วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

อ่านละคร พญาโศก ตอนที่ 1


“หนูใหญ่” เป็นลูกสาวของราม หัวหน้าค่ายอาสาป้องกันชายแดนผู้ทรยศต่อแผ่นดิน เพราะความอยากเป็นใหญ่ร่ำรวยเงินทองรามจึงไปเข้าร่วมกับพ่อเลี้ยงศร เจ้าพ่อค้ายาเสพติด ทำสิ่งผิดกฎหมาย และก่อการร้าย

รามเปิดทางให้พวกพ่อเลี้ยงศรเข้ามาเผาค่ายเพื่อใช้เป็นทางผ่านส่งยาเสพติด ในคืนวันเกิดเหตุหลังจากที่หนูใหญ่ฝึกซอสามสายที่นลินีผู้เป็นแม่ฝึกสอนให้เป็นประจำแล้ว รามสั่งให้นลินีเล่นเพลงพญาโศกซึ่งเขาแอบใช้เป็นเพลงสื่อสารกับพ่อเลี้ยงศรให้รอช่วงเวลาหลังจากเพลงจบบุกทำลายค่าย นลินีไม่ต้องการเล่นเพลงนี้เพราะจับสังเกตได้ว่าทุกครั้งที่สามีสั่งให้เล่นจะมีความตายเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้จึงจำใจเล่น

พ่อเลี้ยงศรได้ยินเสียงเพลงพญาโศกจึงรีบสั่งการตามที่นัดหมายกับรามทันที เมื่อเพลงจบรามสั่งให้ลูกเมียเดินทางออกจากค่ายโดยไม่ยอมตอบคำถามว่ามีจุดหมายที่ใด อนุญาตเพียงให้เอาซอสามสายไปด้วย นลินีเกิดลางสังหรณ์ว่ารามอาจทำสิ่งไม่ถูกต้องจึงปฏิเสธที่จะออกจากค่ายจนกว่าจะได้คำตอบ

แต่รามก็บังคับเธอและให้คำตอบเพียงว่า ถ้าอยู่ครอบครัวต้องตายหมดเพราะค่ายกำลังจะถูกทำลาย นลินีเข้าใจทันที และต่อว่าสามีหักหลังพี่น้องในค่าย เธอจะไปบอกให้ทุกคนรู้ตัวโดยที่ไม่ฟังคำสั่งของเขาว่าให้ออกจากค่าย ไม่เช่นนั้นจะยิงให้ตาย

นลินีและลูกชายหญิงพากันวิ่งกลับไปเพื่อตะโกนบอกพวกในค่ายให้รู้ตัว ขณะเดียวกัน พ่อเลี้ยงศรก็ยิงระเบิดเข้าไปในค่ายหลายลูก รามตัดสินใจยิงนลินีก่อนที่จะเข้าไปบอกทุกคนจนล้มลง ซอสามสายกระเด็น หนูใหญ่และน้องเล็กตกตะลึง นลินีที่ใกล้ตายตะโกนสั่งให้หนูใหญ่พาน้องหนีไป

หนูใหญ่ทำตามที่แม่บอก เธอเก็บซอสามสายแล้วกระชากน้องเล็กหนี แต่รามจิกหัวไว้จนผมขาดกระจุกใหญ่แล้วแย่งเอาน้องเล็กมาได้ คนของพ่อเลี้ยงศรเข้ามาเจอเหตุการณ์จะยิงหนูใหญ่ นลินีฮึดเฮือกสุดท้ายกระโดดขวางทางปืนล้มลงขาดใจตาย ส่วนหนูใหญ่หนีรอดไปได้ ค่ายโดนทำลายและคนในค่ายตายหมด พ่อเลี้ยงศรพอใจนำพาคาราวานยาเสพติดผ่านค่ายไปได้ หลังจากนั้นก็ตั้งรามให้เป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษ รวมทั้งมอบเงินทองมากมายเป็นรางวัล

หนูใหญ่ เด็กสาวไร้เดียงสาหอบซอสามสายหนีหกล้มหกลุกคลุกคลานจนมาเจอชายหนุ่มใจดีคนหนึ่ง เขาช่วยเธอรอดพ้นเงื้อมมือลูกน้องของพ่อเลี้ยงศร แต่ทุกคนกลับไปโกหกเจ้านายว่ายิงเด็กคนนั้นตายแล้ว

ชาตรีคือชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตหนูใหญ่ เขาพยายามพูดคุยกับเธอเพื่อถามที่มาที่ไปเหตุการณ์สุดระทึกแต่เธอนิ่งเงียบไม่ตอบ เอาแต่วิ่งหนีแล้วไปร้องไห้จนหมดแรงสลบเหมือดโดยที่ชาตรีหาตัวไม่พบ กลับไปบ่นให้แม่ที่บ้านพักตำรวจป่าไม้ฟังว่าเจอเสือสมิงเพศเมียและสงสัยว่าจะเป็นใบ้เสียด้วย

หนูใหญ่สลบไสลอยู่บนโขดหินกลางป่า พอฟื้นขึ้นในเช้าวันถัดมาก็นั่งสีซอเพลงพญาโศกอย่างสุดเศร้า คิดถึงแม่ที่จากไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของพ่อ

เวลานั้น บริพัตร เจ้าหน้าที่สำรวจพื้นที่เข้ามาสำรวจงานตามปกติกับลูกน้องสองคน ขณะที่ส่องกล้องมองหาพิกัดสถานที่ไปเรื่อย พลันได้ยินเสียงเพลงพญาโศกเยือกเย็นแว่วผ่านสายลมมาจึงส่ายกล้องในมือไปมาจนกระทั่งพบเด็กสาวแรกรุ่นหน้าตาสะสวยนั่งสีซอน้ำตานองหน้า

บริพัตรเข้าไปยืนฟังใกล้ๆ รอจนเพลงจบจึงแสดงตัว แต่หนูใหญ่ไม่ยอมพูดจาหรือตอบคำถาม หอบซอวิ่งหนี ชายหนุ่มติดตามไปเจอเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายจากสัตว์ร้าย พร้อมๆกับชาตรีที่ย้อนกลับมาตามหาเด็กสาว สองหนุ่มจัดการกับสัตว์ร้าย แล้วแย่งกันดูแลหนูใหญ่ที่ตกใจจนหมดสติไปอีกครั้ง

ชาตรีกับบริพัตรไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่ยืนยันจะพาไปให้แม่ของตนดูแล แต่พอชาตรีนึกถึงคำพูดกำชับของหัวหน้างานที่ต้องการให้ปกปิดชื่อไว้เพื่อความปลอดภัย จึงยอมให้บริพัตรพาเด็กสาวไปให้แม่อุปการะ โดยบริพัตรแนะนำตัวเองอย่างเปิดเผยพร้อมโชว์บัตรประจำตัวข้าราชการให้ดูด้วย ชาตรีวางใจแต่ก็ยังตามดูความเป็นไปของหนูใหญ่อย่างห่วงใย

หนูใหญ่รู้สึกตัวที่บ้านบริพัตร เห็นเขาเป็นคนแรกรีบถอยหนีพร้อมกอดซอไว้แน่น ภัทราแม่ของบริพัตรนั่งอยู่ด้วยเข้าไปปลอบโยนจนเธอหายตกใจ กระนั้นหนูใหญ่ก็ยังไม่ยอมพูดจากับใครเช่นเดิม ทำให้ทุกคนคิดว่าเธอเป็นใบ้

ooooooo

เฉิดเฉลา หญิงสาวเปรี้ยวเฉี่ยวที่ทุกคนเข้าใจว่าคือเจ้าสาวในอนาคตของบริพัตรไม่ชอบหนูใหญ่ตั้งแต่แรกเห็น

เจอกันครั้งแรก หนูใหญ่วิ่งถือซอหนีออกมาจากในบ้านบริพัตรแล้วเกือบโดนรถของพ่อเลี้ยงศรที่เฉิดเฉลานั่งมาด้วยเฉี่ยวชน เฉิดเฉลาสงสัยว่าเด็กสาวหน้าตาดีวิ่งออกมาจากบ้านชายที่หมายปองเป็นใครมาจากไหน

พ่อเลี้ยงศรพึงพอใจเฉิดเฉลาซึ่งเป็นลูกสาวของคนงานในบ้าน เขาอยากได้เธอเป็นเมียถึงกับยิงแม่ของเธอที่พยายามขัดขวางตายก่อนจะปลุกปล้ำเธอแล้วยื่นข้อเสนอเงินสิบล้านบาทให้ เฉิดเฉลาจำยอม เธอแสร้งทำดีแต่ในใจเกลียดชังคิดล้างแค้นพ่อเลี้ยงศร

เฉิดเฉลาแนะนำพ่อเลี้ยงศรต่อบริพัตรว่าเป็นลุง พอเธอรู้ว่าหนูใหญ่คือเด็กในความดูแลของบริพัตรก็ไม่ค่อยพอใจ ขณะที่พ่อเลี้ยงศรมองเด็กสาวถือซออย่างคลับคล้ายคลับคลา พึมพำว่าเด็กคนนั้นยังไม่ตายก่อนถามว่าซอสามสายนั่นของหนูใช่ไหม

ไม่มีคำตอบจากเด็กสาว เธอเดินเข้าบ้านไปกับบริพัตร โดยมีสายตาของชาตรีแอบมองตามด้วยความสนใจ เมื่อกลับไปถึงบ้านตัวเอง พ่อเลี้ยงศรเผลอพูดกับเฉิดเฉลาว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกคนขายชาติ ทำให้หญิงสาวยิ่งสงสัยใคร่รู้แล้วบังเอิญไปเห็นข่าวจากหนังสือพิมพ์พาด หัวข่าวว่า “หัวหน้าค่ายขายชาติ”

ขณะเดียวกัน ชาตรีก็ค้นหาข้อมูลจนค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กสาวคนนั้นคือลูกสาวนายรามหัวหน้าค่ายที่ในข่าวระบุว่าเธอหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉิดเฉลาเริ่มไขข้อข้องใจของตนจากพ่อเลี้ยงศรที่ยังคงครุ่นคิดถึงเด็กสาวอย่างเป็นกังวล ได้ยินเขาบ่นพึมพำอีกครั้งว่า

“เด็กนั่นมันไม่ตาย แถมยังไปอยู่ในบ้านไอ้บริพัตร ถ้ามันเปิดปากพูดออกมา...”

เฉิดเฉลาตาวาว แอบมองท่าทางของพ่อเลี้ยงศรก่อนเดินเข้าไปกอดหอมประจบเอาใจ

“นายศรใจลอยคิดถึงอะไรคะ ถ้าจะให้เฉิดเดา นายศรคิดเรื่องเด็กถือซอในอุปการะของบริพัตรคนนั้น เฉิดเองก็แปลกใจว่ามันมาจากไหน ทำไมจู่ๆไปอยู่กับบริพัตรได้”

“นั่นสิ แปลกจริงๆ”

“เราเป็นสามีภรรยากันนะคะ อย่าปิดเฉิดเลยค่ะว่านายศรไม่รู้จักเด็กนั่น”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”

เฉิดเฉลากำลังจะพูด แต่เกิดพะอืดพะอมเหมือนจะอาเจียนจนต้องยอมรับกับพ่อเลี้ยงศรว่าเธอตั้งท้อง

“ท้อง! ฉันดีใจมากอยากได้ลูกมานานแล้ว ขอบใจมากที่มีลูกให้ฉัน”

“ทีนี้เรายิ่งผูกพันกันเหมือนคนคนเดียวกันแล้ว บ้านหลังนี้นายศรยกให้เฉิดได้แล้วใช่ไหมคะ”

“แน่นอน แต่ฉันจะไม่บอกใครว่าเรามีลูกด้วยกัน ท้องโตเห็นชัดเฉิดหลบไปคลอดลูกที่กรุงเทพฯ ตอนกลับมา เราจะบอกทุกคนว่าเฉิดไปขอลูกบุญธรรมมาเลี้ยง ตกลงไหม”

“นายศรต้องการอะไรเฉิดทำได้ทั้งนั้นค่ะ ระหว่างเฉิดไม่อยู่นายศรอยากจะไปเติมไมตรีกับเด็กถือซอนั่นก็ได้นะคะ นอกซะจากอยากจะฆ่าตัดตอนมันกันไปปากโป้ง”

“เฉิดรู้เรื่องนี้...”

“ค่ะ เฉิดไม่ได้กินแกลบนี่คะ เฉิดเรียนรู้จากนายศรมาตั้งแต่จำความได้แล้วนะคะ เรื่องแค่นี้มีหรือจะไม่รู้ แต่เฉิดไม่หึงหวงนะคะ เฉิดยินดีเป็นแม่สื่อให้นายศร”

“นี่เฉิดรู้มากเกินไปหรือเปล่า”

“วันนั้นนายศรคุมคาราวานสินค้าไปเพื่อผ่านค่ายนั้น แม่เด็กตาย พ่อเด็กกับลูกชายลูกสาวหายตัว ถ้าไม่ใช่นังเด็กนั่นแล้วมันจะเป็นใครกันคะ” พ่อเลี้ยงศรอึ้ง เธอปั้นยิ้มเข้ามากอดหอมเขาแล้วถามว่า “ไม่เชื่อใจเฉิดหรือคะว่าจะจงรักภักดีต่อนายศร”

“ขอบใจ” พูดแล้วพ่อเลี้ยงศรดึงเธอมากอดหอมอย่างหลงใหล

ooooooo

ผ่านไปเป็นเดือนแต่หนูใหญ่ยังไม่ยอมพูดจากับใคร ภัทรากับบริพัตรหนักใจพยายามหว่านล้อมและพูดถึงเรื่องการเรียนหนังสือ

“วัยของหนูควรได้ร่ำเรียนหนังสือนะ ฉันเคยเห็นหนูอ่านหนังสือ ไม่อยากมีเพื่อนบ้างหรือหนู”

“เรียกกันหนูๆ หนูควรมีชื่อให้พวกเราเรียกหนูดีไหม” ภัทราทำท่านึกชื่อเพื่อตั้งให้ บริพัตรจำได้ว่าวันก่อนเห็นเด็กสาวอ่านพระราชนิพนธ์ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เรื่องเงาะป่า จึงเห็นด้วยกับมารดาที่จะตั้งชื่อให้เธอว่าลำหับนางเอกของเรื่อง

“ลำหับ...น่ารักดีออก ต่อไปพวกเราจะเรียกหนูว่าลำหับ”

หนูใหญ่ยิ้มเศร้า ยกมือไหว้สองคนแม่ลูกเงียบๆ จนกระทั่งพวกเขาผละไปแล้ว เด็กสาวร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกมาพร้อมเสียงพึมพำอย่างทุกข์ใจว่า

“นายแม่ขา...คุณบริพัตร หนูอายจนไม่มีหน้าพูดจากับใคร หนูเห็นหนังสือพิมพ์เขาลงว่านายรามทรยศขายชาติ มันคือตราบาปประทับกลางหัวใจหนู ถ้าใครรู้ว่าหนูคือลูกคนขายชาติ ทุกคนต้องจงชังรังเกียจหนู ด่าทอประณามหยามเหยียดหนู”

แล้วหนูใหญ่หรือลำหับก็สีซอเพลงแสนเศร้า ชาตรีปลอมตัวมายืนฝั่งตรงข้ามบ้านแล้วเผอิญเห็นรถของพ่อเลี้ยงศรที่มีเฉิดเฉลาอยู่ด้วยแล่นมาจอดใกล้บ้าน เขามองท่าทีของทั้งคู่ด้วยความสงสัยว่าทำไมลุงหลานถึงสนิทสนมรักกันปานจะกลืนกินขนาดนี้

ภายในรถ เฉิดเฉลาถามพ่อเลี้ยงศรว่าตัดสินใจจะเก็บเด็กนั่นไว้เป็นเมียหรือวางแผนฆ่าปิดปากมันซะ

“เอาทั้งสองอย่าง เอามาเป็นเมียให้ได้ก่อน ตอนนี้เข้าไปตีสนิท รอจนเด็กอายุมากกว่านี้สักสองสามปี”

“ตกลงค่ะ”

“ว่าแต่เฉิดยินดีเต็มใจแน่นะ”

“แน่นอนค่ะ”

เฉิดเฉลาลอบยิ้มร้าย ยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อเลี้ยงศรเพื่อยืนยันคำพูด

“ขอบใจมาก คลอดลูกเมื่อไหร่ฉันเซ็นยกบ้านที่เราอยู่ด้วยกันให้เฉิดทันที”

แล้วสองลุงหลานจอมปลอมก็พากันเข้าไปในบ้าน บริพัตรต้อนรับและพูดคุยกับทั้งคู่ด้วยดี พ่อเลี้ยงศรถามเรื่องที่รู้มาว่าบริพัตรสนใจลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งต่อไป ชายหนุ่มตอบอย่างสุขุมว่า

“อีกนานหลายปีครับ กว่ารัฐบาลนี้จะหมดวาระ นี่เขา ก็เพิ่งเริ่มครับ กว่าจะถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าผมอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ครับ”

“ผมไม่อยากให้คุณเปลี่ยนใจ ผมอยากเห็น ส.ส. ที่ดีรักประชาชนรักชาติอย่างคุณ”

“ขอบคุณมากครับ”

“คุณลุงท่านได้ยินเสียงเพลงจากซอสามสาย ท่านว่าไพเราะมากค่ะ” เฉิดเฉลาเปิดประเด็นถึงเป้าหมาย อ้างว่าลุงของตนอยากเห็นหน้าอยากรู้จักคนสีซอ บริพัตรยอมรับว่าเธอเล่นได้เพราะมากแต่ยังไม่สะดวกที่จะให้เจอ

“เด็กคนที่วิ่งใส่รถเราวันก่อนใช่ไหมครับ”

“ไม่ทราบว่าเป็นญาติทางไหนของบริพัตรคะ”

บริพัตรชะงัก พอดีวิเวกคนขับรถพาชาตรีเข้ามา ชาตรีแจ้งแก่บริพัตรว่าแม่ของตนให้มาเยี่ยมญาติที่ฝากเขาดูแลไว้ พอเห็นเจ้าของบ้านอึกอัก ชาตรีก็รวบรัดว่า

“ผมขอตัวไปดูเด็กก่อนนะครับ ขอบคุณมาก และต้องขอโทษด้วยนะครับที่มาขัดจังหวะการพูดคุย”

ชาตรีเหลือบมองพ่อเลี้ยงศรและเฉิดเฉลาแวบหนึ่งก่อนเดินออกไปโดยมีวิเวกนำทาง

“ไม่ยักทราบว่าที่นี่มีรับฝากเลี้ยงเด็กสาวๆด้วย” เฉิดเฉลาประชดเบาๆ บริพัตรไม่โต้ตอบ

เสียงเพลงพญาโศกเงียบลง ชาตรีเห็นเด็กสาวฟุบหน้าร้องไห้กับซอ เขาเดินเข้าไปใกล้ เธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นตกใจมากจะอ้าปากร้องแต่ชาตรีเอามือปิดปากเธอเสียก่อน

“อย่าร้อง คนในบ้านจะคิดว่าฉันข่มเหงเธอ นั่งดีๆ แล้วฟังฉันพูดจนจบ แล้วคิดไตร่ตรองตามที่ฉันพูดให้รอบคอบ เชื่อฉันเถอะว่ายังมีคนอยากฆ่าเธออยู่ ก็ไม่ทราบว่าเธอไปรู้เห็นอะไรที่ใครทำไม่ดีเอาไว้นะ ทำไมเธอยังไม่ยอมพูดออกมาสักที ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นใบ้”

ลำหับไม่พูดแต่แววตาตระหนกตกใจ...เฉิดเฉลาลุกจากที่นั่งในบ้านมายืนตรงหน้าต่างมองไปยังเด็กสาวกับชายแปลกหน้า พึมพำกับตัวเองว่า

“นังเด็กสีซอ ฉันอยากให้แกแย่งตำแหน่งคนโปรดของไอ้สารเลวศรไปจากฉัน ฉันจะได้หมดก้างขวางคอ แค่มองตาบริพัตรก็รู้ว่าเขาติดใจแก” แล้วเธอก็ปั้นยิ้มหันกลับมาถามบริพัตรว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไร

“ลำหับ”

“ลำหับ...ชื่อน่ารักมาก แกเรียนหนังสือที่ไหนครับ” พ่อเลี้ยงศรแกล้งถาม ขณะที่เฉิดเฉลารีบชี้ชวนให้ดูผู้ชายที่เป็นญาติกับลำหับท่าทางจะสนิทสนมกันมาก บริพัตรลุกไปดูเห็นจริงอย่างที่เธอพูด แต่ตอบไม่ได้ว่าชายแปลกหน้าคนนั้นชื่ออะไร

หลังจากทำให้ลำหับตกใจหวาดกลัวไปแล้ว ชาตรียังก่อกวนเธออีกเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง

“เธออยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด เธอได้รับการดูแลอย่างดีจากที่นี่ เธอจะไม่ตอบแทนด้วยการพูดจากับพวกเขาบ้างหรือ ว่าเธอคือใครมาจากไหน ลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมวิ่งหนีมาสีซออยู่กลางป่า อะไรที่ผ่านมามันเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนไม่ได้ แต่แก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ หรือว่าเธอต้องการเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนที่เขาอุ้มชูดูแลเธอ หน้าตาก็ดี สะสวย ทำไมนิสัยไม่ดีราวกับขาดการ อบรมจากพ่อแม่ที่ไม่ดี บอกเธอแค่นี้แหละ คนไม่รู้คุณคนพูดตรงๆก็คนเนรคุณนั่นแหละ ตอนนี้เนรคุณคนที่ให้บ้านอาศัย อีกไม่นานก็เนรคุณประเทศชาติ”

ลำหับสุดทนกับถ้อยคำรุนแรงของชาตรีถึงกับสติแตกปรี่มาทุบตีเขาพัลวันพร้อมตะโกนอย่างคับแค้นให้เขาหยุดพูด บริพัตรมองมาด้วยความยินดีที่เธอพูดจาเสียที เฉิดเฉลากับพ่อเลี้ยงศรเห็นลำหับออกฤทธิ์อย่างนั้นก็เชื่อว่าเธอมีพิษสงไม่เบา

ในที่สุดชาตรีก็ทำให้ลำหับยอมพูด เธอไม่ได้เป็นใบ้ ภัทรากับบริพัตรดีใจและเชื่อว่าที่ผ่านมาเธอคงเจอเหตุการณ์น่าตกใจจนช็อกถึงไม่ยอมพูดกับใคร

ชาตรีกลับออกไปโดยไม่ยอมบอกชื่อของตนให้ใครรู้ ส่วนพ่อเลี้ยงศรกับเฉิดเฉลาก็จำใจกลับเพราะภัทราขอร้อง จากนั้นภัทรากับบริพัตรก็คุยเรื่องเรียนหนังสือกับลำหับ ก่อนจะซักถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหน พลัดหลงกับพ่อแม่หรืออย่างไร เราจะได้ช่วยสืบแล้วพาไปส่ง ปรากฏว่าลำหับร้องไห้โฮ ร่ำร้องว่าตนไม่ไป ตนไม่มีพ่อแม่แล้วจะวิ่งหนี บริพัตรเลยต้องคว้าตัวเธอไว้

ooooooo

นอกจากเฉิดเฉลาจะมีพ่อเลี้ยงศรอยู่ทั้งคนแล้วเธอยังแอบคบเพื่อนชายคือยศพงษ์ วันนี้เธอนัดพบเขาที่กรุงเทพฯเพื่อให้กำจัดลำหับลูกคนขายชาติ

ยศพงษ์ตกลงโดยไม่ต้องคิดมาก เขาเต็มที่กับเฉิดเฉลาทุกเรื่องทั้งที่ตัวเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว ยศพงษ์ให้ลูกน้องไปดักจับตัวลำหับที่โรงเรียนสอนดนตรีซึ่งบริพัตรพาไปสมัครเรียนได้ไม่กี่วัน แต่ชาตรีที่ยังป้วนเปี้ยนดูแลทุกข์สุขของลำหับมาช่วยไว้ทัน แล้วโทร.ตามตำรวจมารับเธอกลับไปส่งให้บริพัตรอย่างปลอดภัย

ชาตรีเพิ่งรู้ว่าลำหับยิงปืนแม่นก็วันนี้ที่เกิดเหตุร้าย แต่ถามเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมบอกว่าพ่อเป็นคนสอน แม้แต่บริพัตรกับภัทราอยากให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเธอก็บ่ายเบี่ยง บอกแค่ว่าที่เธอรอดมาได้เพราะมีผู้หวังดีช่วยเหลือ

ลำหับทราบดีว่าตัวเองถูกคนใจร้ายซึ่งน่าจะเป็นคนของพ่อตามล่า เธอไม่อาจเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังได้ แต่พร้อมที่จะระวังตัวตามที่ชายหวังดีคนนั้นบอกไว้

ราม พ่อของหนูใหญ่หรือลำหับ นำน้องเล็กหรือพลเทพไปเลี้ยงหลังจากเกิดเหตุการณ์เผาค่ายอาสา บัดนี้พลเทพเติบโตและยังเป็นห่วงพี่สาวเสมอ

รามเองก็อยากเจอลูกสาวจึงให้คนของตนช่วยสืบหาโดยมีสนเป็นหัวหน้าทีม

หลายเดือนผ่านไป เฉิดเฉลาแอบไปคลอดลูกชายที่กรุงเทพฯ แล้วนำกลับมาเลี้ยงที่บ้านโดยทำตามที่พ่อเลี้ยงศรบอกไว้ให้บอกใครๆว่าเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรมที่ขอมาเลี้ยง

ลำหับสวยวันสวยคืนและเก่งงานสารพัด พ่อเลี้ยงศรแวะเวียนมาบ่อยเพราะพึงพอใจอยากได้เธอเป็นเมียตามแรงยุของเฉิดเฉลา โดยไม่รู้ว่าแท้จริงเฉิดเฉลามีแผนให้เขาดึงลำหับออกจากชีวิตบริพัตรนั่นเอง

ในวันที่ลำหับไปสอบเทียบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งใช้เวลาสอบสองวัน เธอถูกสนและพลเทพให้คนดัก

อุ้มขึ้นรถหายไป บริพัตรกับภัทราทราบเรื่องตกใจและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับลำหับกันแน่

ลำหับตกอยู่ในอันตรายแต่ได้ชาตรีมาช่วยอีกครั้ง ทั้งคู่พากันหนีแต่เกือบไม่รอด ชาตรีโดนระเบิดบาดเจ็บไม่น้อย ขณะที่ลำหับปลอดภัย แต่พลเทพคิดว่าพวกเขาคงตายอย่างน่าอนาถไปแล้ว

พลเทพหรือจูเนียร์บ่นสงสารชายที่อยู่กับพี่สาว จึงโดนสนตักเตือนให้เข้มแข็งเฉกเช่นรามผู้เป็นพ่อ

“อย่ามีอารมณ์กับสิ่งที่พบเห็น หัวหน้าไม่ต้องการให้จูเนียร์สงสารหรือเมตตาใครๆทั้งสิ้น มันจะทำให้อุดมการณ์ของพวกเราไขว้เขวหย่อนยาน”

“แต่เราเป็นมนุษย์ เราย่อมรู้สึกต่างๆนานา เราบังคับความรู้สึกกันไม่ได้”

“ข่มใจซะ เขาตายก็เป็นธรรมดามนุษย์”

“เขาตายไม่ธรรมดาเพราะมีคนฆ่าเขา ถ้าเขาเป็นพ่อแม่พี่น้องของเรา เราจะรู้สึกยังไง”

“พ่อของจูเนียร์ฆ่าแม่ของจูเนียร์เพื่ออุดมการณ์ ถามไหมว่าเขารู้สึกยังไง ไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบเดินทางกลับ หนทางอีกไกล ผมอาจต้องกลับมาเก็บกวาดขยะที่ระเบิดไว้อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ”

“คนที่โดนระเบิดเป็นขยะงั้นหรือ”

“ต่างกันตรงไหน ในเมื่อทุกคนต้องกลับไปเป็นเถ้าธุลีที่ก็ไม่ต่างกับขยะทั้งนั้น” ว่าแล้วสนดึงแขนพลเทพให้รีบเดิน แต่หนุ่มน้อยเป็นห่วงพี่สาวทำท่าจะไม่ยอมไป “เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ไอ้บ้านั่นมันไม่พลาดหรอก ป่านนี้มันเรียกตำรวจแล้ว ไม่เชื่อถอยไปแอบดูกันให้ห่างกว่านี้”

พลเทพจำใจถอยไปพร้อมสน ส่วนชาตรีที่โดนระเบิดบาดเจ็บมีลำหับประคองพลางร้องไห้โวยวายฟูมฟายไม่หยุด

“บอกแล้วให้ระวังตัว”

“บอกให้รีบไปแอบ ออกมาทำไม พวกมันอาจหวนมาปาระเบิดใส่เธอก็ได้”

“หนูไม่กลัวตาย หนูเคยเฉียดผ่านความตายมาหลายครั้งแล้ว คุณต้องได้รับการดูแล เดี๋ยวตำรวจมา คุณต้องไปหาหมอ”

“ไม่ต้องการหมอ เดี๋ยวตำรวจมานี่แหละเรื่องใหญ่ ปล่อยได้แล้ว ฉันจะรีบไปให้พ้นตำรวจ”

“เรียกตำรวจทุกที แต่กลัวตำรวจมากกว่าคนเลว หากพวกมันย้อนกลับมาทำร้ายคุณอีกจะว่ายังไง”

“ก็ตายน่ะสิ บอกให้ปล่อย”

“คุณทำอะไรผิด ฆ่าคนตายหรือปล้น ถึงกลัวจะพบตำรวจ”

“ใช่ทั้งหมดที่เธอว่ามานั่นแหละ รีบไปให้พ้น แล้วไม่ต้องบอกใครว่าเราพบกัน โดยเฉพาะผู้ปกครองที่แสนดีแสนวิเศษของเธอ”

ชาตรีผลักลำหับออกห่างแล้วลุกขึ้นเดินเป๋ไปหลบหลังต้นไม้ ลำหับทำท่าจะตามแต่ได้ยินเสียงเรียกของบริพัตรที่มาพร้อมตำรวจจึงหยุดชะงัก และยอมกลับไปโดยไม่เล่ารายละเอียดอะไรมากนักเหมือนเคย แม้แต่รอยเลือดที่ปรากฏตรงที่เกิดเหตุ เธอก็ปฏิเสธว่าไม่รู้ของใคร

บริพัตรสงสัย ขณะนั่งมาในรถด้วยกันเขาครุ่นคิดว่าทำไมลำหับจึงโดนตามล่าบ่อยมาก และใครกันที่คอยช่วยเหลือเธอ แต่พอเขาเอ่ยถามก็ได้คำตอบเดิมๆว่าหนูไม่ทราบ

“ลำหับไม่เคยบอกเรื่องความเป็นมาของตัวเองกับนายแม่และฉัน มีอะไรที่ต้องปิดบังกัน หรือว่าลำหับกลัวคนที่ตามล่าพวกนั้นจนไม่กล้าพูด”

ลำหับน้ำตาไหลพราก คิดในใจว่าตนจะมีหน้าไปบอกใครได้ว่าพ่อแท้ๆตามฆ่าปิดปากลูกของตัวเอง บริพัตรปรายตามองเธอด้วยความสงสาร

“ขอโทษที่คำถามของฉันทำให้เธอสะเทือนใจ แต่ขออีกคำถามเดียว คนที่แจ้งตำรวจให้มารับลำหับ ใช่คนเดียวกันกับครั้งที่แล้วหรือเปล่า”

“ไม่ทราบค่ะ”

“ไม่ทราบ...หมายความว่ายังไง คนนั้นเขาจะมาเห็นว่าลำหับโดนจับตัวได้ยังไง”

“หนูก็ไม่ทราบค่ะ ว่าทำไมเขาถึงทราบว่าหนูโดนจับตัว”

“ถ้าอย่างนั้นคนคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่คอยติดตามลำหับอีกฝ่ายหนึ่ง นี่มันอะไรกัน กระดิกตัวกันไม่ได้เลยหรือ มีคนจ้องจับตามองตลอดเวลา”

“ต่อไปนี้หนูจะไม่ออกไปไหนอีกแล้วค่ะ”

“นอกจากไปกับฉันเท่านั้น ยังมีการสอบอีกหนึ่งวัน พรุ่งนี้ลำหับต้องไปสอบให้เสร็จ เข้าใจไหม”

“ค่ะ หนูเข้าใจ แต่หนูสอบไปก็ไม่ได้ไปเรียนต่อที่ไหน เพราะหนูคงโดนตามจับตัวหรือตามฆ่าไปเรื่อยๆ ทุกคนต้องเดือดร้อนเพราะหนู”

“เรื่องนั้นเอาไว้พูดกันทีหลัง เราจะต้องให้ตำรวจช่วยสืบหาให้ได้ว่าใครกันที่ตามล่าลำหับ ลำหับทำใจให้สบาย ไม่ต้องเครียด ฉันจะปกป้องเธอจากทุกฝ่ายเอง”

“ขอบพระคุณมากค่ะ”

บริพัตรลดมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถจะไปจับมือลำหับ แต่จู่ๆเปลี่ยนใจเพราะคิดว่าไม่เหมาะสม

ooooooo

กลางดึกคืนนั้น ชาตรีนอนหนาวสั่นภายในกระท่อม ข้างกายมีกระเป๋าอุปกรณ์ทำแผลและยาที่มีไว้สำหรับรักษาตัวเองในยามเจ็บป่วย

ชาตรีกำลังจะหลับเพราะฤทธิ์ยาแก้อักเสบ พลันได้ยินเสียงคนบุกรุก เขาตื่นตัวหลบไปโหนอยู่กับขื่อหลังคา รอดพ้นสายตาสนและสมุน

“แปลกจริงๆ ทำไมไม่มี ในเมื่อรอยเลือดมันมาหยุดหน้ากระท่อมนี้”

“ผมว่ามันน่าจะหนีออกไปทางหน้าต่างหรือเปล่า”

“กลับ!” สนพูดชัด สมุนจึงเดินออกไปพ้นประตู แต่สนยังไม่พ้นก็เห็นเลือดหยดลงจากเพดานหลังคา

ชาตรีเกาะอยู่บนขื่อถือปืนจ้องมา สนชะงักในมือถือปืนเช่นกัน สองคนจ้องหน้ากันเขม็ง

“เสียใจด้วยนะที่ต้องเก็บกวาดขยะให้สิ้นซาก ฉันมีหน้าที่ฆ่านาย อุดมการณ์มันสั่งให้ทำ”

“ตกลง...อุดมการณ์ก็สั่งให้ฉันฆ่านายเช่นกัน”

เสียงปืนดังรัวถี่ยิบ สมุนของสนหันขวับจะขยับเข้าไป แต่สนโผล่ออกมาเสียก่อนในสภาพขากะเผลก เลือดไหลนิดหน่อยที่ใบหน้าและแขนขา

“นายยิงมันตายแล้วใช่ไหม”

“เราดวลปืนกันแบบเผาขน”

“ไม่ตายก็เทวดาแล้ว มันทรหดจริงๆ”

“มันทรหดที่สุด แต่ผมโชคดี จะเจ็บหนักก็ที่ขานี่แหละ กลับกันเถอะ”

สนรีบเดินอย่างไม่เหลียวหลัง สมุนอยากเข้าไปกระทืบศพซ้ำแต่สนตวาดว่าพอแล้ว ทิ้งชาตรีไว้ข้างในนอนจมกองเลือด!

ooooooo


ที่มา  ไทยรัฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น