงโรงเรียนแล้วนะ”

“ตามใจ มันน่าจะอยู่ย่านนี้แน่ คงหาไม่ยาก รีบไปเอาใจแล้วไปขอโทษลูกสาวผู้มีพระคุณเร็วๆเข้า”

ยศพงษ์ปรายตามองรู้สึกว่าโดนเฉิดเฉลาประชดแต่คร้านจะตอบโต้...

เวลานั้นจักรินยังคงมองหน้าเพ็ญโพยมแล้วก้มลงเหมือนจะจูบแก้ม แต่สาวน้อยลืมตาขึ้นเสียก่อน สงสัยทำไมคนังหายไป กลายเป็นจักรินอยู่ดูแลแทน

จักรินพูดเอาดีเข้าตัว พอดีคนังกลับมาพร้อมน้ำ ยาดม และผ้าเย็น เพ็ญโพยมขอบใจคนังพร้อมอธิบายอาการของตนว่า

“เราเป็นแบบนี้เสมอไม่ตายง่ายๆหรอก ยาอยู่ในกระเป๋า เราติดตัวเอาไว้เผื่อเป็นลม”

“ใช่สิ กระเป๋าตกอยู่ตรงนั้น” คนังนึกได้

“งั้นจะยืนทึ่มมองอะไร รีบไปหยิบกระเป๋านักเรียนของเพ็ญโพยมมาสิ”

“ไม่ต้อง เราเดินไปกับเธอนะคนัง เราไม่เป็นไรแล้ว”

จักรินไม่ชอบใจทำตาเขียวใส่คนังแล้วสั่งให้ไปรอที่อื่น ตนจะไปกับเพ็ญโพยมเอง พอคนังเดินพ้นไป เพ็ญโพยมตำหนิจักรินทันที

“เรารักพี่เลี้ยงเราเหมือนญาติ แต่เธอวางอำนาจใส่พี่เลี้ยงของเธอราวกับเขาเป็นขี้ข้า เราไม่ชอบกดขี่คนอื่น กลับมานะคนัง...คนัง”

คนังเดินหนีไม่เหลียวหลังกลับมา จักรินยิ่งลำพองบอกเพ็ญโพยมว่ามันไม่กลับมาหรอกเพราะกลัวโดนด่า

“เราว่าเขาไม่กลัวเธอด่าหรอกนะ มองตาก็รู้

แต่เหมือนเขาตัดความรำคาญมากกว่า เขาดูไม่เหมือนพี่เลี้ยงเธอ และเราอยากให้เธอเลิกพูดจาข่มขู่เขาสักที”

“มันก็เหลิงน่ะสิ”

“เราว่าเธอนี่แหละเหลิง เหลิงอำนาจ แถมอาจหลงว่ามีอำนาจทั้งที่ความจริงไม่มี คนขี้ขลาดมักพยายามแสดงอำนาจเพื่อบดบังความกลัว”

“เธอเป็นอะไร ทำไมใส่ใจไอ้พี่เลี้ยงนั่นมากจนออกนอกหน้า”

“สำหรับเธอเขาอาจเป็นพี่เลี้ยง แต่สำหรับเราเขาคือเพื่อนร่วมสถาบัน”

จักรินโกรธแต่อ้ำอึ้งเถียงไม่ออก

ooooooo

ยศพงษ์กับเฉิดเฉลามาจอดรถรอเพ็ญโพยมหน้าโรงเรียน รอนานไม่เห็นลูกสาวออกมาสักที ยศพงษ์เรียกนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านมาซักถาม

คนังนั่นเอง เขาตอบคำถามของยศพงษ์อย่างสุภาพแล้วเดินไป ยศพงษ์ทำท่าไม่พอใจจนเฉิดเฉลาทักท้วงว่า

“เด็กนั่นพูดจาสุภาพมาก ทำไมคุณถึงทำท่ากร่างใส่เขา”

“ฉันไม่ชอบเด็กผู้ชาย”

“ฉันก็ไม่รักเด็กผู้หญิง”

“ฉันรู้สึกไม่ชอบหน้าไอ้เด็กนั่นขึ้นมาเฉยๆ”

“งั้นหรือ” เฉิดเฉลาลอบยิ้มหยัน รำพึงอยู่ในใจว่าตนก็รู้สึกเกลียดเพ็ญโพยมโดยมีเหตุผลเหมือนกัน...

หลังจากได้กระเป๋านักเรียนและกินยาเรียบร้อยแล้วเพ็ญโพยมโทร.บอกแม่เริ่มว่าตนเป็นลมแต่ตอนนี้หายดีแล้วไม่ต้องเป็นห่วง แม่เริ่มเบาใจ บอกเรื่องยศพงษ์กับเฉิดเฉลาไปรับที่โรงเรียน

“อะไรนะคะ พวกเขามารับหนู มาทำไม ไม่อยากนั่งรถไปด้วย รำคาญยัยมารร้ายกลายร่างแต่ตัวหัวใจยังเป็นมารนั่นจริงๆ แค่นี้นะคะ”

เพ็ญโพยมตัดสายอย่างหงุดหงิด จักรินยืนฟังอยู่ใกล้ๆถามเธอว่าพูดถึงใคร ตั้งชื่อตลกจัง นางมารร้ายกลายร่างแต่ตัวหัวใจยังเป็นมาร

“ผู้หญิงหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง” เพ็ญโพยมสะบัดเสียงอย่างชิงชังเฉิดเฉลา

จักรินสนใจโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของอีกฝ่ายชมว่าสวยจัง เพ็ญโพยมคุยว่าที่บ้านมีเป็นสิบเครื่อง เมื่อเช้าก็โยนทิ้งไปหนึ่งอยากให้มันตกแตก

“พ่อแม่เธอใจดีจัง”

“แม่เราตาย เรามีพ่อแต่เหมือนไม่มี มีปู่เป็นพ่อยังดีกว่า นี่เขามารอรับเราอยู่หน้าประตู เธออยากเห็นหน้าพ่อไม่มีเวลากับนางมารร้ายกลายร่างก็ตามมาสิ”

จักรินรีบเดินตาม ดีใจอยากเจอพ่อของเพ็ญโพยม ...เฉิดเฉลาเห็นเด็กสองคนเดินมาด้วยกัน ชี้ชวนให้ยศพงษ์ ดูลูกสาวของเขาเดินหน้าระรื่นเกินร้อยมาโน่นแล้ว

“หนูเพ็ญเดินมากับเด็กผู้ชาย ดูสายตามันสิ เหมือนจะกินหนูเพ็ญ”

“ใช่ๆ กิ๊กกันแบบปั๊บปี้เลิฟน่ะ หนูเพ็ญแกกำลังวัยรุ่น ปกติน่า”

“ไม่ได้ มันเป็นลูกหมาที่ไหนก็ไม่รู้ ยากดีมีจนแค่ไหนมาเดินคู่กับหนูเพ็ญ” พ่อหวงลูกสาวเต็มที่ เฉิดเฉลายิ้มหยันอย่างสะใจ ยุแหย่ว่า

“มันจะเป็นลูกหมาที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามันน่าจะพอมีเงิน ไม่งั้นพ่อแม่มันส่งมาเรียนที่นี่ไม่ได้หรอก หน้าตามันก็ดีนะ หนูเพ็ญคงชอบ”

“ชอบไม่ได้ หน้าตาดีไม่เกี่ยว”

“ก็ลองถามเด็กนั่นดูสิว่าเป็นลูกใคร มันอาจเป็นลูกมหาเศรษฐีก็ได้นะ”

ยศพงษ์ฟังแล้วหงุดหงิดมาก ฝ่ายคนังเดินมารอจักรินที่รถมอเตอร์ไซค์แล้วชะเง้อคอยอย่างร้อนใจเพราะแม่ฝากวิเวกมาบอกเลิกเรียนให้รีบกลับบ้าน มองไปยังผู้ใหญ่ชายหญิงที่วางท่าใหญ่โตแล้วอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นพ่อแม่ของเพ็ญโพยมเมื่อสักครู่ถึงได้ถามหา

เฉิดเฉลาจับตามองจักรินที่เดินมากับเพ็ญโพยมทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาคือลูกชายที่หายไป บ่นกับยศพงษ์ว่ารู้สึกแปลกๆกับเด็กนั่น เด็กผู้ชายวัยนี้ทำให้เธอคิดถึงตาหนู แต่ลูกชายของตนโชคร้ายเพราะมีพ่อสามานย์

ท้ายประโยคเธอจงใจแขวะยศพงษ์แต่เขาไม่รู้ตัว จ้องเขม็งใส่เพ็ญโพยมกับจักรินที่เดินใกล้เข้ามาทุกที

“ขอบใจที่ช่วยดูแลเราตอนเป็นลม ขอบใจที่ถือกระเป๋ามาให้ ขอบใจมาก” เพ็ญโพยมเอ่ยกับจักริน

“ไม่เป็นไร เราเต็มใจ...เอ้อ...สองคนนั่น” จักรินรีรอจะไหว้ผู้ใหญ่สองคนดีไหมเพราะเพ็ญโพยมไม่แนะนำ แถมเธอยังกระซิบกระซาบว่า

“พ่อไม่ใส่ใจลูกกับนางมารร้ายกลายร่าง จะแกล้งไม่แนะนำให้รู้จักนะ อยากทำให้พวกเขาอารมณ์เสีย มันสะใจ เธอรีบไปซะ”

“จะดีเหรอ”

“ดีแน่ๆ บอกให้ไปซะ”

จักรินจำใจเดินจากไป ยศพงษ์ท่าทางไม่พอใจบ่นอุบว่าเด็กนั่นไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ หนูเพ็ญก็เหลวไหล ไม่สั่งให้มันไหว้พ่อ เฉิดเฉลาได้ทีกรีดเสียงใส่เพ็ญโพยมว่า

“หนูเพ็ญขา...คุณพ่อเสียหน้านะคะ เพื่อนหนูไม่ไหว้พ่อ เสียมารยาทมากนะคะ”

“บังเอิญตอนนี้กำลังอยากเสียมารยาท ไม่คิดว่าจะมารับ ตั้งรับความเมตตาไม่ทัน”

เพ็ญโพยมประชดแล้วเข้าไปนั่งเบาะหน้าในรถ เฉิดเฉลายืนข้างรถทำหน้าไม่พอใจ ยศพงษ์ซึ่งยืนอยู่ข้างกันเกรงใจเธอ ถามลูกสาวทำไมไม่นั่งข้างหลัง

“วันนี้อยากนั่งหน้าจะมีปัญหามากไหมคะคุณเฉิดเฉลา”

เฉิดเฉลาสะอึก กระซิบยศพงษ์ว่าช่างเถอะ แกคือลูกผู้มีพระคุณที่ยอมมาเกิดเป็นลูกเขา ลูกบังเกิดเกล้า

“ฉันยังติดใจไอ้เด็กผู้ชายนั่น มันกล้าดียังไงมาจองหอง มันมองหน้าเราไม่สะทกสะท้าน”

ยศพงษ์บ่นไม่เลิก แล้วยังก่นด่าเด็กนั่นพ่อแม่ไม่สั่งสอน แต่พอได้ยินเพ็ญโพยมเร่งให้รีบไปด้วยความเบื่อหน่ายรำคาญ ก็กุลีกุจอขึ้นรถ

ooooooo


ที่มาไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น