วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร เพลิงตะวัน ตอนที่ 9


คืนแรกที่กลับมานอนบ้านวัฒนา ตะวันฝันถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งยังเป็นปรางค์ทอง แม้ภาพในฝันจะเป็นภาพสั้นๆไม่ต่อเนื่องกัน แต่เธอก็รับรู้ได้ถึงวัยเด็กอันขมขื่นของตัวเองที่มีพ่อชาวต่างชาติซึ่งเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเอาแม่กับเธอมาขายซ่อง ทรงพลพ่อคนใหม่ช่วยซื้อตัวสองแม่ลูกออกมาและเลี้ยงดูอย่างดี

เธอกับเปลวอาศัยอยู่กับทรงพลอย่างมีความสุขจนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับหมายศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย ทรงพลตะโกนอย่างบ้าคลั่ง จนเปลวตกใจรีบเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“หมดแล้วเปลว ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรแล้ว” ทรงพลกอดเปลวไว้อย่างต้องการที่พึ่ง ด.ญ.ปรางค์ทองแอบมองอยู่ห่างๆด้วยความสงสาร จากนั้นเป็นต้นมา ด้วยความแค้นที่อัดแน่น ทรงพลฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงให้ปรางค์ทองตั้งแต่เล็กจนโต หวังจะให้เธอแก้แค้นพวกที่ทำกับเขาให้สาสม ปรางค์ทองในคราบตะวันนอนกระสับกระส่าย ก่อนจะรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ เห็นทรงพลยืนอยู่ปลายเตียงท่ามกลางความมืดสลัว

“แก้แค้นให้พ่อนะลูก แก้แค้นให้พ่อ”

ภาพเบลอๆของทรงพล ทำให้ตะวันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นแค่ความฝันหรือเป็นเรื่องจริง

ooooooo

ตะวันลงมาเตรียมอาหารเช้าตั้งแต่ไก่โห่เช่นเคย อึ่งทักท้วง ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ปกติเธอทำเองได้อยู่แล้ว

“ให้ตะวันทำเถอะค่ะ แบบนี้สบายใจกว่าค่ะ”

กันเกราแอบมองอยู่หน้าห้องครัว พลางถอนใจ ผู้หญิงที่เธอเห็นขณะนี้ต่างจากนังงูเห่าที่เธอเคยรู้จักราวกับเป็นคนละคน แล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าครุ่นคิด นันทาหันมาเห็นเธอเข้า ก็โวยวายว่านังงูเห่านั่นกล้ากลับมาได้อย่างไร ท่านเจ้าสัวยังนอนอยู่โรงพยาบาลแท้ๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรบ้างเลยหรือ

เธอแนะนันทาลองให้โอกาสตะวันดูบ้าง นันทาถึงกับปรี๊ดแตกเล่นงานกันเกรายกใหญ่ที่ใจอ่อน รู้ไม่เท่าทันคน ชีวิตถึงต้องมาจมปลักอยู่ที่นี่ไม่มีทางไป กันเกราน้อยใจแต่เดินน้ำตาซึมออกมา นันทารู้สึกตัวว่าพูดรุนแรงเกินไป ตามมาขอโทษเธอที่เวลาตัวเองโมโหก็มักจะพูดอะไรไม่ยั้งคิด

“พี่เสียใจที่พูดจาทำร้ายน้ำใจเธอ พี่แค่รู้สึกน้อยใจว่านังนี่มันกำลังจะเอาคนรอบตัวพี่ไปหมด แม้แต่หนูยุริญยังหลงกลมัน แล้วนี่เธอยังจะเอนเอียงไปอีกคน”

“เวลาคนเราโมโหมักจะพูดจาขาดสติแบบนี้ น้องเข้าใจ แต่น้องแค่อยากเตือนสติคุณพี่เท่านั้น อย่าให้อารมณ์ความโกรธ ความโมโหมันมาทำลายความดีงามทุกอย่างของเรา...เราลองอโหสิและให้โอกาสเธอสักครั้งไหมคะคุณพี่ มันอาจทำให้บ้านเราสงบขึ้นก็ได้นะคะ”

นันทาพยักหน้าเหมือนจะยอมทำตาม แต่พอกันเกราไปพ้นสายตาเท่านั้น สีหน้าเธอเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “แกทำฉันเอาไว้มาก จะให้อภัยกันง่ายๆเหรอ ไม่มีทาง”...

อีกมุมหนึ่งของบ้าน ตะวันพยายามหาอะไรทำเพื่อไม่ให้อยู่ว่าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เนื่องจากกลับมาคราวนี้ ธงไทยไม่ได้มาด้วย เธอทำงานเพลินไม่ทันดูข้างหลัง ถอยชนพิชิตที่ยืนอยู่ เธอขอโทษเขา แล้วขยับจะไป เขากลับคว้าตัวไว้แล้วดันติดกำแพง ตะวันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขอร้องให้ปล่อย

“เธอเป็นบ้าอะไร กลับมาทำไมอีก หรือว่าลืมบรรดาผัวเก่าไม่ลง ขอบอกนะว่าที่นี่ไม่มีใครเขาสนใจผู้หญิงเลวๆอย่างเธอแล้ว... คุณวัฒน์ไม่ได้โง่ เขามีคุณยุริญแล้ว ที่นี่ไม่มีใครต้องการเธอ” คำพูดของเขาปลุกปีศาจในตัวเธอขึ้นมา ซึ่งมันมีอำนาจเหนือการควบคุม เธอจ้องตาพิชิตด้วยสายตาท้าทายพร้อมกับขยับเข้าหา

“แน่ใจเหรอว่าไม่มีใครต้องการฉัน...แน่ใจนะว่านายไม่ต้องการฉัน” ตะวันเห็นเขาเริ่มเหงื่อตกและปล่อยมือที่เกาะกุมเธอไว้ แถมขยับตัวออกห่าง ก็ยิ่งสนุก

รุกไล่เขาหนักข้อขึ้น “เห็นไหมว่านายมันไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก เพราะนายรักฉัน พิชิตคนดีของฉัน นายเคยทำทุกอย่างเพื่อฉันไม่ใช่หรือ”

พิชิตผลักเธอออกห่าง “ไม่จริง ฉันไม่เคยรักเธอเลย แล้วก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อเธอด้วย”

“จริงเหรอ แล้วที่มันเกิดขึ้นล่ะ คืออะไร” ไม่พูดเปล่า ตะวันลูบไล้ใบหน้าพิชิตไปด้วย เขาโมโหจนขาดสติ คว้าคอเธอบีบ เธอกลับไม่ยี่หระ ยังคงยิ้มยั่วยวนให้ เขายิ่งโกรธ ออกแรงบีบหนักมือขึ้นจนเธอหายใจไม่ออก แววตาของเธอเปลี่ยนจากท้าทายเป็นหวาดกลัว พยายามร้องขอชีวิต แต่เขาไม่สนใจ

จังหวะนั้นนันทวัฒน์ผ่านมาเห็นพอดี สั่งให้พิชิตปล่อยมือ แต่เขาหน้ามืดไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นันทวัฒน์ต้องต่อยหน้าหนึ่งหมัด เขาถึงยอมปล่อยมือ

ตะวันทรุดฮวบลงกับพื้นสลบเหมือด ครู่ต่อมาเธอถูกนำตัวมาวางบนโซฟาในห้องรับแขก กันเกรารู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต่อว่าพิชิตว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เขาได้แต่ยืนก้มหน้าไม่ตอบ นันทวัฒน์ฉุนขาดจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่นันทาขวางไว้ อ้างพิชิตไม่ได้ทำอะไรผิด

“มันเป็นคนอื่นแท้ๆ ยังรู้จักดูแลครอบครัวของเรา อย่างน้อยมันก็แยกดีแยกชั่วได้”

“คุณพี่คะ คุณพี่จะปล่อยให้มีการเอาชีวิตกันในบ้านนี้หรือคะ น้องรับไม่ได้นะคะ...พิชิต ทีหลังอย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก”

พิชิตพยักหน้ารับคำ นันทวัฒน์โกรธจัดที่ไม่สามารถจัดการอะไรๆได้ดั่งใจตัวเอง...

หลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นันทวัฒน์ตัดสินใจไปดักรอพิชิตที่หน้าห้องพัก เขาเห็นเจ้านายยืนหน้าเครียดรอท่าอยู่ เตรียมตัวรับอารมณ์เต็มที่ แต่เขาคาดผิด

“ฉัน...ขอบใจนะ ฉันรู้ว่านายรักและเป็นห่วงฉันกับครอบครัว แต่ฉันอยากให้นายรู้ว่าปรางค์คือดวงใจของฉัน ในสายตาคนอื่นเธอจะเป็นยังไงฉันไม่สนใจ แต่สำหรับฉัน เธอคือที่สุดในชีวิต ถ้านายเอาชีวิตเธอ นั่นหมายถึงนายลงมือฆ่าฉันทั้งเป็น” พูดจบนันทวัฒน์

หันหลังจากไป พิชิตอึดอัดใจไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงระบายอารมณ์ด้วยการต่อยผนังห้องไม่ยั้ง

ooooooo

ณ ไร่นวลตะวัน ธงไทยเอาแต่เหม่อใจลอย ตั้งแต่ตะวันจากมา นวลเห็นแล้วอดสงสารลูกชายไม่ได้ แนะให้เขาตามเธอไป ท่านยินดีทุกอย่างหากเขาทำแล้วมีความสุข

“ผมพอแล้วครับแม่นวล ผมพยายามทุกอย่างแล้ว ตะวันเธอเลือกแล้วครับ” ใจจริงแล้ว ธงไทยอยากตามตะวันไปทุกที่ แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อไร่นวลตะวันและผู้คนที่นี่ทำให้เขาไม่อาจทิ้งไปไหนได้อีก...

มยุริญใจกว้างเป็นแม่น้ำอย่างเหลือเชื่อมาช่วยดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ตะวันจนรู้สึกตัวได้สติ ทันทีที่เห็นหน้ามยุริญ เธอโผกอดร้องไห้โฮ คร่ำครวญให้ช่วยเธอด้วย มยุริญไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่กอดตอบปลอบใจ ส่วนนันทวัฒน์ยืนมองตะวันด้วยความสงสาร เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้

มยุริญอยู่ปลอบใจตะวันจนเห็นควรแก่เวลาจึงขอตัวกลับ นันทวัฒน์เดินมาส่งที่รถซึ่งจอดรออยู่หน้าบ้าน

“เธอคงกลัวและไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว นอกจากน้องยุริญ”

“ยุริญเข้าใจนะคะ แล้วจะแวะมาบ่อยๆค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณที่สุด” นันทวัฒน์เผลอตัวคว้ามือเธอมากุมไว้ มยุริญเหลือบมองมือเขาที่จับมือตัวเอง เขารู้สึกตัวรีบชักมือออก แต่เธอใช้อีกมือหนึ่งคว้ามือเขาไว้

“ไม่เป็นไรค่ะ ยุริญยินดีช่วยเสมอค่ะ พี่ชาย”

นันทวัฒน์ยิ้มให้มยุริญด้วยความโล่งใจ ทั้งคู่ไม่เห็นตะวันมองลงมาจากหน้าต่างห้องด้วยสายตากร้าวและเต็มไปด้วยความริษยา...

ค่ำวันเดียวกัน คีรินจับได้ว่ารันขโมยเงินที่ตนเองเก็บหอมรอมริบไว้สำหรับรักษาดวงตาให้แม่ไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม ก็บันดาลโทสะ จับกระเป๋าใบนั้นขว้างใส่หน้าแล้วตามเข้าไปตบซ้ำ แม่ได้ยินเสียงเอะอะคลำทางเข้ามาในห้อง ถามว่าเกิดอะไรขึ้น รันร้องไห้โฮวิ่งไปหลบหลังแม่พร้อมกับฟ้องว่าโดนพี่รินตบ

“แม่หลบไป วันนี้ฉันจะสั่งสอนให้มันหายปัญญาอ่อนสักที แม่รู้ไหมมันเอาเงินที่ฉันเก็บไว้รักษาตาแม่ไปซื้อกระเป๋า” คีรินฟ้องคืนให้บ้าง แม่กลับต่อว่าเธอว่ากระเป๋าราคาไม่กี่ร้อยบาทถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเลยหรือ

คีรินน้อยใจมากที่แม่คอยปกป้องน้องตลอด เดินเลี่ยงออกไปทั้งน้ำตา ขณะที่รันถึงกับสะอึก หากแม่รู้ว่ากระเป๋าแบรนด์เนมของเธอใบละเท่าไหร่ คงเป็นลมไปหลายตลบ

ทางด้านคีรินมองเงินเก็บในกระป๋องที่เหลือไม่ถึงครึ่งแล้วท้อใจ ยกมือถือขึ้นมาเปิดดูอีเมลที่เฮียฮุยส่งข้อมูลของเป้าหมายมาให้ แต่พอหวนคิดถึงเหยื่อรายล่าสุดที่เธอลงมือสังหารต่อหน้าลูกของเหยื่อ คีรินทำใจไม่ได้ ขว้างมือถือทิ้งเฉี่ยวแม่ที่กำลังเดินเข้ามาหวุดหวิด เธอตกใจถามว่าโดนหรือเปล่า

แม่ส่ายหน้า แล้วคลำหามือถือจนเจอ เห็นเพียงแสงจากหน้าจอลางๆไม่เห็นว่าเป็นรูปของตะวันปรากฏอยู่ พริบตาเดียวภาพก็ดับวูบ

“อ้าว ดับไปซะแล้ว เสียหรือเปล่าเนี่ย รินดูสิ” แม่ว่าแล้วยื่นมือถือให้ คีรินลองเปิดเครื่องก็ไม่ติด

“โมโหอะไรขนาดนั้นล่ะริน มีกันอยู่แค่นี้ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้น้องมันเถอะนะ เงินทองมันของนอกกาย ไม่ตายเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” คำพูดปกป้องน้องของแม่ทำเอาคีรินถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ooooooo

ทรงพลคิดจะเอาใจเปลว ลงมือเข้าครัวทำอาหารให้กิน เธอเห็นท่าทางทุลักทุเลของเขาแล้วเข้ามาแย่งหม้อซุปจะไปทำเอง แต่เขายื้อไว้ไม่ยอมปล่อย เธอไม่อยากเสียอารมณ์ก็เลยปล่อยมือ ทรงพลไม่ทันระวังทำซุปร้อนๆในหม้อหกรดมือตัวเองร้องโอ๊ยลั่น เปลวคิดว่าเขาแกล้งเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“หยุดทำแบบนี้สักทีเถอะ ท่านต้องการอะไรอีก ทำให้ฉันรู้สึกบาปงั้นเหรอ เอาสิ ตายไปซะเลยไหม ฉันจะได้มีบาปติดตัวไปจนตาย”

“เปลวทำไมพูดกับฉันแบบนี้ เปลวไม่สงสารฉันแล้วหรือเปลว” ทรงพลพยายามเข้าไปกอด เปลวโกรธมากไล่ให้เขาตายๆไปสักที ทันใดนั้นมีเสียงตะวันดังขึ้นด้านหลัง

“ทำไมพูดกับคุณพ่อแบบนั้นล่ะคะ ท่านเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของเราไม่ใช่เหรอคะ คุณแม่”

“ปรางค์! หนูจำได้แล้ว” เปลวตกใจกับสายตากร้าวของลูกสาว...

เปลวทิ้งให้สองพ่อลูกได้อยู่กันตามลำพัง แล้วออกมานั่งคุยกับนันทวัฒน์ที่โต๊ะสนาม ต่อว่าเขาว่าพาลูกของเธอกลับมาที่นี่ทำไม เขาอ้างว่าตะวันไม่ค่อยสบายใจ เขาก็แค่อยากพามาหาเปลวเผื่อเธอจะดีขึ้น

“คุณคิดผิดแล้วคุณนันทวัฒน์ การที่คุณพาเธอมาที่นี่ เท่ากับเป็นการปลุกผี เปิดขุมนรกเลยทีเดียว” คำพูดจริงจังของเปลวทำเอานันทวัฒน์เริ่มเป็นกังวล...

อีกมุมหนึ่งของบ้าน ตะวันนั่งทำแผลโดนน้ำร้อนลวกให้ทรงพลที่ยิ้มเศร้าๆมาให้ พลางตัดพ้อถ้ารู้ว่าเจ็บตัวแล้วเธอจะมาหาแบบนี้ เขายอมเจ็บมากกว่านี้อีก ตะวันขอร้องอย่าพูดแบบนั้น ท่านก็รู้ว่าเธอยังจำอะไรไม่ได้ จำได้แค่ว่าท่านคือผู้มีพระคุณสูงสุดและจำได้ว่าพวกบ้านวัฒนาทำอะไรกับท่านไว้บ้าง

“แก้แค้นให้พ่อนะปรางค์”

“หนูไม่รู้ว่าหนูทำอะไรไว้กับคนบ้านนั้นบ้าง แต่เจ้าสัวก็ได้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้ว เรา...”

“ไม่ได้ มันต้องฉิบหายกันทั้งครอบครัว”

“แต่ถึงยังไงหนูกับคุณนันทวัฒน์ มันเป็นพรหมลิขิต...”

ทรงพลคำรามรอดไรฟัน ไม่มีพรหมลิขิตบ้าบออะไรทั้งนั้น การที่เธอกับนันทวัฒน์ได้มาพบเจอกันที่ญี่ปุ่นล้วนเป็นแผนการของเขาทั้งสิ้น เขาให้เธอวางเหยื่อล่อนันทวัฒน์มาติดกับและให้เธอใช้เสน่ห์ล่อหลอกทำให้มันหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น

“พ่อเหลือแต่ปรางค์คนเดียวนะลูก ที่จะทวงถามความยุติธรรมให้พ่อได้ อย่าทำให้พ่อผิดหวังนะลูก”

“ค่ะ...คุณพ่อ” ตะวันมองนันทวัฒน์ที่นั่งคุยอยู่กับเปลวที่อีกมุมหนึ่งของบ้านด้วยสายตากร้าว ไม่เหมือนตะวันคนเดิมอีกต่อไป คล้ายกับคนถูกสะกดจิต...

เมื่อได้อยู่ตามลำพังกับพี่สาว รันสัญญาจะหาเงินมาคืนให้ แต่อย่าถามว่าเมื่อไหร่ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ มีเมื่อไหร่ก็จะคืนรอหน่อยก็แล้วกัน คีรินถามประชดว่าดวงตาของแม่รอได้ไหม รันขอร้องอย่าทำเหมือนเธอเป็นผู้ร้าย แม่เองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนี้สักหน่อย มีแต่พี่รินเท่านั้นที่วุ่นวายไปเอง คีรินฉุนขาด

“จะบอกอะไรให้นะ สิ่งเดียวที่แม่อยากเห็นที่สุดในชีวิตก็คือ เห็นแกใส่ชุดรับปริญญา จำใส่สมองนิ่มๆของแกไว้” พูดจบคีรินเดินกระแทกเท้าจากไป

ooooooo

มยุริญหยิบเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ออกจากในถุงที่วางเรียงรายอยู่บนเตียงมาให้ตะวันดู

“พี่วัฒน์เห็นว่าคุณปรางค์...”

“เรียกตะวันดีกว่านะคะ ตะวันยังไม่ชินเลยค่ะ”

“ค่ะ คุณตะวัน พี่วัฒน์เห็นว่าคุณเอาข้าวของมาน้อย เลยให้ยุริญไปหามาให้น่ะค่ะ ยุริญคิดว่าคงกะไซส์ของคุณตะวันไม่พลาดนะคะ คงใส่ได้พอดี”

ขาดคำ อึ่งหอบถุงช็อปปิ้งเต็มสองมือเข้ามาวางให้อีก ตะวันหยิบชุดขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะบอกว่าสวยทุกชุด แต่คงไม่เหมาะกับเธอ ถ้าให้ใส่คงเดินขาขวิดแน่นอน เพราะเธอขี้อาย แล้วขอโทษยุริญที่ทำให้เสียทั้งเวลาและเงินทองไปซื้อหามา

“ไม่ต้องห่วงค่ะของส่วนใหญ่จะมาจากร้านประจำของยุริญ เดี๋ยวยุริญจัดการได้ค่ะ” มยุริญพูดจบหันไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่ถุงอย่างเดิม ตะวันปรายตามองเสื้อผ้าเหล่านั้นสายตาเหยียดหยาม อึ่งหันมาเห็นพอดีแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ...

ค่ำวันเดียวกัน คีรินบังเอิญขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าร้านอาหารที่ตัวเองเคยร้องเพลง เห็นเปิดให้บริการตามปกติก็ดีใจที่จะได้กลับมาทำงาน รีบจอดรถลงไปถามไถ่ ปรากฏว่าร้านเปิดได้สักพักหนึ่งแล้ว และเจ้าของร้านจ้างนักร้องหญิงหน้าตาสะสวยมาทำงานแทนเธอ

คีรินเดินคอตกออกมาด้วยความผิดหวัง

ในเมื่องานประจำก็ไม่มีทำ คีรินนึกถึงงานที่เฮียฮุยเฝ้าอ้อนวอนให้เธอกลับไปทำ จัดแจงหยิบมือถือที่ตัวเองขว้างพังเสียหายขึ้นมางัดเอาซิมการ์ดออกจากเครื่อง จะไปซื้อมือถือเครื่องใหม่เอามาเปิดดูข้อมูลของเป้าหมาย แต่แล้วความดีในตัวทำให้เธอเปลี่ยนใจ ยัดซิมการ์ดกลับไปในมือถือเหมือนเดิม

ooooooo

วันรุ่งขึ้นนันทวัฒน์พาตะวันไปที่ห้างสรรพสินค้าให้เลือกซื้อเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบโดยหนีบมยุริญไปช่วยเธอด้วย เธอหยิบชุดโน้นชุดนี้ที่ขายกันดาษดื่นมาทาบกับตัวแต่ไม่ถูกใจสักชุด อ้างว่าแบบเหมือน ตัวเดิมๆที่เคยมี อยากได้แบบอื่นที่แตกต่างไม่อยากให้เขาต้องมาเสียเงินเปล่าประโยชน์ ทั้งคู่ยิ้มให้กับความใสซื่อของเธอ

“คุณตะวันใช้เวลาเต็มที่เลยนะคะ เลือกแบบที่ชอบเลยค่ะ”

“ตะวันเกรงใจน่ะค่ะ เอาอย่างนี้นะคะคุณวัฒน์กับคุณมยุริญนั่งพักดื่มน้ำที่ร้านแถวนี้รอตะวันก็ได้นะคะ”

มยุริญเห็นดีด้วย ตะวันจะได้เลือกแบบเสื้อที่ตัวเองต้องการได้อย่างสบายใจ นันทวัฒน์ไม่อยากขัดใจเธอเช่นกัน จัดแจงหยิบบัตรเครดิตยื่นให้ตะวันซึ่งตีหน้าซื่อถามว่าให้ทำไม

“บัตรเครดิตของปรางค์ ใบใหม่เพิ่งส่งมาครับ ปรางค์เซ็นชื่อตรงแถบขาวข้างหลังแล้วก็ใช้ได้เลยครับ”

“ขอบคุณคุณวัฒน์มากนะคะ ตะวันเกรงใจจังค่ะ” ปากบอกว่าเกรงใจ แต่พอคล้อยหลังเท่านั้น ตะวันคนที่ใสซื่อเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเฉิดฉายและมาดมั่น เดินเข้าแต่ร้านแบรนด์เนมราคาแพงระยับ รูดบัตรเครดิตซื้อ

ทุกอย่างไม่มียั้งจนแทบจะถือข้าวของเหล่านั้นไม่ไหว มัวแต่ช็อปปิ้งเพลินไม่ทันเห็นวิวที่แอบเดินตามเพราะสะดุดกับบุคลิกไม่เหมือนตะวันที่ตนเองเคยรู้จักแถมใช้เงินมือเติบ โดยไม่ลืมถ่ายคลิปเก็บไว้

ช็อปปิ้งจนหิ้วไม่ไหว ตะวันจึงเดินกลับไปหานันทวัฒน์กับมยุริญที่ร้านกาแฟ มยุริญเห็นแต่ละถุงในมือเธอล้วนยี่ห้อแพงๆทั้งนั้นถึงกับชมเปาะว่า
เลือกของเก่งถึงได้มาแต่ของแบรนด์เนม

“ตะวันไม่รู้จักเลยสักร้านค่ะ เห็นว่าเป็นเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อย ใส่ได้นานก็เลือกมาค่ะจะได้ไม่ต้องซื้อบ่อยเสียดายเงินน่ะค่ะ แค่ของวันนี้ตะวันก็เกรงใจจะแย่แล้วค่ะ ไม่รู้ว่าใช้เงินไปกี่พันบาท ตะวันดูราคาไม่เป็นค่ะ ไม่รู้ว่าเขาดูตรงไหน เลยส่งการ์ดให้ทางร้านจัดการให้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ถ้าตัวไหนที่ปรางค์ชอบก็ซื้อไปเถอะนะครับ”

“ตะวันขอฝากของไว้ก่อนนะคะ พอดีตะวันยังขาดของใช้จำเป็นอีกสองสามอย่างน่ะค่ะ” ตะวันพูดจบเดินจากไป มยุริญกับนันทวัฒน์มองตามก่อนจะหันมายิ้มให้กัน

“ท่างทางปรางค์ตัวจริงจะกลับมาแล้วนะครับเนี่ย พวกนี้นี่แบรนด์โปรดของปรางค์ล้วนๆ”

มยุริญกลับไม่คิดเช่นนั้น ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นแค่จิตใต้สำนึกที่ตะวันทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่เธอคาดผิด ตะวันรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร ทันทีที่คล้อยหลัง เธอมองบัตรเครดิตในมือพร้อมกับเบ้ปาก

“วงเงิน 1 ล้านบาท...อยากลองใช้เต็มวงเงินจังเลย”

วิวซึ่งแอบสะกดรอยตามได้ยินเต็มสองหูถึงกับอ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือตะวันที่ตัวเองรู้จัก...

ขณะที่ตะวันเริ่มแผนแก้แค้นคนบ้านวัฒนาอีกครั้ง การมองเห็นของแม่ของคีรินแย่ลงเรื่อยๆจะหั่นหมู

ดันพลาดมีดถูกนิ้วตัวเองถึงกับเลือดสาด คีรินจะพาไปหาหมอท่านก็ไม่ยอมไป ขอร้องให้หยุดพักขายของ

ให้แผลหายอักเสบก่อนท่านก็ไม่ยอมหยุดอ้างเสียดายเงินที่จะได้จากการขายของ คีรินเครียดหนักที่ตัวเองตกงาน ขี่มอเตอร์ไซค์ไปสมัครร้องเพลงตามร้านอาหารต่างๆ หลายแห่ง แต่ไม่มีใครรับ ทำให้เธอท้อใจมาก...

ฝ่ายรันอุตส่าห์ถือกระเป๋าใบใหม่ไปอวดเพื่อนที่มหาวิทยาลัยกลับพบว่ากระเป๋าที่ตัวเองซื้อมาราคาแพงระยับเป็นของก๊อปเกรดเอ เธอทั้งโกรธทั้งอาย แทบจะแทรกแผ่นดินหนี

ooooooo

นันทาเห็นนันทวัฒน์เดินนำมยุริญและตะวันพร้อมด้วยถุงใส่ข้าวของมากมายเข้ามาในบ้าน ปรี่เข้ามาต่อว่าว่าทำไมวันนี้เขาไม่ไปดูแลพ่อ มยุริญรีบออกรับ แทนว่าตนเองเห็นตะวันเอาของใช้มาไม่ครบก็เลยชวนกันไปหาซื้อข้าวของ แต่บังเอิญรถติดมากถึงได้กลับมาช้า นันทาตวัดตามองตะวันก่อนจะถามว่าได้ของครบไหม

“ยังไม่ทราบเลยค่ะ แต่ตะวันก็ซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้มาก่อนน่ะค่ะ”

“ของใช้จำเป็นหรือ” ไม่พูดเปล่านันทาปรายตามองถุงใส่ของแบรนด์เนมอย่างไม่สบอารมณ์ ตะวันทำเป็นก้มหน้างุด นันทวัฒน์สงสารเธอมาก สั่งให้อึ่งช่วยเอาถุงพวกนี้ขึ้นไปไว้ที่ห้องของเธอด้วย แล้วบอกให้ตะวันไปพักผ่อนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เธอพยักหน้ารับคำ หยิบบัตรเครดิตคืนให้ เขาบอกให้เธอเก็บไว้ใช้ก่อน

“ขอบคุณคุณวัฒน์มากนะคะ แต่ว่าตอนที่จะซื้อของร้านสุดท้ายพนักงานพูดว่า...อะไรสักอย่างน่ะค่ะ เต็มวงเงินอะไรประมาณนี้ ตะวันก็ไม่ค่อยเข้าใจ”
นันทาแทบจะลมจับเพราะนั่นเท่ากับนังงูเห่าซื้อของไปเป็นล้านบาท มยุริญต้องช่วยพยุงไว้ นันทวัฒน์ กลับบอกตะวันว่าไม่ต้องเป็นกังวลไป พรุ่งนี้เขาจะจัดการให้ เธอขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วเดินขึ้นห้อง นันทวัฒน์มองตามยิ้มมีความสุข นันทาอดหมั่นไส้ไม่ได้

“จะยิ้มอีกนานไหม รีบไปเปลี่ยนน้ากันเกราที่โรงพยาบาลสิ เธอเฝ้ามาทั้งวันแล้วนะ” นันทาว่าแล้วถอนใจเซ็งจัดที่ลูกชายไม่ได้ดั่งใจ...

อึ่งเอาถุงมากมายมาวางไว้บนเตียงในห้องพักของตะวัน แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เช็กว่ากระดาษชำระในห้องน้ำหมดหรือเปล่าจึงเข้าไปดู เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามา นึกว่าไม่มีใครอยู่โยนถุงใส่ของอีกหอบใหญ่ลงบนเตียงรวมกับของที่อึ่งถือขึ้นมาด้วยสีหน้าสะใจ

“นี่มันแค่เริ่มต้นนะอีแก่ ยังต้องเจอกันอีกเยอะ” พูดจบตะวันหันไปจะเข้าห้องน้ำ เห็นอึ่งยืนตะลึงอยู่ที่ประตู แสร้งตีหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อ้าว...พี่อึ่งอยู่นี่เอง ตะวันยังห่วงอยู่ว่าถือไหวหรือเปล่า”

“เช็กทิชชูค่ะ...ว่า...หมดหรือยัง...เอ่อ ไม่ได้ยินอะไรค่ะ” อึ่งว่าแล้วรีบออกจากห้อง...

ทันทีที่ต๋องขับมอเตอร์ไซค์มาส่งหน้าบ้าน รันเอากระเป๋าใบใหม่ของตัวเองฟาดเขาไม่ยั้ง พลางด่าว่า

ที่เขาเอากระเป๋าปลอมมาหลอกขายให้ แล้วสั่งให้เอาเงินมาคืน เขาอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นกระเป๋าปลอม เขาเองก็โดนหลอกเหมือนกัน ใบแรกที่เขาซื้อให้เธอจำได้หรือเปล่า รันพยักหน้ารับ

“เจ็บใจนัก ยัยผู้หญิงคนนั้นมันต้องเป็นพวกหลอกลวง เสียรู้มันได้ อย่าให้เจอนะแม่จะจัดหนักเลย”

ต๋องโล่งใจที่รันหลงเชื่อ จังหวะนั้นคีรินขี่มอเตอร์ไซค์กลับจากหางานพอดี ต๋องไม่อยากถูกด่าว่ารีบชิ่งหนี

รันเห็นพี่สาวตัวเองก็ยิ่งอารมณ์เสีย เดินสะบัดหน้าเข้าบ้าน คีรินได้แต่มองตามหนักใจ...

ตะวันนอนกระสับกระส่ายไปมา ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นลักษณะเหมือนเมายาค้าง ภาพในห้องพักเบลอไปหมด เห็นทรงพลยืนอยู่ปลายเตียง ชมไม่หยุดปากว่าเก่งมาก เธอนอนอมยิ้มมีความสุข

“หนูทำดีใช่ไหมคะ หนูทำดีใช่ไหม”

ooooooo

วิวขับรถจากกรุงเทพฯมาหาธงไทยถึงไร่นวลตะวัน เล่าเรื่องที่ไปเจอตะวันกลางห้างหรู กำลังช็อปปิ้งแต่ของแบรนด์เนม แถมเปิดคลิปแอบถ่ายให้ดูเป็นการยืนยันคำพูดตัวเอง ธงไทยชักหงุดหงิด

“อุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมาเล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือวิว”

“อะไรทำให้ไทยเป็นไปได้ขนาดนี้นะ เธอทิ้งไทยไว้ที่นี่ ไทยยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ”

“ใช่ ไทยไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจว่าทำไมวิวถึงเป็นแบบนี้ ไทยมีคนที่ดีที่ไทยรัก เรามีความสุขกันดีอยู่แล้ว ทำไมวิวต้องมากวนน้ำให้ขุ่น วิวต้องการอะไร ไทยรักตะวันไม่มีทางมองคนอื่นอีก ไม่ว่าวิวจะทำยังไงก็ตาม”

“ไทยบ้าไปแล้ว” วิวน้อยใจมากที่เขาคิดแบบนี้เดินจากไปทั้งน้ำตา ธงไทยได้แต่มองตามหน้าเครียด...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน นันทากับกันเกรามาถึงห้องพักฟื้นของวัฒนาเห็นมยุริญกำลังบีบนวดเนื้อตัวแขนขาให้เขาอยู่ แต่ไม่เห็นนันทวัฒน์อยู่ด้วยก็ถามหา ปรากฏว่าลูกชายตัวดีพานังงูเห่าไปเดินห้างฯ ปล่อยให้มยุริญอยู่เฝ้าไข้พ่อตัวเองเพียงลำพัง นันทาโกรธมาก เจอตัวเมื่อไหร่จะเล่นงานให้สาสม...

ฝ่ายอึ่งถือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ค่อนข้างโชว์เนื้อหนังของตะวันที่เพิ่งซักรีดเสร็จ จะเอาขึ้นไปเก็บข้างบนตึกผ่านหน้าพิชิตซึ่งนั่งนิ่งเป็นปูนปั้น อดลอยหน้าลอยตาพูดล้อเลียนเจ้าของเสื้อไม่ได้

“ตะวันไม่ค่อยกล้าใส่ชุดที่มันหวือหวา...โธ่เอ๊ย แรงกว่าคุณนาอีก นี่คุณพิชิต เดี๋ยวนี้ทำไมไม่ตามคุณวัฒน์ไปไหนเลย รู้จักไปดูแลเจ้านายบ้างนะ ฉันล่ะเป็นห่วงคุณวัฒน์จริงๆ”

พิชิตเอาแต่นั่งก้มหน้า ไม่ใช่เขาไม่ห่วงเจ้านาย แต่เป็นเพราะเขาอยากหนีหน้าผู้หญิงคนนั้นต่างหาก...

บังเอิญเหลือเกินที่คีรินไปเดินห้างฯเดียวกับที่ตะวันไป แถมเดินชนเธอที่กำลังเดินออกจากร้านอาหารพร้อมกับนันทวัฒน์ คีรินดีใจมากคว้ามือเธอมากุมไว้ อีกฝ่ายดึงมือกลับ ไม่มีทีท่ายินดียินร้ายด้วย

“ตะวัน หายไปเลยนะ แม่แกบ่นถึงตะวันตลอดเลย ว่างๆก็แวะไปบ้างนะ”

“อืม...ถ้ามีเวลาจะไปนะ ไปเถอะค่ะพี่วัฒน์”

คีรินมองตามตะวันที่เดินกอดแขนนันทวัฒน์ออกไปด้วยสายตาปวดร้าว ตะวันน้องสาวที่น่ารักคนนั้นหายไปไหน ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เย็นชาและไม่น่ารักเอาเสียเลย...

ระหว่างเดินไปยังลานจอดรถ ตะวันเอาแต่เงียบขรึมเพราะการเจอคีรินครั้งนี้ทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีกันยุ่งเหยิงภายในจิตใจของเธอ นันทวัฒน์เห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดีนัก มั่นใจว่าคงต้องเกี่ยวพันกับผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้ รีบออกตัวว่าเสียดายแทนเธอที่เขาต้องรีบไป ไม่อย่างนั้นเธอคงได้อยู่คุยกับเพื่อนต่อไปได้

“ไม่เป็นไรค่ะพี่วัฒน์ วันหลังคงได้เจอกันอีก” ตะวันเห็นนันทวัฒน์มองหน้าเธอแล้วยิ้มแย้มมีความสุข ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า เขาเฉลยว่าที่ยิ้มไม่หุบเพราะวันนี้เธอเรียกเขาว่าพี่วัฒน์ซึ่งเขาชอบมาก

“คงจะดีกว่านี้ถ้าปรางค์จะเรียกตัวเองว่าปรางค์”

“ขอเวลาตะวันหน่อยนะคะ ตะวันเชื่อว่าวันหนึ่ง ตะวันจะจำทุกอย่างได้ค่ะ”

“ครับ พี่จะรอ นานแค่ไหนพี่ก็จะรอ” นันทวัฒน์มองสบตาเธอลึกซึ้งจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตา...

ทางด้านวิวเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่กลับจากไร่นวล ทั้งเสียใจและน้อยใจกับคำพูดของธงไทย เจ๊แน๊ตต้องปลอบและเตือนสติ อะไรที่มันหนัก มันเหนื่อยก็ให้เลิกทำ

“เมื่อก่อน วิวสามารถยุ่งเรื่องของไทยได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว ไทยต้องขอปรึกษาวิวทุกเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ไทยเปลี่ยนไป วิวหวังดีกับไทยนะเจ๊”

“คุณไทยเขาเลือกของเขาแล้ว ต่อไปนี้หมดหน้าที่ผู้หวังดีอย่างหล่อนแล้วจ้ะ” เจ๊แน๊ตว่าแล้วดึงวิวที่ร้องไห้เป็นเผาเต่ามากอดปลอบใจ

ooooooo

ภายในห้องพักฟื้นของวัฒนา ทันทีที่นันทวัฒน์ก้าวเข้ามา นันทาปรี่เข้าไปตบตีอุตลุด สั่งสอนที่เขาเห็นแก่ตัวไม่รับผิดชอบ แถมยังโง่เง่าให้นังงูเห่านั่นหลอกเอาอีก กันเกราสงสารหลานชาย ปรี่เข้าไปกอดปกป้อง พร้อมกับเตือนนันทาว่าที่นี่โรงพยาบาล อายคนอื่นบ้าง

“จะต้องไปอายทำไม ทุกวันนี้มีลูกโง่ๆผัวง่อยๆยังไม่น่าอายอีกหรือ”

วัฒนาสะเทือนใจมาก อยากจะกลั้นใจตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไม่ได้จึงต้องหลับตาเพื่อซ่อนความเจ็บปวด กันเกราพยายามห้ามนันทาไม่ให้พูดอะไรที่จะทำร้ายจิตใจทั้งพี่เขยและหลานชาย แต่เธอไม่ยอมหยุด

“ไม่รู้มันเอาอะไรคิดให้หนูมยุริญมาดูแลพ่อขณะที่ตัวเองพานังแพศยานั่นไปเดินเที่ยวผลาญเงิน เวรกรรม

ของฉันจริงๆมีผู้หญิงดีๆใส่พานมาถวายถึงที่ ดันไปปลุกผีขึ้นมาป่วนครอบครัว อยากให้แม่ตายเร็วหรือไง”

จังหวะนั้นมยุริญกลับเข้ามาพร้อมกับถุงใส่ยาของวัฒนา แปลกใจที่เห็นทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ถามว่ามีอะไรกันหรือเปล่า ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครให้ความกระจ่าง...

นันทากลับถึงบ้านอย่างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เจอตรีทศกับนันทนากำลังทะเลาะกันเรื่องที่เขาแอบเหล่ตะวันตอนเดินผ่าน นันทาคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้ออกปากชวนตรีทศอย่าเพิ่งรีบกลับ ให้นอนค้างคืนที่นี่ด้วยกัน บ้านนี้มีตั้งหลายห้อง เขาจะเลือกนอนห้องไหนก็ได้เธออนุญาต อยู่ด้วยกันหลายๆคนจะได้ไม่วังเวง คืนนี้นันทวัฒน์ไม่อยู่ต้องไปเฝ้าเจ้าสัวที่โรงพยาบาล ตรีทศยิ้มให้ว่าที่แม่ยายอย่างรู้กัน

“งั้นสบายใจได้ครับ ตรีทศอยู่ด้วยทั้งคน ครื้นเครงแน่ๆ”...

ขณะที่เฮียฮุยกำลังสั่งงานให้เลขาฯไปเช็กประวัติผู้หญิงที่ตรีทศไปติดพันว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มีข้อความจากบุคคลปริศนาที่ชื่อ A.แจ้งว่าไม่ต้องจัดการเป้าหมายแล้ว ส่วนเงินค่าจ้างก้อนนั้น A.ยกให้ เฮียฮุยหัวเราะชอบใจให้กับความโชคดีของตัวเอง ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย แถมได้เงินใช้ฟรีๆอีกต่างหาก...

ในระหว่างที่อึ่งถือแก้วใส่น้ำนมถั่วเหลืองที่นันทากำชับนักกำชับหนาว่าต้องเอาไปให้ตะวันถึงห้องพัก ไม่วายบ่นพึมพำตามนิสัยผีเจาะปากให้พูด

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมวันนี้ใจดีผิดปกติยอมให้ลูกเขยค้างที่บ้านแถมยังให้เอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟลูกสะใภ้อีกต่างหาก” ว่าแล้วอึ่งมองซ้ายมองขวาเห็นปลอดคนแอบชิมน้ำนมถั่วเหลืองในมือไปหนึ่งอึก “เบๆไม่เห็นจะอร่อยตรงไหนเลย” เธอยังไม่ทันจะเคาะประตูห้อง ตะวันเดินออกมาเสียก่อน

“นมถั่วเหลืองค่ะ คุณนันให้เอามาให้ค่ะ แต่ไม่ค่อยอร่อยนะคะ...เอ่อ หมายถึงดูน่าอร่อยน่ะค่ะ”

“ขอบคุณนะคะพี่อึ่ง” ตะวันรับแก้วเครื่องดื่มกลับเข้าไปในห้อง...

ฝ่ายคีรินทนเห็นแม่มีปัญหาเรื่องการมองเห็นต่อไปอีกไม่ไหว ตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องใหม่แล้วต่อสายหาเฮียฮุยบอกว่าพร้อมจะทำงานให้ แต่ต้องผิดหวังเมื่อเขาบอกว่าลูกค้ายกเลิกปฏิบัติการนี้แล้ว คีรินวางสายสีหน้าครุ่นคิดหนัก ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมารักษาดวงตาให้แม่

ooooooo

ตะวันสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงตรีทศเปิดประตูห้องเข้ามา เธอมองเลยไปด้านหลังของเขาเห็นนันทายืนจ้องมาที่ตัวเองเขม็ง จากนั้นประตูก็ปิดตามหลัง ตรีทศมองเธอที่นอนตัวแข็งทื่อด้วยสายตาหื่นกระหายแล้วเดินมานั่งบนเตียง ตะวันได้แต่มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน เป็นทำนองว่าอย่าทำอะไรเธอเลย

“สวัสดีคนสวย ส่งสายตาหวานให้พี่ทศอีกแล้ว” ไม่พูดเปล่าเขาลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของเธอด้วย

“อย่...อย่า”

“อะไรนะจ๊ะ ไม่ค่อยได้ยินเลย...แหมๆๆ ถ้าอ้อนวอนกันขนาดนี้ พี่ทศคงต้องจัดให้ซะแล้ว”

อีกมุมหนึ่งหน้าห้องพักของตะวัน สำนึกดีในตัวนันทาทำให้เธอลังเล เงื้อมือจะเคาะประตูเพื่อหยุดสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เกิดเปลี่ยนใจ หันหลังจะกลับห้องตัวเอง ต้องชะงักเมื่อเจอกันเกรายืนมองอยู่

“คุณพี่คิดจะทำอะไรคะ จะปลุกแม่นั่นขึ้นมาด่าเรื่องชวนตาวัฒน์ไปเที่ยวหรือคะ มันดึกแล้วนะคะคุณพี่ รอพรุ่งนี้เถอะ บอกตรงๆน้องขี้เกียจมานั่งตามเก็บหงอกคุณพี่ น้องเตือนแล้วนะคะ”พูดจบกันเกราเดินลงบันได

“ฉันไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาถอนหงอกฉันเล่นหรอก มันต้องได้รับผลกรรมที่ทำไว้กับฉัน” นันทาพึมพำเสียงเครียด ครู่ต่อมากันเกรามาถึงห้องครัวจะหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่ม ต้องตกใจเมื่อเห็นอึ่งนอนหลับอยู่เข้าไปสะกิดเรียกให้ตื่น เธองัวเงียลุกขึ้น แต่หนังตาหนักแทบลืมไม่ได้ ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องของตะวันดังขึ้น

กันเกราหน้าตาตื่นวิ่งไปยังห้องต้นเสียง เห็นเจ้าของห้องนอนร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนเตียง โดยมีตรีทศนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นใกล้ๆ เธอร้องเอะอะลั่นบ้าน เรียกให้คนมาช่วยไม่นานนัก ตะวันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเดือดร้อนถึงมยุริญต้องมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด คร่ำครวญว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา มยุริญจับมือเธอไว้พลางปลอบใจ

“มันจบแล้วค่ะคุณตะวัน คุณโชคดีมากนะคะที่คุณตรีทศเมาหัวฟาดหัวเตียงสลบไปซะก่อน คุณปลอดภัยแล้ว พักผ่อนนะคะ อย่าคิดมาก” มยุริญลูบหน้าลูบหลังตะวันที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น นันทวัฒน์เปิดประตูห้องเข้ามาอย่างร้อนใจ ทันทีที่ตะวันเห็นเขา สะบัดมยุริญทิ้งแล้วโผกอดเขาแน่น
“พี่วัฒน์ ตะวันกลัว ช่วยตะวันด้วย”

มยุริญรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน รีบถอยออกมายืนดูห่างๆ นันทวัฒน์ประคองตะวันมานอนที่เตียงคนป่วย กุมมือเธอไว้จนเธอผล็อยหลับ มยุริญดูนาฬิกาที่ผนังห้อง เห็นบอกเวลาตีสี่ก็ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากพรุ่งนี้มีนัดลูกค้าแต่เช้า นันทวัฒน์จะเดินไปส่ง แต่ตะวันละเมอเรียกเขา แถมจับมือไว้แน่น

“คนขับรถของยุริญรออยู่ข้างล่างค่ะ ไม่เป็นไรนะคะ พี่วัฒน์อยู่เป็นเพื่อนคุณตะวันดีกว่า เธอกำลังเสียขวัญ เดี๋ยวตื่นมาไม่พบใครจะตกใจ” มยุริญว่าแล้วเดินออกจากห้อง เขาอยากจะไปส่งเธอใจแทบขาด แต่ตะวันไม่ยอมปล่อยมือ จึงได้แต่ส่งด้วยสายตา...

ดึกมากแล้ว ธงไทยนอนไม่หลับเป็นห่วงความปลอดภัย ของตะวัน ตาท้วมเห็นใจเขามากเข้ามาช่วยพูดปลอบใจแต่ก็ไม่ทำให้เขาคลายความกังวลลงได้

ooooooo

นันทวัฒน์กลับจากโรงพยาบาลที่ตะวันนอนรักษาตัวอยู่เพื่อมาเอาข้าวของให้เธอ นันทาไม่วายแดกดันว่าพ่อตัวเองนอนพะงาบๆอยู่โรงพยาบาลไม่เห็นเขาเคยเหลียวแล ทีกับนังงูเห่านั่นดันไปอยู่เฝ้าเช้าเฝ้าเย็น เขาอ้างว่าที่เธอต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะแฟนของนันทนา ท่านเตือนให้เขาระวังตัวไว้บ้าง ตรีทศเกือบตายเพราะมัน

“หมอบอกว่าปรางค์โดนวางยา จะมีปัญญาทำอะไรใครได้ ไอ้หมอนั่นมันเมา ร่วงลงไปชนหัวเตียงเองต่างหากล่ะครับ” คำพูดแก้ตัวให้นังงูเห่าของลูกชายทำให้นันทาโกรธมาก กอปรกับครุ่นคิดหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เธอเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น นันทวัฒน์รีบอุ้มแม่ไปนอนพักที่โซฟา

กันเกราดึงหลานชายออกมาคุยกันอีกมุมหนึ่ง เล่าว่าที่ตะวันเป็นแบบนั้นคงเป็นเพราะยาที่นันทาผสมในนมถั่วเหลืองให้เธอดื่ม อึ่งสารภาพให้ตนฟังว่าแอบชิมไปอึกหนึ่งแล้วก็หลับคาห้องครัว นันทวัฒน์เสียใจมากที่แม่ทำแบบนั้น ยังไม่ทันจะว่าอะไร นันทารู้สึกตัวตื่นขึ้นเสียก่อน พอเห็นหน้าเขาเท่านั้นจัดแจงจะลุกหนี อ้างเหม็นขี้หน้าลูกหน้าโง่ นันทวัฒน์เดินหนีด้วยความน้อยใจ กันเกราตำหนิพี่สาวทำไมถึงพูดกับลูกแบบนั้น

“ก็ดูความโง่ของมันสิ หน้ามืดตามัวหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้น หาว่าฉันไปทำอะไรนังนั่น”

“แล้วมันจริงไหมล่ะคะ...ขอเถอะค่ะ อย่าให้อะไรก็แล้วแต่มันมาดึงด้านมืดของเราออกมาได้ เราดีงามของเราอยู่แล้ว ใครจะเป็นอย่างไรก็ชั่งเขา” กันเกราเตือนด้วยความหวังดี...

บ่ายวันเดียวกัน ขณะนันทากับกันเกรานั่งจิบน้ำชา นันทวัฒน์ประคองตะวันที่ยังอยู่ในอาการอ่อนเพลียเข้ามาในบ้านโดยมีมยุริญถือกระเป๋าใส่ของของตะวันเดินตามมาอีกทอดหนึ่ง นันทาถึงกับปรี๊ดแตกด่าลูกชายว่าช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆให้ผู้หญิงถือของหนักๆเอง มยุริญรีบแก้ตัวแทนเขาว่าเธอเป็นคนอาสาถือเอง

นันทาหมั่นไส้ที่ลูกชายเอาแต่ประคองตะวัน สั่งให้ปล่อยมือได้แล้ว พอเขาคลายมือออกตะวันเซทันทีเขาต้องประคองเธอไว้อย่างเดิม นันทาโมโหมากที่เธอสำออยทำท่าจะเอาเรื่อง กันเกราเห็นท่าไม่ดีรีบตัดบท

“ตาวัฒน์ พาเธอขึ้นไปพักเถอะ”...

ทางฝ่ายเฮียฮุยเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถูกเล่นงานสะบักสะบอมก็แค้นใจมาก พอนันทนามาขอเยี่ยม เขาออกมาไล่ด้วยตัวเองว่าตอนนี้อาตี๋ของเขาเจ็บหนัก ไม่พร้อมให้ใครเยี่ยม แล้วต่อว่าว่าดูแลกันอย่างไรถึงปล่อยให้ตรีทศเป็นอย่างนี้ในบ้านของเธอ นันทนาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธออยากยามาก ขอซื้อยาจากเขาแล้วรีบควักเงินให้ เฮียฮุยว่าเงินแค่นี้ไม่พอจ่าย เพราะเขามีแต่ยาเสพติดห่อใหญ่

“โทร.มาแล้วกันถ้ามีเงินห้าหมื่น แล้วจะให้คนเอาไปให้” พูดจบเฮียฮุยเดินขึ้นห้อง นันทนาได้แต่ยืนเซ็ง

ooooooo

ตะวันรอจนคนบนตึกใหญ่หลับกันหมด แอบเข้าไปหาพิชิตถึงในห้องพัก เขาตื่นขึ้นมาเห็นเธอนั่งมองเขาอยู่บนเตียง ทะลึ่งพรวดลุกขึ้น พร้อมกับขยับตัวออกห่าง เธอไม่ได้จะเข้ามาทำอะไร แค่จะมา ขอบใจที่เขาช่วยเธอไว้ รู้ได้อย่างไรว่าเธอกำลังลำบาก พิชิตไม่ตอบเบือนหน้าหนี

พลันภาพเหตุการณ์เมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาในความคิดของพิชิต คืนนั้นเขาเข้าไปในครัวถึงได้รู้ว่านันทาสั่งให้อึ่งเอานมถั่วเหลืองไปให้ตะวันที่ห้องนอน เขาเอะใจว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลจึงแอบปีนขึ้นไปที่ห้องของตะวัน รอดูเหตุการณ์อยู่ เห็นตรีทศเข้ามาในห้องทำท่าจะทำมิดีมิร้ายกับเธอ เขาย่องเข้าไปกระชากผมตรีทศจนหน้าหงาย จับหัวฟาดกับขอบเตียงด้วยความหึงหวงจนสลบเหมือด แล้วรีบปีนออกทางระเบียงห้อง

เสียงเรียกของตะวันปลุกพิชิตให้ตื่นจากภวังค์ เขาบอกเธอว่าไม่ต้องมาขอบใจ เขาแค่ไม่อยากให้เกิดเรื่องอุบาทว์ขึ้นในบ้านเท่านั้น แล้วลากตัวเธอออกไปเหวี่ยงไว้ หน้าห้องปิดประตูใส่ เธอยืนพิงประตูห้องยิ้มสะใจ

“ที่แท้นายก็หลงฉันหัวปักหัวปําสินะพิชิต กลัวฉันจะพลาดท่าไอ้กุ๊ยนั่นสินะ ไม่มีวัน”

ความจริงแล้วคืนนั้นตะวันมีสติดีตอนที่ตรีทศย่องเข้าหาเพราะยังไม่ได้ดื่มนมถั่วเหลืองแก้วนั้น เธอปล่อยให้พิชิตจัดการกับตรีทศ แล้วรอจนเขาปีนออกจากห้อง ถึงลุกขึ้นคว้านมถั่วเหลืองมาดื่มก่อนจะร้องกรี๊ดๆ...

ตะวันมองไปที่ประตูห้องพักของพิชิตอีกครั้ง แล้วเดินสะบัดออกไป อึ่งค่อยๆโผล่ออกจากที่ซ่อน

“ตายแล้ว บัดสี...บัดสีที่สุด” อึ่งพึมพำไล่หลัง...

เฮียฮุยเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงที่ทำให้ลูกชายของตัวเองตกอยู่ในสภาพบอบช้ำเป็นคนคนเดียวกับที่ลูกค้าเพิ่งยกเลิกการเป็นเป้าสังหาร คิดหาทางกำจัดให้สิ้นซาก

ooooooo

อึ่งฟ้องมยุริญถึงเรื่องที่เห็นตะวันออกจากห้องของพิชิตดึกๆดื่นๆ เธอขอร้องอึ่งต่อไปอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดอีก และห้ามเอาไปพูดที่ไหนอีกด้วย เพราะสิ่งที่อึ่งเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้

“ก็อึ่งสงสารคุณวัฒน์นี่คะ คนหนึ่งก็เมีย คนหนึ่งก็คนสนิท ดูสิมาช่วยกันสวมเขาซะงั้น”

นันทวัฒน์ประคองตะวันเข้ามา อึ่งถึงสงบปากสงบคำลงได้ เขารีบออกตัวว่าวันนี้ต้องพาตะวันไปหาหมอเนื่องจากยังมีอาการมึนหัวอยู่ แต่ติดที่ว่าต้องไปดูแลพ่อ มยุริญอาสาจะจัดการเรื่องวัฒนาแทนเขาเอง อึ่งสงสารมยุริญที่ถูกหลอกใช้เสนอแนะให้เขาพาตะวันไปหาหมอที่โรงพยาบาลแห่งเดียวกันที่วัฒนารักษาตัว ตะวันทำตาโหดใส่อึ่งแล้วหันไปอ้อนนันทวัฒน์ ถ้าให้คุณหมอคนเดิมติดตามอาการน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ

“ไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ ทางนี้ยุริญจัดการเองค่ะ”...

ทันทีที่ตะวันขึ้นรถของนันทวัฒน์อาการมึนหัวหายเป็นปลิดทิ้ง ชวนเขาไปหาอะไรอร่อยๆกิน อ้างว่ายังขวัญเสียไม่หาย อยากหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลาย เขาอยากเอาใจเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ปฏิเสธคำชวน...

เฮียฮุยตัดสินใจโทร.หาคีริน โกหกว่าลูกค้าเปลี่ยนใจ ต้องการจัดการเป้าหมายที่เคยคุยกันไว้ให้เร็วที่สุดและจะให้ราคาอย่างงามหากเธอสนใจรับทำงานนี้

“รับสิเฮีย อะไรก็ทำทั้งนั้นแหละตอนนี้ ฉันยังไม่ได้ดูข้อมูลที่เฮียส่งมาเลย ข้อมูลก็ไม่มีแล้ว โทรศัพท์ใหม่ของฉันก็รับข้อมูลจากเฮียไม่ได้แล้วด้วย งานด่วนที่ว่าน่ะด่วนแค่ไหน”

“เดี๋ยวนี้เลย ลูกน้องเฮียตามมันอยู่ เดี๋ยวให้มันประสานแล้วชี้เป้ากันเลย จะได้ไม่ผิดตัว” เฮียฮุยวางสายด้วยอารมณ์เคืองแค้น “ใครบังอาจมาแตะต้องลูกชายอั๊ว มันต้องตาย”...


ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น