วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร พญาโศก ตอนที่ 6


ภัทราป่วยพูดไม่ได้แต่สมองรับรู้ทุกอย่างเป็นปกติ เธออยากบอกเรื่องคลิประหว่างเฉิดเฉลากับยศพงษ์ที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์มือถือให้บริพัตรรู้ แต่พยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จสักที แถมเฉิดเฉลายังจ้องจะฉกมันอยู่ทุกวัน

แล้ววันนี้ที่ภัทราออกจากโรงพยาบาลเฉิดเฉลาก็ทำสำเร็จ เธอได้ซิมการ์ดในเครื่องไปให้ยศพงษ์แล้วจัดการทำลายมันทิ้ง โดยไม่รู้ว่าชาตรีที่นั่งดื่มอยู่ในร้านอาหารเดียวกันแอบมองอยู่เงียบๆ

ด้านรามแค้นใจลำหับกับชายไร้ชื่อที่ทำให้เขายุ่งยากต้องหาที่ตั้งค่ายใหม่ จึงสั่งสนไปตามจับตัวทั้งสองคนรวมทั้งเด็กคนังมาให้ได้ ถ้าใครขัดขวางไม่ต้องเอาไว้ ฆ่ามันให้หมด!

คืนที่พวกสนพากันบุกไปบ้านไร่ของลำหับ ชาตรีไม่อยู่ แต่บริพัตรดั้นด้นมาถึงหลังรู้เบาะแสจากที่เห็น

ลำหับที่โรงพยาบาล เขายังตัดใจจากเธอไม่ได้ มาแอบดูความเคลื่อนไหวก่อนจะโดนพวกสนจับตัวเอาไว้ต่อรองกับลำหับ เพราะจำได้ว่าเขาคือผู้มีพระคุณของเธอ

เมื่อมีผู้บุกรุกเสียงสัญญาณกันขโมยดังลั่น ลำหับรีบเอาคนังไปซ่อนในที่ปลอดภัยแล้วหนีออกไปรวมตัวกับคนงานเพื่อตั้งรับ ขณะเดียวกัน ชาตรีอยู่ที่อื่นแต่รับรู้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมสัญญาณกันขโมยเอาไว้ เขาเป็นห่วงสองแม่ลูก เดินทางมาที่ไร่อย่างเร่งรีบ

สนใช้บริพัตรต่อรองกับลำหับเพื่อให้เธอปรากฏตัวและเอาคนังออกมา ลำหับตกใจมาก แอบมองไปยังบริพัตรที่ถูกมัดมือและปากพูดอู้อี้ไม่มีเสียง

“ออกมาเถอะลำหับ หมายเลขหนึ่งต้องการพบเธอกับลูก เขาอยากคุยกับเธอ”

บริพัตรได้ยินแล้วเริ่มคิดตาม...สงสัยว่าหมายเลขหนึ่งที่มันพูดถึงต้องสำคัญที่สุด

“เอาล่ะ นับหนึ่งถึงสาม ถ้าเธอยังไม่ยอมพาลูกออกมาฉันจะแสดงให้ดู”

พูดขาดคำ สนยิงเฉี่ยวขาบริพัตรจนกางเกงขาดเป็นรู ลำหับเผลอกรีดร้องด้วยความตกใจและทำท่าจะวิ่งออกไปเพราะทนดูไม่ได้ที่สมุนของสนรุมซ้อมบริพัตรที่ไม่มีทางสู้

“นายหญิงอย่าออกไป” คนงานร้องเตือนลำหับ

“ขอบใจที่พยายามปกป้องฉัน ทุกคนรอตำรวจมาช่วยที่นี่ ฉันจำเป็นต้องไป ถ้าฉันยังกลับมาไม่ได้ บอกคุณเขาว่าฝากดูแลลูกฉันด้วย”

คนงานจำใจรับคำทั้งที่เป็นห่วง ลำหับตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก้าวออกไปพร้อมปืนในมือ

“หยุดนะ ฉันออกมาแล้ว”

“พวกเราหยุด...ลำหับทิ้งปืน”

สมุนหยุดทำร้ายบริพัตร ลำหับทิ้งปืนแล้วผวาไปประคองบริพัตรให้ลุกขึ้น

“คุณบริพัตร...คุณไม่น่ามาที่นี่เลย”

“ขอบใจมาก ส.ส.บริพัตรสำหรับการมาที่นี่ ช่างมีประโยชน์ต่อพวกเรามากมายนัก ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่ายๆในทันที ขอโทษด้วยที่ทำให้เจ็บตัว เราไม่ต้องการตัว ส.ส.หรอก แต่เราต้องการเธอกับลูก...ไปเอาลูกเธอมา ถ้าไม่ไปไอ้หมอนี่ตายแน่นอน”

บริพัตรส่ายหน้าพยายามจะห้ามลำหับไม่ให้ทำตาม เขายอมตายดีกว่าถ้าเธอกับลูกตกอยู่ในอันตราย ลำหับสบตาเขารับรู้ได้ สนไม่พอใจยิงเฉียดขาบริพัตรอีกเปรี้ยง ถึงกับเลือดสาดร่างทรุดลงในอ้อมแขนของลำหับ

“คนใจโหด! ฉันก็ใจเหี้ยมพอที่จะเห็นเขาตายตรงหน้า ฉันจะไม่ให้แกได้ลูกฉันไปแน่”

“ดี! ถ้าเธอขัดขืน ฆ่าเขา แล้วก็ฆ่าเธอซะ นี่คือคำสั่งจากหมายเลขหนึ่ง”

“คุณพ่อ...” ลำหับอุทานอย่างเจ็บปวด บริพัตรได้ยินชัด แน่ใจว่าหมายเลขหนึ่งคือพ่อของเธอ “เชิญ ฉันไม่กลัวตาย ฆ่าเขา ฆ่าฉัน แต่พวกแกไม่มีวันได้ลูกฉันไปแน่นอน”

สนโกรธเล็งปืนใส่บริพัตร ทันใดมีเสียงปืนดังนำมาพร้อมกับเสียงตวาดของชาตรีฝ่าความมืด เขายิงข้อมือสนจนปืนหล่น สมุนคนหนึ่งของสนพุ่งเข้าจับตัวลำหับเอาปืนจ่อทันที

ชาตรีปรากฏตัวยิงกราดใส่สมุนสามคนที่โดดหลบเข้าที่กำบัง สนใช้ลำหับเป็นโล่บังตัว ส่วนบริพัตรยังคงนอนกลิ้งอยู่กับพื้น

“ยิงสิ ถ้าแกอยากเห็นลูกของเธอไม่มีแม่” สนท้าทาย

“ช่วยคุณบริพัตร...ฝากลูกหนูด้วย หนูจะไปกับพวกเขา ไปพบคุณพ่อ เขาไม่ทำร้ายหนูหรอกค่ะ”

ลำหับร้องบอกชาตรีที่ยังคงนิ่งชั่งใจ แต่ทันใดมีเสียงปืนดังหลายนัด ชาตรีพูดโพล่งว่า “ตำรวจมา”

พวกสนตื่นตัวรีบตัดสินใจ ไม่ได้คนังแต่ได้ลำหับไปคนเดียวก็ยังดี

“บอกตำรวจให้กลับไป อย่าตามมา ไม่งั้นนังนี่ตาย” สนตะโกนขู่

“เชื่อเขาเถอะค่ะ คุณสัญญาแล้วนี่คะว่าจะดูแลแกถ้าหนูตาย คุณจะเป็นพ่อที่ดีที่สุดของลูกหนู”

คำพูดของลำหับทำให้บริพัตรชะงัก พึมพำทั้งที่ถูกมัดปากว่าเด็กไม่ใช่ลูกของผู้ชายคนนี้...

“เอาล่ะ ฉันจะทำตามสัญญา พวกแกพาเธอไปซะ” ชาตรีตอบออกไป

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก ฝากลูกนะคะ ฝากลูกด้วย” ลำหับเอ่ยทั้งน้ำตาไหลพราก ถอยหลังหายเข้าไปในราวป่ากับพวกสน

ชาตรีเดินมาที่บริพัตร ดึงผ้าผูกปากออก บริพัตรตะโกนก้องอย่างรู้สึกผิด

“ลำหับ...ฉันขอโทษที่มาทำให้เธอเดือดร้อนแสนสาหัส ฉันขอโทษ”

ชาตรีไม่พูดอะไร ประคองเขากลับไปที่บ้านไร่แล้วเอาตัวคนังออกจากที่ซ่อนก่อนจะปฐมพยาบาลบาดแผลเบื้องต้นให้บริพัตร

“ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลลำหับและลูกของเธอ”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นี่คือหน้าที่ของผม”

บริพัตรมองเด็กน้อยอย่างตื่นเต้นสงสัย ชาตรีโอบอุ้มคนังมาใส่อกผูกติดไว้กับตัว

“เด็กเป็นลูกของใคร”

“คุณคิดว่าแกเป็นลูกของใคร ถามลำหับดูสิ”

บริพัตรอึกอักแล้วฟุบหมดสติไปต่อหน้าต่อตา เมื่อตำรวจพากันเข้ามา จึงฝากฝังให้ช่วยเหลือบริพัตร ส่วนตัวเขาจะกลับมาให้ปากคำหลังจากปลอบใจเด็กให้หายตกใจก่อน

ชาตรีอ้างกับตำรวจอย่างนั้น ความจริงเขาแอบ ติดตามไปช่วยลำหับจากพวกสนที่กำลังมุ่งหน้ากลับค่ายใหม่

ลำหับโดนมัดมือให้เดินตาม สมุนของสนคนหนึ่งบาดเจ็บหนักทำท่าจะไม่ไหวแต่ไม่มีใครสนใจเขาสักคน

“หมายเลขหนึ่งแค้นใจเธอมาก...เธอก็รู้ว่าเขาต้องการให้เธอและลูกมาอยู่มาร่วมอุดมการณ์ ทำไมต้องขัดขืนดื้อดึง” สนถามลำหับ

“ฉันไม่มีวันร่วมอุดมการณ์เลวร้ายนี่ ต่อให้ตายก็ไม่มีวัน”

“ไปพบเขาครั้งนี้ ถ้าเธอไม่ยอม เขาอาจทำร้ายจูเนียร์ก็ได้”

“เธอจะยอมให้จูเนียร์เจ็บเพราะเธอซ้ำสองอีกหรือ เขาโดนหนักมากนะ เฆี่ยนด้วยเข็มขัดตั้งสามสิบที”

สนกับสมุนช่วยกันหว่านล้อมแต่ลำหับไม่ยอมพูดอะไรต่อ สนเลยห้ามสมุนตอแยเธออีก

“โอเค...แต่คนของเราบาดเจ็บ หยุดพักกันก่อนดีไหม แล้วค่อยออกเดินทางต่อตอนใกล้รุ่งพรุ่งนี้”

สนมองสภาพสมุนที่สะบักสะบอมเพราะโดนปืนจากชาตรีแล้วก้มลงมองมือตัวเองที่เลือดยังไหลซึมจึงยินยอม

ooooooo

ที่โรงพยาบาล บริพัตรถึงมือหมอแต่ยังหมดสติมีพยาบาลเฝ้าอยู่ข้างเตียง ผ่านไปสักพักเขารู้สึกตัว พึมพำเรียกลำหับก่อนลืมตา

“ท่าน ส.ส.ฟื้นแล้ว” พยาบาลตื่นเต้นดีใจ

“ผมลาออกแล้วกรุณาอย่าเรียกผมว่า ส.ส. และใช้คำแทนตัวผมว่าท่าน ถ้าผมคือท่าน คุณก็ใช่ท่านพยาบาลเหมือนกัน ในระหว่างที่ผมเป็น ส.ส. ผมคือ

ผู้รับใช้ประชาชน ผมต้องระลึกบุญคุณประชาชนที่เอาภาษีมาจ่ายเงินเดือนให้ผม”

“ซึ้งมากเลยค่ะท่าน เอ๊ย คุณบริพัตร...รบกวนขอเบอร์ภรรยาจะโทร.แจ้งเธอนะคะ”

“ขอบคุณมาก แต่ไม่ต้อง”

พยาบาลชะงัก นิ่งไปอย่างงุนงง...

เวลาเดียวกันนั้น วิเวกกับตึ๋งหนืดคนรับใช้บ้านบริพัตรกำลังดูแลภัทราและตาหนูจักริน ภัทราพูดไม่ได้ สอดส่ายสายตามองหาลูกชาย สองคนรับใช้เดาออกบอกแค่ว่าบริพัตรไปธุระนอกเมือง แต่ไม่ยอมบอกว่าเขาอยู่โรงพยาบาลทั้งที่รู้ข่าวมาแล้ว

“เวรกรรม...แม่ก็ป่วย ตัวก็เจ็บ เมียไปมั่วกับชู้ ลูกรับกรรมไปเต็มๆ” ตึ๋งหนืดกระซิบวิเวกได้ยินกันสองคน แล้วเม้าท์กันต่อเบาๆ สงสัยว่าจักรินไม่น่าใช่ลูกของเจ้านายเรา

เฉิดเฉลาเพิ่งกลับบ้าน กวาดตามองแล้วถามเสียงแหลมว่าบริพัตรไปไหน

“ไม่ทราบ” สองคนรับใช้ตอบพร้อมเพรียงราวกับนัดหมาย

“โกหกได้ก็โกหกไป อ้อ นายแม่ฟังนะคะ เฉิดไม่ยอมหย่ากับบริพัตรเด็ดขาด จะอยู่ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เข็ดเขี้ยวทรมานกันจนตาย”

ภัทราสีหน้าขมขื่น มองลูกสะใภ้ตัวแสบอย่างเจ็บปวด ตึ๋งหนืดหมั่นไส้ ชวนวิเวกอุ้มเด็กน้อยจักรินออกไป พลางบ่นว่าคนอะไรไม่สนใจมองลูกตัวเอง

เฉิดเฉลาได้ยินแว่วๆ ถลึงตาตามหลังแล้วหันมาจ้องภัทรา พึมพำอย่างอาฆาตมาดร้าย

“นั่งแก่นี่ต้องหมดโอกาสประจานเรื่องตกบันได”

ooooooo

บริพัตรที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล ครุ่นคิดทบทวนเรื่องที่ได้ยินชาตรีและลำหับพูดกับพวกคนร้าย เกิดความสงสัยหลายอย่าง พูดกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา

“ถ้าลำหับต้องการขายชาติเหมือนพ่อ ทำไมเขาจึงส่งคนมาจับตัว หรือว่าลำหับเอามาเป็นข้ออ้าง เพื่อให้เราเลิกรากับเธอเพราะผู้ชายคนนั้น”

บริพัตรลุกนั่งอย่างเร็วจนพยาบาลตกใจ ถามเขาว่าจะทำอะไร

“ผมต้องการออก เอ๊ย ต้องการเคลียร์เงินถึงวันนี้”

“รอให้ถึงวันที่จะกลับบ้านก็ได้ค่ะ”

บริพัตรนิ่งไป...บอกตัวเองอยู่ในใจว่า “เราทำตัวปวกเปียกให้ลำหับเสียสละเพื่อเราแล้วโดนจับตัวไป มันไม่แมน”

พอพยาบาลออกจากห้อง บริพัตรดึงสายน้ำเกลือออกเองแล้วลงจากเตียงทันที ก่อนออกเดินทางไปช่วยลำหับ เขาไม่ลืมส่งข่าวไปที่บ้านให้คนรับใช้บอกภัทราด้วยว่าเขาไปทำธุระสำคัญนอกเมือง เขาจัดส่งพยาบาลพิเศษไปดูแลท่านแล้ว เฉิดเฉลาแอบล่วงรู้ สงสัยว่าบริพัตรน่าจะไปหาลำหับ ความแค้นยิ่งทวีคูณ พาลมาลงที่ภัทราเฉิดเฉลาก้าวเข้ามาในห้องขณะภัทรากำลังหลับสนิท ยืนจ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เหมือนมีอะไรดลใจให้ภัทราลืมตาขึ้นมา พอเห็นลูกสะใภ้ก็ตกใจอ้าปากร้องแต่ไม่มีเสียง

“ยัยแก่ตัวร้าย ทำไมต้องเกลียดชังฉันนักหนา อยากมีสะใภ้ขายชาติมากนักรึไง”

เฉิดเฉลาบีบคอภัทราจนตาเหลือก แล้วทุบซ้ำเข้าที่ท้องอีกหลายที

“วันนี้ไม่ทำอะไรมากไปกว่าขอระบายอารมณ์สักสองสามทีเท่านั้น”

เฉิดตบปากตบหน้าภัทราด้วยความสะใจ พลันมีเสียงประตูห้องเปิด เธอรีบปล่อยมือจากแม่ผัวแล้วทำทีเหมือนดูแล ตึ๋งหนืดพาพยาบาลพิเศษเข้ามาเห็นน้ำตาภัทราก็สงสัย

“คุณนายแม่ร้องไห้ คุณเฉิดมาทำอะไรที่นี่คะ”

“ถามโง่ๆ ฉันมีสิทธิ์ไปได้ทุกที่ในบ้านหลังนี้อ้อ นั่นพยาบาลสินะ”

พยาบาลยกมือไหว้เฉิดเฉลาแล้วมองไปที่ภัทราเห็นเลือดที่มุมปากจางๆ

“เอ๊ะ มีเลือดที่มุมปากท่านค่ะ”

“ตายแล้ว ใครทำร้ายคุณนายแม่คะ” ตึ๋งหนืดโวยวาย ภัทราเบนสายตาไปที่เฉิดเฉลา แต่เธอรีบออกตัว

“ใครทำร้ายคนแก่พิการมันก็เลวสามโลก นายแม่กัดลิ้นตัวเองต่างหาก”

“ท่านไม่กัดลิ้นแน่ แต่อาจโดนคนใจบาปมาลอบทำร้าย”

เฉิดเฉลาไม่ยอมรับและเอาตัวรอดน้ำขุ่นๆ ภัทราขัดใจมาก พยายามจะเอามือทุบข้างลำตัว

“ไปก่อนนะคะนายแม่ อย่ากัดลิ้นตัวเองอีกนะคะ มันเจ็บใจตัวเองค่ะ” ว่าแล้วเฉิดเฉลาก็นวยนาดออกไป ภัทรามองตามน้ำตาไหล

ตึ๋งหนืดขยับเข้ามาใกล้ภัทรา สำรวจตามใบหน้าอย่างละเอียดแล้วอุทาน “เอ๊ะ แก้มกับปากของคุณนายแม่ทำไมเป็นผื่นแดงอย่างนั้นคะ”

“เหมือนโดนอะไรฟาด” พยาบาลพูดโพล่งภัทราพยักหน้าน้อยๆ พยาบาลกับตึ๋งหนืดสบตากันแล้วถอนใจ

“คนใจสัตว์...ช่างทำกันได้” ตึ๋งหนืดพึมพำด่าเฉิดเฉลาแล้วเข้าไปโอบกอดภัทราด้วยความสงสาร

ooooooo

ในป่า พวกสนกำลังจะเดินทางต่อ ลำหับคิดถ่วงเวลาและวางแผนเพื่อให้ชาตรีมาช่วย เธอแกล้งบ่นหิว สนจึงปอกกล้วยส่งให้ลูกหนึ่งแล้วเดินนำไป โดยไม่รู้ว่าลำหับแอบคายกล้วยทิ้งเอาไว้เป็นระยะ

ชาตรีออกติดตามลำหับพร้อมกับเอาคนังผูกติดกับอกตัวเอง เขาเตรียมนมไว้ให้คนังในยามหิว ในที่สุดชาตรีก็มาถูกทาง เจอเศษกล้วยที่ลำหับคายทิ้งไว้...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน บริพัตรในชุดทะมัดทะแมงแม้ยังเดินไม่ค่อยถนัดเพราะเจ็บขา แต่ก็ดั้นด้นมาอย่างไม่ย่อท้อเพราะสำนึกผิดต่อลำหับ บริพัตรเจอเศษกล้วยด้วยเช่นกัน และคิดเหมือนชาตรีว่าลำหับน่าจะทิ้งเอาไว้เพื่อบอกทาง

พวกสนเร่งฝีเท้าเพื่อกลับค่าย แต่สมุนคนหนึ่งอักเสบแผลที่ขาจนไปไม่ไหว บ่นว่าตนก้าวขาไม่ออก เจ็บเหลือเกิน เพื่อนอีกสองคนที่บาดเจ็บพยายามพยุงแต่ได้ครู่เดียวก็ไม่ไหวเหมือนกัน

“แข็งใจกันอีกนิด ค่ำนี้เราก็ถึงค่ายแล้ว ช่วยเขาหน่อย”

“ตัวเองยังเอาไม่รอด จะให้ช่วยก็คงไม่ไหวหรอก”

สองคนบ่นกันไปมา อีกคนตัดสินใจว่า “ทิ้งมันไว้ที่นี่ แล้วค่อยส่งพวกเราย้อนกลับมารับ”

สนค้านขึ้นทันที “กว่าจะย้อนมารับ พวกที่ตามมาเจอมัน มันก็ต้องบอกว่าค่ายเราอยู่ที่ไหน” ว่าแล้วสนพยักหน้ากับสมุนมือขวา คนที่เจ็บหนักเข้าใจร้องลั่นอย่างหวาดกลัว

“ไม่นะ อย่าทิ้งผม อย่าทำกับผมแบบนั้น อย่า!”

“อุดมการณ์ของเราคนอ่อนแออยู่ไม่ได้จะไปถ่วงคนแข็งแรงให้อ่อนล้า” สนเอ่ยเสียงแข็ง ลำหับตกใจช่วยขอร้อง หากเขาทำเท่ากับอำมหิตผิดมนุษย์เกินไปแล้ว สนโต้อย่างไม่ยี่หระว่า “พวกเราไม่ใช่มนุษย์ เราเหนือกว่ามนุษย์อย่างพวกเธอ...จัดการ นี่คือคำสั่ง”

ในที่สุดสมุนคนนั้นก็ถูกยิงโดยใช้กระเป๋าบังเก็บเสียงท่ามกลางความตกใจสุดขีดของลำหับที่เข่าอ่อนแทบยืนไม่อยู่

ooooooo

พวกสนออกเดินไปได้ไม่นาน ชาตรีก็พาคนังมาถึงยังจุดเกิดเหตุ เจอสมุนของสนที่โดนยิงนอนหายใจรวยริน พยายามบุ้ยใบ้เพื่อบอกทิศทาง

“พวกเขาไปทางโน้นใช่ไหม” ชาตรีชี้มือไปทางหนึ่ง สมุนของสนพยักหน้ารับแล้วร่างกระตุกหมดลมหายใจไปอย่างน่าเวทนา...

สนกับสมุนสามคนที่เหลือควบคุมตัวลำหับใกล้ถึงค่ายใหม่เข้าไปทุกที ลำหับรับไม่ได้กับอุดมการณ์ป่าเถื่อนของพวกเขา ก่นด่าตลอดทางจนสนทนไม่ไหวตวาดใส่อย่างฉุนเฉียว

“หุบปาก! เธอควรคิดคำขอโทษหมายเลขหนึ่งดีกว่ามาด่าทอกัน”

“ไม่มีคำขอโทษ ที่ฉันยอมมาง่ายๆเพราะอยากถามเขาหลายเรื่อง”

“ไม่กลัวโดนเขาฆ่าเอาเหมือนอย่างที่ขู่หรือไง”

“ไม่มีพ่อคนไหนใจอำมหิตคิดฆ่าลูกในไส้ได้ลงคอ มีแต่จะยอมตายแทน”

“อย่ามั่นใจมากเกินไปนัก ที่ที่พวกเราอยู่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีลูก เคยเห็นตัวอย่างแม่เธอมาแล้วนี่นา เราผูกพันกันที่อุดมการณ์ไม่ใช่สายเลือดหรือจิตใจ”

สนกล่าวดุดันจริงจัง ลำหับเมินหน้าหนีน้ำตาคลอ ในขณะเดียวกันรามรับรู้การมาของลำหับจากสนแล้ว เขารอคอยและวางแผนทำให้ลำหับเชื่องเหมือนแมวด้วยวิธีสุดโหดที่จูเนียร์รับไม่ได้ พยายามทักท้วงแต่ไม่เกิดผล แถมยังโดนรามดุด่าจนหน้าจ๋อย

ชาตรีจัดการกับคนังให้หลับสนิทคาอกของตนแล้วดั้นด้นตามพวกสนไปจนทัน ปรากฏตัวโจมตีอย่างหาญกล้า ตรงข้ามกับบริพัตรที่ซุ่มยิงเข้ามาช่วยเพราะไม่ต้องการให้ลำหับเดือดร้อนอีก

สนเข้าใจว่านอกจากชายไม่มีชื่อแล้วยังมีตำรวจมาด้วยจึงสั่งสมุนของตนถอยหนี ส่วนลำหับวิ่งกลับมาหาลูกน้อยและชาตรีได้สำเร็จ แต่สงสัยว่าชายผู้หวังดีเรียกตำรวจมาใช่ไหม

“ไม่ได้เรียก ใครไม่รู้ จากเสียงปืนมาคนเดียวแน่นอน”

“มาคนเดียว” ลำหับทวนคำแล้วเริ่มเอะใจ

“เธอคิดว่าเป็นเขา เขาบาดเจ็บมาไม่ได้หรอก พวกนั้นล่าถอยแล้วเราควรรีบกลับให้เร็วที่สุด”

“ค่ะ หนูอยากพบคนที่มาช่วยเรา”

“ผู้หวังดีที่ไม่อยากปรากฏตัวมั้ง อย่าไว้ใจใครง่ายๆ”

“ทำไมคะ”

“อาจเป็นกลลวงก็ได้ คนตามล่าเธอมีหลายฝ่าย”

“หนูอยากขอบคุณเขาที่ทำให้พวกนั้นตัดสินใจล่าถอยไปทันที”

“ถ้าอยากเจอเขามาก ฉันจะเชิญเขามาปรากฏให้เห็นตัวเป็นๆ”

ชาตรีประชดกลายๆ ขณะพากันถอยหาที่มั่น ฝ่ายบริพัตรซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้แอบมองมาด้วยความโล่งใจ แม้เขาจะช่วยลำหับไม่ได้มากเท่าผู้ชายคนนั้นก็ยังดีกว่าทำเฉยเมย

“คุณที่มาช่วยเราโปรดแสดงตัวด้วย” เสียงชาตรีดังขึ้น บริพัตรไม่ขานและไม่ปรากฏตัว บ่นเบาๆกับตัวเองว่า

“ทำไมต้องไปแสดงตัว เราก็แค่คนนอกไม่สมควรทำให้เขามีปัญหาแคลงใจไม่สบายใจกัน”

บริพัตรตัดใจถอยออกไปจากตรงนั้น...ชาตรีมองหน้าลำหับ บอกว่าเขาขี้อายไม่ยอมออกมาแสดงตัว เดี๋ยวตนจะออกไปแสดงตัวขอบคุณเขาเอง

“คุณประชด” ลำหับรั้งเขาไว้

“เปล่า แค่ต้องการทำให้เธอสบายใจว่าใช่เขามั้ย อยู่ตรงนี้อย่าตามออกมานะ” พูดจบชาตรีเดินออกไปยังที่โล่งอย่างระมัดระวัง ตะโกนร้องขออีกครั้ง “คุณครับ ได้โปรดรับคำขอบคุณจากลำหับด้วย ออกมาได้ไหม เธออยากพบคุณ”

เงียบกริบ! บริพัตรน้ำตาซึมแต่ไม่เหลียวหลังกลับมา ยึดมั่นว่าทำไมเขาต้องออกไปทำลายความสุขของลำหับให้สั่นคลอน...

ในที่สุดชาตรีก็พาลำหับกับคนังกลับบ้านไร่ ระหว่างเดินทางต่างครุ่นคิดถึงคนที่แอบช่วยเหลือ ลึกๆแล้วเชื่อว่าต้องเป็นบริพัตร

“ถ้าใช่เขา ทำไมเขาไม่ยอมออกมา แล้วใครกันนะ” ชาตรีบ่นพึมพำ...ลำหับได้ยินแว่วๆบ่นออกมาอย่างเชื่อมั่นความคิดของตนเองว่าคนทำดีอย่างนี้ต้องเป็นบริพัตร แต่เขามาได้ยังไงเขาบาดเจ็บมาก

“ความรักทำให้คนทำได้ทุกอย่าง” ชาตรีโพล่งขึ้น

“คุณจะบอกว่าเป็นเขาจริงๆหรือคะ”

“ฉันสงสัยตามความรู้สึก”

คนังตื่นแล้วร้องไห้จ้า ทำให้ทั้งสองหันมาสนใจเด็กน้อย เร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงบ้านไร่โดยเร็วที่สุด

ฝ่ายบริพัตรอาการป่วยเริ่มกำเริบ เขาหยุดพักและพยายามสื่อสารกับตึ๋งหนืดทางโทรศัพท์ด้วยการส่งข้อความก่อนที่เขาจะกลิ้งหล่นจากเนินดินลงมาแน่นิ่งหมดสติ

“ช่วยด้วย จะเปิดมือถือไว้ หาพิกัดแล้วรีบส่งคนมาช่วยด่วน”

ตึ๋งหนืดอยู่ที่บ้านอ่านข้อความนั้นแล้วตกใจมากวิ่งออกไปทันที เฉิดเฉลาแอบเห็นคาดว่าคนรับใช้ต้องรับข่าวจากบริพัตรถึงรีบไป เธอตาลุกวาว สบโอ



ที่มา ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น